ปุ๋ยอินทรีย์ (in Tree)


สวัสดีครับทุกท่าน

        ว่าด้วยพืชหรือต้นไม้นั้น ผมยังยกย่องพืชให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดในโลกครับ หากคุณมีความเห็นแย้ง เชิญไปอ่านบทความนี้นะครับ รู้เขารู้เรา ชีวิตและแง่คิดจาก "ต้นไม้" เป็นส่วนหนึ่งที่ผมได้บอกไว้ว่าทำไมต้นไม้หรือพืชนั้นฉลาดที่สุด

       สิ่งหนึ่งน่าคิดสำหรับพืชก็คือ ครบวงจร นั่นคือ คิดเอง สร้างเอง ผลิตเอง แก้ปัญหาเอง พัฒนาตัวเอง ปรับปรุงพันธุ์เอง

  • คิดเอง มีระบบภายในตั้งแต่เมล็ดที่ถูกกำหนดลักษณะทางพันธุกรรมมาแล้วพร้อมหรือไม่พร้อมที่จะอยู่กับธรรมชาติจะคิดเองได้

  • สร้างเอง สร้างลูกหลานเองได้ แพร่พันธุ์เองโดยไม่ต้องมีใครมาสนใจก็สร้างเองได้

  • ผลิตเอง สร้างอาหารเองด้วยกระบวนการสังเคราะห์แสงได้ ซึ่งคนเราทำเองไม่ได้ ผลิตเองหมายถึงเป็นผู้ผลิตลำดับแรก ปฐมภูมินะครับ

  • แก้ปัญหาเอง เมื่อมีปัญหาคนมาโค่นหรือบากลำต้นเพราะความสนุกสนาน ก็ซ่อมแซมตัวเองได้ ต้นยางโดนกรีดทุกๆ เช้าในสวน ก็โดนกรีดทุกวันเลย โดนทำร้ายทุกวันเลย ต้องเสียสละเลือดวันละหนึ่งกะลาทุกๆ วัน ก็ต้องซ่อมแซมตัวเองในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่มาห่อหุ้มรอยแผล

  • พัฒนาตัวเอง ได้ด้วยการปรับตัวและเรียนรู้และทนต่อสภาพแวดล้อมให้รุ่นต่อๆ ไปมีความทนทานแข็งแรงได้ในรุ่นลูกหลาน เช่นข้าวที่ปล่อยตามยถากรรม ให้อยู่กับแมลงกับหญ้ารกๆ จะทนต่อข้าวที่ปลูกแบบแปลงสะอาด ฉีดสารเคมี ปุ๋ยเคมี

  • และอื่นๆ .... แล้วคนหละครับ ทำได้ทุกข้อที่กล่าวมาแล้วได้ไหมครับ อย่างน้อยคน ผลิตอาหารเองไม่ได้ครับ สังเคราะห์แสงเองไม่ได้ครับ

     ว่าไปแล้วจะคุยแต่เรื่องข้อดีของต้นไม้ทั้งๆ ที่หัวข้อเป็น ปุ๋ยอินทรีย์ in Tree ผมเห็นคำนี้พ้องกันกับภาษาอังกฤษเลยคิดว่ามันมีความหมายในตัวของมันอย่างนั้นจริงๆ นั่นคือ ปุ๋ยอินทรีย์ ก็คือ ปุ๋ยอยู่อยู่ในต้นไม้ ถามว่าถูกหมดไหม คำตอบคือถูกไม่หมดครับ เพราะปุ๋ยอินทรีย์นั้นรวมไปถึงซากพืชซากสัตว์ด้วยครับ แต่ส่วนใหญ่ที่เรานิยมกันก็คือการผสมกันทั้งพืชและสัตว์ ผ่านการย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ จนกว่าจะกลายเป็น ไอออนทางเคมี เพราะปุ๋ยอินทรีย์นั้นท้ายที่สุดแล้วก็คือ ปุ๋ยเคมีนั่นเองครับ คุณคงไม่แปลกใจครับ ว่าทำไมปุ๋ยเคมีถึงเข้ามาโจมตีในตลาดได้ง่าย

     เพราะเค้าขายปลายทางนั่นเอง ย่อยไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วเอามาขาย เอามายัดเยียดให้พืชดูดซึมกันเข้าไป ทั้งๆที่ระบบต้นไม้นั้น มีการสร้างครบวงจรอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นครับ  นั่นคือ ใบไม้ของต้นอะไรก็จะเป็นปุ๋ยของต้นนั้นๆ แต่ต่างๆจากคนเรานะครับ ผมที่ร่วงจากเราไป ขี้ไคลที่หลุดจากเราไป มันไม่ได้เป็นปุ๋ยของเราเลย หรืออุจจาระของเสียต่างๆ มันก็ไม่ได้เป็นอาหารของเราเลยครับ แต่กลับเป็นอาหารของผู้ผลิตก็คือพืชนั่นเอง

    ยุคเกษตรเคมีเข้ามา ระบบนิเวศน์มักจะถูกทำลาย เพราะต้องทำลายทั้งวัชพืช และศัตรูพืช ดังนั้น ไม่ว่ามีอะไร ทำลายเกลี้ยงครับ เพื่อให้สิ่งที่เราปลูกอยู่ได้เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น เกิดปัญหา ก็ใช้ยาอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ธรรมชาตินั้นสร้างระบบการป้องกันตัวเองไว้ให้แล้ว เช่น กรีดยางยังไงก็ไม่มีทางที่จะได้น้ำยางทั้งต้นไหลออกมาเป็นถังเพราะธรรมชาติมีการสร้างให้น้ำยางหยุดไหล มีดบาดนิ้วมือเราก็เช่นกัน ธรรมชาติก็สร้างให้เลือดหยุดไหลเองเช่นกัน ดังนั้นช่วงที่ปุ๋ยเคมีเข้ามารุกเกษตรกรหนักๆ เรามักจะทำการเกษตรแบบโกนหนวด คือ โกนหนวดให้เกลี้ยงแล้วจะปลูกอะไรก็ค่อยว่ากัน อันนี้เราเห็นได้จากการทำสวนยางกองทุน หรือที่เรียกว่า การขอทุนสวนยาง เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ

    มาถึงตอนนี้ ปราชญ์ หลายๆ ท่านเข้าถึงระบบธรรมชาติมากขึ้น ผมเองที่เคยโง่ๆ มาก็เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเคยโง่มาหนักในเรื่องนี้ เพราะเกิดมาก็รับรู้ว่า 16-20-0 ที่อยู่ในกระสอบ นั้นเอาไว้ใส่ในนาข้าว 15-15-15 นั้นเอาไว้ในสวนผลไม้ หากใครจะเถียงก็ลองตอบคำถามต่อไปนี้ดูก็ได้ครับ

  • ในป่าดง มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมีให้ต้นไม้ในป่าบ้าง

  • ไม้ไผ่ หน่อไม้ไผ่ที่ขึ้นสวยงาม ใครไปใส่ปุ๋ยให้มันบ้าง

  • ใครปลูกต้นกล้วยแล้วรดน้ำ หรือใส่ปุ๋ยให้ต้นกล้วยบ้าง

  • เวลาปลูกพลูด่างในน้ำ มีใครปลูกแล้วใส่ปุ๋ยเคมีลงไปบ้างครับ

  • แล้ววัชพืชทั้งหลายหล่ะครับ ที่ขึ้นงอกงามซะเหลือเกิน งอกงามกว่าสิ่งที่คุณกำลังปลูกนั่น ถามว่าทำไมมันงอกงามดีจังครับ ใครใส่ปุ๋ยให้มันครับ แต่สิ่งที่คุณปลูกคุณกลับต้องใส่ปุ๋ยให้มัน

  • คุณอาจจะค้านในบางข้อ แต่หากลองไม่มีการใส่ปุ๋ยเคมีลงไปเลย สิ่งเหล่านั้นก็อยู่ได้ใช่หรือไม่ครับ

    ที่พูดมานี้ไม่ใช่ว่าจะทำสงครามกับบริษัทผลิตปุ๋ยเคมีครับ แต่จะบอกให้รับทราบว่า ระบบมีการจัดการของมันอยู่แล้ว เพียงแต่มีการให้ที่ต่อเนื่องและถูกต้อง ให้อย่างเข้าใจ ให้ระบบเค้าอยู่ร่วมได้ เคมีและอินทรีย์มีอยู่ในดินแล้ว ทั้งดินน้ำลมไฟ จะผสมสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วครับ

   การให้ปุ๋ยอินทรีย์ ท้ายที่สุดแล้วพืชจะดูดนำเข้าทางรากด้วยแนวทางเคมีครับ ดังนั้น คุณต้องเลือกเอาว่าจะให้แบบเคมีหรืออินทรีย์ แบบไหนยั่งยืนกว่า ระหว่างกินข้าวกับให้น้ำเกลือก็ต้องเลือกเอาครับ หากขี้เกียจย่อยก็ให้น้ำเกลือ (เคมี) หากอยากให้ส่วนต่างๆ ทำงานเป็นระบบครบวงจร ก็ควรจะกินข้าวครับ

   ลองคิดดูกันเล่นๆ นะครับ มีอะไรแย้งหรือเห็นพ้อง เชิญเขียนไว้ด้านล่างนะครับ

กราบขอบพระคุณมากครับ

เม้ง

   

หมายเลขบันทึก: 117525เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2007 03:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:48 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท