คุณวินทร์ เลียววาริณ ได้ส่งบทความ จตุ-calm มาให้ผมทาง e-mail
อ่านแล้วถูกใจ จึงขอช่วยเผยแพร่ต่ออีกแรงหนึ่งครับ
(ได้ขออนุญาตแล้ว) ^__^
จตุ-calm
กระแสความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเราทะยานทะลุเพดานแห่งเหตุผลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความเชื่อที่นำทางด้วยหลักการตลาดกับโฆษณาที่โหมกระหน่ำ สามารถทำให้คนประเภท 'ไม่เชื่อไม่ลบหลู่' หันไปเชื่อตามได้ไม่ยาก
หลักการตลาดแบบนี้ก็คือ "ถ้าไม่ดีจริง คนทั้งบ้านทั้งเมืองคงไม่ดิ้นรนขวนขวายหา (ชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์) มาติดตัวหรอก" หรือ "ถ้าคนอื่นมี เราก็ต้องมี กันไว้ก่อน"
กระแสนี้ระบาดไปทุกแห่งหน ทั้งสถาบันครอบครัว กระทรวงทบวงกรม โรงเรียน ผู้ที่ลอยล่องตามกระแสมีตั้งแต่คนยากจนหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลาง ครูบาอาจารย์ ไปจนถึงผู้มีอำนาจปกครองประเทศ เชี่ยวกรากจนคนที่ไม่เชื่อเริ่มหวั่นไหว
จะเสี่ยงไม่เชื่อดีหรือ? ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ใช่เรื่องจริง ทำไมมองไปทางไหนใครๆ ก็เชื่อกันทั้งนั้น?
หยุดสักครู่! อย่าเพิ่งตื่นเต้น อย่าเพิ่งลอยไปตามกระแส และอย่าเพิ่งควักเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ จง 'calm down' (สงบอารมณ์) ด้วยหลัก ‘จตุ-calm’ (หลักใจเย็นสี่ประการ) ก่อน
Calm 1 : อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ
Calm 2 : ตั้งคำถามทุกเรื่องที่ได้ยิน
Calm 3 : วิเคราะห์ทุกเรื่องที่ได้ยินด้วยหลักเหตุผล
Calm 4 : ใช้ปัญญาในการแยกแยะความจริงออกจากความเท็จ
มองย้อนกลับไปยังรากเหง้าของเรา ปู่ย่าตายายของเราสร้างชาติสร้างแผ่นดินจนเป็นปึกแผ่นด้วยสองมือสองแขนและการทำงานหนัก ชาวจีนโพ้นทะเลในสมัยก่อนเดินทางเข้าเมืองไทยพร้อมเสื่อผืนหมอนใบ มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ทำงานหนักจนสร้างเนื้อสร้างตัวได้สำเร็จ
ปัจจุบันหาคนที่ยังเชื่อในหลักการ ‘เสื่อผืนหมอนใบ’ ไม่ค่อยได้แล้ว ไม่มียุคสมัยใดที่คนบ้านเราขี้เกียจกันถึงขนาดนี้ ชอบรวยแต่ไม่ชอบทำงาน เมื่อไม่รวยก็อยากรวย พอรวยแล้วก็อยากรวยมากขึ้น ครั้นรวยมากแล้วก็อยากรวยแบบซูเปอร์รวย เป็นวงจรแห่งความอยากที่ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันพอ หลายคนยุ่งกับการคิดจะรวยจนลืมใช้ชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย
ผู้คนที่ทำบุญในยุคก่อนมักอธิษฐานขอชีวิตที่ดีกว่าในชาติหน้า ปัจจุบันผู้คนไม่อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขึ้นสวรรค์ในชาติหน้า หากแต่ใจร้อนต้องการผลลัพธ์ในชาตินี้เลย ด้วยสโลแกนความรวยชนิดต่างๆ ให้เลือกตามใจชอบ ตั้งแต่รวยแสนรวยล้าน รวยแบบโคตรๆ รวยสุดขีด รวยมหารวย รวยดับเบิ้ลรวย รวยยกกำลังสอง ไปจนถึงรวยแบบไม่มีเหตุผล ซึ่งล้วนเป็นการผสมพันธุ์กันระหว่างความโลภและความมืดบอดทางปัญญา นำทางด้วยหลักการตลาดแบบกำไรสูงสุด ผลลัพธ์ก็คือสังคมที่เต็มไปด้วยคนเขลาที่ยากจน
ใช่ คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด และเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการล่อคนโง่ก็คือความโลภ
ยิ่งโลภก็ยิ่งจน จนทั้งใจ จนทั้งปัญญา
มีตัวอย่างมากมายที่คนรวยล้นฟ้าซึ่งสร้างตัวมาจากความโลภต้องล้มครืนเพียงเพราะคำว่า 'โลภ' คำเดียว
ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์เห็นผู้คนพากันไปอาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยเชื่อว่าเป็นทางขึ้นสวรรค์ พระองค์ตรัสเตือนสติว่า หากการชำระด้วยน้ำในแม่น้ำช่วยให้พ้นจากบาปกรรมได้จริงไซร้ พวกกบ เต่า งู จระเข้ และสัตว์ทั้งหลายที่หากินในน้ำก็คงพากันขึ้นสวรรค์กันแล้วเป็นแน่
พระตถาคตทรงสั่งสอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เราพึ่งตนเอง ปฏิเสธการอ้อนวอน 'สิ่งศักดิ์สิทธิ์' ทั้งหลาย เพราะไม่มีอำนาจใดสามารถช่วยคนที่งอมืองอตีนไม่ทำอะไรได้
พระองค์ทรงสอนให้เดินสายกลาง รู้จักสันโดษ ไม่โลภ อยู่อย่างพอเพียง และด้วยหลัก อัตหิ อัตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน) มานานกว่าสองพันห้าร้อยปีแล้ว
อยากได้อะไรในชีวิตนี้ก็หามาได้ ถ้ายอมลงแรงลงใจทำงาน
อยากได้ของชิ้นใหญ่หน่อย ก็ลงแรงมากหน่อย แต่ไม่ไปทางลัด
ทำงานหนัก นอกจากจะ 'รวย' ทางกายแล้ว ยังรวยทางใจด้วย
มีอะไรน่าภูมิใจไปกว่าการที่เรายืนได้ด้วยสองเท้าของเราเอง?
วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com
22 มิถุนายน 2550
สนใจเรื่องที่เกี่ยวข้อง?
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย บัญชา ธนบุญสมบัติ ใน จุดประกาย
ขอบคุณมากครับที่นำสิ่งดีๆ มานำเสนอ
น่าสนใจมาก ทำอย่างไร จะ calm ได้ครับ