เมื่อวันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2550 นักศึกษาป.โทคณะเทคโนโลยีการเกษตรได้เดินทางไปเยี่ยมชมแปลงผักปลอดสารพิษ ที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
6. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องใช้เวลานาน เพราะฉะนั้นผู้นำจะต้องมีความอดทน มุ่งมั่น ที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลตอบแทนเกิดขึ้นในระยะยาว
7. เทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโลกปัจจุบัน องค์กรที่ไม่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยสามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน แต่จะไม่ทันและล้าหลังกว่าคนอื่น8. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อันดับแรกต้องเริ่มจากที่บ้าน หรือ ครอบครัว โดยเริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนคลอดออกมาเป็นทารก ต้องให้ความรักความอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่ ให้การศึกษาที่ดี เมื่อเรียนจบมาทำงานก็จะเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพต่อองค์กร และประเทศชาติต่อไปด้วยความเคารพอย่างสูงกราบเรียนอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง ดิฉันนางสาวรังสิมา ลีลากิจทรัพย์ นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร เลขประจำตัวนักศึกษา 50066203
สิ่งที่ดิฉันได้รับจากการเรียนในวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2550
1. อาจารย์สอนให้ดิฉันได้รู้จักที่จะให้การช่วยเหลือสังคมและคืนประโยชน์ให้กับสังคมบ้าง เนื่องจากเราได้รับจากสังคมมามากแล้ว ซึ่ง Project ที่อาจารย์ให้ทางเราช่วยกันดำเนินการคือเรื่องของ Nutrition ซึ่งพบว่าในปัจจุบันเด็กไทยขาดสารอาหารกันมากทำให้สมองของเด็กไทยไม่พัฒนา2. อาจารย์สอนให้เรียนแบบมีแนวคิดนอกกรอบ เปิดสมองให้กว้าง รับแนวความคิดใหม่ๆ และความรู้รอบตัวที่เกิดขึ้นมาประยุกต์ใช้ ร่วมถึงนำมาต่อยอด ซึ่งถ้าเป็นการเรียนแบบท่องจำอย่างเดียวจะไม่ได้รับประโยชน์ในเรื่องการบริหารสมองให้คิดเป็นและวิเคราะห์เป็น
3. ได้รับทราบข่าวสารจากภายนอกรวมถึงทราบถึงผลกระทบของเรื่องนั้นๆกับประเทศไทย
4. ได้รับทราบถึงทฤษฎี 4L's และ 2R's
และจากที่ดิฉันได้อ่านหนังสือทั้ง 2 เล่มของท่านนั้นก็พบว่าได้รับประโยชน์จากหนังสือทั้ง 2 เล่มเป็นอย่างมาก
เล่มที่ 1 เรื่อง 2 พลังความคิดชีวิตและงาน
จากหนังสือเล่มนี้สอนดิฉันให้ได้รู้จักกับทฤษฎีนักบริหาร 8H'sของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และทฤษฎีทรัพยากร 8K'sของดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เพื่อนำไปใช้ในการบริหารคน บริหารองค์กร รวมถึงการบริหารตนเองเพื่อให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ทำงานได้มีประสิทธิภาพ ประสบผลสำเร็จ เพราในปัจจุบันนี้ทุนที่จำเป็นที่ก็คือ คนหรือบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนระบบต่างๆของการดำเนินงาน และยังพบอีกว่า ทุนมนุษย์ เป็นทุนที่สำคัญที่สุด เนื่องจากตั้งแต่เกิดมาคนเราจะเริ่มได้รับการปลูกฝังทั้งในเรื่องการอบรมเลี้ยงดู การศึกษา อาหารการกิน สุขภาพพลานามัยทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นทุนขั้นพื้นฐานก่อนอันดับแรก และยังติดตัวไปจนตลอดชีวิต ดังนั้นเราควรจะมีการพัฒนาทุนมนุษย์ตั้งแต่อยู่ในวัยเยาว์ทันทีเล่มที่ 2 ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้
จากหนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้รู้จักกับปราชญ์ทั้ง 2 ท่าน คือ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ผู้ปฏิบัติงานเพื่อสังคมในเรื่องการรณรงค์เพื่อให้สังคมเห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ ทั้งในเรื่องของการใช้ชีวิต การปฏิบัติตน รวมถึงแนวความคิด และเส้นทางการบริหารงานด้านทรัพยากรบุคคล ซึ่งต้องเน้นที่การเอาใจใส่ดูแล ให้มีส่วนร่วมในองค์กรซึ่งจะทำให้พวกเค้ารู้สึกรักในองค์กร ต้องบริหารงานโดยใช้คุณธรรม และต้องใฝ่หาความรู้ตลอดเวลา ดังเช่นที่บอกว่าเครื่องจักรยิ่งนานยิ่งเก่า แต่คนที่ใฝ่หาความรู้ตลอดเวลายิ่งนานยิ่งมีคุณค่า ซึ่งเหล่าเป็นประโยชน์อย่างมากที่จะเป็นแนวทางนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และยังได้รู้จักกับแนวคิดเรื่องคนเก่งกับคนดีที่คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยาใช้เป็นคำนิยามของคนเก่งและคนดีของปูนซีเมนต์ไทย และนอกจากนี้ยังได้รู้จักกับทฤษฎี 4L's ซึ่งมีการเริ่มและมีวิธีการที่ต่างกัน แต่สุดท้ายเป้าหมายคือสร้างให้เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า ใฝ่หาความรู้ตลอดเวลา
กราบเรียนที่ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
ดิฉัน นางสาวสุพิชฌาย์ หนูขาว นักศึกษาปริญญาโทสาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รุ่นที่ 2 ดิฉันรู้สึกภาคภูมิใจและดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ท่านอาจารย์ได้สละเวลาอันมีค่ามาสอนวิชา HR นี้ค่ะ ความจริงความหมายของคำว่าบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็ธรรมดาแต่ที่ไม่ธรรมดาคือผู้ที่เป็นคนถ่ายทอดสอนวิชานี้ ท่านอาจารย์มีวิธีการสอนที่มีการให้shareความรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักใช้ความคิด วิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สนใจในสิ่งรอบตัวที่เรากำลังมองข้ามไป ทันต่อเหตุการณ์ บ้านการเมือง ทันต่อยุคสมัย รู้จักใช้ปัญญาแก้ปัญหา และสอนให้รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวมช่วยเหลือสังคมด้วย
สิ่งที่ได้รับจากการเรียนวันแรก เริ่มจากการนั่งก็แตกต่างกับการฟังบรรยายทั่ว ๆไปมีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นปัญหาของสังคมออกมาshareกันซึ่งอาจารย์เป็นผู้ประสานความรู้ เพราะทุกคนในห้องล้วนแล้วแต่มีความรู้เฉพาะทางมาก แต่ความรู้โดยภาพรวมยังไม่มี ซึ่งต้องนำทฤษฎี 4 L's เข้ามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยเข้าใจวิธีการเรียนรู้ มีการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ สร้างโอกาสให้กับตนเองพร้อมที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้โดยมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันโดยการยกประเด็นที่สอดคล้องกับทฤษฎี 2 L's โดยเรียนรู้จากความจริงที่เกิดขึ้น ข้อวิเคราะห์ต้องตรงประเด็นเน้นการอ่านที่ตรง concept เน้นการหาความรู้ สร้างมูลค่าเพิมให้กับสังคม
และจากการอ่านหนังสือ 2 เล่ม 1. พลังความคิดชีวิตและงาน ผู้เขียนคือคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และท่านศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ 2. ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้( HR. CHAMPIONS) ผู้เขียนคือท่านพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และท่าศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ถึงแม้ว่าท่านผู้เขียนทั้ง 3 ท่านจะมีตำแหน่ง และหน้าที่ ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่คิดและปฏิบัติเช่นเดียวกันก็คือ ต้องการที่จะพัฒนาคุณภาพ และศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจากการพัฒนาตนเอง พัฒนาองค์กร พัฒนาชุมชน พัฒนาสังคม และพัฒนาประเทศชาติ โดยท่านทั้ง 3 ได้ใช้ประสบการณ์ของท่าน คิดค้นทฤษฎี 8H's ของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และทฤษฎี 8 K's ของท่านศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่ง ทั้ง 2 ทฤษฎี นี้ เป็นการรวมเอาองค์ความรู้ โดยมีศัพท์ง่าย ๆ และทุกคนเข้าใจตรงกัน เป็นแนวทางให้กันคนรุ่นใหม่และผู้ที่ได้ศึกษาได้พัฒนาจิตใจ สมอง ความคิด การลงมือทำให้เกิดประโยชน์ต่อ ตัวเอง องค์กร สังคม และประเทศชาติได้
1. สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนขององค์กรให้มีความเจริญก้าวหน้า และเป็นหนึ่งได้ ก็คือ คน ( ทรัพยากรมนุษย์ ) ที่มีทั้งความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีการกล้าที่จะลงมือทำ กล้าคิด และเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่งตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งคนจะเก่งงานด้านเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องมีคุณธรรม มีความเคารพต่อองค์กรที่เราทำอยู่ด้วย องค์กรโดยรวมเป็นสถานที่ที่ใหญ่ มีคนอาศัยทำงานอยู่มาก ซึ่งแต่ละองค์กรต้องมีผู้นำ ต้องมีปรัชญาในการบริหารชี้ย้ำแนวทางปฏิบัติที่ตรงกันโดยไม่แตกแยก มีเป้าหมายที่จะดำเนินเป็นขั้นตอนตามทฤษฎี 3 วงกลมให้ขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางเดียวกันคื่อเพิ่มผลผลิต และผลกำไร
2. ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลวางแผนการบริหารงาน ให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่จะผ่านไป 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า นั้น องค์กรเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันพัฒนาคนทุกระดับอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมทั้งการจัดพัฒนาความรู้ทางด้านการบริหารธุรกิจ ด้านการเพิ่มผลผลิต ด้านการฝึกฝนอบรม ด้านการพัฒนาวินัยในตนเองรวมถึงจิตใจด้วย การสร้างค่านิยมให้กับคนในองค์กรได้พัฒนาศักยภาพของตัวเขาเอง บรรยากาศในการทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญ นั้นจะทำให้เขารู้ว่าองค์กรมิได้ให้ค่าตอบแทนแค่เงินเดือน แต่ยังให้ทั้งความรู้ใหม่ ๆ ประสบการณ์ แนวคิดต่าง ๆ ที่สามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันของเขาด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เชื่อมโยงถึงทั้งองค์กรและพนักงานได้ประสบความสำเร็จทั้ง 2 ฝ่าย ได้ทั้งความจงรักภักดีที่เกิดจากการมองตาแล้วแชร์ความเข้าใจกันคือให้ความรักกันนั่นเอง แต่ในทางกลับกันการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่อยากจะปฏิบัติ เนื่องจากการลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้ผลตอบแทนระยะยาวและใช้เวลา และในขณะเดียวกันที่ค่านิยมต้องการเห็นผลระยะสั้นมากกว่าดังนั้นผู้นำที่พัฒนาคนได้ ต้องป็นคนที่มุ่งมั่นและทำอย่างต่อเนื่อง การลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างชัดเจน ผู้นำต้องสามารถบริหาร สร้างแรงจูงใจ (Motivation) ให้พนักงานมากกว่าการคิดหาผลตอบแทนด้านผลผลิตและกำไร ฉะนั้นองค์กรใดที่ไม่สร้างบรรยากาศทางการเรียนรู้ ไม่ให้โอกาศพนักงานทำงานที่ท้าทาย เพื่อความก้าวหน้า ไม่พัฒนาฝึกฝนอบรม และแล้ววันหนึ่งพนักงานก็ไม่อยากอยู่
การพลวัฒน์คนให้ก้าวสู่ระดับประเทศได้นั้น จะต้องใช้ปัจจัยหลายด้าน 1. ต้องมีความคล่องแคล่วในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 2. มีความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 3. มีคุณธรรมในตัวเอง 4. ต้องเป็นคนที่มีความกระตือรือร้น ทันต่อเหตุการณ์บ้านเมือง เป็นผู้เรียนที่ดี ( Good Learner ) รู้จักแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เสมอ 5. ต้องเป็นคนที่ไม่หยุดพัฒนาตนเอง เรียนรู้ตลอดเวลา และเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้วยความเคารพอย่างสูง
เรียนอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ กระผมนายวิศรุต แสงโนรี
นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รหัสนักศึกษา 50066224 ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์จิระ ซึ่งสละเวลามาถ่ายทอดความรู้ของท่านตลอดจนประสบการณ์ในการทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ของท่าน โดยเฉพาะเรื่องคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ในการประกอบธุรกิจ ต้องมีการพัฒนาไม่ใช่แต่ด้านความเก่งทางการทำงานอย่างเดียวต้องพัฒนาไปถึงด้านจริยธรรม ความดีในตัวบุคคลที่จะทำให้ทรัพยากรมนุษย์มีความสมบรูณ์ที่สุด อีกทั้งอาจารย์จีระ ยังมีวิธีสอนที่ทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างมากโดยมีการแสดงความคิดเห็น กับหัวข้อที่อาจารย์ตั้งขึ้นมา ซึ่งถือว่าเป็นการสอนในรูปแบบที่ดีมากเป็นการฝึกให้ผู้เรียนได้ออกความเห็น ซึ่งทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทำให้ได้มุมมองทางความคิดหลายด้าน ซึ่งอาจก่อให้เกิดแนวคิดใหม่ๆขึ้นมาเพื่อนำไปประยุกต์ ใช้ในด้านการงานและชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
ความรู้ที่ได้รับจากหนังสือ 2 พลังความคิดชีวิตและงาน ในหนังสือได้กล่าวถึงการใช้ทฤษฎี 8H’s : ทฤษฎีบริหารทรัพยากรมนุษย์ของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และทฤษฎี 8 K’s : ทฤษฎีทุนในทรัพยากรมนุษย์ของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งเป้าหมายในการใช้นั้นสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน คือมุ่งที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพ ไม่ใช่แค่การทำงานแต่หมายรวมถึงการดำเนินชีวิตการดูแลสุขภาพอีกด้วย การใฝ่หาความรู้ใหม่มาพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความรู้ที่นำไปใช้ได้จริงไม่เพียงแต่มีแค่ทฤษฎีเท่านั้น แต่ยังมีแต่ประสบการณ์การทำงานในด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการดำเนินชีวิต ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่างของการนำมาพัฒนาตนเองได้ทั้งสิ้นตัวอย่างเช่น การเป็นคนที่ใส่ใจลูกน้องเพื่อนร่วมงาน แบ่งปันความรู้ที่มี การใส่ใจสุขภาพ ครอบครัว การที่เราต้องยึดมั่นในวัฒนธรรม ไม่ไหลไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์จนลืมว่าตัวเองเป็นใคร ไม่ตามชาวต่างชาติไปซะทุกเรื่อง ให้นำเอาแต่สิ่งที่ใช้ในประเทศได้ดีเข้ามา ฝึกการใช้ความคิดจากสมองตนเอง และพัฒนาต่อยอดความคิดจากทุนทางความรู้ที่มี และค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีช่วย หรือจากประสบการณ์ของผู้คนรอบตัว เพราะความรู้ยิ่งมีมากก็จะสามารถพัฒนาออกมาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ได้มาก โดยเฉพาะทฤษฎี 8ทุน นั้นสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในการพัฒนาตนเองและองค์กรได้เป็นอย่างดี เพราะมีเนื้อหาที่กล่าวถึง การใฝ่หาความรู้ ทักษะ การปฏิบัติที่เป็นทุนในด้านต่างๆ ความรู้ที่ได้รับจากหนังสือเรื่อง ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ นั้นประกอบด้วยความรู้จากประสบการณ์การทำงานและการได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้และการพบเจอสถานการณ์ต่างๆมามากมาย ของสองผู้รู้จริงทางด้านทรัพยากรมนุษย์ และจากการที่ท่านทั้งสองเป็นนักคิด นักวางแผนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศที่จะได้รับจากการพัฒนาคนให้มีศักยภาพ ทั้งทางด้านความสามารถในการทำงาน ด้านการใฝ่หาความรู้เพิ่มเติม เพื่อนำมาคิดต่อยอดความรู้เดิมและพัฒนาเป็นคิดใหม่มาปรับปรุงคุณภาพจากตัวเองก่อน และนำไปพัฒนาต่อผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง สามารถพัฒนาและยกระดับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทยให้มีความทัดเทียมกันานาชาติ มีการใช้กลยุทธุ์ในการดึงความสามารถของคนออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยใช้ทฤษฎี 4L’s ในการพัฒนาระบบการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการใส่ใจดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาเนื่องจากท่านทั้งสองได้ตระหนักว่าคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในองค์กร การสร้างความภักดีต่อองค์กร และการเอาใจใส่ดูแล ด้วยการลงไปพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งเป็นแนวทางการสร้างความเป็นกันเอง ทำให้ได้ทราบข้อมูลโดยตรงจากผู้ปฎิบัติงานทำให้ทราบถึงปัญหาและความคิดเห็นของลูกน้อง ตลอดจนได้นำความรู้จากทฤษฎีเดิมทางการบริหารคนมาใช้โดยปรับให้สามารถใช้ในประเทศได้อย่างเหมาะสม ซึ่งทำให้ผมตระหนักว่าการที่จะเป็นทรัพยากมนุษย์ที่ดีไม่ใช่จะมีแต่ความรู้ความสามารถเท่านั้น เราต้องมีทุนทางความรู้ด้านอื่นมาประกอบด้วยจึงจะทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ โดยเฉพาะทุนทางมนุษย์ถ้ามีพื้นฐานในเรื่องนี้ดีคนจะมีคุณภาพดีตามไปด้วย หรือจะสามารถพัฒนาให้ดีได้ง่ายขึ้น
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
กระผม นายพัฒนา ปลอดภัยงาม นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาวิชา การจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
สิ่งที่ได้รับจากการเรียนในวันแรกของภาคการศึกษา คือ ความแปลกใหม่ในการเรียนที่ไม่เคยเจอมาก่อน ในบรรยากาศการเรียน และวิธีการเรียน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมในการเรียน นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ผมได้มีส่วนร่วมในการเรียนครั้งนี้ด้วย ซึ่งมีอาจารย์ที่ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ อย่างศ.ดร.จีระ มาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ นั่นเป็นสิ่งที่จะกระตุ้นและเป็นสิ่งจูงใจที่พวกเราจะซึมซับความรู้จากอาจารย์ให้มากๆ เพราะในสังคมนี้คงไม่มีใครมีโอกาสดีที่จะได้เรียนกับอาจารย์เท่าพวกเราอีกแล้ว
สิ่งที่ได้รับจากหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้
- ได้เห็นสิ่งดีๆที่อาจารย์ได้รับมา คือ โอกาส
โอกาสที่ได้ทำงานในตำแหน่งที่สำคัญ ก็คือ ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งได้รับการเปิดโอกาสจากผู้ใหญ่ให้คนรุ่นใหม่(ในขณะนั้น)คือศ.ดร.จีระ โดยให้คนหนุ่ม(อายุ33ปี)เข้ามาทำงาน และ อาจารย์ก็ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมและได้นั่งตำแหน่งอยู่หลายสมัย
- ภาพการทำงานของคนในองค์กรใหญ่ที่ได้รับการถ่ายทอดจากคุณพารณ
- การสร้างระบบการบริหารคนและแนวทางการทำงาน โดยการผสมผสานการทำงานแบบชาวต่างชาติและแบบเดิมเข้าด้วยกัน โดยนำสิ่งที่เป็นประโยชน์มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความพึงพอใจสูงสุดในการทำงาน
- ทฤษฎี 4 L'sของคุณพารณและทฤษฎี 4 L's ของอาจารย์จีระ นั้นเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นทฤษฎีที่ดีมาก คือให้ความสำคัญของการเรียนรู้
หนังสือ2พลังความคิดชีวิตและงาน
ทฤษฎีทุนมนุษย์ อันมาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
มาจากรากฐานวัฒนธรรม เผ่าพันธุ์
มาจากความคิด สติปัญญา ความรู้ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎี 4L's ของอาจารย์จีระ
มาจากทักษะ การลงมือทำการ การพัฒนาฝีมือเพื่อที่จะเป็นมืออาชีพ
มาจากจิตใจที่ดี มีคุณธรรม เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดี ๆให้เกิดขึ้น ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องคิดดี ทำดี ทั้ง กาย วาจา ใจ
มาจากสุขภาพที่ดี ทำให้มีแรงคิดและทำสิ่งต่าง ๆ ถ้าสุขภาพร่างกายไม่ดีแล้วก็จะมีอุปสรรคในการทำงาน
มาจากเทคโนโลยี เป็นกลไกที่จำเป็นในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ และพัฒนางานให้ก้าวหน้าขึ้นไป เป็นส่วนช่วยด้านการศึกษาหาความรู้และข้อมูลใหม่ ๆ
มาจากบุคคล ซึ่งบุคคลที่ดีและมีความสามารถนั้น องค์ประกอบที่สำคัญ ก็คือ ครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันแรกของทุกคน และเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดที่สุด การเรียนรู้ก็เป็นสิ่งที่ได้รับจากการอบรมเลี้ยงดู จากการศึกษาเล่าเรียน
มาจากความสุข เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสภาพจิตใจที่ดี ทำให้มีพลัง เมื่อทำงานด้วยความสุขงาน ๆนั้น ย่อมเป็นงานที่ดีเพราะทำด้วยความสุขและความชอบ
มาจากความสามัคคี ซึ่งก่อให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ เมื่อร่วมมือร่วมใจกันจะทำให้งานต่างๆสำเร็จไปได้
มาจากการอยู่ร่วมกัน ควรวางบทบาทและหน้าที่ของตน และการสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อสังคม เพื่อประโยชน์สุขการทำงานและอยู่ร่วมในสังคม
เรียนศ.ดร จิระ หงส์ลดารมณ์ และสวัสดีพี่ทีมงาน Chira academy ทุกท่าน ผมนาย อานนท์ ร่มลำดวน นักศึกษาป.โท การจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ลาดกระบังรุ่นที่ 6 หลังจากการที่ผมได้เข้าเรียนในชั่วโมงแรกในวิชา การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งผมยอมรับว่าในช่วงแรกก่อนที่จะเข้ามาเรียนคาดหวังแค่เพียงว่าจะเรียนวิชานี้ไปเพื่อบริหารงานองค์กรแต่เพียงอย่างเดียวแต่เมื่อได้พบและพูดคุย แลกเปลี่ยนพร้อมได้รับคำแนะนำจาก ศ.ดร จิระ หงส์ลดารมณ์ ( ซึ่งในที่นี้ผมขออนุญาติเรียกท่านว่าอาจารย์ ) ทำให้ผมเปิดมุมมองและโลกทัศน์ในการมองเรื่องทรัพยากรมนุษย์มากขึ้นโดยมองภาพในองค์รวมและอาจารย์ได้จุดประกายในความคิดที่จะให้ทำอะไรมากกว่าที่เราควรจะทำเพื่อแสดงศักยภาพในการเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพสามารถต่อยอด และมีความรอบรู้ในหลายๆเรื่องโดยต้องมีจริยธรรมที่ต่อเนื่องและยั่งยืนตลอดจนในช่วงเวลาที่เรียนเป็นระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงได้ศึกษาในเรื่องของการเรียนแนวใหม่โดยเฉพาะทฤษฎี 4 L ‘S2 และหลังจากนั้นผมได้อ่านและศึกษาความรู้เพิ่มเติมจากท่านผู้รู้เรื่องทรัพยากรมนุษย์ทั้ง 3 ท่านประกอบด้วย ท่านอาจารย์ ศ.ดร จิระ หงส์ลดารมภ์ ,ท่าน พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และคุณหญิง ทิพาวดี เมฆสวรรค์ จากหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ( HR.CHAMPIONS ) และหนังสือ 2 พลังความคิดชีวิตและงานทำให้ผมได้เห็นและตระหนักมากขึ้นมากไปอีกว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดขนาดไหนที่ควรส่งเสริมและพัฒนาในสิ่งต่างๆมากมายหลายด้านโดยอาศัยทฤษฎีต่างของท่านผู้รู้ทั้ง 3 ท่านได้แก่ทฤษฎี 3 K’s ทฤษฎีทุนในทรัพยากรมนุษย์ (ศ.ดร จิระ หงส์ลดารมภ์ ) ,ทฤษฎี 8 H ‘s ทฤษฎีบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ( คุณหญิง ทิพาวดี เมฆสวรรค์ ) รวมถึงแนวคิดการวางบริหารงานด้านบุคคลและการเป็นต้นแบบที่ดีของท่าน พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา คือเรื่อง คนเก่ง – คนดี , ความเชื่อเรื่องคุณค่าของคน ,การดูแลทุกข์สุขของคนใกล้ชิด และ การทำงานเป็นทีม นอกจากนั้นทั้ง 3 ท่านยังมีความคิดเห็นไปแนวทางเดียวกันการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของการพัฒนาในด้านบุคคลเลยทีเดียวโดยต้องการดำเนินการนั้นจะต้องมีจริยธรรมควบคู่กันไปด้วย โดยเริ่มที่รากฐานคือการศึกษา ( Head , Human Capital ) เป็นอย่างแรก ซึ่งต้องประยุกต์ให้เท่าทันและเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกซึ่งเราอาจเริ่มต้นศึกษาจากประวัติของเรา ( Heritage ,
Sustainable Capital ) โดยอาศัยความร่วมมือในทั้งระดับจุลภาคและมหาภาคหรือที่เรียกกันว่าการร่วมมือกันทุกหน่วยของคลัสเตอร์ทั้งแนวดิ่งและแนวนอน
จากการที่ได้อ่านบทความและได้ความรู้จากท่านผู้รู้ทั้ง 3 ท่านทำให้ผมมีไฟในการที่จะพัฒนาด้านทรัพยากรมษย์อยู่ 3 เรื่องด้วยกันคือ
1.ในส่วนที่ทำงานเนื่องจากที่ผมทำงานอยู่ ณ ปัจจุบันซึ่งอาศัยทฤษฎีในการทำงานซึ่งน่าจะมีส่วนคล้ายกับแนวทางของ
ที่ทุกท่านชี้แนะอยู่นั่นคือนโยบาย 3 T ‘s สำหรับคนในหน่วยงานประกอบด้วย Trust , Transparency และ
Teamwork และนโยบาย 3 C’s สำหรับการเชื่อมต่อในหน่วนงานอื่นๆ ( เชื่อมโยงในคลัสเตอร์ต่างๆ )
ประกอบด้วย Clean and Clear , Commutation และ Compromise โดยมีเป้าหมายเพื่อคนในทีมงาน
ทำงานกันเป็นทีมมีความโปร่งใสเชื่อใจกันตลอดจนในการทำงานร่วมกับทีมหรือคลัสเตอร์อื่นๆก็จะต้องมีการ
ทำงานที่ชัดเจนมีการสื่อสารที่รวดเร็วและเข้าใจง่ายรวมถึงการประณีประนอม นั่นก็คือการประสานงานมิใช่การ
ประสานงาเพื่อที่จะสามารถทำงานทั้งในทีมงานและองค์กรให้บรรลุวัตถุประสงค์และอยู่กันอย่างมีความสุข
ซึ่งจากนี้ไปในแนวคิดการทำงานคงจะต้องเพิ่มเติมโดยน้อมนำข้อคิดและแนวคิดในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
จากท่านผู้รู้ทั้ง 3 มาเป็นแนวทาง ปฎิบัติเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับทีมงานเพื่อให้เป็นบุคคลากรที่มีคุณภาพและเป็น
ทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าอย่างต่อเนื่องยั่งยืนและมีจริยธรรมให้กับประเทศต่อไปถึงแม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆก็ตาม
2.จากการที่อาจารย์ได้ให้การบ้านเรื่องของการที่ให้พวกเรานักศึกษาป.โท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและ
อุตสาหกรรมอาหาร ลาดกระบังในส่วนของการช่วยเหลือสังคมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านที่เกี่ยวข้องกับอาหารหรือโภชนาการ โดยเน้นไปที่การวางรากฐานคือเรื่องของทุนมนุษย์ ( Human Capital ) จุดที่เน้นคือ You Are What You Eat ปลูกฝังไปยังเด็กเพื่อเพิ่มทุนทางมนุษย์ให้กับเด็กเป็นสาระสำคัญ ซึ่งพวกเราจะกลับมาทำการบ้าน และขอเป็นส่วนร่วมกับอาจารย์และทีมงาน Chira Academy เพื่อพลักดันด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ
3เชื่อมโยงในส่วนของภาคอุสาหกรรมอาหารทั้งหมดภายในประเทศและต่างประเทศโดยช่วยกันวางรากฐานในการ
พัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยมุ่งเน้นไปที่ต้นทุนมนุษย์ ( Human Capital ) ซึ่งหากทุกคนที่อยู่ในส่วน
ภาคอุตสาหกรรมอาหารทุกคนร่วมมือกันและเล็งเห็นถึงความสำคัญของอาหารกับ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แล้วจะทำให้มีต้นทุนมนุษย์ที่ดีเนื่องจากมีอาหารที่ดีมีประโยชน์ตลอดจนการแชร์ในส่วน
ทรัพยากรอาหารหรือเทคโนโลยีกันในระดับนานาชาติเพื่อแก้ไขการขาดแคลนสารอาหารร่วมกันเพื่อให้ทรัพยากร
มนุษย์ทั้งหมดมีต้นทุนสุงขึ้นเพื่อที่จะสามารถพัฒนาต้นทุนด้านต่างๆต่อไปได้เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2550 ได้มาพบกันในห้อง moring coffee break โดยให้นักศึกษามานั่งร่วมพูดคุยและตกลงกับอาจาร์ยก่อนเข้าเรียน ซึ่งเป็นสไตล์การสอนและการพูดที่ไม่เหมือนใคร ดิฉันยอมรับค่ะว่าตื่นตะหนกเล็กน้อยและรู้สึกว่าตัวเองต้องปรับปรุงตัว พยายามพูดคุยและโต้ตอบกับอาจาร์ยให้มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะลักษณะงานที่ทำมาและดิฉันยังติดนิสัยความเป็น scientist มากเกินไปและพูดไม่เก่งด้วย แต่ยังไงดิฉันจะพยายามปรับปรุงตัวและจะปฏิบัติตามที่อาจารย์บอกไว้ให้ได้ค่ะแล้วยอมรับเลยค่ะว่าตื่นเต้นมากกับสไตล์การสอนของอาจารย์ ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมามาก เป็นการเรียนที่อาจาร์ยมีความจริงใจ จริงจังและเปิดเผยกับนักศึกษาทุกคนเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเรายังไม่คุ้นเคยและไม่ค่อยพบกับอาจารย์ที่สไตล์พูดตรงและมา share ความรู้กับนักศึกษา, รับฟังและแสดงความคิดเห็นกับนักศึกษาอย่างพวกเรา อาจารย์สอนให้นักศึกษากล้าแสดงออก ,กล้าพูดกล้าคิดมากขึ้น , รู้จักคิดอย่างเป็นระบบเป็นขั้นตอน , เรียนรู้อย่างนอกกรอบและศึกษาหาความรู้จากสิ่งแวดล้อมอื่นที่ไม่ใช่จากตำราเรียนหรือจากการฟัง Lecture แล้วสอบเลย ไม่ได้นำมาไปใช้จริงทำให้ลืมไป ซึ่งการเรียนรู้นั้นสามารถศึกษาได้อย่างไร้ขอบเขต กับสภาพแวดล้อมที่อยู่นอกตัวเราในปัจจุบัน เช่น pocket book, บุคคลทั่วไปที่ได้พบประพูดคุย, internet , ข่าวสารแหล่งต่างๆ เป็นต้น สิ่งที่สำคัญ คือต้องคอย Update ข่าวสารเพื่อให้ทันโลกและเหตุการณ์อยู่เรื่อยๆ หูตาต้องค่อยเปิดกว้าง,สอนเรื่องการจัดสรรเวลาและใช้เวลาให้คุ้มค่า , สอนว่าคนเราสามารถเรียนรู้และควรใฝ่หาความรู้ตลอดเวลาและการเรียนรู้ของคนเราไม่มีจุดสิ้นสุด และเราจะต้องหมั่นเพียรศึกษาหาความรู้หรือ active ไปตลอดชีวิตและอายุที่มากขึ้นก็ไม่ได้เป็นเงื่อนไขหรือสิ่งที่กีดกั้นให้คนเราศึกษาหาความรู้ได้น้อยลง ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้และเราก็ควรตอบแทนนายหลวงและแผ่นดินไทยที่เราอยู่,อยู่อย่างพอเพียง, พูดในเรื่องการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สังคมหรือรู้จักการให้ประโยชน์กับสังคมและผู้ด้อยโอกาสที่มีอยู่อย่างมากมายที่เราจะไปกันในวันที่ 22 มิถุนายน 2550 นี้เพื่อไปถ่ายทอดให้ความรู้และข้อคิดเห็นในเรื่อง Nutrition ของสารอาหารที่เด็กเล็กยังขาดหรือได้รับอย่างไม่เพียงพอและไม่ถูกต้องทำให้มีผละกระทบกับพัฒนาการของเด็กที่จะมาเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นสิ่งสำคัญในอนาคต และอาจารย์ยังสอนเรื่องการให้ความรักกับผู้อื่น ความจริงใจและความมีน้ำใจต่อกันซึ่งในปัจจุบันนั้นจะพบได้ว่าสังคมในปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูง คนเราเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น ไม่ค่อยมีความจริงใจให้กัน มีแต่สวมหน้ากากเข้าหากัน หรือต้องมีผลประโยชน์มาต่อรองถึงจะเข้าร่วมในสังคมนั้นได้ เป็นต้น, ทำให้นักศึกษารู้จักดูแลสุขภาพ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการออกกำลังกาย ซึ่งอาจาร์ยปฏิบัติอย่างเคร่งครัดทำให้คนเรามีสุขภาพแข็งแรงและ สมองปลอดโปร่งทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีศักยภาพที่สม่ำเสมอและสูงขึ้น
HR-Human Resources ที่สำคัญและมีคุณค่ามากที่สุดกว่า เงินทอง เครื่องจักรและ IT คือ คน การสร้างคนในการทำงานก็ต้องสร้างให้กับคนทุกระดับเริ่มจากให้ โอกาส (opportunity), ความรู้ ( Knowlage ) แล้ว ทักษะ(skill) ก็จะตามมา ส่วนที่สำคัญในทุกองค์กรที่ขาดไม่ได้ก็คือ เรื่อง การอบรม (training need ) ให้กับพนักงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งองค์กรจะต้องกล้าลงทุนและไม่ควรประหยัดในเรื่องนี้ เช่น บ.ปูนซิเมนต์ไทย จก. ที่เป็นแบบอย่างขององค์กรที่ดีและมีศักยภาพสูงทำให้องค์กรเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งใครๆก็อยากมีโอกาสที่จะเข้าทำงานในองค์กรนี้ที่มีความก้าวหน้า มั่นคงและให้ความสำคัญกับพนักงานทุกระดับชั้น การสร้างความพร้อมให้เด็กไทยก้าวสู่ Global Citizen อย่างสมบูรณ์ที่สุด คือ ต้องคล่องแคล่ว 3 เรื่อง ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษและ IT คนเราเมื่อเกิดมาแล้วต้องเรียนรู้ (Born to Learn) และเรียนรู้ (Learn) อย่างสนุกและสร้างสรรค์
ทฤษฎี 4 L’sของ อ.จีระและอ.พารณ ที่มีที่มาแตกต่างกันแต่มุ่งไปบนเป้าหมายเดียวกัน องค์กรที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องมี คนทั้งเก่งและคนดี คนที่มี listening Skill คือต้องรับฟังความคิดของคนหลายๆความคิดและระดมความคิดกันจะทำให้การทำงานร่วมกันประสบความสำเร็จด้วยดี และต้องเป็นNetwork and Partnership ด้วย
ผู้นำที่ดีคือ Coach ที่ดีและเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อนของลูกน้อง พูดง่ายๆก็คือมองลูกน้องให้ออกว่าเป็นยังไง
ทฤษฎี 2R’s (เน้นเรื่องชี้ประเด็น) คือ Reality เรียนรู้จากความจริงที่เกิดขึ้นในประเทศ องค์กร และ Relevance ต้องตรงประเด็นเน้นการหาความรู้ใหม่ๆและนำไปสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือนำไปต่อยอดต่อไปได้ ทำให้ทราบถึงความเหมือนและความแตกต่างของทฤษฏี 8H’s ของคุณหญิงทิพาวดีและ ทฤษฏี 8K’s ของ อาจารย์ จีระที่มีความเหมือนกันและแตกต่างกันอยู่1 หัวข้อคือ Health และ Digital Capital ซึ่ง 2 ทฤษฏีมีเป้าหมายเดียวกัน คือต้องการ Human ที่มีคุณภาพ ที่มี ความสามารถ, ความดีและความเก่ง เพื่อให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองและทันสถานการณ์เข้ากับยุคโลกาภิวัฒน์ ได้ในปัจจุบัน
เรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ พี่ๆทีมงาน Chira Academy ทุกท่าน และสวัสดีเพื่อนๆ afim รุ่น 6 ทุกคน
ผมชื่อนายปริญญา รักพรหม รหัสประจำตัว 50066216 นักศึกษาปริญญโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก่อนอื่นผมต้องขอกล่าวว่านับว่าเป็นโอกาสที่ดีมากในชีวิตครั้งหนึ่งที่ผมเองได้มีโอกาสเรียนกับท่านอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ จากการที่ได้เข้าเรียนในวันเเรกซึ่งจัดให้มีการ Morning coffee กันซึ่งผมคิดว่าเป็นแนวทางที่ดีมากครับเพราะว่าเป็นการพูดคุยกันระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาอย่างเป็นกันเอง โดยบรรยากาศการเรียนในวันแรกนับว่าเป็นความรู้สึกที่น่าตื่นเต้น และตื่นตัวตลอดเวลา ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีครับกับแนวทางที่อาจารย์ได้กระตุ้นให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการนำเสนอความคิดแบบต่อยอด การคิดนอกกรอบ การพยายามศึกษาค้นหาความรู้ในศาสตร์อื่นๆให้มากขึ้น การกระตุ้นใก้เกิดการเรียนรู้ตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่ผมได้รับในวันเเรก ส่วนการบ้านที่ทางอาจารย์มอบหมายให้อ่านหนังสือ 2 เล่ม คือ หนังสือสองพลังความคิดและหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ นั้น หลังจากที่ได้อ่านแล้วโดยบุคคลที่มาถ่ายทอดความรู้ให้นั้น คือ ท่านอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ทั้ง 3 ท่านล้วนเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่ายิ่งต่อประเทศมากเพราะเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาก ดังนั้น การที่ได้เรียนรู้แนวคิด วิธีการในการพัฒนาคน สร้างคนให้เป็นคนดีที่มีคุณภาพ และมีจริยธรรม เป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติ ไม่ว่าจะเป็น ทฤษฎี 8 H's ทฤษฎี 8 K's รวมถึง ทฤษฎี 4 L's คือ สิ่งที่ผมเองได้รับและจะเป็นแนวทางในการพัฒนาโดยเริ่มที่ตัวเองเป็นลำดับแรกก่อนที่จะต่อเนื่องไปยังคนอื่นๆ ในสังคมที่เราจะต้องทำงาน และใช้ชีวิตร่วมกัน ความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือทั้ง 2 เล่ม นอกจากจะใช้เป็นแนวทางในการพัฒนางาน พัฒนาองค์กร พัฒนาคน แล้วผมคิดว่า นี่คือ พื้นฐานสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีคุณภาพพร้อมที่จะนำพาประเทศชาติให้เจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ครับ.
The effect of Globaliization to food business.
I'm focus 2 factors
1. WTO,FTA this factor are give the change for CHINA , INDIA , VIETNAM and Other country to fight for food business. These country have Low -cost in Production,be can set cheap product for Thailand's customer. The effect made Thiland disadvantaged , decreased income.
2. Energy made Thailand have Hi-cost in production,logistics and others.
The Government must to consult with enterprenuer in food business to solve this problem. Change some contract in disadvantage. set team analysis to solve. Increasing export to the country can be make the gain
Alternative Energy from Biodiesel,Natural Gas ,Solar cell ,Ethanol and others the government must to promote the alternative energy for food business.
สวัสดีครับท่านอาจารย์ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์
ผมมาขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่จะนำความรู้
มาเผยแพร่เพื่อจะได้เรียนรู้ ผมจะมาติดตาม
และศึกษาในเรื่อง HR เพราะปัจจุบันทุนมนุษย์
ถือได้ว่าสำคัญต่อการบริหารและการจัดการ
เป็นอย่างยิ่ง ..... ขอบพระคุณมากครับ
Globalization and Food Science have to related to as follows.
1. Food business food safety to favor in this time. Nanotechnology is popular to used in food industrial such as row material , product , process , packaging and transportation. Currentiy Thai Government to establish Bureau Of Quality And Safety Of Food and have a HACCP , GMP etc. In food industrial to be devopment a quality.
2 Agibusiness Now product of agriculture was safety first. The safety in life is important in consumer. The farmers doesn' t to command chemical substane in agriculture. Organic farm is interesting in time.
In food industrial was improvement a quality to more exportation. A requirement to development in food industrial is Human Resources have a Knowledge Based skill Intellectual Capitals for apprication in organization and Learning Organization. Creating a new product in other sevice. Best & Regard. Ms.Supitcha Nookhao.
Dear Professor Doctor Jira Hongradarom.
Globalization is the change that impact to economy, social, culture, technology etc. For example, the economy system monopolized and mange by a few first countries ex. USA, Canada, Germany , French and Australia. They having control production of important industrial product, firm, transportation, international insurance etc., passing big business which is called Transnational Corporation. Also they are producer and exporter for agriculture goods that produce by using modernity technology. They give subsidy for their agriculture and use policy for blocking product from other countries. Because of these countries have higher execution for making bargain in would market. That make developing country to be handicapped, the developing country have to import high price product while export low cost product and increase the debt with other countries. Which major business in Thailand is agriculture but we only have ungraduate labors who don't have knowledge in agriculture. Government should have policy for support agriculture department, don't focus only economy development by invest with overseas or develops medium and large business more than distribute income to agriculture department. Also government don't have training course for labor to improve their work skills.Nowadays, the daily of human is changing, people has to hurry in everyday. So people has to change the way of consuming, that‘s why there is the fast food.
The food industry tries to develop new food choices to meet the changing needs of its consumers and there is delivery service to serve the consumers also.
On the other hand, the production of agriculture has lend to develop the quality became of the development of technology. As people concern more about healthy food because the government try to campaign and searching about the nutrition and ingredient of healthy food, so it makes the food industry has a high growth opportunity.
Human resource is most important to the organization because the business can‘t run or operates if there is no efficient human or worker. The organization has to treat and focus on their workers for the stability in long term of their business.
Important, the quality of people is very important in order to develop the country, especially in ethical. The government has to plan and try to develop the human resource for the peace in our country and try to be the developed country.
Globalization movements affect to food and agriculture changing policy. That means free trade is good for agriculture and food all over the world. And that's why they decided to invent a new concept, which each population should be able to eat from its own agriculture. The main thing for the farmers is to feed the population where they live, their own families, the local market, and then the national market
We also found that in some country, they are fighting against the FTA and accept food coming from outside, because they have enough rice, if they open the doors for that all their domestic prices will go down. It's impossible for farmers if they sell these products at a world price (non tariff price). So it's very important that countries or groups of countries be able to protect themselves from dumping which cause by FTA rules that each countries make decision themselves to choose it among the globalization movements.Human have been changing and go up to develop of technology in Globalization . The food business or food industry are developing a quality product for consumer . Because the human has take an interested on health food and the safety in food when they was eating . On the other hand Today human was leaving rapidly then the food business must have develop themselves used by the knowledge and technology .
However the development of business and technology should going on with human development in the organization.
Above all, whenever you want to lead your organization had success. You should give important with human resource and ready to develop this one in your organization .
Globalization Effect all people and all country. When everyone and every country under same rules, same standard. All of us concern those standard: HACCP, ISO9000,ISO14000 and more.. Exactly, we must to practice this rules. Why ? . To keep our position in the world. We not ruler.
Food-Scinece Science & Technology that include every skill and technique can do for produce foods. It’s response our consumption. Such as: GMO techniques, capsule and Nano technology will renovate all food producing.
We pass 3 mankind revolution and as soon as the 4th wave will come on.
1st wave around 10000 years ago. Agriculture revolution
2nd wave around 300 years ago. Industrial revolution
3rd wave around 50-60 years ago computer and telecommunication revolution
All revolution has two side effect. It change the world and change our. Today, the world will coming boundless world. World will be the flat (Thomas L. Friedman). Globalization effect and power of Nano. We should ask ourselves. Who am I?
A. a man is surfing the wave
B. a man observe the wave.
C. a man behind the wave and say “what is it happening”
In the future producing. All product depend on 2 factor
1. Globalization
2. Food-Science(Technology)We should answer this question.
The position?Who, What and How. All country will compete within the same place that it mean more player and a lot of product in this game. Someone said “ All product have a target as the circle. Although the world has a million product when the circle is arranged. It has a gap. The gap is our chance”
Find out our position. We should produce for the niche product not mass product.
The technology?Future need Bio and Nano product. We should look for machine or appropriate technology.
Once day, the nano machine can do:
H2O + Nano engine = H2 + O
= Energy + Oxygen
Then it possible, we can use this way for separate medicine from a herbal plant
I think our product should be niche market, specific target and healthy. Now, we known. What is important?HR has function to develop and prepare skill, knowledge for us. Because human is most valuable more than everythings.Sir Prof. Dr. Chira and Chira Academy team ...
The effect of the globalization for agribusinessThe globalization causes the change for agribusiness administration at most such as the requirement of a customer , way business competition and the administration within the organization thus agribusiness organization will must have the education arrives at the effect from these thing which for example. 1. Customer because the behaviour of a customer is formed fix buying behaviour such as the requirement of a customer , the expectation for the quality and serve , the capital and sale goods lowland price more originally . unless the goods depend upon still including that affect goods. such as serve sale back , the distribution on time , good quality regularly , etc. thus the producer must make a customer feels satisfied in goods more than goods of the rival. such as produce goods directly the requirement of a customer , the products that don't be harmful to the environment , raw material administration , the news information and the Technology , the shipping and goods distribution go to the last consumer will must the contentment to the customer.2. The administration within agribusiness organization , the globalization to cause working change within the organization 2.1 Technology. the growth of the Technology helps to testify work happen efficiently increase , fastness , the production takes time short , decrease production capital , the communication has within a company and a customer fast and convenient such as using internet , electronic mail , mobile telephone which help give agribusiness succeeds2.2 The officer because the growth of the Technology causes the change within the organization requirement the labor is down but there is the requirement the skill labor to increase. thus must admit the change such as learning , officer development ,the relationship to the organization. These help for business development in the future.
thank you ...ka
Miss Benjaporn Suwannarak
Dear, Prof. Dr. Hongladarom , Chiraacademy and my friends. In my opinion, I think the Globalization has effected to everyone. Global exchange of agricultural produce has created new economic communities and new ecological communities. We live in global ecosystem; in this, we have no choice,all nations of the world share a global culture, a consequence of past choices. And the economy has become increasingly global as well. In a global agricultural economy, small farms will be replace by large farm,which in turn will be controlled by giant multinational corporations. Small farmers quite simply will not be able to complete in a “free market” global economy.
And more important, ecological and cultural boundaries are essential to the long run sustainability of agriculture. Thus, if all economic boundaries are removed, human life on earth will not be sustainable.
At the present ,I think the Globalization is very important and related to anything in the world such as economics , society , all business , healthy , natural , environment , human , technology , …. etc. and included the world of food business has advantaged from the globalization of technology too. When we find the modern technology for food business such as new machine to produce that can help increase productivity within short time , low cost , the way that decrease incomes. Now the market ‘s drive by product quality so that producer will improve quality in their product for can competitive in markets. : Improvement is including machine and human that will be improvement and development together for more efficiency. In apart of human development will use human resource for manage that why human resource is has an effect by globalization change.
The progressive of infornation technology and communication make the world to be narrow.Every country can be contact easily such as effect to:
- Exchange knowlege-base, knowhow and culture.
- Completition in Economic.
Thus I'm a part of agribusiness and foodindustry, the effect of globalization to its,in my opinion as to follow:
1.Efficiency processing, high technology and knowlege science effect to produce such as efficiency and quality products.
2.Life style people changing just for behavior to food consume change therefor respond to develop products high nutrient as job for foodscientist or foodtechnologist.
3.Free Trade effect to completition of cost and price agro-products such as products from China, Vietnam etc.
4.Human development for modern learning and technology to follow continous that is factor to have knowlege, ability skill as to advantage for organize and country.
เรียนท่าน อ. จีระ ที่เคารพ
จากการที่ได้ไปที่พัทยาในวันที่ 22/6/07 พร้อมเข้าเยี่ยมชมโรงเรียนเขาไม้แก้วนั้น ดิฉันรู้สึกประทับใจมาก เพราะในช่วงเช้า พวกเราได้มีการพูดคุยร่วมกันในสภาพของบรรยากาศที่ดี มีเสียงลมพัดและเสียงทะเล ถือเป็นการเปลี่ยนสถานที่ซึ่งทำให้เพิ่มสมาธิในการเรียนรู้มากขึ้น และในช่วงบ่ายได้เข้าไปที่โรงเรียนเขาไม้แก้วแล้วรู้สึกประทับใจในเจ้าหน้าที่ที่มีการเตรียมความพร้อมในการต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี(มาก) และรวมถึงผู้ปกครองของเด็กๆที่ให้ความร่วมมือในการเข้ามารับฟังการบรรยายของพวกเราเป็นอย่างดี โดยได้มีการซักถามและให้ข้อคิดเห็นต่างๆด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ในเบื้องต้นรู้สึกว่าการดูแลของคณะเจ้าหน้าที่และครูที่โรงเรียนเขาไม้แก้วอยู่ในเกณฑ์ที่ดีหลายๆด้าน รวมถึงเรื่องอาหารการกินของเด็กๆด้วย ซึ่งพิจารณาจากคุณประโยชน์ของสารอาหารที่เด็กๆจะได้รับเป็นหลัก สรุปคือ มีการพัฒนาเด็กๆทั้งในด้านสุขภาพกายและจิตใจ IQ,EQ หลังจากนั้นได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเด็กเล็กที่โรงเรียนเขาไม้แก้ว(โชคดีมากค่ะ ที่เด็กๆยังไม่กลับบ้านกัน) ทำให้ได้เห็นสภาพของเด็กๆ(เกือบ)ทุกคน ซึ่งโดยรวมแล้วเห็นว่าเด็กทุกคนร่าเริง มีสภาพกายและใจที่ดี ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ครูให้การดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีนั่นเอง เมื่อลองคิดดูแล้ว ก็จะเกิดคำถามในใจว่า ในส่วนของโรงเรียนที่พวกเราไม่ได้ไปเห็นนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างโดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ในที่กันดารมากๆ เช่น ภาคอีสาน ฯ พวกเราจะสามารถให้การช่วยเหลืออย่างไรได้บ้างและทั่วถึงหรือไม่? แม้แต่ในส่วนของโรงเรียนเขาไม้แก้วเองก็ตาม เมื่อเด็กๆอยู่ที่บ้าน อาจจะมีผู้ปกครองบางท่านที่ยังไม่เห็นความสำคัญของพัฒนาการของเด็ก ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีเวลาและเงิน ซึ่งคงจะต้องคิดกันต่อไปว่าจะช่วยกันอย่างไรบ้างเท่าที่กำลังของพวกเราจะทำได้ สุดท้ายคงต้องขอบคุณ ท่าน อ.จีระ ที่ทำให้พวกเราได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรียนเขาไม้แก้วในวันนั้นค่ะ ทำให้ได้มีความรู้ด้านอื่นซึ่งไม่สามารถหาได้จากหนังสือทั่วไปค่ะกราบเรียนท่านอาจารย์จิระ หงส์ลดารมณ์และชาวblogทุกท่าน
ดิฉันชื่อนางสาวนิรชร ไชยกาญจน์ นักศึกษาปริญญาโทชั้นปีที่ 1 สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2550 ท่านอาจารย์จิระได้เปิดโอกาสให้เราได้เปลี่ยนบรรยากาศการเรียนการสอนจากอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีอุปกรณ์สื่อการสอนที่ทันสมัยไปสู่บรรยากาศการเรียนชายทะเลที่มีลมพัดเย็นสบาย อากาศสดชื่นซึ่งหาได้ยากในเขตกรุงเทพมหานคร โดยได้รับการเอื้อเฟื้อจากพี่นะช่วยหาเก้าอี้มาให้เราได้นั่งพูดคุยกันอย่างสบายๆ ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ โดยในช่วงเช้า เราได้มีกิจกรรมการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ข่าวสารของบ้านเมืองในด้านต่างๆเช่น เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมืองเป็นต้นท่านอาจารย์จิระได้ให้แง่คิดในเรื่องต่างๆ รวมถึงได้แนะนำให้เราได้รู้จักหนังสือพิมพ์ที่ไม่ค่อยได้พบเห็นตามร้าน/แผงขายหนังสือทั่วไปชื่อ Halo T-bone ทำให้เรามีแหล่งความรู้เพิ่มขึ้นอีก และหลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือแสนอร่อยและคอหมูย่างน้ำจิ้มรสเด็ด เราได้เดินทางต่อไปยังที่ทำการอบต. เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรีซึ่งการเดินทางไปครั้งนี้มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการทำงานของเราในโครงการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน ที่ได้ริเริ่มทำที่ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุงจ.ชลบุรีเป็นที่แรก โดยได้มีการบรรยายความรู้ให้กับทางผู้ปกครองและคณะครูผู้ดูแลน้องๆที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯได้ทราบและเข้าใจพร้อมทั้งเล็งเห็นถึงความสำคัญของโภชนาการที่มีผลต่อการพัฒนาศักยภาพของน้องๆ นอกจากนี้ยังได้มีการซักถามเพิ่มเติมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างทางเราและคณะผู้ปกครองอีกด้วย หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางไปที่ศูนย์เด็กเล็กฯเพื่อพบกับน้องๆที่น่ารัก และได้นำหนังสือระบายสีและสีไม้ไปเป็นของฝากให้กับน้องๆที่ศูนย์ฯด้วย จากการที่ได้ไปดำเนินงานในครั้งนี้ทำให้เรามีโอกาสได้ทราบถึงปัญหาที่เกิดกับเด็กที่อยู่ในชนบทว่ายังไม่ได้รับโภชนาการที่ดีเพียงพอกับการเจริญเติบโตเท่าที่ควร และได้รับข้อมูลจากทางศูนย์ฯเพื่อนำมาใช้ในการทำงานขั้นต่อไปด้วย ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์จิระและคณะทำงานของท่านที่ได้ให้ความช่วยเหลือรวมทั้งเปิดโอกาสให้เราได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนสังคมมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะเรียนท่านอาจารย์จีระ หงส์ลดาภรณ์ ดิฉันนางสาววสพร บุญสุข นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คณะท่านอาจารย์จีระ และนักศึกษาปริญญาโทได้จัดทำ "โครงการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน" เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา ได้ไปที่อบต.เขาไม้แก้วและศูนย์เด็กเล็กเขาไม้แก้ว ตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
ตอนเช้าเดินทางไปพัทยาที่พักของท่านอาจารย์จีระ เปิดการเรียนแบบสร้างบรรยากาศ นั่งคุยกันริมชายทะเลพัทยา (ต้องขอบคุณพี่นะ ที่ช่วยหาเก้าอี้เตรียมไว้ให้พวกเรา) ในหัวข้อเรื่อง 5 K, 8K ให้เลือก K ที่สนใจแล้วเสนอท่านอาจารย์จีระ พร้อมกับท่านอาจารย์จีระให้คำปรึกษาหาแหล่งข้อมูล จากนั้นท่านอาจารย์จีระได้แนะนำหนังสือพิมพ์ Halo T bone เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ทำให้ได้แหล่งความรู้ใหม่ รวบรวม global ไว้ในหนังสือพิมพ์เล่มนี้ และอีกมุมหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตะวันออกกลาง และพวกเราได้ถ่ายรูปร่วมกัน และดิฉันได้มีโอกาสได้ถ่ายรูปคู่กับท่านอาจารย์จีระรู้สึกเป็นเกียรติ และดีใจมาก
ตอนเที่ยงได้รับประทานอาหารร่วมกับท่านอาจารย์จีระและทีมงาน รู้สึกว่าท่านอาจารย์เป็นกันเองมาก ได้รู้จักอีกมุมหนึ่งของท่านอาจารย์จีระ ตอนบ่ายเดินทางไปที่อบต.เขาไม้แก้ว ได้เข้าไปแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับโภชนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน ตอนแรกทั้งปลัดอบต.เขาไม้แก้ว คุณครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และผู้ปกครอง ยังไม่ให้ความสนใจซักเท่าไร เมื่อท่านอาจารย์จีระได้ให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นของแต่ละคนแล้ว ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ทำให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการโภชนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน จากนั้นเดินทางไปศูนย์เด็กเล็ก ไปพบกับเด็กๆ ไปแจกสมุดระบายสี สีเทียน และสีไม้ เพื่อที่เด็กๆ จะได้ฝึกพัฒนาการด้านศิลปะ สุดท้ายนี้โครงการจะบรรลุไปได้ด้วยดีต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์จีระ ทีมงาน ปลัดอบต.เขาไม้แก้ว และคุณครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นอย่างมาก ที่ทำให้พวกเราเห็น Case study จากการทำงานของเราเองเรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ กระผม นายพัฒนา ปลอดภัยงาม นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันศุกร์ที่22มิถุนายน 2550 ที่ผ่านได้มีโอกาสที่ได้ไปทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับสังคม ได้ไปที่อบต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ไปให้ความรู้ด้านโภชนาการกับอบต.และผู้ปกครองเด็กที่ศูนย์เด็กก่อนวัยเรียน ก็ได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองอย่างดีและถ้ามีโอกาสจะกลับไปให้ความรู้อีกครั้ง การไปจ.ชลบุรีในครั้งนี้ต่างจากทุก ๆ ครั้งที่เคยไป ได้ความอิ่มใจกลับมา เพราะได้ช่วยเหลือในให้ข้อมูลในส่วนที่ผู้ปกครองสงสัยและอยากรู้
ได้ไปเรียนหนังสือริมทะเล ชอบมากครับ
ขอขอบคุณศ.ดร.จีระ ที่ให้พวกเราได้ไปทำประโยชน์ให้กับสังคม
เรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์
ผม นาย วรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะท่านอ.จีระ รวมถึงนักศึกษาปริญญาโท พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้จัดทำ " โครงการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน" โดยไปที่ อบต.เขาไม้แก้วและศูนย์เด็กเล็กเขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จังหวัดชลบุรี
ช่วงเช้าพวกผมนัดเจอกันที่ ลาดกระบัง แล้วไปพร้อมกันโดยรถของคณะ (นี่เป็นครั่งแรกที่พวกเราไปกันโดยรู้จักกันแล้ว สนุกกว่ารับน้องคับ) เมื่อถึงบ้านพักของอาจารย์จีระ ก็มีกิจกรรมเดินทางกันเล็กน้อย ^^ เนื่องจากรถไม่สามารถเข้าถึงได้ อ.จีระพาพวกเราไปนั่งพูดคุยที่ชั้น 2 ของอาคารว่ายน้ำ ซึ่งลมพัดเย็นสบายมาก เป็นการเรียนแบบใหม่ที่พวกผมไม่เคยมาก่อน รู้สึกดีครับ เรียนในบรรยากาศดีๆ เพิ่มความสนใจในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี อ.ให้แลกเปลี่ยนทัศนคติ ถึง นสพ.ต่างประเทศฉบับหนึ่ง ( Halo T bone ) ชื่อน่าทานครับ แต่ราคาสูงพอสมควร ^^ เป็นหนังสือพิมพ์ที่ให้ข้อมูลข่าวสารทุกๆด้านของโลก มีทั้ง เทคโนโลยี เศรษฐกิจ การเมือง แต่มีจุดอ่อนตรงเป็นมุมมองเพียงด้านเดียวจากโลกตะวันตก จากนั้นให้แบ่งกลุ่มงานกันเรื่อง 5k,8k โดย อ.จะเป็นโค้ช คอยให้คำปรึกษา กรณีมีปัญหา จากนั้นพวกผมได้ไปรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับ อ.จีระ บรรยากาศสนุกสนานเป็นกันเองดีครับ แต่พวกผมไปถึง อบต.เขาไม้แก้ว ค่อนข้างช้ากว่ากำหนดการนิดหน่อย แต่ไปถึงแล้วค่อนข้างตกใจเล็กน้อยทาง อบต.ให้การต้อนรับดีมาก แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับอ.จีระ ของคนในละแวกนั้นเป็นอย่างดี หลังจากให้ความรู้กับผู้ปกครองของเด็กแล้ว ไปที่ศูนย์เด็กเล็กต่อ ให้ของเล่นเด็กๆ ซักถามเรื่องโภชนาการจากผู้ปกครอง พบว่าปัญหาส่วนใหญ่ หลังจากที่เด็กออกจากศูนย์ไปแล้ว เมื่อกลับบ้านเด็กไม่ได้ทานอาหารที่มีคุณค่าเท่าไร ทานตามที่ผู้ใหญ่ทำปกติ ทำให้อาจเป็นส่วนให้เด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ทำให้เด็กด้อยประสิทธิภาพลงได้ เมื่อกลับจาก เขาไม้แก้วแล้ว พวกผมจะพยายามหาเวลาว่าง นัดรวมตัวกัน เพื่อให้ความรู้กับกลุ่มผู้ปกครองเด็กเล็ก ที่ค่อนข้างด้อยโอกาส เพื่อเป็นประโยชน์แก่สังคมต่อไป ตามที่อ.จีระ อยากให้พวกผมเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว
จากการที่ได้ไปเรียนนอกสถานที่ ที่ อบต. เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี เมื่อวันศุกร์ที่ 22 ที่ผ่านมา ทำให้มองโลกได้กว้างมากกว่าที่เคย จากการใช้ชีวิตปกติ ทำงาน เที่ยว เรียนในห้อง ก็ได้ไปสัมผัสบรรยากาศใหม่ๆ ได้รู้จักคนมากขึ้น และรับรู้ถึงปัญหาของคนอื่นๆ ในสังคม ได้เรียนรู้ที่จะรู้จักช่วยเหลือคนอื่น เพื่อที่จะให้สังคมพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
เด็กในวันนีจะเป็นพลังที่สำคัญที่จะขับเคลื่อนสังคมให้ดำเนินต่อไปในทางที่ดีในวันข้างหน้า ถ้าหากพลังเหล่านี้มีความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจก็ย่อมที่จะทำให้ประเทศชาติและสังคมเจริญก้าวหน้า ดังนั้นการพัฒนาเด็กๆ ทังในเรื่อง IQ,EQ และสุขภาพร่างกายก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองและประชาชนทุกคนต้องให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการพัฒนาในเรื่องอื่นๆเลย
เรียน ศ.ดร จิระ หงส์ลดารมย์
ดิฉัน นส เริงหทัย สำราญ นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก่อนอื่น ต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ จิระ ที่หยิบยื่นโอกาส ในการช่วยเหลือสังคมให้กับ นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีลาดกระบัง โดยการให้มีส่วนร่วมใน "โครงการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน" และได้เข้าไปเผยแพร่ความรู้ให้กับ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ของ อบต ตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งการไปในครั้งนี้สร้างความประทับให้กับดิฉันเป็นอย่างมาก โดยได้มีโอกาสนำความรู้ทาง Food science ที่เรียนมาไปเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้ปกครองในการดูแลเด็กเล็กก่อนวัยเรียน ซึงได้รับความสนใจจากผู้ปกครอง ในการซักถามข้อมูลต่างๆ นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสไปเยี่ยมเด็กที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ของ อบต เขาไม้แก้ว ที่ได้จัดตั้งขึ้น ถึงแม้พื้นที่ กับจำนวนเด็ก ที่อยู่ในความดูแล 77 คน ถือว่าค่อนข้างจำกัด แต่ก็ได้รับความดูแลจากอาจารย์ พี่เลี้ยงเป็นอย่างดี สังเกตได้จาก เด็กๆ มีสุขภาพดี ร่าเริง แจ่มใส จากภาพที่เห็นทำให้มองย้อนกลับไปในสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม และวัฒนธรรมในหลายๆ ด้าน เช่น แรงงานต่างด้าว การมีเพศสัมพันธุ์ก่อนวัยอันควร เด็กถูกทารุณกรรม ถูกข่มขืน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดปัญหาตามมาทั้งสิ้น และสุดท้ายเด็กจะกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทำให้ดิฉันได้ข้อคิด ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติ ที่ต้องเร่งพัฒนาทั้ง IQ, EQ และสร้างภูมิคุ้มกันในการดำเนินชีวิต โดยการปลูกฝังและฝึกฝนตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งรัฐบาลควรให้ความสำคัญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการพัฒนาด้านอื่นๆ เพราะเด็กเหล่านี้จะกลายเป็นผู้ใหญ่ และเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศต่อไป
ผม นายปริญญา รักพรหม นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ก่อนอื่นผมต้องขอเรียนอาจารย์ก่อนเลยครับว่า จากที่ได้ไปร่วมทำกิจกรรมในวันศุกร์ที่ 22 มิ.ย.2550 ที่ผ่านมานั้นผมรู้สึกว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาในวันนั้นคุ้มค่ากับเวลาที่ต้องลางานไป 1 วัน การได้เปลี่ยนบรรยากาศและรูปแบบในการเรียนจากเดิมที่เรียนและทำกิจกรรมกันแต่ภายในห้องเรียน เป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในการเรียนรู้ ความรู้สึกผ่อนคลายด้วยสภาพแวดล้อมที่แตกต่างเหมือนเป็นการกระตุ้นให้เกิดจินตนาการในการคิดและวิเคราะห์ข้อมูลได้ดีมากครับ สำหรับกิจกรรมที่เราได้ไปร่วมกันทำที่ อบต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเรามีเป้าหมายในการไปให้ความรู้ทางโภชนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน รวมถึงการร่วมแสดงความคิดเห็นระหว่างผู้ปกครองและกลุ่มนักศึกษา ข้อมูลที่เราได้ในวันนั้น เช่น โภชนาการที่เด็กได้รับในแต่ละวัน การทำกิจกรรมของโรงเรียน รวมถึงสภาพแวดล้อมทั่วๆไปของชุมชน นั่นคือ การเรียนรู้จากเรื่องจริง สถานการณ์จริง ทำให้เรามองภาพของปัญหาได้ชัดเจนและกว้างมากขึ้น ผมเลยนึกถึงคำพูดที่อาจารย์ได้กล่าวย้ำเป็นประจำว่า "เราได้ตอบแทนอะไรกลับคืนสู่สังคมแล้วบ้าง" มันเป็นเรื่องจริงและสำคัญจริงๆ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของชาติต่อไปในอนาคต จำเป็นที่จะต้องสร้างตั้งแต่ระดับปฐมวัยจริงๆ ครับ.
เรียนศาสตราจารย์ ดร.จิระ ดิฉันรฐา จูจันทร์ เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มิ.ย. 50 ที่ผ่านมาดิฉันและเพื่อนๆ ได้ไปจัดกิจกรรมโภชนาการด้านอาหารสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลเขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี การจัดกิจกรรมในครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีแนวความคิดดีๆ ในการทำประโยชน์เพื่อสังคมจากท่านอาจารย์จิระ ทำให้รู้จักนึกถึงคนอื่น นึกถึงสังคม
การไปจัดกิจกรรมโภชนาการในครั้งนี้สำหรับดิฉันถือว่าได้รับประโยชน์มาก เพราะพื้นฐานที่เด็กได้รับตั้งแต่เล็ก ไม่ว่าจะป็นพื้นฐานการศึกษา พื้นฐานทางสุขภาพพลานามัย โภชนาการด้านอาหารที่มีผลต่อร่างกาย และจิตใจของเด็กๆ ที่จะเติบโตมาเป็นทุนมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพ และการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ทำให้เพื่อนๆทุกคนได้ร่วมกิจกรรมกันมากขึ้น ซึ่งปกติเราจะเจอกันเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศในการเรียนรู้ได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันริมทะเล สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ที่ไม่จำเจอยู่แต่ในห้องเรียน และยังเป็นการทำประโยชน์เพื่อสังคมด้วย
การนั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทำให้ได้เห็นมุมมองหลายอย่าง อย่างเรื่องหนังสือพิมพ์ที่อาจารย์จิระยกตัวอย่างมาให้พวกเราดูว่ามีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ซึ่งต้องยอมรับว่าสำหรับดิฉันมองไม่รอบด้านว่าเราได้อะไรจากหนังสือพิมพ์นี้บ้าง มีความแตกต่างอย่างไร เพียงเรื่องนี้ก็เป็นการสอนให้ดิฉันทราบว่าควรพิจารณาและมองให้รอบด้านแล้วเราจะเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา ต้องรู้จักคิดนอกกรอบ
ช่วงบ่ายของการจัดกิจกรรมโภชนาการด้านอาหารสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน มีการแนะนำความรู้ด้านโภชนาการให้กับผู้ปกครองของเด็กทราบถึงประโยชน์และโทษของอาหารหากเด็กไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอครบทั้ง 5 หมู่ รวมถึงได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทราบถึงปัญหาที่เด็กๆ ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลเขาไม้แก้วได้รับ อย่างปัญหาที่ดิฉันเห็นว่าสำคัญไม่แพ้ปัญหาด้านโภชนาการคือ ปัญหาชาวต่างด้าวซึ่งเข้ามาทำงานในไทยแล้วเกิดมีลูกหลานเกิดขึ้นมา บ้างก็เป็นเชื้อสายชาวต่างด้าวโดยตรง บ้างก็เป็นลูกผสมระหว่างคนไทยและชาวต่างด้าว ซึ่งก้ได้นำบุตรหลานมาฝากเลี้ยงไว้ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลเข้าไม้แก้ว ซึ่งตรงจุดนี้ก็ทำให้น่าคิดว่าปัญหาชาวต่างด้าวที่รอบเข้ามาทำงานในประเทศไทยจะส่งผลอย่างไรต่อคนไทยเราบ้าง เพราะขณะนี้เขาได้มีลูกหลานเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่จะต้องหาหนทางแก้ไขไม่แพ้ปัญหาโภชนาการ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
รฐา จูจันทร์
เรียนอาจารย์จีระ และพี่ทีมงานทุกท่าน จากการไปดูงานที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2550 ทำให้ผมได้มีโอกาสได้มีโอกาสได้ฟังข้อคิด แนวคิดใหม่จากอาจารย์จีระ ซึ่งท่านสละเวลามาเพื่อสอนให้ผมได้เข้าใจถึงการเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ คือนอกจากต้องเป็นคนเก่งแล้ว เรายังต้องเป็นคนดีทำอะไรตอบแทนสังคมด้วย เพื่อทำให้ชาติเจริญยิ่งๆขึ้นไป อีกทั้งยังได้เปลี่ยนบรรยากาศในการเรียน ทำให้รู้สึกดีในการเรียนเพราะบรรยากาศนอกห้องเรียน ซึ่งเป็นทะเลนั้นทำให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย เกิดบรรยากาศในการเรียนที่ดี ส่วนกิจกรรมที่คณะนักศึกษาได้รับมอบหมายนั้นทำให้ผมได้ทราบถึงปัญหาด้านโภชนาการของเด็กวัย 3-5 ปี โดยได้รับข้อมูลจากผู้ปกครองเด็กโดยตรงจากการลงพื้นที่ ทำให้มีข้อมูลในการนำมาใช้ในการพัฒนาวิธีการที่จะช่วยเด็กๆ ให้มีโภชนาการที่ดีขึ้น และสุดท้ายในการได้เข้าเยี่ยมชมบ้านเด็กเล็ก ทำให้ได้ทราบถึง สภาพห้องเรียนของเด็กและบรรยากาศโดยรอบห้องเรียน อีกทั้งได้พบกับเด็กๆในศูนย์เด็กเล็กทำให้ยิ่งรู้สึกว่าต้องมีการพัฒนาในด้านโภชนาการเด็กเล็ก เนื่องจากการที่เราได้ลงพื้นที่แล้วทำให้ได้รู้ว่ามีคนอีกมากที่ไม่มีความรู้ทางโภชนาการที่ดีพอทำให้เด็กนั้น มีปัญหาทางด้านการได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตทางร่างกายและพัฒนาการทางสมอง หากเด็กในชาติขาดสารอาหารอนาคตต่อไปในการพัฒนาประเทศคงไม่ดีแน่นอน
ได้แลกเปลี่ยนสอบถามข้อมูลกับชาวบ้านทำให้ได้รับข้อมูลโดยตรงที่พวกเราสามารถนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การอาหารมาถ่ายทอดให้กับชาวบ้านโดยตรง ซึ่งดิฉันยังจำคำพูดของท่านอาจารย์จีระและรู้สึกเป็นเกรียติอย่างยิ่งกับคำพูดที่ว่า เป็นโอกาสยากที่พวกเรานักวิทยาศาสตร์การอาหาร ที่จะมีโอกาสมาพบปะให้ความรู้กับชุมชน เช่นศูนย์เด็กเล็กตำบลเขาไม้แก้ว แต่ท่านอาจารย์เป็นผู้เห็นความสำคัญกับเรื่องนี้ คือโภชนาการสู่ท้องถิ่นโดยเริ่มจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเขาไม้แก้วเป็นแห่งแรกซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งและจากการสอบถามชาวบ้านเขารู้สึกดีใจที่ท่านอาจารย์ได้พาพวกเรามาให้ความรู้ที่ถูกต้องและมาแนะนำเมนูเพิ่มเติมแก่เด็กให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ ได้มาพบปะเด็กดิฉันรู้สึกมีความสุขค่ะ ซึ่งเป็นโอกาสยากที่ดิฉันจะมาทำประโยชน์ให้กับสังคมในรูปแบบนี้ได้และได้มากเจอเด็กที่น่ารัก ร่าเริงแจ่มใส ซึ่งจะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีต่อไปในอนาคต
สิ่งที่ได้จากการไปดูงาน วันที่ 22 มิถุนายน 2550
จากการที่ได้ไปดูงาน ณ สถานรับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนองค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี แล้วนั้น ได้รับรู้ถึงปัญหาการความรู้ความเข้าในเรื่องโภชนาการของชาวบ้านที่นั้น ได้เห็นถึงการเลี้ยงดูเด็กซึ่งเป็นเยาวชนของชาติ ที่จะเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศรุ่นต่อไป เด็กเหล่านั้นมีปัญหาอย่างแรกคือการที่พ่อแม่ยากจน มีอาชีพที่ไม่แน่นอน อีกทั้งที่หลักๆคือพ่อแม่ของเด็กยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งบางคนยังพูดได้ว่ายังเป็นเยาวชนอยู่ ซึ่งคนในวัยนั้นควรที่จะได้รับการศึกษา แต่คนเหล่านั้นไม่มีโอกาสที่จะได้รับการศึกษาปัญหาอย่างแรกคือความยากจน ขาดแคลนทุมทรัพย์ที่จะไปซื้ออาหารเพื่อบำรุงร่างกาย เพื่อบำรุงสมอง และขาดความรู้ ซึ่งถ้าเค้าได้รับโอกาสทางการศึกษาแล้วเค้าอาจจะไม่ได้ตั้งท้องตั้งแต่วัยเด็กเค้าอาจมีความรู้ความสารถเพื่อยกระดับฐานะของตัวเอง ในเรื่องของการเข้าทำงานอาจได้งานในตำแหน่งที่ดีกว่านี้เงินเดือนดีกว่านี้ และส่งผลถึงลูกที่จะเกิดในอนาคตอาจได้รับการดูแลได้รับสารอาหารหรืออาหารที่มีประโยชน์มากกว่านี้ แต่เราคงไม่สามารถไปเปลี่ยนอดีตของเค้าได้ เราเพียงแต่ทำได้คือการไปให้ความรู้ในส่วนที่จะสามารถทำได้ เพื่อเป็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการที่เค้าจะดูแลลูกเค้าตามกำลังทรัพย์ตามสถานภาพทางเศรษฐกิจของครอบครัวเค้าที่เค้าสามารถจัดหาอาหารให้ลูกของเค้าได้รับ อีกทั้งเป็นการให้ความรู้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้ตระหนักถึงความสำคัญของอาหารที่เด็กควรได้รับที่มีผลต่อการพัฒนาการของเด็ก ซึ่งจริงๆแล้วคนในองค์การส่วนท้องถิ่นส่วนมากไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่เกี่ยวกับการพัฒนาเด็กแต่เป็นการให้ความสนใจในการพัฒนาวัตถุ เช่น ถนนหนทาง สิ่งปลูกสร้าง ซึ่งที่จริงแล้วการพัฒนาที่สำคัญที่สุดคือ คนหรือประชากรในความดูแลขององค์การเหล่านั้นให้มีความรู้ การให้การสนับสนุนด้านการศึกษา อีกทั้งในเมื่อมีการที่จะพัฒนาส่วนท้องถิ่นเองแล้ว น่าจะมีการพัฒนาถึงระดับประเทศ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งการพัฒนาเด็กเยาวชนที่กำลังจะเติบโตไปเป็นกำลังในการพัฒนาชาติ สิ่งที่เน้นย้ำคือการให้ความรู้เพื่อพัฒนาตัวเอง คิดค้นเทคโนโลยีและสิ่งต่างๆเพื่อพัฒนาประเทศ ไม่ใช่ที่จะต้องรอพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ เพื่อไปเป็นลูกจ้างชาวต่างชาติเสมอไป แต่นี่ไม่ใช่ให้เราเกลียดต่างชาติ แต่เด็กไทยควรที่จะฉลาดในการที่เอาข้อดีของต่างชาติมาใช้ไม่ใช่เอามาใช้ทั้งหมดโดยไม่ดูถึงสภาพที่แท้จริงของประเทศ เหมือนผู้ใหญ่ในตอนนี้กำลังทำอยู่ เอาความรู้มาปรับปรุงประยุกต์ใช้แทนการที่เราจะขาดดุลในการซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เราทุกคนควรที่จะให้ความสนใจในเรื่องการพัฒนาคนโดยเริ่มที่เยาวชนเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เริ่มคือ เริ่มตั้งแต่การกินอยู่ของเยาวชนสารอาหารที่เด็กควรได้รับเพื่อไปบำรุงร่างการและสมอง และที่สำคัญคือการให้ความรู้ การให้โอกาสแก่เด็กที่ขาดแคลนเพราะในประเทศไทยนั้นยังมีเด็กไทยอีกมากที่ต้องการศึกษาแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และโอกาสเรียน อาจารย์ที่เคารพ
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณอาจารย์ จีระ ที่ได้มีโครงการดีๆ ให้กับพวกดิฉัน วันที่ 22 ที่ผ่านมา ดิฉันได้ไปเยี่ยมศูนย์เด็กเล็กที่เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี จากที่ได้ไปคุยกับชาวบ้านที่นั้น พบว่าชาวบ้านยังมีคำถามเกี่ยวกับการดูแลเด็กเล็กพอสมควร โดยเฉพาะอาหารการกินของเด็ก ตอนที่อยู่ที่บ้านว่าจะให้เด็กเหล่านั้นรับประทานอะไรดี ก่อนหน้านี้ดิฉันคิดว่าเรื่องเหล่านี้ทุกคนน่าจะรู้ดี แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย และวันนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่ได้ทำประโยชน์ให้กับสัมคมบ้าง ถึงมันจะยังเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่ถ้ามีการขยายวงกว้างออกไปยังพื้นทั่วประเทศไทยก็จะทำให้ เด็กที่เป็นอนาคตของชาติ มีพัฒนาการที่ดี และต้องขอขอบคุณ พี่นะ ที่ได้ช่วยจัดเตรียมสถานที่ไว้ให้เรียน ศ.ดร.จิระ หงส์ลดารมณ์ และพี่ๆทีมงาน Chira Academy ทุกๆคน หลังจากที่เราได้ร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในรูปแบบของสังคมของการเรียนรู้ คือการเข้าไปร่วมกับชุมชนเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านโภชนาการ โดยเฉพาะในเด็กเล็กนั้นทำให้พวกผมและเพื่อนๆ AFIM6 's KMITL ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ มากขึ้นซึ่งหลังกลับมาจากโครงการนั้นแล้ว พวกเราก็คิดว่าจะกลับไปทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลอย่างดีที่สุด เหมือนอย่างที่ทางอาจารย์แนะนำและบอกพวกเราเสมอว่าต้อง get thing done ซึ่งนอกจากนี้ทำให้เราเกิดไฟในการที่จะทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อสังคมโดยเฉพาะในชนบทที่ยังขาดความรู้
อย่างไรก็ดี ผมต้องขอขอบคุณบุคคลดังต่อไปนี้อย่างมากที่ทำให้ผมได้พัฒนาตัวเองไปอีกขั้นในด้านมุมมองและวิธีคิดในเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะท่านอาจารย์ จิระ ซึ่งโครงการนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีคำชี้แนะของทางอาจารย์ ว่าเราต้องออกไปช่วยเหลือสังคม ซึ่งในฐานะที่เราเป็นบุคคลากรที่มีความรู้ทางด้านวิทยาศาตร์อาหาร สมควรนำความรู้ที่เรียนไป่ชวยเหลือเด็กเพื่อให้มีทุนมนุษยืที่ดี เพื่อที่จะเป้นทรัพยากรมนุษยืที่ดีต่อไปในอนาคต และขอขอบคุณความช่วยเหลือจากพี่ๆทีมงาน Chirra acdemy ที่คอยอำนวยความสะดวกในตลอดการเดินทางในครั้งนี้ ขอบคุณ ท่าน อบต.เขาไม้แก้วและทีมงานในศูนย์เด็กเล็ก ตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครอง และน้องๆของเขาไม้แก้วทุกท่านที่ ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และสุดท้ายขอขอบใจเพื่อนๆทุกคนที่ร่วมมือกันในการนำข้อมูลทางด้านโภชนาการที่เกี่ยวกับเด็กไปร่วมกันนำเสนอ และทำกิจกรรมครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
เรียน ศ.ดร. จีระ ดิฉันนางสาววรนรี พันธุสังข์ นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
หลังจากที่พวกเราคณะนักศึกษาปริญญาโท ได้มีโอกาสเรียนนกับท่านอาจารย์ซึ่งปกติจะเป็นการเรียนในห้องโดยเริ่มก่อนการเรียนทุกครั้งด้วยกิจกรรม Morning Coffee แต่เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2550 ท่านได้จัดการเรียนการสอนพิเศษให้แก่พวกเรา คือได้ออกไปนอกสถานที่ที่จ. ชลบุรี ทำให้พวกเราได้เปลี่ยนแปลงบรรยากาศการเรียนนอกจากเรียนที่สถาบันเพียงอย่างเดียว
เริ่มจากในช่วงเช้าเป็นการรวมกลุ่มกันบรรยากาศริมทะเลมีการถาม-ตอบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างพวกเราและท่านอาจารย์ในหลายๆเรื่องเช่นเรื่องเกี่ยวกับงานที่ท่านมอบหมายให้พวกเราทำส่งโดยเป็นการหาข้อมูลและนำเสนอเกี่ยวกับทฤษฎี 8 K , 5 K และ 4 R เลือกหัวข้อที่เราสนใจและแบ่งกลุ่มละ 2 คน จากกการพูดคุยทำให้เห็นมุมมองความคิดเห็นต่างๆ และวิธีการหาข้อมูลในหัวข้อที่เราสนใจ นอกจากนี้มีสิ่งที่ท่านนำเสนอให้พวกเราได้มีโอกาสทราบข้อมูลใหม่ๆอีกทางคือท่านนำเสนอหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งมีการนำเสนอและรายละเอียดที่ดี เปิดโลกทัศน์ความเป็นไปและมุมมองที่กว้างเพิ่มเติมนอกจากหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ที่เป็นแหล่ งข้อมูลที่พวกเรามักจะได้เห็นโดยทั่วไปซึ่งค่อนข้างจะเป็นประโยชน์อย่างมาก พอเที่ยงทุกคนก็ร่วมทานอาหารด้วยกัน
หลังจากนั้นเราได้เดินทางต่อมุ่งหน้าไปที่อบต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี ซึ่งมีท่านปลัดและเจ้าหน้าที่ตลอดจนชาวบ้านจำนวนหนึ่งรอให้การต้อนรับพวกเราอยู่ ซึ่งการที่เราเข้าไปครั้งนี้เป็นการไปจากที่ท่านอาจารย์ได้ให้แง่คิดและสอนในเรื่องของการให้พวกเรารู้จักช่วยกันดูแลแบ่งปันซึ่งกันและกันในสังคมจากสิ่งที่เรามีความรู้อยู่ คือเป็นโครงการเกี่ยวกับการให้ความรู้ในเรื่อง Nutrition พื้นฐานให้แก่ชาวบ้านเพื่อความเข้าใจและพัฒนาเด็กเล็กที่ศูนย์เด็กเล็ก เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี ซึ่งหลังจากที่พวกเราได้นำเสนอให้ความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมให้แก่ชาวบ้านไปนั้นทำให้พวกเราพอได้เป็นถึงปัญหาในพฤติกรรมการบริโภคที่ชาวบ้านดูแลลูกหลานที่ยังไม่ค่อยถูกต้องมากขึ้นตลอดจนตอบข้อซักถามต่างๆเพื่อแก้ไขข้อสงสัยที่เป็นปัญหาของชาวบ้านเพิ่มเติม ต่อจากนั้นก็เข้าไปที่ศูนย์เด็กเล็ก ได้พบกับน้องๆและครูที่ดูแลได้เข้าไปดูความเป็นอยู่และซักถามถึงกิจกรรมและความเป็นไป ปัญหาที่พบของศูนย์และข้อมูลเกี่ยวกับเด็กๆจากครูผู้ดูแลทั้งแนะนำให้ความรู้และแลกเปลี่ยนกันทำให้พวกเราเข้าใจสภาพมากขึ้นและทำให้พวกเราทราบว่ายังมีจุดที่น่าสนใจและต้องแก้ไขอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับการดูแลและเข้าใจทั่วถึงอย่างถูกจุดซึ่งไม่ได้ใช่แต่การดูแลที่ศูนย์เพียงอย่างเดียวแต่รวมไปถึงผู้ปกครองด้วยที่ยังเข้าใจไม่ถูกต้องในบางเรื่อง ซึ่งการไปของพวกเราในครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ให้แก่ทั้งเด็กเล็กและชาวบ้านเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง ต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ได้ให้โอกาสและมุมมองอีกด้านหนึ่งที่บางครั้งเราอาจจะมองข้ามหรือยังดูแลซึ่งกันและกันยังไม่ทั่วถึงกันในสังคมจากการที่เราได้ไปศึกษานอกสถานที่ในครั้งนี้เรียน อาจารย์ จีระ หงสลดารมภ์
ผม นาย วรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ค. 2550 ที่ผ่านมา อ.จีระได้พูดถึงเรื่อง นวัตกรรม ( innovation ) และได้ตั้งคำถามไว้ 3 ข้อ คือ
1.นวัตกรรมคืออะไร
2.เกี่ยวข้องกับเบ็ดตกปลาที่อาจารย์พูดให้กลุ่มอบต.ที่โคราชฟังอย่างไร
3.เกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์อย่างไร
Ans
1. นวัตกรรมคือ การกระทำสิ่งใหม่ๆ ทั้งสิ่งประดิษฐ์และแนวคิด ที่มีการใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ สามารถนำไปใช้ได้จริง มีประโยชน์กับเศรษฐกิจและสังคม ( จะเน้นย้ำการนำไปใช้ได้จริงๆ อาจจะเป็นด้านธุรกิจหรือสังคมก็ได้ )
2.เกี่ยวข้องกับเบ็ดตกปลาอย่างไร เบ็ดตกปลาในความเข้าใจของผม คือการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และนำความรู้เหล่านั้นมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม ( Add Value ) แน่นอนว่า "นวัตกรรม" ย่อมเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดเหมือนกัน กล่าวคือการมีเบ็ดตกปลามีโอกาสทำให้เกิดนวัตกรรมได้
3. เกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์อย่างไร ทรัพยากรมนุษย์ที่ดีเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดนวัตกรรมมากที่สุด
การก่อให้เกิด นวัตกรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป ทุกคนทำได้ ถ้าตั้งใจและมองภาพรวมให้กว้างขึ้น เรียนหลายๆศาสตร์ อย่างที่อ.จีระเคยสอน และรู้จักคิดสร้างโอกาส+ลงมือทำ
นวัตกรรมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ
Innovation
- นวัตกรรมคือะไร
Ans นวัตกรรม คือ สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดจากการคิดค้นของมนุษย์เพื่อพัฒนาชีวิต,สังคม และเศรษฐกิจ ให้ดีขึ้นซึ่งสิ่งสำคัญที่สุด คือ จะต้องนำมาใช้ประโยชน์หรือก่อให้เกิดประโยชน์ได้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น
- เกี่ยวข้องกับเบ็ดตกปลาและทรัพยากรมนุษย์อย่างไรอย่างไร
Ans เบ็ดตกปลา เป็นเครื่องมือที่ชาวประมงสามารถที่จะใช้ในการทำมาหากินได้ตลอดชีวิต ดังนั้นการที่จะช่วยเหลือชาวประมงไม่ใช่การเอาปลามาให้แต่เป็นการให้เป็ดตกปลาที่แข็งแรงซึ่งเขาจะใช้ในการทำมาหากินได้ตลอดชีวิต เปรียบได้กับการสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มีทุนมนุษย์ครบในทุกๆด้าน (8K) โดยต้องสร้างนิสัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต (4L) เพราะปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นนอกจากจะมีความรู้ความสามารถแล้วสิ่งสำคัญที่ทรัพยากรมนุษย์จะต้องมีคือ ความสามารถในการเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ดังนั้น กล่าวโดยสรุปก็คือ นวัตกรรมถือเป็นทุนอย่างหนึ่งที่ทรัพยากรมนุษย์ในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องมีเพื่อใช้เป็นเครื่องมือรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่ให้สามารถที่จะอยู่อย่างยั่งยืนได้
กราบเรียนอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นางสาวรสสคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก่อนอื่นต้องกราบขออภัยอาจารย์และท่านผู้เข้าชม Blog ทุกท่าน เนื่องจากคราวที่แล้วดิฉันเขียนชื่อหนังสือพิมพ์ผิด ขอแก้ไขเป็น Herald tribune ค่ะ จากการที่ได้เรียนกับอาจารย์ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 บรรยากาศในห้องก็ดีขึ้นกว่าครั้งแรกๆ เนื่องจากพวกเราเริ่มเกร็งน้อยลง และเข้าใจวิธีการสอนของอาจารย์มากขึ้น ครั้งนี้ท่านอาจารย์ให้เราฟังบทสัมภาษณ์ของคุณศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนวัตกรรม มีหัวข้อหลัก 3 ข้อ คือ คำจำกัดความของนวัตกรรม, ความสำคัญของนวัตกรรม และ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อช่วยเสริมนวัตกรรม
คำจัดกัดความของนวัตกรรม(Innovation) คือ การกระทำสิ่งใหม่ๆ ที่ได้จากการใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ อาจเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ แนวความคิด หรือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในสิ่งเดิมให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น เหมาะแก่การใช้สอย ซึ่งอาจจะใช้เทคโนโลยีเป็นกลไกสำคัญในการกระทำสิ่งใหม่ๆ นั้น และสิ่งนั้นต้องมีประโยชน์ต่อองค์กร หรือสังคม อีกทั้งสามารถนำไปปฏิบัติจริงให้เป็นผลสำเร็จ เปรียบเสมือนเบ็ดตกปลาอันดี คือสามารถพึ่งตนเองได้ ใฝ่หาความรู้ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากคนอื่นๆ จนได้ข้อสรุปที่ดี่สุด และนำความรู้เหล่านั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ นวัตกรรมก็เหมือนเป็นทุนชั้นดีที่คนที่มีเบ็ดตกปลาอยากนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และองค์กรของตน
นวัตกรรม (Innovation) เป็นทุนข้อหนึ่งในทฤษฎี 5K ของท่านอาจารย์ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ ที่มีการแข่งขันกันทางด้านธุรกิจเป็นอย่างมาก ทุกองค์กรต่างก็หาจุดเด่นของธุรกิจของตน ผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือแนวความคิดใหม่ๆ ที่น่าจะเป็นที่สนใจ และยอมรับจากผู้บริโภค เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ และตัวแทนที่จะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ คือ ทรัพยากรมนุษย์ เพราะต่อให้องค์กรนั้นมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยมากมาย แต่ขาดมนุษย์มาบริหารจัดการให้เทคโนโลยีเหล่านั้นเกิดประโยชน์ ใช้สอยได้จริง ก็คงไม่มีประโยชน์ ดั้งนั้น ทุกองค์กรจงเร่งพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กรมีเบ็ดตกปลาเป็นของตนเอง และเบ็ดตกปลาเหล่านั้นก็จะช่วยให้ธุรกิจหยัดยืนอยู่ได้อย่างไม่เป็นรองใคร อีกทั้งเพิ่มการพัฒนาอย่างยังยืนเข้าไปด้วย เพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนเช่นกัน
ดิฉัน น.ส. สุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ นักศึกษาปริญญาโทสาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รหัสนักศึกษา 50066215
นวัตกรรม(Innovation) คือ สิ่งใหม่ที่ต้องใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องมีประโยชน์ต่อสังคมแล้วนำมาทำขึ้นเป็นแผนธุรกิจ เช่นช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง2 ด้าน คือ นวัตกรรมด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรมด้านสังคม เกิดขึ้น โดยการที่มีนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาได้นั้นต้องได้รับความรู้ใหม่แล้วนำมาทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้ โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์มาทำให้เกิดขึ้นเป็นโครงการขึ้นมาได้
ความสำคัญของ Innovation ก็คือ ต้องพัฒนาอย่างต่องเนื่องห้ามหยุดนิ่งต้องแสวงหาธุรกิจใหม่ๆโดยต้องมีเทคนิคใหม่ๆที่จะแข่งขันกับผู้อื่นได้ ต้องควบคู่ไปกับวัฒนธรรม โดยการวิจัยเทคโนโลยีไปสู่นวัตกรรมได้นั้น ต้องมาจาก system thinking ซึ่งนวัตกรรมนั้น อาจทำขึ้นมาแล้วไม่สำเร็จก็ได้การพัฒนาทรัพยากรบุคคล ได้นั้นต้องอาศัยการจัดการในเรื่องความสามารถของบุคคลากร, การบริหารผู้ใต้บังคับบัญชา, การพูดคุยกับลูกค้าให้เข้าใจ เป็นต้น และในองค์กรส่วนใหญ่ก็ยังขาดในเรื่อง 3 C ดังนี้
1. change คือคนไทยเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ชอบยึดติดกับรูปแบบเดิมๆลักษณะการทำงานแบบเดิมๆ
2. customer คือ คนไทยยังไม่เน้น ความต้องการลูกค้าในเรื่องบริการเป็นหลัก
3. command & control คือ คนเราต้องไม่บ้าอำนาจ ต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นแล้วจะทำให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นได้ ดังนั้น นวัตกรรม(Innovation) ต้องใช้ความรู้หลายๆด้าน ถึงจะทำให้ชิ้นงานนั้นๆประสบความสำเร็จได้เรียนท่านอาจารย์จีระ ที่เคารพ
Innovation หรือ นวัตกรรม ตามที่ ดร.ศุภชัย หล่อโลหการ / ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ ไว้สรุปได้ดังนี้
1.Innovation / นวัตกรรม คืออะไร
Innovation หรือ นวัตกรรม มาจาก “นวัต” ซึ่งหมายถึง สิ่งใหม่ และ “กรรม” ซึ่งหมายถึง การกระทำ โดยเมื่อรวมกันแล้วเป็น นวัตกรรม จะหมายถึง การทำสิ่งใหม่เพื่อให้เกิดรูปแบบของธุรกิจใหม่ ซึ่งจะต้องใช้ความรู้ ,ความคิดและความสร้างสรรค์ และจะต้องมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วย ดังนั้นนวัตกรรมจะเน้นในเรื่องของการใช้ความรู้ มากกว่า การสร้าง ซึ่งจะเห็นว่า หากมีการสร้างสิ่งใดขึ้นมาแล้วไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สิ่งนั้นจะไม่เรียก นวัตกรรม แต่จะเรียกว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์แทน
นวัตกรรม มี 2 แบบ ได้แก่ นวัตกรรมทางเศรษกิจ และนวัตกรรมทางสังคม ซึ่งในการทำนวัตกรรม ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องธุรกิจเพียงด้านเดียว แต่จะต้องให้ความสำคัญต่อด้านสังคม และ วัฒนธรรมด้วย ต้องควบคู่กันไป จึงจะทำให้นวัตกรรมนั้นประสบความสำเร็จได้ปัญหาของการทำนวัตกรรมมี 3 ประการ ได้แก่ การไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง(Change), ไม่สนใจความต้องการของลูกค้า(Customer) และไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น (Command and Control)
ทางแก้ของปัญหาทั้งสามก็คือ 1.ให้มีเตรียมความพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงเสมอ 2.ให้มีความสนใจตลาดหรือสิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นอันดับแรก 3.ต้องเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของคืนอื่นให้มากขึ้น2.Innovation /นวัตกรรม เกี่ยวข้องกับเบ็ดตกปลาอย่างไร
นวัตกรรม เป็นการคิดค้นสิ่งใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคม จำเป็นที่จะต้องอาศัยเบ็ดตกปลาของแต่ละคน เพื่อให้เกิดนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติในเวลาเดียวกันด้วย ทั้งนี้เนื่องจากเบ็ดตกปลาเป็นหลักการพึ่งตนเองของแต่ละคน ซึ่งการที่จะพึ่งตนเองได้นั้นหมายความว่าแต่ละคนจะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆต่างๆที่เกิดขึ้นโดยที่จะต้องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างบุคคลเพื่อสรุปเป็นความคิดรวมอันจะทำให้ได้คำตอบที่ดีมากยิ่งขึ้นในการที่จะทำให้นวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นเกิดประโยชน์สูงสุดอันเป็นผลทำให้นวัตกรรมนั้นคงอยู่ได้นานและเป็นที่ยอมรับ
3.Innovation / นวัตกรรมเกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์ในเรื่องใด
เนื่องจาก นวัตกรรม เป็นการกระทำสิ่งใหม่ๆที่ต้องใช้ความรู้,ความคิดและความสร้างสรรค์ ดังนั้นการที่จะทำได้เกิดสิ่งดังกล่าวที่เรียกว่า นวัตกรรม ได้จะต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์ในการคิดค้นและจัดการเท่านั้น หากไม่มีทรัพยากรมนุษย์แล้วนวัตกรรมจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อคิดค้นขึ้นมาแล้วจะต้องนำมาจัดการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปซึ่งจะจำเป็นที่จะต้องให้มนุษย์เป็นผู้จัดการอีกเช่นกัน ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า นวัตกรรมและทรัพยากรมนุษย์ไม่สามารถแยกจากกันได้ (การที่จะมีนวัตกรรมได้จะต้องมีทรัพยากรมนุษย์ และทรัพยากรมนุษย์จะต้องมีการคิดค้นและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆเสมอ ) จะต้องอยู่คู่กันเสมอ
เรียน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ และทีมงาน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อาจารย์จีระได้มีโอกาสได้ดูเทปการพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างอาจารย์จีระกับท่าน ศุภชัย ถึงเรื่อง Innovation ( นวัตกรรม ) และให้นำมาตอบคำถาม ซึ่งผมฟังและรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อตอบคำถามแล้วได้ดังต่อไปนี้
Innovation หมายถึง สิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ มีประโยชน์ต่อสังคม สามารถซื้อหาเพื่อนำไปใช้ได้จริง
เบ็ดตกปลา คือ เครื่องมือในการนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงานและดำเนินชีวิต การที่จะมีเบ็ดตกปลาได้นั้นเกิดจากการสั่งสมองค์ความรู้ และการใฝ่รู้ เรื่องที่ได้ฟังเกี่ยวกับเบ็ดตกปลา ก็คือถ้าเรามีองค์ความรู้ด้าน นวัตกรรมดีก็อาจก่อให้เกิดสิ่งที่เป็นสิ่งใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้
เกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์ กล่าวคือ คนเป็นผู้คิดค้น สร้างสรรค์สิ่งต่างๆบนโลก นวัตกรรมก็เช่นกัน เกิดจากการคิดสร้างสรรค์ กล้าออกนอกกรอบเดิมๆโดยใช้องค์ความรู้ตามระบบ ที่สั่งสมมาใช้ในการพัฒนาจนเกิดเป็นสิ่งใหม่ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคน ซึ่งอาจจะนำทฤษฎี 3 วงกลม คือ คำนึงถึงลูกค้า (customer) ว่าต้องการสิ่งใดและพัฒนาสินค้าหรือบริการตามความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด อย่างที่สองต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง(change) และไหลตามกระแสไปให้ได้ และสิ่งสุดท้ายการสั่งการ และควบคุม (Command &Control)ควรเอาใจเขามาใส่ใจเราคิดถึงใจลูกน้อง ไม่ใช้อำนาจกดขี่และสมควรให้แสดงความคิดเห็น และนำความคิดเห็นที่ดีของผู้อื่นมาปรับใช้และควบคุมให้ดีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร
การเกิดนวัตกรรมใหม่ไม่สามารถสิ่งเกิดขึ้นได้จากความคิดเพ้อฝันอย่างเดียว ต้องมีความรู้ที่เป็นระบบ บวกกับความคิดสร้างสรรค์และการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ที่ได้ใช้และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนวัตกรรมนั้นๆด้วย จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมขอแสดงความยินดีกับท่านอาจาย์จีระ ที่ได้รับรางวัล Thailand Top 100 HR เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา และดิฉันได้มีโอกาสไปแสดงความยินดีกับงานครั้งนี้ด้วย จัดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อไปถึงที่งานได้เจอกับนักข่าว และผู้บริหารที่มีความรู้ ความสามารถในเรื่องของการจัดการทรัพยากรมนุษย์หลายท่าน รู้สึกตื่นเต้นมาก ทำให้ดิฉันได้รู้จักและเรียนรู้จากสังคมใหม่ๆ ในงานครั้งนี้มาก ได้เปิดโลกทัศน์ ได้มีความคิดนอกกรอบ เพราะได้ออกมาจากกรอบที่ดิฉันเคยอยู่ (สังคม) และรู้สึกประทับใจกับท่าน ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ได้ขึ้นกล่าวถึงเรื่อง การพัฒนาของประเทศ ตอนอยู่บนเวทีบุคลิกของท่านสุเมธ เป็นธรรมชาติ สบายๆ ฟังแล้วไม่น่าเบื่อ และไม่เครียดแม้แต่น้อยเลย ดิฉันจึงรู้สึกศรัทธาในตัวของท่านสุเมธมาก และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 กรกฏาคม 2550 ท่านอาจารย์
จีระ เปิดประเด็นเรื่อง นวัตกรรม (Innovation) ให้ทุกคนเรียนรู้จากเทปบันทึกของท่านอาจารย์จีระ กับ คุณ ศุภชัย
หล่อโลหการ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ในหัวข้อเรื่อง HR and Innovation ทำให้ดิฉันได้ทราบว่าคำว่า นวัตกรรม (Innovation) คือ สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นมา ต้องมีการรู้จักใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างมีระบบระเบียบ ต้องทำให้เกิดประโยชน์กับสังคม เศรษฐกิจ และต้องมีผู้บริโภคเกิดขึ้นด้วย จะเห็นได้ว่าต้องมีความคิดสร้างสรรค์ก่อนจะไปเป็นนวัตกรรมได้ ซึ่งความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนต้องมีเบ็ดตกปลา (ทฤษฏีพึ่งตนเอง) ต้องใฝ่หาความรู้ตลอดชีวิต และวิธีการเรียนรู้ โดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน ตรงกับแนวคิดของท่าน ศ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ กล่าวว่าการรักที่จะเรียน ต้องสนใจ ใฝ่เรียน เน้นการอ่าน และศึกษาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เข้าใจรูปแบบการสอนของท่านอาจารย์จีระมากขึ้น
นวัตกรรมจะสำเร็จได้ต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์ เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรม ก็คือ ทุกคนต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้าเปลี่ยนแปลง รวมกับการบริหารจัดการให้ทรัพยากรมนุษย์เป็นแบบ Get thing done ทำจริงและสำเร็จ สร้างแรงจูงใจให้มีความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก สอดคล้องกับทฤษฏี 3 C ของท่านอาจารย์จีระ คือ change, customer และต้องไม่เน้น command & control เพราะว่าถ้าไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น(Listening) และไม่เรียนรู้สิ่งใหม่(Learning)จะทำให้ไม่เกิดนวัตกรรม ดังนั้น นวัตกรรม (Innovation) จะต้องเกิดจากการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรโดยมีการนำทฤษฏี 2R , 4L, 5K, 8K, 3C, 3 วงกลม , เบ็ดตกปลา (ทฤษฎีพึ่งตนเอง) มาประยุกต์ใช้จึงจะทำให้นวัตกรรมสำเร็จได้เรียน ศ.ดร.จิระ ดิฉันรฐา จูจันทร์ ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้เรียนในหัวข้อเรื่องนวัตกรรม (Innovation) ทำให้ทราบถึงความสำคัญของนวัตกรรมว่ามีความเกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์อย่างไรบ้าง และได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฏีเบ็ดตกปลา เพื่อนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อยอดให้เป็น
ท่านอาจารย์จิระยังได้คิดโครงการดีๆ ที่จะให้นักศึกษาได้ไปดูงานที่กลุ่มเกษตรกร อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดโคราช เพื่อศึกษาการทำการเกษตรชีวภาพ เพื่อจะได้ต่อยอดให้เกิดธุรกิจ หรือให้ข้อมูลทางการตลาดที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรได้บ้าง
สรุปประเด็นเรื่องนวัตกรรม (Innovation)
การจะพัฒนาให้เกิดนวัตกรรม คนเราต้องรู้จักเปลี่ยนแปลง ต้องคิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอย่างเป็นระบบและใช้ความรู้หลายอย่างมาไตร่ตรองจึงจำเป้นต้องใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ จะทำให้เกิดผลดีกับทั้งกับตัวเรา ระบบเศรษฐกิจและสังคมได้ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือต้องรู้จักรับฟังเพื่อที่จะเรียนรู้ และทำให้เกิดการมีส่วนร่วม เพราะคนเราไม่สามารถทำงานคนเดียวให้ประสบความสำเร็จได้
เรียนท่านอาจารย์จีระ ที่เคารพ
จากการที่ดิฉันได้ดูเทปการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างท่านอาจารย์จีระ และ ท่านศุภชัย ในเรื่อง HR & Innovation ในความเข้าใจของดิฉันคือ
นวัตกรรม ( Innovation ) คือ การสร้างสรรรค์และคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาให้เกิดการเพิ่มมูลค่า (Add Value ) และต่อยอดพัฒนาในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญาอันเกิดมาจากความคิดและปัญญาของมนุษย์เป็นผลโดยตรงที่เกิดมาจากการทุ่มเท ซึ่งประเมินค่าเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งยังช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ลดปัญหาอาชญากรรม นวัตกรรมใหม่ ๆ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในรูปแบบ go to business. ให้มองในรูปแบบ focus ระบบธุรกิจ คือต้องมีความรู้ ใช้ความคิดใหม่ ๆ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นวัตกรรมกับเบ็ดตกปลา คือ การแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง (Learning by doing ) และพึ่งพาตนเอง ( making my selfe ) innovation จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยอาศัยหลักการดังกล่าว มีการศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ เปิดโลกทัศน์ให้กับตนเองมองตนเองแล้วมองภาพรวมผู้อื่นด้วย เรียนรู้จากเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างดีที่สุด
นวัตกรรมกับมนุษย์ ต้องเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่คู่กันไปตลอด มนุษย์ ( Humen ) เป็นผู้ที่ดำเนินการคิดตริตรอง และเป็นผู้ลงมือทำ จึงจะเกิดนวัตกรรมอันหนึ่งอันใดขึ้นมา เศรษฐกิจและสังคมจะพัฒนาก้าวหน้าได้ต้องอาศัยทุนมนุษย์ ( Human Capital ) ตามทฤษฎี 8 K's (ของท่านอาจารย์จีระ ) ที่เอาความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ( Innovation ) + Get thing done = Add Value + Community Development. สิ่งเหล่านนี้จะต้องมีการ follow up & follow to เพื่อให้มีการพัฒนาองค์กรและประเทศอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่งและไปได้ถึงปลายทาง.
กราบเรียนท่านอาจารย์จีระและสวัสดีเพื่อนๆชาวblogทุกคน ดิฉันนางสาวนิรชร ไชยกาญจน์ นักศึกษาระดับป.โท ชั้นปีที่ 1สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สจล. เมื่อวันอาทิตย์ที่1 ก.ค. 2550 ในชั่วโมงการเรียนกับท่านอ.จีระ เราได้มีการพูดคุยถึงความสัมพันธ์ระหว่างHRและINNOVATION ว่ามีความเกี่ยวข้องกันในด้านใดบ้าง และได้ชมเทปบันทึกภาพการสนทนาระหว่างท่านอ.จีระ กับคุณศุภชัย หล่อโลหการ ผอ.สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติและการสนทนาระหว่างท่านอ.จีระกับศจ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์พอจะสรุปได้ดังนี้
-นวัตกรรมคือ การกระทำสิ่งใหม่ๆที่เกิดจากการนำความรู้และความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์ใช้เพื่อทำให้เกิดประโยชน์แก่สังคมทั้งในด้านสังคมวัฒนธรรมและเทคโนโลยีการผลิตหรือการดำเนินงานต่างๆด้วยเทคนิคที่ทันสมัย
-เกี่ยวข้องกับคำว่า"เบ็ตตกปลา"ในความหมายที่ท่านอ.จีระ กล่าวถึงคือ เบ็ดตกปลาคือการเสาะแสวงหาความรู้ใส่ตน เมื่อนวัตกรรมคือความรู้ใหม่ๆที่มีประโยชน์ เราซึ่งเป็นทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นทุนที่สำคัญที่สุดในการดำเนินงานต่างๆ เพราะมนุษย์คือผู้ที่ทำให้เกิดการกระทำต่างๆในสังคม ก็ต้องมีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆรอบตัวเราที่มีประโยชน์เพื่อพัฒนาตนเองตลอดเวลาให้มีความรู้ความสามารถที่จะทำงานได้มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยในการพัฒนาประเทศให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศได้ ซึ่งการแสวงหาความรู้นี้สามารถทำได้หลายทางเช่น การsearchจากinternet, การอ่านหนังสือที่อยู่ต่างๆที่อยู่รอบตัว,การดูโทรทัศน์และการฟังวิทยุเป็นต้น แต่การจะช่วยให้มีความรู้ที่แตกฉานและมีความคิดที่หลากหลายมากขึ้นวิธีการที่ดีที่สุดคือการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองแล้วนำมาวิเคราะห์อภิปรายร่วมกันเป็นการshareความรู้ให้กันและร่วมกันสร้างnetworkในการทำงานจะช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การจะเรียนรู้ให้ได้ดีนั้นท่านอ.จีระได้สอนเราใช้ทฤษฎี 3cประกอบด้วย
1. changeคือการยอมรับปรับตัวต่อสิ่งใหม่ที่มีประโยชน์กับตัวเอง
2. customerคือการให้ความสำคัญกับลูกค้าที่มีการติดต่อกับเราทั้งในด้านสินค้าและบริการ
3. command and controlคือการรู้จักที่จะเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทั้งที่เป็นคำติและคำชมเพื่อจะได้นำมาใช้ปรับปรุงตนเอง โดยเราต้องรู้จักยอมรับฟังจากทั้งคนที่อยู่ระดับเหนือกว่าเราเช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ หัวหน้างาน หรือคนที่มีอายุและประสบการณ์มากกว่าเรา, คนที่อยู่ระดับเดียวกันกับเราเช่น เพื่อนเรียน เพื่อนร่วมงานและสุดท้ายรับฟังจากคนที่อยู่ระดับต่ำกว่าเช่น ลูกน้องหรือคนที่อายุและประสบการณ์น้อยกว่าเรา
สุดท้ายนี้ดิฉันก็ขอแสดงความยินดีกับท่านอ.จีระที่ท่านได้รับรางวัลThailand Top 100 HR ซึ่งทางม.ธรรมศาสตร์ได้จัดขึ้นเพื่อเป็นการยกย่องบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางHuman resource ในประเทศไทยให้สังคมได้รู้จัก เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกท่านทำงานเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติต่อไปค่ะ
เรียน อ.จีระ หงส์ลดารมภ์ และเพื่อนชาวBlog ผมนายพัฒนา ปลอดภัยงาม นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสากรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
จาการที่ได้ศึกษาเรื่องนวัตกรรม(innovation)ทำให้ได้รับความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อการเรียนรู้ในปัจจุบัน คำว่านวัตกรรม(innovation)ก็คือสิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ มีประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจ
ซึ่งผมได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนวัตกรรมนี้ได้ว่า
การที่จะเกิดนวัตกรรมขึ้นนั้นจะเกิดจากปัจจัยดังนี้
change การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆรวมถึงพฤติกรรมของคน
developement การพัฒนาตนเองเพื่อสร้างสรรค์และเพิ่มมูลค่าในสิ่งที่มี
create กระบวนการคิดที่สร้างสรรค์และเกิดประโยชน์เพื่อส่วนรวม
และสิ่งที่เป็นความขัดแย้งที่ไม่ทำให้เกิดนวัตกรรมที่อาจารย์จีระได้ให้ทฤษฎี3Cก็คือ
change การที่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
command,control ความคิดถูกจำกัดโดยผู้นำ
customer ไม่ทำสิ่งต่างๆเพื่อสนองความต้องการของตลาด ทำให้ไม่เกิดความยอมรับและเป็นประโยชน์
ส่วนทฤษฎีเบ็ดตกปลา นั้นก็เป็นสิ่งที่ดี
เพราะเข้ากับสังคมไทยซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยหาความรู้ให้กับตนเอง จะรอแต่ให้ผู้อื่นหยิบยื่นให้
ดังนั้น การร่วมสร้างจิตสำนึกในการใฝ่หาความรู้จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะความรู้นั้นเปรียบเป็นทรัพยาการที่มีคุณค่า ไม่เช่นนั้นประเทศอื่น ๆก็จะนำหน้าประเทศไทย
ร่วมสร้างสรรค์ชาติไทยให้เข้มแข็งด้วยครับ
สิ่งที่จะทำให้เกิดคำว่า “Innovation” สำหรับดิฉัน คือ เกิดจากพื้นฐานทางความรู้ที่มีอยู่เมื่อมีความรู้ก่อจะเกิดความคิด ความคิดที่จะทำสิ่งใหม่ สิ่งที่คนอื่นว่านอกกรอบ อาจเป็นไปไม่ได้ เมื่อสิ่งใหม่ที่คิดมานั้นได้ลงมือกระทำลงมือประดิษฐ์จนเกิดเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีคุณค่ามีประโยชน์ ไม่ว่าต่อตัวเองหรือต่อคนอื่นด้วยก็ตาม ซึ่งเหมือนกับนักประดิษฐ์และนักวิทยาศาสตร์ที่เราอาจเคยได้ยินชื่อมา เช่น อัลเบิร์ท ไอส์ไต ไอแซ็ก นิวตัน เป็นต้น แต่สำหรับคนไทยแล้วบุคคลที่สำคัญที่สุดสำหรับคนไทยที่เราควรยกย่องเป็นอย่างยิ่งคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยเราที่ทรงคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อคนไทยตลอดมา โดยเริ่มจากพื้นฐานทางความรู้ของพระองค์
ในเมื่อความรู้เป็นเสมือนสิ่งเริ่มต้นที่จะคิดที่จะทำสิ่งต่างๆให้เกิดประโยชน์แล้ว ถ้าเปรียบเหมือนว่าเรากำลังจะตกปลาเพื่อมาเป็นอาหารนั้น ความรู้ก็เปรียบเสมือนเบ็ดตกปลา ปลาที่ได้มาเป็นอาหารนั้นก็เปรียบเสมือนสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นจากการใช้ความรู้ซึ่งเป็น ประโยชน์กับเราทั้งสิ้น ความรู้นั้นเป็นเสมือนทรัพย์สินส่วนตัวที่มีค่ามาที่สุดของมนุษย์เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการหาเลี้ยงชีพได้ ซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่มีใครมาขโมยได้และจะเพิ่มขึ้นเมื่อมนุษย์เกิดการใฝ่ความรู้ที่จะหาความรู้เพิ่มเติมให้กับตัวเองเราก็จะมีอุปกรณ์ให้การหาเลี้ยงชีพได้หลายด้าน การหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเองอันเกิดจากความรู้ของตัวเองก็เหมือนเราต้องตกปลาด้วยตัวเองทักษะทุกอย่างก็ย่อมเกิดความรู้และทักษธของตัวเอง เราทุกคนต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ก่อน ก่อนที่เราจะไปพึ่งพาคนอื่น คนเรานั้นคงไม่มีใครที่จะไปพึ่งพาใครได้ตลอดชีวิตและคงไม่มีใครให้เราได้พึ่งพาได้ตลอดชีวิตเช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรที่จะใฝ่หาความรู้เพื่อมาเป็นเบ็ดไว้ใช้ตกปลาเพื่อมาเป็นอาหารแก่ตัวเราเองเป็นอาหารในการดำรงชีวิตของเราเอง
เมื่อทุกคนมีความรู้ในการที่จะพึ่งพาตัวเองแล้วนั้น ตราบใดที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคมแล้ว เมื่อคนทุกคนมาอยู่ในที่เดียวกันหรือในสังคมแล้วนั้น ก็ต้องย่อมเกิดสิ่งต่างๆมากมายจากการที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกัน แต่การที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันย่อมเกิดสิ่งดีและสิ่งไม่ดี แต่ทุกคนย่อมอยากให้เกิดสิ่งดีๆแล้วนั้น เราจึงควรที่อยู่ร่วมกันจึงควรนำความรู้ที่ได้มานั้นมาสร้าง มาคิดสิ่งดีๆให้กับสังคมที่เราอยู่ เป็นการพัฒนาคน พัฒนามนุษย์ในสังคมเราให้อยู่อย่างมีความสุข เมื่อสังคมมีความรู้ การพัฒนาประเทศเพื่อให้เกิดความก้าวหน้านั้นย่อมเกิดขึ้นได้จากคนทุกคนเรียน อ.จีระ , อ.ยม , ทีมงาน Chira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เนื่องจากในวันที่ 8/7/50 ที่ผ่านมา ( ผมเขียน Blog วันเดียวกันนี้ ) เป็นวันแรก ที่ผมได้มีโอกาสเรียนกับ อ.ยม นาคสุข หัวข้อโดยรวมที่ อ.ยม สอน คือ "ภาพรวมของการบริหารทรัพยากรมนุษย์" แต่ อ.ยม จะมีความรู้เสริมให้จากประเด็นต่างๆที่เราถาม ที่ผมพอจะจับประเด็นได้ ขอยกตัวอย่างดังนี้
1.การแก้ไขปัญหา อย่าแก้ที่ตัวปัญหาแต่ให้หาสาเหตุของปัญหาแล้วแก้
2.ในการทำอะไรทุกๆอย่าง ต้องมียุทธศาสตร์ ( การวางแผน ) เสมอ
3.การจะมองอะไรให้มอง 2 ด้านเสมอ ( ด้านดีและไม่ดี ) แต่ให้มีทัศนคติเป็นบวกเสมอ ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าหนีปัญหา แต่ให้คิดหาวิธีการแก้ไข
สิ่งต่างๆที่ อ.ยมได้ถ่ายทอดมาในวันนี้ เป็นการพูดถึงปัญหาด้านทรัพยากรมนุษย์ต่างๆที่ทุกคนเคยพบเจอมา ทำให้ทุกคนมองภาพออกได้ง่าย และสามารถเก็บเกี่ยวเทคนิคต่างๆ ของ อ.ยมไปใช้ได้ทุกคน ขอบคุณครับ
ปัญหา | สาเหตุ | ยุทธศาสตร์ |
ปัญหาด้านคุณภาพสินค้า-บริการ | คนขาดความรู้ ทักษะ คน ขาดคุณภาพ | ยุทธศาสตร์พัฒนาความรู้ด้านคุณภาพให้กับพนักงาน |
ปัญหาการผลิตสินค้า-บริการไม่ทัน | การใช้กำลังคนด้อยมีประสิทธิผล | ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพกำลังคนทีมีอยู่ |
ปัญหา ความขัดแย้งในหน่วยงาน | หัวหน้างานขาดทักษะ ขาดความรู้ | ยุทธศาสตร์พัฒนาหัวหน้างาน |
กิจกรรมที่มีระหว่างการเรียนการสอน
4. นอกเหนือจากที่แจ้งไป จากข้อ 3 เตรียมเสวนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการเรียนการสอนครั้งต่อไป
5. เขียน Blog “การเรียนการสอนครั้งนี้ ได้ประเด็นอะไร ที่น่าสนใจ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างน้อย 3-5 ประเด็น ลงใน Blog ของ ศ.ดร.จีระ เช่นเคย ภายในวันพฤหัสฯที่จะถึงนี้ จุดเด่นที่พบดิฉันนางสาว วสพร บุญสุข นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2550 เป็นวันแรกได้เรียนกับอาจารย์ยม นาคสุขทำให้ดิฉันได้รับความรู้ในเรื่อง การจัดการทรัพยากรมนุษย์ 3 ประเด็น ดังนี้ประเด็นที่หนึ่ง คือ เรื่องของการวางแผน (การสอบ) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ทุกคนต้องมีการวางแผน ต้องมีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ตรงตามเป้าหมาย ซึ่งสอดคล้องกับกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์คือต้องมี Input + process + output
ประเด็นที่สอง คือ การแก้ไขปัญหา ทุกปัญหา ต้องหาสาเหตุก่อนที่จะแก้ไขปัญหา ต้องแก้ที่สาเหตุเสมอไม่ใช่แก้ที่ตัวปัญหา ยกตัวอย่างเช่น คนปวดท้อง ทานยาแก้ปวดท้อง แล้วยังไม่หาย แต่สาเหตุจริงคือความเครียด ดังนั้นจึงต้องแก้ปัญหาโดยการออกกำลังกาย และพักผ่อน จะทำให้ลดความเครียดได้ อาการปวดท้องจะหาย คือการแก้ปัญหาตรงสาเหตุที่เกิดขึ้น
ประเด็นที่สาม คือ ปัญหาใหญ่ขององค์กร คือ System และ Human เพราะว่าองค์กรต้องมีทั้งระบบหรือมนุษย์ที่ดีก่อน ถึงจะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ เริ่มต้นจากมนุษย์ต้องเป็นคนกระทำให้เกิดระบบ ดังนั้นทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นส่วนสำคัญที่สุดในองค์กร
ประเด็นที่สี่ คือ Prosonnel Administration เป็นการบริหารทรัพยากรมนุษย์ยุคแรก ทำงานวันต่อวัน จะดูแลเมื่อเข้ามาทำงานในองค์กร แตกต่างกับ Human Resources Management เป็นการบริหารทรัพยากรมนุษย์จะดูแลก่อนเข้ามาทำงาน ระหว่างทำงาน ออกจากการทำงาน รวมถึงครอบครัวด้วย สรุปทั้ง 4 ประเด็นนี้ ดิฉันได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน และต้องเริ่มต้นบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ตัวดิฉันเองก่อนที่จะไปบริหารทรัพยากรมุษย์ในองค์กร จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จเรียนศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ และ อาจารย์ยม นาคสุข ที่เคารพ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉันนางสาวอรุณี แซ่ตั้ง นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากการที่อาจารย์ยม ได้กรุณามาสอนเรื่องภาพรวมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ในวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2545 ที่ผ่านมาทำให้ดิฉันได้รับความรู้เกี่ยวกับความสำคัญและ หลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก และนอกจากนั้นอาจารย์ยมยังได้ให้ประเด็นที่น่าสนใจหลายๆเรื่องซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับทั้งในชีวิตประจำวันและในหน้าที่การงาน ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจที่สุดสำหรับดิฉัน 3 หัวข้อคือ
1. การทำงานใดๆก็ตามเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาต้องเริ่มพิจารณาที่ตัวเองก่อนอย่าโทษคนอื่นเพื่อที่จะได้แก้ไขที่ตัวเราและเกิดการพัฒนา 2. การแก้ปัญหาต้องเริ่มแก้ที่สาเหตุ รากเหง้าของปัญหาอย่ามุ่งแก้ที่ตัวของปัญหาแต่เพียงอย่างเดียวจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง 3. ปัญหาขององค์กรต่างๆมีอยู่สองเรื่องคือ เรื่องระบบ และเรื่องคน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคนเนื่องจากคนเป็นกลไกในการขับเคลื่อนระบบ ถึงระบบจะดีแค่ไหนถ้าคนที่ควบคุมระบบไม่ดีก็ไม่สามารถทำให้องค์กรเจริญได้ สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์ยมเป็นอย่างมากที่เสียสละเวลามาให้ความรู้ และให้คำแนะนำตอบคำถามต่างๆของนักศึกษา และที่ขาดเสียไม่ได้คือขอบพระคุณ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่ได้เสียละเวลาวางแผนการสอนพวกเราเป็นอย่างดี ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ในการเรียนและการทำงานเป็นอย่างสูง
ผนแนะนำให้ศิษย์ เข้าไปศึกษาดูในบล๊อคอื่น ๆ ของ ศ.ดร.จีระ เช่น ที่ท่านไปสอน ป.โท ที่สวนสุนันทา ที่ ม.นานาชาติ สแตมฟอร์ ฯลฯ เพิ่มเติม ศึกษาดูสำนวนการเขียน สาระต่าง ๆ และฝึกเขียนบล๊อคให้มากที่สุด เพื่อสะสมทุนทางความรู้ +ทุนทาง IT เอาไว้ให้มาก ๆ
ขอให้นักศึกษาโชคดี
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ / ศิษย์ที่เรียน ป.โท/และท่านผู้อ่านทุกท่าน
ขณะนี้ มี Outstanding Student ในเรื่องของความรวดเร็วในการเขียน บล็อก แชร์ความรู้ประสบการณ์ ว
ผมเคยได้ยินสุภาษิตจีนมานานแล้วว่า “คนทำอะไรเร็ว กินเร็ว เดินเร็ว พูดเร็ว ทำงานเร็ว คน ๆ นั้นโดยพื้นฐานมักจะเป็นคนขยัน ตื่นตัว
คนเก่งมักจะมีคุณลักษณะประการหนึ่ง ในหลาย ๆ ประการ คือ เร็ว จึงอาจกล่าวได้ว่า นักศึกษาทั้ง 4 ท่าน เป็นคนเก่ง
อย่างไรก็ตาม อาจมีคนเก่งอยู่ในกลุ่มอีกหลายคน ที่กำลังทบทวนร่างที่ตนเอง เตรียมเขียนมาแชร์ความรู้อยู่ ผมทบทวนประเด็นที่แนะนำเกี่ยวกับการเขียน บล็อกว่า ให้ใช้ตัวอักษร แบบ Tahoma ขนาด 14-16 ส่วนที่เป็น หัวข้อควรใช้ตัวอักษรหนา ใช้สีเข้ม ก่อนนำมาวางลงในบล็อกให้ตรวจสำนวน คำผิด แก้ไขให้เรียบร่อยก่อน จึงนำมาวางในบล็อก
ในส่วนเนื้อหา ควรเฉียบ คม ชัด ลึก ตรงประเด็น ให้ครอบคลุมว่า เรียนกับผม ได้ประเด็นอะไร โป๊ะเฉ๊ะ ! หมายถึง ใช่เลย เรื่องนี้ ตรงใจมาก ไม่ต้องลงรายละเอียดในการเรียนการสอน เอาประเด็นที่คิดว่าตนเองได้ข้อคิด สัก 3 ประเด็นเป็นอย่างน้อย และจะนำไปใช้พัฒนาตน พัฒนาคน พัฒนางาน พัฒนาระบบอย่างไร
ตัวอย่างหนึ่ง คือมีนักศึกษาคนหนึ่งเขียนอีเมล์สั้นกระฉับตรงประเด็น คือ "ประเด็นที่ได้ นอกเหนือจากวิชาการด้าน HRM คือ อาจารย์ถาม ว่า พวกเรา เรียน ป.โท นี้ ต้องเรียนกี่วิชา ตั้งเป้าประสงค์ที่จะมีผลการเรียนดีเยี่ยม(A) กี่วิชา มียุทธวิธีไปสู่เป้าประสงค์นั้นอย่างไร มีการเตรียมกาย เตรียมใจอย่างไร "
คำถามนี้ ไม่เคยมีใครถาม และก็ไม่ได้คิดไว้ด้วย แต่พอได้ฟังคำถามแล้ว รู้สึกกระตุ้นสติ ทำให้เกิดปัญญา ว่า ต้องตื่นตัว ต้องมีแผน ต้องทำตามแผน ต้องตรวจสอบผล และต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ สำคัญ ได้ประเด็นนี้ไป นอกเหนือจากวิชาการ"
ขอชื่นชม ศิษย์ที่มีบุญทั้งหลาย ขอให้ตั้งใจเขียนให้ดี โอกาสต่อไป จะได้แนะนำให้ว่า มีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร และควรมียุทธศาสตร์อย่างไร
ผนแนะนำให้ศิษย์ เข้าไปศึกษาดูในบล๊อคอื่น ๆ ของ ศ.ดร.จีระ เช่น ที่ท่านไปสอน ป.โท ที่สวนสุนันทา ที่ ม.นานาชาติ สแตมฟอร์ ฯลฯ เพิ่มเติม
ควรศึกษาดูสำนวนการเขียน สาระต่าง ๆ และฝึกเขียนบล๊อคให้มากที่สุด เพื่อสะสมทุนทางความรู้ +ทุนทาง IT เอาไว้ให้มาก ๆ
ขอให้นักศึกษาโชคดี
ซึ่งการจะทำให้ประสบความสำเร็จดังกล่าวได้นั้นควรจะต้องมีการนำหลักการบริหารแบบHRMมาใช้มากกว่าแบบ Personel administration เพราะหลักการดังกล่าวจะเน้นการดูแลให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์มากกว่า ซึ่งจะทำให้บุคลากรที่อยู่ในองค์นั้นๆมีศักยภาพในการทำงานและยินดีที่จะทำงานเต็มความสามารถให้กับองค์กร ทำให้องค์กรนั้นๆมีการพัฒนาไปในทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่สำคัญที่สุดของการที่จะทำให้เกิดการบริหารที่มีหลักการHRMได้นั้น ต้องเริ่มที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต้องมีนโยบายและเป็นผู้ริเริ่มที่จะทำ เพราะถ้าหากหน่วยงานต่างๆต้องการจะทำแต่ผู้บริหารระดับสูงไม่เห็นด้วยก็คงจะเกิดระบบนี้ได้ยาก ซึ่งเป็นหน้าที่หลักที่ทางฝ่ายบุคคล จะต้องดำเนินการเป็นอันดับแรก เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนที่วางไว้เดินต่อไปได้
นอกจากนี้สิ่งที่ดิฉันได้รับเพิ่มเติมนอกเหนือจากความรู้ทางด้านHRแล้ว อาจารย์ยังได้พูดถึงการทำงานหรือการเรียนที่ดีอีกว่า ควรจะต้องมีการวางแผนและกำหนดเป้าหมายในการเรียน เพื่อที่เราจะได้ไม่เสียเวลาและเสียโอกาสที่ดีๆไปขอขอบคุณอาจารย์ยมไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
6. นี่แหละค่ะที่ดิฉันคิดว่า ถึงจะเป็นหัวหน้าที่ดีได้ ซึ่ง ดิฉันก็นำมาปฏิบัติแต่ก็ยอมรับค่ะ ว่าไม่ได้ 100 % ซึ่งก็มีปัญหาอย่างอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย
สรุป จากหัวข้อต่างๆที่กล่าวมา ก็เกิดจากวิธีสร้างอำนาจของผู้บริหารที่ดี หรือ อำนาจทั้ง 5 ในอย่างต่ำ 8 ชั่วโมง / วัน มีดังนี้1) อำนาจสร้างด้วยการให้2) อำนาจสร้างด้วยการติ3) อำนาจสร้างด้วยการเป็นผู้รู้มากกว่า4) อำนาจสร้างด้วยการอ้างอิง5) อำนาจนิติกรรม ขอบคุณค่ะ น.ส. สุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ รหัสนักศึกษา 50066215จากการเรียนวิชา HR เมื่อวันที่ 8/7/50 ซึ่งอาจารย์ยมได้มาสอนและถ่ายทอดความรู้ในเรื่อง” ภาพรวมการบริหารทรัพยากรมนุษย์” มีดังนี้
· ความสำคัญของ HRM หลังจากได้เรียนรู้และได้ตระหนักว่า HRM นั้นมีความสำคัญ มีประเด็น ดังนี้
1. HRM เป็นระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ดีในปัจจุบัน กล่าวคือ เป็นระบบที่มีการดูแลคนเหมือนคนในครอบครัว ที่ต้องให้ความรัก,ความเอาใจใส่และห่วงใยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่างจากระบบ Personnel Management ที่เป็นการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มองคนเป็นแค่สินค้า หรือเครื่องจักร ที่ยิ่งนานวันจะเสื่อมลง เท่านั้น ให้แต่ค่าจ้าง เมื่อรับเข้ามาและก็ให้ออกไป ซึ่งไม่ให้ความสำคัญกับคน แต่เน้นความต้องการผลิตสินค้าให้ปริมาณมาก กล่าวคือ คิดวิธีหรือทำยังไงก็ได้ให้ได้ product ที่มากที่สุด ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ได้เจอมากับตนเอง รู้สึกถึงไม่มีความรู้สีกที่ดีกับองค์กรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารและผู้จัดการ
ที่ใช้ระบบแบบนี้ ปัญญาที่พบคือ ภาวะสมองไหล พนักงานตั้งแต่ระดับพนักงานถึงระดับผจกฝ่าย เกิดการเข้า-ออก อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของ ระบบคุณภาพต่างๆของบริษัท ไม่แข็งแรงพบจุดบอดต่างๆมากมาย ไม่มีบุคลากรที่มีคุณสมบัติหรือความสามารถมากพอที่จะทำให้องค์กรเติบโตไปได้ และฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคลไม่มีความใส่ใจหรือดูแลพนักงานในองค์กรเลย เขียนเป็นแผนแต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติกับพนักงานในองค์กร ซึ่งการใช้ระบบ HRM นั้นจะต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้และความใส่ใจ เข้าใจกับระบบนี้และให้ความสำคัญกับระบบ HRM เป็นอย่างดี สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ต้องมีการลงทุนกับคนสูงกว่า Personnel Management เพราะ ระบบ HRM เป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับคนเป็นอันดับแรก เพราะถ้าในองค์กรขาดคนที่เป็นทั้งคนเก่งและคนดีนั้น ก็จะไม่สามารถทำให้องค์กรนั้นประสบความสำเร็จหรือเติบโตต่อไปได้ และเป็นระบบที่ต้องใช้ปัจจัยต่างๆมากมายที่จะ support ได้ที่เป็นสิ่งสำคัญและหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยไม่คร่องตัว ทำให้องค์กรต่างๆ เกิดการ save cost เกิดขึ้น ทำให้ทุกองค์กรไม่สามารถใช้ระบบ HRM นี้ได้
2. กับประเด็นที่ว่าการทำงานกับองค์กรนั้น ระยะเวลาในการทำงานกับองค์กรไม่ใช่สิ่งสำคัญ ซึ่งดิฉันเห็นด้วยกับอาจารย์เป็นอย่างยิ่งและโป๊ะเฉ๊ะ เป็นอย่างมาก เพราะ ต้องพิจารณาอย่างอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย เช่น บุคคลนั้นได้มีการทำงานอะไรให้กับองค์กรบ้าง และ บุคคลนั้นอาจต้องการทำงานที่ท้าทายและใช้เวลากับองค์กรนั้นไม่มากนักหรือไม่ยึดติดกับองค์กรนั้นไปตลอดชีวิต เพื่อที่จะนำประสบการณ์ไปต่อยอดกับการดำเนินชีวิตของตนเองและครอบครัวต่อไปได้ คนที่ทำงานดีหรือมี talent ไม่จำเป็นต้องอยู่นาน เพราะบางคนอยู่ในองค์นานเป็น 10 ปี แต่อาจมีผลงาน สู้คนที่อยู่ 1-3 ปี ไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Master ที่ใช้ฝีมือตนเอง ไม่ได้ copy มากจากของคนอื่น และผู้บริหารต้องมาพิจารณาด้วยว่า บุคคลนั้นได้ทำอะไรให้องค์กรบ้าง ควรให้ผลตอบกับเขาที่ทำงานให้กับบริษัทอย่างเต็มที่และจะทำให้เกิดความรู้สึกและผูกผันเหมือนบริษัทเป็นครอบครัวแห่งที่ 2
· ปัญญาที่พบด้าน “คน “ จากประสบการณ์ของดิฉัน มีประเด็น ดังนี้
1. การบ้าอำนาจ หัวหน้างานใช้แต่อำนาจอย่างเดียว ไม่มีความรักและความจริงใจให้กับลูกน้อง หวังผลประโยชน์ฝ่ายเดียว ทำให้ลูกน้องไม่เกิดความศรัทธา เคารพ นับถือและให้เกรียติ กล่าวคือ ไม่มีบารมี
2. ใช้คนคุ้มมาก กล่าวคือ ทำงานเกินกำลังที่จะทำไหว ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและทำให้ทำงานได้ไม่ดีและผิดพลาดขึ้นบ่อย
3. ลด O.T. กับพนักงาน แต่งานต้องเสร็จเรียบร้อย ซึ่งทำได้ยากและทำให้พนักงานเกิดความเครียด และไม่มีความสุขกับการทำงาน
4. กดกันกับลูกน้องตลอดเวลา ไม่ใจกว้างกับลูกน้อง ต้องมีผลประโยชน์มาแลกเปลี่ยนเสมอ อิจฉาลูกน้อง ไม่ส่งเสริมหรือพัฒนาลูกน้อง กล่าวคือ ส่งเสริมตนเองและพัฒนา traing ตนเอง
5. ตามความคิดของดิฉัน คิดว่า ผู้บริหารที่ดีควรที่จะ ให้ กับลูกน้องมากๆ เช่น ความรู้เกี่ยวกับงาน แก้ปัญหาให้กับลูกน้องได้ และควรเห็น ลูกน้องเป็นคนในครอบครัว เช่น พี่น้อง ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานที่มีความสุขทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่นด้วย เมื่อลูกน้องทำผิดสามารถตำหนิได้แต่ไม่ควรโยนความผิดให้เขา หัวหน้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบด้วย ต้องให้เกรียติกับลูกน้องเป็นอย่างมากห้ามดูถูกคนเป็นเด็ดขาดถึงการศึกษาจะต่ำกว่าเราก็ตาม เพราะเราทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน
6. นี่แหละค่ะที่ดิฉันคิดว่า ถึงจะเป็นหัวหน้าที่ดีได้ ซึ่ง ดิฉันก็นำมาปฏิบัติแต่ก็ยอมรับค่ะ ว่าไม่ได้ 100 % ซึ่งก็มีปัญหาอย่างอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย
สรุป จากหัวข้อต่างๆที่กล่าวมา ก็เกิดจากวิธีสร้างอำนาจของผู้บริหารที่ดี หรือ อำนาจทั้ง 5 ในอย่างต่ำ 8 ชั่วโมง / วัน มีดังนี้1) อำนาจสร้างด้วยการให้2) อำนาจสร้างด้วยการติ3) อำนาจสร้างด้วยการเป็นผู้รู้มากกว่า4) อำนาจสร้างด้วยการอ้างอิง5) อำนาจนิติกรรม ขอบคุณค่ะ น.ส. สุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ รหัสนักศึกษา 50066215
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงลดารมภ์ อาจารย์ยม นาคสุข และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
จากที่ได้เรียนในวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เวลา 9.00 – 13.00 น. เรื่อง ภาพรวมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นการเรียนครั้งแรกกับอาจารย์ยม รู้สึกชื่นชอบบรรยากาศในการเรียนเป็นอย่างมาก เนื้อหาที่เรียนที่ดิฉันจับประเด็นได้หลักๆ 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก การวางแผน วางยุทธศาสตร์ คือ การจะทำอะไรต้องมีการวางแผนล่วงหน้า อย่างที่ท่านอาจารย์ถามนักศึกษาเกี่ยวกับการเก็บ A ของแต่ละคน ต้องมีการวางแผนในการเรียน วางยุทธศาสตร์ไว้ก่อน แล้วพยายามปฏิบัติให้ได้ตามแผนนั้น
ประเด็นที่สอง การแก้ปัญหาต้องแก้จากสาเหตุ ศึกษาถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา อย่ามองข้ามตนเอง ถ้าปัญหาเกิดจากตนเองก็ต้องแก้ก่อนที่จะไปกล่าวโทษคนอื่น
ประเด็นที่สาม การบริหารจัดการคนเก่ง ให้ทั้งเก่งและมีคุณธรรม จริยธรรม ทำการวิเคราะห์คนเก่ง ถ้าเป็นคนเก่งแต่อ่อนด้านความดี ต้องเร่งการพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม เพื่อเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าขององค์กร
จากประเด็นที่สรุปได้ทั้งสาม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารตนเองและบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์กร มองภาพให้กว้างขึ้น มี Positive thinking อีกทั้ง ยังได้รับความรู้เพิ่มเติมจากการตอบคำถามของท่านอาจารย์ยมที่นักศึกษาร่วมกันถาม ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ยมมากค่ะกราบเรียนศ.ดร.จีระ , อาจารย์ยม และท่านผู้อ่านblogทุกท่าน ดิฉันนางสาวอรนุช หล่ำสกุลไพศาล นักศึกษาระดับปริญญาโทสาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. จากการที่ได้มีโอกาสได้ฟังการบรรยายของอาจารย์ยมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ความรู้ที่ได้รับจากการเรียนวิชา HR ซึ่งอาจารย์ยมได้มาสอนและถ่ายทอดความรู้ในเรื่อง”ภาพรวมการบริหารทรัพยากรมนุษย์” มีดังนี้
หลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์
· Personnel administration กับ HR management ต่างกันตรงที่
Personnel administration | HR management |
1. มอง คน เป็นต้นทุน2. เริ่มดูแล คน เหล่านั้นต่อเมื่อเขาเหล่านั้นได้เข้าเป็นพนักงานขององค์กรแล้ว ในช่วงการทดลองงานจะยังไม่มีการดูแล และจะดูแลตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงวันสุดท้ายของการจ้างงาน3. กระบวนการทำงานด้านคน เน้นตามเอกสารทั้งการควบคุมขาด ลา มาสาย การจ่ายค่าจ้าง และจัดหาคนตามความต้องการ เน้นปริมาณ ไม่สนใจเรื่องแรงงานสัมพันธ์ | 1. มองคนเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า2. เริ่มดูแลคนตั้งแต่เข้างาน แม้จะอยู่ในช่วงการทดลองงาน จนถึงหลังการทำงาน รวมถึงมุ่งพัฒนาให้เกิดการมีส่วนร่วม รวมถึงสร้างวัฒนธรรม ปรับทัศนคติ ค่านิยมของพนักงาน ให้ตรงกัน 3. การคัดเลือก สรรหาจะมีการวางแผน มีการกำหนดสมรรถนะ และคุณสมบัติตามลักษณะงาน เน้นกระบวนการทำงานที่สอดคล้องกับโครงสร้าง กลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ขององค์กร |
การพัฒนาบุคลากร คือต้องดูว่าองค์กรเรามีคนเก่งกี่เปอร์เซ็นต์ และเรื่องที่สองต้องดูว่าเขาอ่อนอะไร แล้วจึงเสริมให้เขา อย่างความรู้ ทัศนะคติ คุณธรรม ถามตัวเองว่าเคยเสริมให้เขาหรือไม่ แล้วทำไมถึงไม่ทำ สิ่งที่สำคัญคือก่อนที่เราจะ Change คนอื่น เราต้อง Positive ก่อน เมื่ออาจารย์พูดถึงเรื่อง การคิดบวก จึงถามตัวเองทันทีว่าเราไม่เคยคิดถึงเรื่องการคิดบวกเลย ยอมรับว่าตอนที่อาจารย์ยม พูดถึงเรื่องนี้ งง ว่าจำเป็นด้วยหรือ เมื่อทบทวนดูแล้วจึงรู้ว่าเมื่อลองคิดบวกกับคนที่ร่วมงานด้วยในช่วงวันจันทร์-อังคารที่ผ่านมานี้ ทำให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
การติเพื่อก่อ ถือเป็นเทคนิคหนึ่ง คือควรทำโดยทันทีเมื่อลูกน้องทำผิด ด่าคนให้เพราะ ติเพื่อก่อ ติเพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ อาจใช้อำนาจอ้างอิง อำนาจทางนิติกรรม โดยให้โอกาส ความรู้ ให้อภัย ให้คุณ ให้โทษ บริหารเขาเหมือนลูกและน้องให้ความเป็นกันเอง แต่ก่อนอื่นการที่เราจะเป็นผู้นำ จะติเขาได้ต้องรู้ให้มากกว่าลูกน้อง ต้องดูว่าลูกน้องมีจุดอ่อนอะไร แล้วนำจุดอ่อนเหล่านั้นทำเป็นจุดแข็งของเรา ช่วงท้ายชั่วโมง อาจารย์ยมได้ย้ำว่าการจะทำอะไรต้องมีทุนความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม มีปัญญา มีทุนทาง IT รู้จักพอประมาณ ไม่ทำอะไรเกินตัว ทำแล้วต้องยั่งยืน ตามทฤษฏี 8 K’s ของท่านอาจารย์จีระคนเกิดความสุข ( ทุนแห่งความสุข ) ทั้งในด้านของลูกจ้าง และองค์กร
ดังนั้นในการใส่แรงหรือหมุนเฟืองนั้นจะต้องใช้ความรู้ความเข้าใจอย่างดีเพื่อที่ให้แรงหรือเฟืองนั้นหมุนไปอย่างเป็นไปอย่างมีระบบสมดุลและต่อเนื่อง 2.หลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ดีจากแนวความคิดเรื่องแรงหรือเฟืองที่ขับเคลื่อนองค์กรที่ต้องใช้เทคนิคและความรู้ความเข้าใจการการผลักหรือหมุนเฟืองนั้นนอกจากจะต้องรู้จังหวะในการใส่แรงหรือผ่อนแรงว่าจังหวะแบบนี้ควรที่จะต้องใส่แรงอย่างไรตลอดจนถึงต้องเป็นแรงที่ถูกต้อง สมดุลเพื่อให้แรงหรือเฟืองนั้นหมุนไปอย่างถูกทิศ ถูกที่ ถูกเวลา ด้วยจึงจะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
3.การนำแนวความคิดไปประยุกต์ใช้จากแนวความคิดที่ท่านอาจารย์ทั้งสองแนะนำและให้ความรู้กับผมและเพื่อนๆทำให้ผมนึกถึงและย้อนกลับมามองในเนื้องานที่ผมทำอยู่นั้นมีการพัฒนาด้าน HR หรือเป็นเพียงแค่ PA ธรรมดาเทียบกับแนวความคิดที่ผมได้มานั่นก็คือการใส่แรงหรือเฟืองไปถูกต้องหรือไม่
ซึ่งในการทำงานร่วมกันของทีมงานหรือองค์กรของผมจะยึดถือนโยบายหลัก ก็คือ
นโยบาย 3 T เพื่อเป็นตัวกำหนดให้พนักงานและองค์กรสามารถบรรลุจุดประสงค์ร่วมกันได้นั่นก็คือ
· Trust· Transparency · Team workและยังมีสิ่งที่จะต้องยึดมั่นไว้ในใจ
( Keep in mine ) อีก 4 C นั่นคือ
· Clean & Clear· Compromises · Communication · Control สรุปก็คือจริงๆแล้วนโยบาย 3 T และ 4 C นั้นก็เป็นการพัฒนาทางด้าน HR อย่างหนึ่งเพียงแต่ที่ผ่านมาผมมองสิง่เหล่านี้เป็นแค่ Tool อย่างหนึ่งในการทำงานแค่นั้น ซึ่งจากการถ้าไม่ได้รับคำแนะนำจากท่านอาจารย์ทั้งสองแล้วผิดก็คงยังไม่สามารถเกิดภาพและสามารถเชื่อมโยงในแนวความคิดในเรื่อง HR ได้แบบนี้ว่าที่จริงแล้วสิ่งที่ดำเนินการทำอยู่แล้วนั้นล้วนแล้วแต่พูดถึงเรื่องคนทั้งสิ้น และเป็นการปรับในแง่ทัศนคติของผู้ทำงาน เพื่อให้เกิดความสุขของผู้ทำงานและการประสบความสำเร็จขององค์กร ซึ่งหลังจากนี้ผมจะนำความรู้ที่ได้จากท่านอาจารย์ทั้งสองท่านมาพัฒนาและปรับใช้ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมขอขอบพระคุณครับ
เรียนท่านศ.ดร.จีระ ท่านอาจารย์ยม ท่านผู้อ่าน และเพื่อนนศ.ปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารทุกท่าน
ดิฉันนางสาวสุพิชฌาย์ หนูขาว นศ.ปริญญาโท สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง สาขาวิชาบริหารธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ดิฉันรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ท่านอ.ยมได้สละเวลาอันมีค่ามาสอนวิชาบริหารทรัพยากรมนุษย์ในขอบข่ายที่มองเห็นภาพและเข้าใจง่ายมาก ท่านอ.ยมเตรียมตัวมาสอนพวกเราดีมาก ๆ ท่านเตรียมสไลด์มามากกว่า 100 สไลด์ แต่ก็มีข้อจำกัดทางด้านเวลาส่วนเนื้อหาที่คุยกันนั้นตามความเข้าใจของดิฉันมี 3 ประเด็น ดังนี้
1. Persernal Administion กับพัฒนาการไปสู่ Human Resources.Persernal คือ มีหน้าที่ในการสรรหาคัดเลือก คิดเวลาพนักงานเข้า – ออก ลางาน คัดเลือก ส่งสายการผลิต เมื่อเซ็นต์สัญญาว่าจ้างแล้วเริ่มดูแลพนักงาน ส่วน Human Resources คือ เริ่มดูแลตั้งแต่เรียน ปรับปรุงบุคลากรให้มความรู้ความสามารถ ดูแลลูกหลาน กระตุ้นให้อยากอยู่ต่อ มีบ้านพัก สวัสดิการให้ Out sources เริ่มตั้งแต่ Input Process Output เน้นภาพลักษณ์บริษัท เน้นธรรมาภิบาล คุณธรรม จริยธรรม
ทั้งภาครัฐและเอกชนมีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ
2. การบริหารทรัพยากรมนูษย์ควรเริ่มจากครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญพ่อแม่ให้ความรู้ทางปัญญา และความรู้ทางอารมณ์ กับเด็ก ต่อมาก็ที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย องค์กร(ที่ทำงาน) ต้องให้เขาได้รับการฝึกอบรมที่ดีตลอด ในองค์กรต้องมียุทธศาสตร์1. พัฒนาความรู้ – ความสามารถ 2. พัฒนาทัศนคติ 3. พัฒนาจิตใจ หลักในการเปลี่ยนคน Change ต้องมี Positive Thinking เชื่อว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนดีได้ เขาทุกคนต้องการอะไร ตามปัจจัยทฤษฎี มัสโลว์ กำหนดยุทธศาสตร์ปัจจัยที่ต้องการตามหลักปัจจัย 4 กิน ใช้ นุ่งห่ม รักษาโรค สนองความต้องการให้แก่เขา สิ่งเหล่านี้ส่งผลไปถึง Human Capital Managment. ด้วย
3. ทรัพยากรมนุษย์กับบริษัทผลิตอาหาร เน้นคุณภาพด้านพัฒนาคน เป็นปัจจัยหลัก คน(พนักงาน) ต้องมีคุณภาพก่อนอาหาร 1.บริหารทัศนคติ 2. พัฒนาความรู้ 3. พัฒนาจิตใจ แล้วคุณภาพงานก็จะตามมา “ องค์กรที่ดีจะดูที่คนก่อนที่จะดูที่ผลกำไร “
“ องค์กรที่โง่จะดูที่ผลกำไรก่อนถึงจะดูคน “ การบริหารงานบุคคลที่ดี 1. รู้จักบริหารตนเองก่อน รับกรอบความคิดใหม่ๆ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ 2. ปัญหาต้องแก้ที่ตัวเราก่อน 3. องค์กรที่ยิ่งใหญ่มักมีผู้นำที่ดีมีปัญหาปุ๊บแก้ปัญหาปั๊บมองให้ลึก แก้ปัญหาที่สาเหตุ มองที่ตัวของปัญหา 4. ตั้งคำถาม Why 5 Why 5. การติดตามผลงานที่ได้รับการฝึกอบรมไป ทำให้คุณ ไม่ทำให้โทษ มีระเบียบในองค์กร ระบบงานผู้นำที่ดี 1. ใหึความเป็นกันเอง ให้โอกาส ให้ความรู้ ให้อภัย ลูก + น้อง เราต้องบริหารเหมือนลูก เหมือนน้องของเรา 2. ติ ถ้าลูกน้องทำผิดต้องเรียกติ ถ้าไม่ติคุณก็จะบกพร่องในหน้าที่ เช่นบัตรพนักงานไม่ติด ก็ต้องตักเตือนด้วยความละมุนละม่อม อาจจะพูดตักเตือนแต่ยิ้มด้วย 3. เป็นผู้รู้มาก รู้อะไรแล้วต้องรู้ให้มากกว่า ลูกน้องมีจุดอ่อนอะไรต้องแสวงหาเอามาเป็นจุดแข็งของเราซะ 4. อำนาจต้องอ้างอิง อาจจะอ้างอิงถึงผู้บังคับบัญชาบ้าง เจ้านายบ้าง 5. อำนาจทางนิติกรรม แจ้งข่าวสาร จดหมาย ออกจดหมาย ประกาศแจ้งพนักงาน วางแผนการทำงาน Managment by working around. การบริหารคนไม่ใช่เรื่องยากและก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่เราต้องพัฒนาทัศนคติให้ถาวร มีทัศนคติทางจิตใจ รู้จักรักองค์กร ต้องพัฒนาเขาอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพต่องานในแต่ละแผนก ประเมินผลงานสม่ำเสมอให้ เป็นแรงผลักดัน ให้เขาเป็นคนดีมีคุณภาพได้เรียน ศ.ดร.จีระ อาจารย์ยม และทีมงาน(พี่เอ้ พี่เอ พี่นะ) ดิฉันรฐา จูจันทร์
ดิฉันต้องขอบคุณท่านอาจารย์และทีมงานทุกท่านค่ะที่สละเวลาของท่านมาให้ความรู้กับนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร แต่ดิฉันเป็นนักศึกษาคนหนึ่งที่ไม่มีบุญได้เรียนกับท่านอาจารย์ ถึงแม้จะไม่ได้เรียนกับท่านอาจารย์จนครบเทอมแต่ได้รับความรู้จากท่านอาจารย์อย่างมากในเรื่องแนวคิดที่ว่าคนเราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ซึ่งดิฉันจะนำไปใช้ปรับปรุงตัวเองให้ใฝ่รู้อยู่เสมอ และจะคอยติดตามข้อมูลข่าวสารใน www.chiraacademy.com เสมอ และดิฉันขอใช้เว็ปนี้เป็นสื่อกลางในการบอกลาเพื่อนๆ ขอให้เพื่อนๆ ทุกคนโชคดีนะค่ะ คงมีโอกาศได้เจอกันอีก ดีใจค่ะที่ได้มีโอกาศรู้จักกับทุกคน สู้ต่อไปนะค่ะ
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์จีระ ท่านอาจารย์ยม และทีมงานทุกท่านค่ะ
รฐา จูจันทร์
เรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์และอาจารย์ยม กระผม นายพัฒนา ปลอดภัยงาม นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขา การจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
HRM(Human Resource Management)
ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการคน
อันมีปัจจัยหลายอย่างที่จะทำให้เกิดความสำเร็จในการบริหาร
1.การสรรหาบุคลากรที่มีความเหมาะกับองค์กร
-ต้องหาคนที่มีความสามารถและมีความตั้งใจที่จะร่วมงานอย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการทำงาน
2.การพัฒนาศักยภาพในการทำงาน
-การหมุนเวียนงาน
-การปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานให้เหมาะสม
3.การปลูกฝังจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมหรือองค์กร
-เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานอย่างสูงสุด
4.การสร้างสิ่งจูงใจในการทำงาน
-สวัสดิการ
-รางวัล
-ตำแหน่ง
ทุกๆคนในองค์นั้นต่างต้องมุ่งไปในเป้าหมายเดียวกันและต้องวางแผนการที่จะไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างเป็นระบบร่วมกัน อาจต้องมีการตั้งกฎเกณฑ์ บทลงโทษ รางวัล เพื่อกระตุ้นให้ประสบความสำเร็จในองค์กร
แต่การจัดการทรัพยากรมนุษย์นั้นต้องพัฒนาไปทั้งระบบตั้งแต่ระดับถึงระดับบริหาร
แลและต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย และสังคม นั้น ๆ
"คน" เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุด
กราบเรียน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์ยม นาคสุข และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสุคนธ์ น้อยจินดา และนายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโทสาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
จากการที่อาจารย์ได้มอบหมายงานให้เราเลือกศึกษาทุนที่เราสนใจ คือ ทางดิฉันได้เลือก Talent capital ทุนทาง Knowledge, Skill และ Mindset ซึ่งอยู่ถัดจาก ทุนทางปัญญาถ้าดูตามแผนภาพต้นไม้ของท่านอาจารย์ยม เหตุผลที่สนใจในหัวข้อนี้เนื่องจากคิดว่า Talent capital เหมือนเป็นจุดต้นๆ ของการพัฒนาในด้านทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งถ้ามีทุนในข้อนี้แล้วย่อมจะพัฒนาทุนในข้ออื่นๆ ตามมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ซึ่ง Scope งานของเรา ก็จะแบ่งเป็น
ส่วนแรก คำนิยามของ Talent capital, Talent management ที่น่าสนใจ คือ Ed Michaels,Helen Handfield-Jones และ Beth Axelrod ให้นิยามไว้ว่า “ความเก่ง(Talent) หมายถึง บุคลากรที่มีความสำคัญต่องานซึ่งมีแนวคิดเชิงกลยุทธ์ที่แหลมคม มีความสามารถเป็นผู้นำ มีทักษะในการสื่อสารมีความสามารถในการจูงใจและแนะนำผู้อื่น ” และอีกท่าน คือ Schweyer เขียนในหนังสือชื่อ Talent Management Systems : Best Practices in Technology Solutions for Recruitment, Retention and Workforce Planning ให้นิยามของ Talent Management System (TMS) ว่า “ คือ กระบวนการวิเคราะห์และวางแผนอย่างเป็นระบบให้มีความสอดคล้องกันระหว่างการเสาะแสวงหาบุคลากร (sourcing) การคัดกรอง (screening) การคัดเลือก (selection) การกระจายไปทำงาน(deployment) การพัฒนา (development) ตลอดจนการรักษาให้คงอยู่กับองค์กร (retention) ของทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพและความสามารถระดับสูงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ”
ส่วนที่ 2 จะยกตัวอย่าง case studyที่ศึกษา เป็นของกรมราชทัณฑ์ ได้จัดโครงการค้นหาและพัฒนาผู้มีสมรรถนะสูง (Talent Management) เพื่อค้นหาข้าราชการที่มีความสามารถพิเศษหรือมีสมรรถนะสูงและเพื่อวางระบบการจัดทำแผนพัฒนาและฝึกอบรมข้าราชการที่มีความสามารถพิเศษ case study ที่สองบริษัท เครือซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) ซึ่งมีแนวคิดการบริหารจัดการคนเก่ง การสรรหาและคัดเลือกคนเก่ง การพัฒนาคนเก่ง การให้รางวัลคนเก่ง และการรักษาคนเก่ง และจะพยายามหา case study เพิ่มเติมอีก ส่วนที่ 3 เป็นการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของ Talent capital กับทุนอื่นๆ จึงขอความกรุณาท่านอาจารย์จีระ และอาจารย์ยม ช่วยให้คำแนะนำ หรือค้นคว้าเนื้อหาในตรงจุดไหนที่น่าสนใจเพิ่มเติม ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะและในเรื่อง Change management นั้นมีหลักการคือจะต้องมีความเข้าใจทั้งลูกน้องและหัวหน้ารวมถึงสภาวะการณ์ขององค์กรในขณะนั้นอย่างแท้จริง จึงจะสามารถบริหารจัดการกับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์ประกายที่ได้มาให้ความรู้แก่นักศึกษาในครั้งนี้ค่ะ
กราบเรียน ศ.ดร. จีระหงส์ลดารมภ์ อาจารย์ยม นาคสุข อาจารย์ประกาย ชลหาญ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2550 เรียนในหัวข้อ Change Management ของอาจารย์ประกาย ชลหาญ ซึ่งพอจับประเด็นสำคัญได้ดังนี้
ประเด็นแรก ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงมีทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในองค์กร ปัจจัยภายนอกองค์กร เช่น การเมือง สังคม สภาพเศรษฐกิจ คู่แข่ง เทคโนโลยี ภัยธรรมชาติ และปัจจัยจากภายในองค์กร เช่น ทิศทางทางธุรกิจ การเปลี่ยนเจ้าของกิจการ นโยบายในการทำงาน ซึ่งวิธีการบริหารจัดการที่ดี คือต้องสามารถประเมินปัญหา วินิจฉัยปัญหา และวางแผนรับการเปลี่ยนแปลง
ประเด็นที่สอง การบริหารจัดการในองค์กรมี 3 ลักษณะ คือ Manage up, Manage down และ Manage sideway ซึ่งส่วนที่บริหารยากที่สุด คือ Manage up หัวหน้าหรือผู้บริหาร เนื่องจากมีตำแหน่งสูงกว่าเรา ซึ่งท่านอาจารย์ได้แนะแนวทางในการบริหารจัดการหัวหน้า ต้องพยายามเข้าใจในสิ่งที่หัวหน้ารับผิดชอบ เข้าใจทิศทางขององค์กร และต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง เพื่อตอบสนองให้ตรงตามความต้องการของหัวหน้า(เฉพาะในสิ่งที่ถูกต้อง)
ประเด็นที่สาม ที่จะบริหารองค์กรเก่ง ต้องเก่งสองเรื่อง คือ 1. บัญชีการเงิน เป็นเรื่องสำคัญขององค์กรที่ต้องมีผู้รู้ และมีความสามารถในการบริหารจัดการ เพื่อเกิดประโยชน์และไม่เสียผลประโยชน์ของบริษัท 2. การบริหารจัดการคน จากที่เคยเรียนมาในครั้งแรกๆ แล้ว คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร หัวหน้าต้องเข้าใจว่าลูกน้องต้องการอะไร และมีวิธีการบริหารให้คนทำงาน จากการเรียนครั้งนี้ ทำให้ดิฉันทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จึงต้องต้องมีการวางแผนที่ดี เพื่อเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอขอบคุณท่านอาจารย์ประกายมากค่ะเรียน อ.จีระ , อ.ยม , อ.ประกาย , ทีมงาน Chira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เนื่องจากในวันที่ 15/7/50 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเรียนกับ อ. ประกาย ชลหาญ ในหัวข้อ " Change Management " ซึ่ง อ. ประกายจะเน้นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแชร์ประสบการณ์ ที่อาจารย์มีให้พวกเราฟัง ผมจะขอยกบางประเด็น ที่ อ.ประกายพูดถึงมาเล่าให้เพื่อนๆฟังดังนี้
1. ผู้บริหารที่ดี ต้องเก่ง 2 อย่าง คือ เก่งคน + เก่งการเงิน
โดยเก่งคน คือ ให้สอนงาน แจกจ่ายงานให้ลูกน้องทำงานได้ manage คนให้ได้ ถ้าลูกน้องเก่งแล้วเราจะทำงานสบายขึ้น
เก่งการเงิน คือ ให้รู้เรื่องและเข้าใจ finance ไว้ มากๆ เพราะเป็นปัจจัยหลักให้องค์การอยู่รอด
2. การบริหาร มี 3 ทาง คือ
- manage up ( บริหารหัวหน้า )
- manage down ( บริหารลูกน้อง )
- manage side way (บริหารเพื่อนร่วมงาน)
3. บทบาทของผู้นำมี 4 อย่าง คือ
- Pathfinder ( ชี้ทางให้คนเดิน )
- Aligning ( ชี้ให้ทุกคนเดินในทิศเดียวกัน )
- Empower ( กระจายอำนาจ )
- Role Model ( เป็นตัวอย่างที่ดี )
4. การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเราไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมไว้ โอกาสที่จะเจ็บมากกว่าคนอื่น ในยามที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาจะมีมาก ดังนั้นบริษัทที่จะประสบความสำเร็จคือ บริษัทที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดี และ manager ที่จะประสบความสำเร็จนั้น ต้องมองเห็นการเปลี่ยนแปลง และคิดวิธีที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้
อ.ประกาย ใช้ ทฤษฎี 4 L's ในการสร้างให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี สิ่งต่างๆที่ อ. สอน ผมจะนำไปพิจารณา และประยุกต์ใช้ต่อไปครับ
ขอบคุณครับ
|
เรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และอาจารย์ประกาย
สิ่งที่ได้รับจากการเรียนในวันที่ 15 ก.ค.นั้น คือ ทฤษฎี 3 วงกลม ได้แก่ Leader Follower และ Environment ว่ามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้องในทุกองค์กร
ในการบริหารจัดการต้องบริหารงานทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ ซึ่งมีทั้งเจ้านายและลูกน้องในแนวดิ่ง
ส่วนในแนวราบก็มีผู้ร่วมงาน ซึ่งต่างคนก็มาจากต่างสังคม ครอบครัว ทำให้เกิดความคิดเห็นไม่ตรงกัน ทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้ แต่ผมคิดว่าการที่จะป้องกันสิ่งเหล่านี้ ต้องมาจากตัวเราเองก่อน
เช่นถ้าเพื่อนร่วมงานนั้นพยายามที่จะให้ร้าย ต่อว่าเรา เนื่องจากมีความไม่ชอบเป็นการส่วนตัว เราก็หาทางที่จะหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเกินไปก็ควรหาทางแก้ไขหรือการตอบโต้
ควรใช้หลักคุณธรรม
เรียน ศ.ดร.จีระ อาจารย์ ยม อาจารย์ประกาย ทีมงาน ChiraAcademy และผู้อ่านทุกๆท่านเนื่องจากในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาส ในการได้เรียนกับ อาจารย์ประกาย ทำให้ได้รับความรู้จากประสบการณ์การทำงานในด้านการบริหารงานด้านทรัพยากรมนุษย์จากท่านอาจารย์ และได้แลกเปลี่ยนมุมมองในด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ และด้านการดำเนินธุรกิจ ซึ่งมีหัวข้อหลักที่มาแลกเปลี่ยนก็คือเรื่อง
Change Management โดยบรรยากาศ
ในการเรียนนั้นมีความเป็นกันเองและผ่อนคลาย ทำให้ได้รับความรู้อย่างมาก ส่วนความรู้ที่ได้รับมีประเด็นหลักดังนี้เรียน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมและคุณประกาย ชลหาญ ดิฉันนางสาววรนรี พันธุสังข์ นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฏาคม 2550 ในชั่วโมงเรียนของพวกเราคณะนักศึกษาปริญญาโท เป็นอีกครั้งที่ท่านอาจารย์จีระได้ให้พวกเราได้มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดจากท่านผู้มีประสบการณ์เพิ่มอีกท่านหนึ่ง ซึ่งจากการเรียนในครั้งนี้คุณประกายได้ให้แง่คิดต่างๆ โดยในช่วงแรกได้อธิบายพร้อมทั้งยกตัวอย่างในการบริหารจัดการและการเป็นผู้นำในองค์กรโดยทั่วๆไปให้แก่พวกเราอย่างง่ายๆและสามารถนำไปคิดวิเคราะห์เปรียบเทียบจากสิ่งที่เจอจากชีวิตการทำงานจริงในปัจจุบันได้จริงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนที่จะบริหารองค์กรต้องเก่ง 2 เรื่อง คือ 1 เก่งบริหารจัดการคน และ 2 ต้องเก่งบัญชีและการเงิน ซึ่งในการบริหารงานจะดีไม่ได้หากเราบริหารงานด้วยความกลัว นอกจากนี้แล้วยังมีประเด็นองค์ประกอบที่ต้องพิจารณาอยู่ตลอดเวลาในส่วนของ Leadership & Management อยู่ 3 องค์ประกอบที่มีความสำคัญและเกี่ยวเนื่องกันเป็นลักษณะวงกลม 3 อัน 1 Leader 2. Follower และ 3 Environment ทั้งนี้เมื่อเราได้พิจารณาจริงๆแล้วจะพบว่าในการบริหารในองค์กรนั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 Level คือ
ทั้งนี้ไม่ว่าจะบริหารกับระดับใดก็แล้วแต่เราต้องรู้จักที่จะเข้าใจถึงภาวะการเป็นผู้นำและสิ่งแวดล้อม ต้องพยายามเข้าใจในบทบาทและสิ่งที่ระดับสูงกว่าทำ มีความเข้าใจใน Policy ของบริษัท เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานเป็นทีม และที่สำคัญต้องรู้จักพร้อมที่จะเปิดและบริหารการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงได้ ต้องรู้จักหน้าที่ของผู้บริหาร คือต้องทำให้คนทำงานให้เป็นซึ่งการที่เราจะทำให้คนทำงานหนึ่งๆได้นั้นต้องทำให้เค้ามี 2 สิ่งสำคัญในตัว คือ
1. Ability การที่เราจะทำให้เกิด Skill และ Knowledge ได้เราต้องรู้จักสอนงานสร้างความท้าทายเพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งจุดนี้ในการทำงานจริงของดิฉันที่ได้ทำอยู่พบว่าหลังจากที่ทำไปแล้วเป็นการสร้าง Ability ให้เกิดขึ้นได้อย่างดี
2. Motivation ก่อนที่เราจะดำเนินในส่วนนี้ได้เราต้องเริ่มจากเรียนรู้ก่อนว่าลูกน้องหรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเรานั้นต้องการอะไร และทำให้เกิดความเข้าใจต่อทิศทางขององค์กร
จากระบบวิธีการคิดต่างๆกับการที่เราจะรู้จักบริหารในองค์กรดังที่คุณประกายให้แนวคิดแก่ดิฉันและเพื่อนๆเหล่านี้นั้นสิ่งที่มีความสำคัญและสร้างการประสบความสำเร็จในการบริหารในองค์กรที่เราต้องปรับปรุงต้องเข้าใจและรู้เท่าทันได้อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้บริหารต้องมีคือ Change Management ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยนซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 ทาง คือ ภายนอก เช่นจาก คู่แข่ง การเมือง เทคโนโลยี เศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ สังคม เป็นต้น และภายใน เช่นการเปลี่ยนแปลงทิศทางของธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงนโยบาย การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร ระบบงานเป็นต้นทั้งหมดนี้ดิฉันคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อดิฉันเป็นอย่างยิ่งจากการที่ได้ฟังประสบการณ์ การอธิบายต่างๆ ของคุณประกายที่ได้สละเวลามาถ่ายทอดให้ดิฉันและเพื่อนๆ เพราะเมื่อได้พิจารณาย้อนกลับไปที่การทำงาน บางอย่างเป็นสิ่งที่เคยประสบ หรือกำลังประสบอยู่สามารถนำไปใช้ได้จริงเข้าใจทิศทางและคิดอย่างเป็นระบบเป็นหลักการมากขึ้นตลอดจนดิฉันคิดว่าจะสามารถนำไปประยุกต์หรือต่อยอดได้มากทีเดียว
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2550 จากการได้เรียนกับอาจารย์ประกาย ชลหาญ รู้สึกชอบกับการ style การสอนของ อาจารย์เป็นอย่างมาก , ได้รับความรู้ต่างๆมากมาย และได้รับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับอ. ประกาย รู้สึกสนุก กับการสอนของ อ. อีกแบบนึงที่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างมากมาย สามารถนำมาใช้ในชีวิตของตนเองและแฝงข้อคิดต่างๆเอาไว้ให้ต่อยอดต่อไป เช่น ให้ศึกษาบุคคลที่มีความสามารถว่าเขามีหลักการปฏิบัติอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จในธุรกิจ, ต้องรู้ว่าองค์กรที่สำคัญที่สุดว่าสายงานไหนสำคัญที่สุด เพื่อsupport ให้ธุรกิจเติบโต เจริญรุ่งเรือง, ยั่งยืนได้ เป็นต้น การที่นำมาใช้ในการบริหารของผู้บริหารต้อง motivate ลูกน้องให้ได้ ก่อน motivate คนตั้องรู้ว่าลูกน้องต้องการอะไรในองค์กร หลักการ motivate คนมีดังนี้
1. ได้รับค่าตอบแทนที่ดี2. มีความก้าวหน้าในการทำงาน3. การยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและครอบครัว4. ความภูมิใจในตนเอง, พอใจในตนเอง5. การได้เรียนรู้จากการได้รับ training6. มั่นคง7. มีความท้าทาย8. บริษัทต้องลงทุนในเรื่อง training ให้กับพนักงานเป็นอย่างมาก9. มี OT, วันหยุด เสาร์-อาทิตย์
การบริหารการจัดการ ต้องมี 3 วง ดังนี้1.) ความเป็นผู้นำ (leader) 2 .) ต้องมี follower enviroment 3.) สถานการณ์ ตามความเป็นจริง
ซึ่งหน้าที่หลักของผู้บริหารทั่วไป คือ ทำให้คนทำงานให้ได้ และทำให้ลูกน้องทำงานให้เป็น ถึงจะมีคุณสมบัติในการเป็นผู้นำองค์กรใน Human Management ที่ดีได้ต่อไปได้ค่ะ ขอขอบคุณมากค่ะประเด็นที่หนึ่ง โอกาสทางการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นพื้นฐานที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไปในทิศทางต่างๆ ของประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งที่เราจะเห็นว่ารัฐมีการให้ทุนการศึกษา การให้โอกาสในการกู้ยืมเพื่อการศึกษาในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำอยู่ แต่ในความเป็นจริงโอกาสในการศึกษายังไม่อย่างไม่ทั่วถึงและจำกัดอยู่ในบางกลุ่มเท่านั้น เช่น การกำหนดการให้ทุนแก่เยาวชนที่อยู่ในโครงการช้างเผือกหรือผู้ที่มีผลการเรียนดี ได้ที่ 1 ในการศึกษาต่อ แต่ในความเป็นจริงยังมีคนอีกหลายกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มที่มีความยากจนอีกมากที่ไม่มีโอกาสได้รับสิ่งเหล่านี้ แม้ตั้งแต่เริ่มเรียนเพื่อให้มีผลการเรียนดีมาแสดงเพื่อได้ทุนศึกษาต่อ หรือไม่มีโอกาสตั้งแต่จะได้มีโอกาสได้เล่นกีฬาหรือเข้าร่วมในสิ่งซึ่งแสดงความสามารถเพื่อเข้าโครงการช้างเผือกได้ เป็นต้น
