จิตแจ่มใส - ร่างกายแข็งแรง


สัจจะธรรมมีอยู่ว่า "เข้าแล้วไม่ออกตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย เข้า ๆ ออก ๆ ซำบาย"
          ชีวิตนี้มีกายกับจิต เมื่อเราศึกษาและควบคุมจิตของเราได้แล้ว จิตก็จะควบคุมกายได้ดี จิตดีก็คิดดี เมื่อคิดดีแล้วพูดก็จะดีทำก็จะดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จิตกับกายต้องอาศัยกันอยู่ ถึงจะเรียกว่า "ชีวิต" ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งก็อยู่ไม่ได้ และจิตที่แจ่มใสย่อมอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง การจัดการชีวิตจึงเป็นเรื่องต้องจัดการกับจิตใจและร่างกายไปพร้อมกัน ถึงตอนนี้จึงขอพูดเรื่องของร่างกายกันหน่อย
          จะให้ร่างกายสมบูรณ์ ต้องรู้เรื่องการกิน รวมถึงการดื่ม การสูบ การสูด การฉีด ด้วยหละ
          จะให้ร่างกายแข็งแรง ต้องรู้เรื่องการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย ...แค่ขยับก็เท่ากับการออกกำลังกาย...
          ถ้าเราเปรียบร่างกายนี้เหมือนหนองน้ำ ทางน้ำไหลเข้ามีอยู่ 3 ทางคือ ปากโดยการดื่มการกิน จมูกโดยการสูดการดมการหายใจ ผิวหนังโดยการซึมการฉีด ส่วนทางไหลออกมีอยู่ 5 ทางคือ ปากโดยการขากการถุย จมูกโดยการสั่งการจามการหายใจ ผิวผนังโดยการขับเหงื่อขับไคร ทวารหนักโดยการขับหนัก ทวารเบาโดยการขับเบา ซึ่ง 2 อย่างหลังนี้ ออกอย่างเดียวไม่เข้า (เข้าผิดทางก็ยุ่งหละซิครับ) สัจจะธรรมมีอยู่ว่า "เข้าแล้วไม่ออกตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย เข้า ๆ ออก ๆ ซำบาย" 
          การนำเข้า(สู่ร่างกาย)ก็ต้องนำเข้าเฉพาะของดี โดยยึดหลัก 2อ คือ อ-อากาศ และ อ-อาหาร อากาศดีก็...(ไม่ต้องพูดหละมัง) อาหารดีก็คืออาหารหลัก 5 หมู่นั่นแหละ เนื้อ ข้าว ผัก ผลไม้ ไขมัน และอย่าลืมดื่มน้ำสะอาดวันละ 7-8 แก้วด้วยนะครับ ไอ้เรื่องเหล้าบุหรี่นะ เลิกได้เลิกเถอะ มันไม่ใช้อาหาร
          การขับออกก็ขับเฉพาะของเสีย โดยยึดหลัก 2อ คือ อ-ออกกำลังกาย และ อ-อุจจาระ(ร่วมถึงปัสสาวะด้วยเน้อ) เพื่อขับเหงือขับของเสียออกจากร่างกาย อย่าลืม...น้ำช่วยได้เยอะนะครับ
          ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าหรือขับออก ก็ต้องยึดหลักอีก อ หนึ่งครับ อ-อนามัย ต้องคำนึงถึงสุขอนามัยด้วยนะครับ สะอาดไว้ก่อนปลอดภัย ก่อนกินหลังถ่าย ล้างครับล้าง (น้ำมีส่วนสำคัญอีกแล้ว น่าอัศจรรย์ไหม?น้ำเนี๊ยะ) ถ้าเราไม่คำนึงถึงหลักอนามัย ก็จะกลับเป็นว่าเอาของเสียเข้าสู่ร่างกาย สุดท้ายร่างกายก็จำเป็นต้องขับออก ทีนี่หละ ของดีของเสียถูกขับออกหมดไม่เหลือ (หลุต๊องครับ)
          ปัจจุบันกระผมอายุ 55 ปี พยายามปรับนิสัยการกินในแต่ละวันอย่างนี้ครับ
          "กินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นยา กินกล้วยน้ำว้ามื้อละใบ กินไข่วันละฟอง เดินทอดน่องวันละ 3 กิโล(เมตร)"
          "น้ำ" ทานอาหารเสร็จ รอให้น้ำย่อยจัดการกับอาหารซักพัก ค่อยดื่ม (ด้วยเชื่อ/กลัวว่า น้ำจะไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะ) ในเวลาอื่นจะดื่มทันทีที่นึกขึ้นได้ โดยนำแก้วไปใส่น้ำแล้วนำมาตั้งไว้ใกล้ตัว คราใดกระหายและเหลือบเห็นก็หยิบมาจิบหรือดื่มทันที เมื่อหมดแก้วก็ไปเติมน้ำและนำมาตั้งไว้เหมือนเดิมอีก "ดื่มแล้วไปเอามา-ดีกว่าไปเอามาดื่ม" ครับ
          ถูกผิดอย่างไร ขอผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ
หมายเลขบันทึก: 115787เขียนเมื่อ 31 กรกฎาคม 2007 09:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 22:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ

ดิฉันทำแบบที่เขียนไว้ค่ะ

 "น้ำ" ทานอาหารเสร็จ รอให้น้ำย่อยจัดการกับอาหารซักพัก ค่อยดื่ม (ด้วยเชื่อ/กลัวว่า น้ำจะไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะ)

แต่ส่วนใหญ่ ทานน้ำทันที เลยค่ะ แตคงไม่มีผลมากนักนะคะ

ขอบคุณ คุณ sasinanda มากครับ
          คุณหมอ/คุณพยาบาลท่านพูดไว้ เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติด้วยเห็นว่าน่าจะจริง และเมื่อปฏิบัติไปนาน ๆ ก็เคยชิน รู้สึกสบาย-เบา แต่ถ้าวันไหนเพลอดื่มทันที ให้รู้สึกอึดอัดครับ แต่ก็คงไม่มีผลมากนักดั่งว่าครับ

สวัสดีเจ้า อ.ทนัน

* อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเองต้องปรับปรุงเรื่องการดื่มน้ำเพราะทุกวันนี้ดื่มน้อยมากวันละแก้วสองแก้วเอง

*ขอบคุณนักๆเจ้า

  • สวัสดีครับคุณ P ขอบคุณมากที่มาเยี่ยม
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ ตามที่เราเคยเรียนมาก็ประมาณว่า 8 แก้ว/วัน
  • น้ำโดยธรรมชาติแล้วสะอาด ใส ไหล เย็น ชุ่ม ดับกระหาย ยืดหยุ่น เสมอ และประสานสิ่งอื่นให้เข้ากัน
  • ในคุณสมบัติของน้ำดังกล่าว คุณ P มีเพียบ ขออนุโมทนาและเป็นกำลังใจ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท