ผู้เขียนเพิ่งรู้ว่าได้รับมอบหมายให้สอนวิชาศาสนาพราหมณ์-ฮินดูก็เมื่อเปิดภาคเรียนแล้ว เนื่องจากไม่ได้เข้าร่วมประชุมครูเพราะต้องเดินทางไปสัมมนาที่กรุงเทพฯ และความเป็นอาจารย์ประจำก็คล้ายกับไก่รองบ่อน กล่าวคือ เมื่อไม่มีใครสอนก็จำเป็นจะต้องสอนเองในวิชานั้นๆ...
ผู้เขียนจบปรัชญา มิใช่จบศาสนา ดังนั้น จึงไม่เคยเรียนศาสนาพราหมณ์-ฮินดูโดยตรง เคยเรียนเล็กน้อยก็ในวิชาศาสนาทั่วไป... เมื่อจำเป็นต้องสอนก็ต้องไปขุดคุ้ยปรัชญาอินเดียที่เคยเรียนมาบ้างเท่านั้น...
ปรัชญาและศาสนาในส่วนที่คาบเกี่ยวกันนั้น แตกต่างกันนิดหน่อย กล่าวคือ ปรัชญาจะเน้นแนวคิด ส่วนศาสนาจะเน้นแนวปฏิบัติ ดังนั้น การสอนศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของผู้เขียนจึงเน้นแนวคิดมากกว่าแนวปฏิบัติตามที่ผู้เขียนถนัด...
.......
หลักสูตรกำหนดให้สอนเกี่ยวกับคัมภีร์พระเวทและภควัทคีตา... แต่หนังสือภาษาไทยที่อธิบายเกี่ยวกับคัมภีร์พระเวท หรือคัมภีร์พระเวทที่แปลเป็นภาษาไทยโดยตรง ผู้เขียนไม่เคยเจอ จะเจอบ้างก็แต่ผู้ยกมาสั้นๆ โดยอ้างว่ามาจากคัมภีร์พระเวทเท่านั้น... ส่วนคัมภีร์ภควัทคีตานั้น ฉบับภาษาไทยหาได้ไม่ยาก เฉพาะของผู้เขียนเองก็มีอยู่ ๓ สำนวน...
จะสอนอย่างไร ? นี้คือประเด็นที่ผู้เขียนจะต้องตอบตัวเอง... ในส่วนความรู้ทั่วไปนั้น ก็ตั้งหัวข้อให้นิสิตไปเขียนมาส่งทุกสัปดาห์ เช่น ให้วิจารณ์แนวคิดเรื่องตรีมูรติ ความแตกต่างระหว่างลัทธิไวษณพกับลัทธิไศวะ หรือแนวคิดเรื่องนารายณ์อวตาร เป็นต้น ซึ่งผู้เขียนก็อาศัยความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมจากงานที่นิสิตนำมาส่งนี้เอง...
ในส่วนประวัติศาสตร์ ผู้เขียนก็อาศัยหนังสือ บ่อเกิดลัทธิประเพณีอินเดีย ซึ่งอาจารย์จำนง ทองประเสริฐ ได้แปลไว้นานแล้ว... และหนังสือของอาจารย์อื่นๆ ตามที่จะค้นหาได้...
ในส่วนของแนวคิด โดยเฉพาะของสำนักครูทั้งหกนั้น ผู้เขียนมีความเข้าใจและความเห็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากการเรียนปรัชญาอินเดียกับอาจารย์อดิศักดิ์ ทองบุญ และอาจารย์อื่นๆ (ปีที่แล้วเจออาจารย์อดิศักดิ์บอกท่านว่า "ความรู้พื้นฐานกว่าครึ่งหนึ่งได้มาจากอาจารย์")... ดังนั้น เพียงปัดฝุ่นเล็กน้อยก็สามารถนำมาเล่าเล่นๆ ให้นิสิตปวดหัวได้ไม่ยากนัก...
..........
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไม่มีศาสดาหรือผู้ให้กำเนิดโดยตรง เป็นเพียงกลุ่มความเชื่อที่ยึดถือคำภีร์พระเวทเป็นหลักเบื้องต้นเท่านั้น... เชื่อกันว่าคัมภีร์พระเวทน่าจะมีอายุประมาณ ๔๐๐๐ ปี โดยพื้นฐานเดิมเป็นเพียงบทเพลงของนักรบอารยันซึ่งบุกเข้ามายังชมพูทวีป...
จากบทเพลงก็กลายมาเป็นคัมภีร์... เมื่อสร้างบ้านแปงเมืองได้แล้วนักรบ (กษัตริย์) ก็ค่อยหมดความสำคัญลง... กลุ่มนักวิชาการจึงค่อยๆ ตีความคัมภีร์เพื่อนำมาประยุกต์ใช้อธิบายบางอย่างและเพื่อส่งเสริมฐานะของตน ซึ่งกลุ่มนักวิชาการเหล่านี้เองได้แก่ พราหมณ์ ในสมัยต่อมา...
คำสอนของพราหมณ์เหล่านี้เอง เรียกกันว่า ศาสนาพราหมณ์ ซึ่งแม้จะมีความคิดเห็นแตกต่างกันมากมาย แต่ทุกฝ่ายก็อ้างคัมภีร์พระเวท...
เมื่อมุสลิมบุกมายังชมพูทวีปและเข้าครอบครองบางส่วนของชมพูทวีปแล้ว ความเชื่อพื้นฐานเดิมของชาวชมพูทวีปถูกเรียกว่า ศาสนาของชาวฮินดู ... นี้คือที่มาของความแตกต่างกันระหว่าง พรามหณ์กับฮินดู...
............
คำว่า ฮินดู มาจาก สินธู เป็นชื่อของแม่น้ำสายสำคัญของชมพูทวีปซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณ... แต่ชาวเปอร์เซียออกเสียงเพี้ยนไปว่า ฮินดู... เมื่อไปถึงยุโรป สถานที่นี้ก็ถูกเรียกว่า อินเดีย (ที่อยู่ของชาวฮินดู ชื่อว่า อินเดีย ..เมื่อจะอธิบายตามหลักภาษาศาสตร์) ...
แต่ชาวอินเดียหรือฮินดู กลับเรียกตัวเองว่า ภารตะ โดยเชื่อว่า พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าภรต ตามตำนานของมหากาพย์ชื่อภารตยุทธ์...
ในฐานะครูสอนศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ผู้เขียนก็คงจะต้องซึมซับในเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ....
๗. ปรตฺยกฺษานุมานาคมาะ ปฺรมาณานิ๗. ประมาณ คือ ประจักษณ์ อนุมาณ และอาคมหรือศัพท์
๑๒. อภฺยาสไวราคฺยาภฺยำ ตนฺนิโรธะ๑๒. นิโรธของมัน (เป็นไปได้) ด้วยอัภยาส (การปฏิบัติ) และวิราคธรรม
นิสิต
ลองค้นหาอ่านในอินเทอร์เน็ต เฉพาะภาษาไทยก็มีผู้ขยายความไว้เยอะแล้ว....
เจริญพร
อยากทราบถึงเกี่ยวกับเรื่อง มนูษย์และองค์ประกอบในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ครับ
เนื่องจากต้องทำรายงานส่งอาจารย์ครับ
มานพ แก่นจรรยา
ลองค้นดูใน Google.com มีเรื่องราวมากมาย...
หนังสือแนะนำก็ ปรัชญาอินเดีย ของ อ.อดิศักดิ์ ทองบุญ ซึ่งได้จำแนกแยกแยะแต่ละประเด็นไว้อย่างละเอียด...
หรือถ้าชอบค้นคว้าและอ่านหนังสือที่ไม่ง่ายนักได้ ก็ลอง (คลิกที่นี้) เลือกอ่านเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้อง...
เจริญพร