แนวทางการแก้ไข : ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัดเป็นแกนนำในการดำเนินนโยบาย หรือเรียกได้อีกอย่างว่าเป็น “ผู้ว่า HR” ที่เน้นในเรื่องของการพัฒนาเยาวชนซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของเราให้มีคุณภาพมากที่สุดเพื่อเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศต่อไป ทำไมถึงต้องเป็นผู้ว่า HR ก็เพราะหากเรามี “ผู้ว่า HR” ผู้ว่า มีอำนาจที่จะส่งผลในการดำเนินการพัฒนาต่างๆได้ดีกว่าผู้ที่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ ประเด็นที่สอง เรื่องจริยธรรม ปัจจุบันคุณธรรมและจริยธรรมเป็นสิ่งที่กำลังน่าเป็นห่วงอย่างมากในสังคมของเราซึ่งจากที่เรามีวัฒนธรรมที่ดีงาม แต่เมื่อเหตุการณ์ และสภาวะแวดล้อมต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปตามภาวการณ์และพร้อมๆกับที่โลกมีความเจริญและก้าวหน้าทางวัตถุ เทคโนโลยีมากขึ้นทุกวันแต่คุณธรรมและจริยธรรมกลับเสื่อมถอยลง มีแบบอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้นมากมายและค่อนข้างจะเสรีและออกจะเสรีมากเกินไปในบางเรื่องซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบได้ในหลายๆด้านโดยเฉพาะกับเยาวชนหากขาดผู้คอยชี้นำหรือสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เค้าซึ่งบางกรณีก็เป็นการยากที่จะต้องคอยทำความเข้าใจหรือแก้ปัญหากับสิ่งซึ่งเกิดขึ้นไปแล้ว แทนที่จะเป็นการกำหนด ป้องกันก่อนที่จะเกิดแล้วมาอธิบายกันทีหลัง ตลอดไปจนถึงสื่อต่างๆก็มีส่วนที่จะป้อนข้อมูลข่าวสารให้กับทุกคนซึ่งก็อีกเช่นเคย เยาวชนนั่นเอง เช่น ข่าวที่พาดตามหน้าหนังสือพิมพ์ ที่มีเนื้อข่าวของเหตุการณ์ที่ค่อนข้างขาดศีลธรรม คุณธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะข่าวฆ่า ขมขื่น การทำร้ายกันของคนในครอบครัว ซึ่งเป็นการนำเสนอกันแบบทุกวันจนทำให้สังคมเกิดความรู้สึกชินหรือจนไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งเหล่านี้ไปแล้วว่าเป็นการกระทำที่ผิดอีกทั้งจากความรุนแรงต่างๆที่เห็นกันอยู่ทุกวันก็กลับกลายเป็นแบบอย่างไป - แนวทางการแก้ไข :สามารถทำได้โดยการจัดให้มีหน่วยงานหรือรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องเข้ามาพิจารณาและดูแลอย่างใกล้ชิดและจริงจังในแต่ละประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณธรรมจริยธรรมกับทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน มีการเข้าถึงตั้งแต่ในระดับเยาวชนเช่น ทบทวนหลักสูตร วิชาที่เกี่ยวข้องกับการสอนการเรียนรู้ในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมและชี้ให้เห็นถึงผลดีหรือผลเสีย บทลงโทษต่างๆจาการประพฤติไม่ดีหรือการที่ไม่มีคุณธรรมจริยธรรมการกระทำความผิดต่างๆ หรืออาจจัดกิจกรรมในระดับโรงเรียนในแต่ละโรงเรียนให้เยาวชนได้คิดและมีส่วนร่วม ส่งเสริมให้มีโครงการต่างๆจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และอาจขยายผลไปถึงการแข่งขัน หรือเผยแพร่ระหว่างโรงเรียน ไปจนระดับจังหวัด ระดับภาคหรืออาจไปจนถึงระดับประเทศโดยคอยมีผู้ปกครอง ครู และผู้ใหญ่ในสังคมให้คำชี้แนะและสนับสนุนจากกลไกเหล่านี้ให้เยาวชนซึมซับและรู้จักผิดชอบชั่วดีไปจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ส่วนในระดับผู้ใหญ่อยู่แล้วทางสื่ออาจมีการจำกัดหรือลดบทบาทในบางส่วนที่มีความเสรีจนเกินไปโดยส่วนกลางของประเทศ ประเด็นที่สาม เรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิต เสริมจากประเด็นที่หนึ่ง และสองควรมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยมากขึ้น โดยจัดให้มีการพัฒนาทักษะความรู้ในอาชีพต่างๆ การให้ความรู้ทางด้านสุขภาพและ อนามัยแก่ประชาชนในท้องถิ่นโดยหน่วยงานของภาครัฐและกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นแกนนำ หรือเป็นสื่อกลางในการดำเนินงานเช่นเดียวกับการพัฒนาทางการศึกษาของเด็ก โดยเน้นการพัฒนาด้านพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก อบต. อนามัย และกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม เมื่อเราจะพัฒนาให้มีผู้ว่าจังหวัดHR แล้ว กับการที่เราจะปลูกฝังเรื่องคุณธรรมจริยธรรมแล้ว การเริ่มที่เด็กซึ่งเป็นอนาคตของชาติ เพื่อให้พวกเขาได้รับอาหารที่ดี มีการดูแลสุขภาพที่ดี ภายใต้การดูแลของอบต. และผู้ว่า HR ที่ให้การสนับสนุน ซึ่งทั้งหมดนี้ควรจะทำงานกันเป็นทีม และการจัดกระจายเสียงตามสายภายในโรงเรียน ให้เด็กๆทุกคนได้รับฟังเสียงพวกเขาเองอาจจะเป็นตัวแทนนักเรียนที่จะพูดกระจายเสียงตามสายภายในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำความดีต่างๆ อาจจะเก็บกระเป๋าสตางค์ได้ หลังจากที่ได้ทำการสอบครบแล้วทุกกลุ่ม ท่านอาจารย์จีระ ได้สรุปและให้แต่ละกลุ่มผลัดเปลี่ยนกันมาเล่าถึงคำถามและ คำตอบที่ได้ตอบท่านไปเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ให้กับเพื่อนๆในกลุ่มอื่น เนื่องจากคำถามของแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน เพื่อให้เกิดแนวความคิดที่หลากหลายแตกฉานมากขึ้นสมาชิกในกลุ่ม มีดังนี้ นางสาวเริงหทัย สำราญ , นางสาว สุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ และนางสาวกัญญารัตน์ ลาภเดโช นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 /7/07 ได้มีการทดสอบความรู้ในเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์ โดยการสอบ Oral Test ร่วมกับ ท่านอาจารย์ จีระ ซึ่งนอกจากทางกลุ่มจะได้ทดสอบความรู้แล้ว ยังได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ,ได้รับคำแนะนำและความรู้เพิ่มเติมจาก ท่านอาจารย์จีระ ซึ่ง ต้องขอกราบขอบพระคุณท่าน อ. จีระ เป็นอย่างยิ่งค่ะ ซึ่งทางกลุ่มได้หัวข้อเรื่อง “ประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ ในชนบท ให้แนวทาง 3 ทาง โดยให้ความรู้ การศึกษา ทรัพยากรมนุษย์ที่ดีขึ้น การสร้างประชาธิปไตย กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้ยั่งยืน”โดยทางกลุ่มมีความเห็นตรงกันว่า การพัฒนา ประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ ในชนบท ให้เกิดความยั่งยืนนั้น คงต้องมาควบคู่กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยต้องเริ่มจาก
1. การปลูกฝัง และการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยเริ่มตั้งแต่เด็กๆ จากผู้ที่ใกล้ชิดจากที่บ้าน เช่น พ่อ แม่ และโรงเรียน คือครู, อาจารย์ ซึ่งทั้งพ่อ แม่ และครูอาจารย์ หรือผู้ที่จะให้ความรู้ควรมีความเป็นกลาง และมีความเข้าใจกัประชาธิปไตย อย่างถ่องแท้ เสียก่อน ซึ่งปัจจุบันทั้งพ่อแม่และครูเป็นสาเหตุที่สำคัญทำให้เด็กได้รับความรู้ความเข้าใจจากประชาธิปไตยที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยต่อเด็กเท่าไรนัก และนี่ก็คือการเสริมสร้างโดยนำ ทุนมนุษย์ (Human Capital) นั้นคือ เด็กๆ นั่นเอง อาจเริ่มจากกิจกรรมที่ใกล้กับตัวเด็ก เปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น โดยการโหวต และต้องรู้จักยอมรับในการตัดสินใจของคนกลุ่มมาก ซึ่งการปลูกฝังตั้งแต่เด็กจะทำให้เด็กมีทัศนคติที่ดี รู้สึกถึงความรับผิดชอบและหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง
2. การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ (ทฤษฎี 4L) โดยนำทุนสังคม (Social Capital) มาใช้โดยนำประชาธิปไตยไปสู่สังคมในชนบทนั้นๆ เช่น หมู่บ้าน, อบต,โรงเรียน, เทศบาล, วัด เป็นต้น โดยเป็นการพัฒนา ความรู้ ความคิด และทัศนคติ ต่อประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญในชนบท ควรจะเริ่มจากการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และสังคมแห่งการเรียนรู้ เริ่มจาก การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นร่วมกัน(Learning Methology) การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ (Learning Environment)ซึ่งอาจจะเป็นแหล่งชุมชน วัด ร้านกาแฟ เป็นต้น โดยรวมถึงการสร้างโอกาสในการเรียนรู้จากผู้มีความรู้และประสบการณ์(Learning Opportunity) เกี่ยวกับประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญที่ถ่องแท้ ซึ่งอาจเป็นหน่วยงานราชการ ผู้ใหญ่บ้าน อบต. โดยผู้มีความรู้ต่างๆ ต้องมีความเป็นกลางในการให้ข้อมูลจึงจะทำให้ สังคมแห่งการเรียนรู้นี้สัมฤทธิผลได้ และสุดท้ายต้องมีการขยายผลต่อในวงกว้าง ไปยังชุมชนข้างเคียง (Learning Communication) เพื่อสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น3. การสร้างความยั่งยืน ในประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญโดยนำ ทุนความยั่งยืน (Sustamable Capital) มาใช้ โดยนำประชาธิปไตยไปปฏิบัติจริงในหมู่บ้าน, วัด,โรงเรียน โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น ทำเป็นเอกสาร , แผนพับ โดยมีภาพการ์ตูนและภาษาที่เข้าใจง่ายแจกจ่ายสู่สังคม ใช้วิธีนี้เพราะ การใช้ภาษาที่เข้าใจงง่าย และการ์ตูนทำให้มองภาพได้ง่ายและใกล้ตัวเขา ซึ่งภาษาทางรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย เป็นภาษาที่เข้าใจยากมองภาพไม่ออก สำหรับบุคคลทั่วๆไป โดยเฉพาะในชนบทจึงทำให้ประชาธิปไตยยังไม่กระจายเข้าไปสู่ท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพมากนักต้องทำให้ประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวัน และผู้ที่ปฏิบัติก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจ ไม่เกิดอคติ และต้องเป็นกลาง ซึ่งในปัจจุบันทางรัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีการลงประชามติเพื่อรับร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และกำหนดอนาคตของประเทศร่วมกัน ซึ่งการเปิดโอกาสในครั้งนี้ ทางรัฐบาลได้มีการแจกเอกสารร่างรัฐธรรมนูญให้กับประชาชนเพื่อศึกษาก่อนแสดงความคิดเห็น ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ดี แต่ด้วยเนื้อหา และภาษาที่ใช้ในร่างรัฐธรรมนูญ อาจเป็นสิ่งที่ยากต่อความเข้าใจและยากต่อการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันของประชาชน ดังนั้นทางกลุ่มจึงมีความเห็นว่า หากต้องการให้เกิดความยั่งยืนในประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ ทางองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน ควรร่วมกันในการให้ความรู้ ทั้งสื่อในรูปต่างๆ หรืออาจจัดท่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่เน้นเนื่อหา และภาษาที่ง่ายต่อความเข้าใจ และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ก็จะทำให้ประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญที่เรากำลังจะร่วมกันสร้าง และกำหนดอนาคตของประเทศ มีความยั่งยืนตลอดไป
สรุป Case Study นี้ มีบทบาทต่อ HR คือการเรียนรู้ ไม่ใช่เรียนรู้แต่องค์กร ต้องเรียนรู้จากสภาวะแวดล้อม (Enviroment ) ด้วย และใช้ทฤษฏี 4L มาใช้กับชุมชนต่อไปจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมากลุ่มผมและเพื่อนได้มีประสบการณ์การเรียนและการสอบในรูปแบบใหม่ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายและมีความสนุกอย่างมากคือการสอบแบบ Oral โดยการให้ตั้งหัวข้อและอาศัยความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดเพื่อตอบคำถามโดยแบ่งเป็นออกเป็นกลุ่มซึ่งกลุ่มของผมประกอบไปด้วย นายอานนท์ ร่มลำดวน นายพัฒนา ปลอดภัยงาม และนายวิศรุต แสงโนรี
จากการคำถามของอาจารย์จีระ ที่ว่าจะ ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนระบบราชการในกระทรวงศึกษา ซึ่งถ้าเราจะวิจัยใน เรื่องการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาในปัจจุบันเราจะวิจัยเรื่องใดบ้างเพราะสาเหตุใด ซึ่งในวันนั้นหลังจากกลุ่มของผมได้ปรึกษาหารือกันแล้ว ได้ข้อสรุปว่า ข้าราชการในกระทรวงศึกษามีความคิดเห็นที่แตกต่างจากระบบ และนโยบายที่ภาครัฐนำมาใช้ปฏิรูปการศึกษา ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างมากมายจากการที่ไม่มีการศึกษา วางแผนและถึงนำมาปรับใช้ในระบบราชการของไทย ปัญหาทางด้านขนาดขององค์กรที่มีความใหญ่ จนได้ชื่อว่าเป็นกระทรวงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้มีการบริหารได้อย่างยากลำบาก ทางกลุ่มจึงตั้งหัวข้อในการวิจัยได้ดังนี้
1. การวัดความพึงพอใจต่อระบบการปฏิรูปการศึกษาของข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ หัวข้อนี้มุ่งศึกษาปัญหาความพึงพอใจและไม่พึงพอใจต่อระบบการปฏิรูปการศึกษา ว่ามีสัดส่วนเท่าไหร่ และมีสิ่งที่ไม่พึงพอใจในเรื่องใดบ้าง ซึ่งในการทำงานหรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการทำงานนั้นควรที่จะให้ผู้ทำงานเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับเปลี่ยนเนื่องจากผู้ที่ทำหน้างานย่อมรู้เห็นในเรื่องของข้อดีข้อเสีย และสามารถแนะแนวทางในการแก้ไขให้ตรงกับจุดประสงค์ได้ นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดทุนแห่งความสุข เนื่องจากการมีส่วนร่วมรวมถึงการสร้างแรงจูงใจในองค์กรเพื่อที่จะสามารถขับเคลื่อนงานให้บรรลุจุดประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. การวัดเป้าหมายในการวางนโยบายของรัฐสามารถทำให้มีประสิทธิผลได้จริงหรือไม่ หัวข้อนี้มุ่งศึกษาว่าข้าราชการสามารถนำนโยบายจากภาครัฐมาปฏิบัติให้เกิดผลได้หรือไม่ ถ้าไม่มีสาเหตุมาจากสิ่งใดเพื่อเป็นการให้ทั้งส่วนรวมในองค์กรห็นภาพร่วมกันว่าจุดประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงนั้นเเป้าหมายคืออะไรและคนในองค์กรสำคัญอย่างไรในการปรับเปลี่ยนครั้งนี้
3. การวัดว่าประชาชนได้รับความพึงพอใจในการบริการหลังจากมีการปฏิรูปการศึกษาหรือไม่ อย่างไร มุ่งเน้นศึกษาประสิทธิผลในการดำเนินงานในมุมมองที่ประชาชนทั่วไปได้มีส่วนในการรับรู้ผลของการดำเนินงานที่ออกสู่ภายนอก ไม่ว่าการการที่จะทำอะไรก็ตามในเรื่องของความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดว่าประชาชนต้องการอย่างนั้นหรือไม่ หรือต้องให้ลูกค้านั้นทราบถึงข้อดีในการที่ปรับเปลี่ยนโดยวัดผลจากความพึงพอใจซึ่งหลักการในการตอบครั้งนี้เรานำเรื่องของทุน 3 ทุนที่กลุ่มผมได้ศึกษามาตอบนั่นก็คือ ทุนทางจริยธรรม ,ทุนทางนวัตกรรม และทุนแห่งความยั่งยืน
ดังนั้นสรุปสั้นๆก็คือการที่เราจะสร้างกรอบอะไรก็ตามในการอยู่ร่วมกัน ต้องประกอบด้วยกัน 3 ส่วนคือ เป้าหมาย วิธีการ และผลที่ได้รับ โดยพิจารณาจากคนในสังคมนั้นๆเป็นหลักดังนั้น ในการต่อยอดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดนวัตกรรมใหม่ๆที่ดีขึ้นนั้น ต้องให้คนในสังคมหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทราบถึงเป้าหมาย และผลที่จะได้รับเพื่อจะได้เกิดแรงจูงใจ และความสุขที่จะร่วมกันทำให้บรรลุเป้าหมายซึ่งถ้าหากทำได้ดังกล่าวก็จะเกิดกรอบหรือเรียกอีกอย่างว่าจริยธรรมในการอยู่ร่วมกันและการดำเนินงานร่วมกัน อย่างต่อเนื่องในที่สุด และนอกจากจะได้แลกเปลี่ยนความคิดกับท่านอาจารย์จีระแล้ว ท้ายชั่วโมงอาจารย์ได้ให้ทุกคนมาสรุปเนื้อหาในหัวข้ออื่นๆของเพื่อนๆเพื่อแบ่งปันความรู้ มุมมอง ซึ่งถือเป็นการสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างหนึ่ง สามารถนำมาต่อยอดเพื่อใช้กับตัวเองและองค์กรได้ ดังนั้นการสอบครั้งนี้จึงมีประโยชน์มากกว่าการนำความรู้มาใช้เพื่อตอบปัญหาในกรอบแคบๆเหมือนการสอบทั่วๆไปที่ไม่สามารถแชร์คำตอบร่วมกันต่างคตนก็จะต่างตอบในกระดาษไม่ได้มีการแบ่งปันความคิดเห็นร่วมกันดังที่กล่าวมาแล้ว ขอขอบคุณอาจารย์ จีระ ในการมอบโอกาสดีๆในชีวิตการเรียนในครั้งนี้ครับ ขอบคุณครับเรียน ศ.ดร จิระ ,ท่านอาจารย์ยม , อาจารย์ประกาย , พี่ทีมงาน Chiraacademy และเพื่อนๆที่ติดตาม Blog ของพวกเราชาวนักศึกษา ป.โท ลาดกระบังทุกๆท่าน
จากการที่ทางอาจารย์จิระได้แนะนำให้อ่านบทความและศึกษาเรื่อง Global Business ซึ่งจากการอ่านและวิเคราะห์บทควาจากมุมของผมคือ ในเรื่องที่ปัจจุบันที่มีคำกล่าวว่าปัจจุบันโลกได้เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวแล้วนั้นคอนข้างจะเห็นได้ชัดเจนในปัจจุบันซึ่งจากการแข่งขันในตลาดเสรี ทำให้ทุกประเทศมีโอกาสที่จะเติบโตได้เท่าเทียมกันขึ้นอยู่กับว่าประเทศใดมีแผนการพัฒนาที่ดีกว่ากัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าในการที่ประเทศนั้นๆจะพัฒนาได้ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับ “ คน ” เท่านั้น
ดังจะเห็นได้ว่าประเทศ จีน และอินเดียนั้นมีการพัฒนาและให้ความสำคัญทางด้านคน หรือทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเน้นที่การศึกษา และการสร้างคุณค่า Value Added กขึ้น โดยให้คิดอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งในอเมริกาเองซึ่งเคยเป็นผู้นำในด้านนี้กลับลดถอยในเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ลง ซึ่งสวนกระแสกับทางจีน และอินเดีย จากการเติบโตดังกล่าวทำให้เกิดการ balance ทางธุรกิจระหว่าง 3 ประเทศมากขึ้นซึ่งมีผลมาจากการค้าเสรี และ Global Business มีการย้ายฐานการผลิตมาที่จีนและอินเดียมากขึ้น แต่ก็มีนโยบายตอบโต้เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของ Global Business คือการตั้งกำแพงภาษี หรือมาตราหารทางกฎหมายต่างๆ
ในท้ายที่สุดตัวตัดสินว่าประเทศใดจะคงอยู่และสามารถที่จะเป้นเจ้าในโลกของ Global Business ได้นั้นตัวที่จะวัดได้อย่างชัดเจนก็คือ “ประเทศใดสามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็ย่อมมีสิทธิ์ในการเป็นผู้นำในโลกของ Global Business ”
แล้วประเทศไทยล่ะมีแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับโลกของ Global Business แล้วหรือยัง???สมาชิกในกลุ่ม มีดังนี้ นางสาวเริงหทัย สำราญ , นางสาว สุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ และนางสาวกัญญารัตน์ ลาภเดโช นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ในโลกแห่งยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ในบางประเทศในโลกเป็นผู้ผลิตเพื่อที่จะแปรรูปทรัพยากรเพื่อเป็นสิ่งอุปโภคบริโภคแก่ประเทศอื่นๆบนโลกนี้ หรือเพื่อส่งให้แก่ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศยุโรป เป็นต้น โดยที่ประเทศผู้ผลิตในของโลกที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ที่ถูกมองเป็นอันดับแรกๆ คือ จีนและอินเดีย ผู้ผลิตในที่นี้อาจมองถึงการผลิตทรัพยากรบุคคลเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดอุตสาหกรรมแรงงาน แต่ตอนนี้เริ่มมีความกังวลเกิดขึ้นในประเทสมหาอำนาจในเรื่องของความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ตัวเองเคยยึดอำนาจการต่อรองไว้ อันเนื่องมาจากการที่ประเทศผู้ผลิตเหล่านี้เริ่มมีการพัฒนาตัวเองด้านต่างๆ อีกทั้งทรัพยากรในประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นเริ่มที่จะน้อยลง และเริ่มที่ต้องพึ่งพาประเทศผู้ผลิตเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบถึงอำนาจการต่อรองที่ตัวเองเคยได้เปรียบอยู่ในอดีต ปัญหาเหล่านี้น่าจะเกิดมาจากการที่ประเทศมหาอำนาจอาจเกิดการทะนงตัวว่าตัวเองมีอำนาจอยู่ มีความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยีอยู่ โดยหารู้ไหมว่าประเทศผู้ผลิตเหล่านั้นอาจกำลังพัฒนาตัวเองพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศตัวเองเพื่อมาแข่งขันในระดับโลกได้ และเพื่อบริหารทรัพยากรธรรมชาติที่ตัวเองมีอยู่ให้ใช้ได้เกิดประโยชน์ที่สุด และเพื่อการที่ตัวเองไม่ต้องตกเป็นรองให้กับประเทศมหาอำนาจแบบเดิม การที่ประเทศที่เคยตกเป็นรองด้านต่างๆลุกขึ้นมาและพัฒนาตัวเอง โดยอาศัยจากการที่เคยต้องรอรับเทคโนโลยีจากประเทศที่เจริญ แต่หกลับนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาพัฒนาต่อ เกิดการต่อยอดเพิ่มศักยภาพและความสามารถให้กับตัวเอง และพร้อมที่จะพัฒนาต่อเพื่อหวังว่าจะล้ำหน้าประเทศที่เคยต้องพึ่งพาด้านเทคโนโลยีเดิมจะเห็นได้ว่าในโลกยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังเห็นได้ว่าจีนและอินเดีย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนเป็นอย่างมากโดยเน้นเรื่องการให้การศึกษามากยิ่งขึ้น เมื่อประเทศเหล่านั้นให้โอกาสในการศึกษาแก่ประชากรของประเทศเค้าอย่างทั่วถึง และมีสิ่งต่างๆที่สนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้ให้ประชากรเหล่านั้นแล้ว เมื่อประชากรมีความรู้ความสามารถแล้วนั้นเป็นเสมือนกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศและเป็นเสมือนลูกโซ่ ของพัฒนาด้านคนอย่างต่อไปและยั่งยืน แต่เมื่อมองไปในประเทศอื่นแล้ว กลับมามองที่ประเทศไทยเราเองบ้างนั้น การศึกษาของไทยเด็กไทยที่มีโอกาสได้ศึกษากลับอยู่เพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มของผู้ที่พอมีปัจจัยทางด้านการเงิน ในครอบครัวของเด็กที่ยากจนกลับถูกบดบังด้านการศึกษาแม้กระทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐานเองยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเลย คนไทยสนใจด้านการเงินเศรษฐกิจโดยที่เอาตัวเองไปอิงกับต่างชาติ แต่ไม่สนใจด้านการเงินที่จะเอามาเป็นทุนการศึกษาให้กับคนเพื่อการศึกษา เพื่อการพัฒนาประเทศที่แท้จริงและยั่งยืน ถ้าคนในประเทศไม่มีความรู้แล้ว แล้วจะเอาอะไรไปพัฒนาประเทศ ต้องตกเป็นรองประเทศอื่นต้องคอยพึ่งพาเทคโนโลยีจากเค้างั้นหรือ
เรียน ศ.ดร จิระ ท่านอาจารย์ยม อาจารย์ประกาย ทีมงาน Chiraacademy และผู้ที่ติดตาม Blog ของนักศึกษา ป.โท ลาดกระบังทุกๆท่าน
หลังจากการที่ได้อ่านบทความเรื่อง Global Business ทำให้ผมได้สิ่งที่น่าสนใจ ดังนี้1. การที่ประเทศ จีน และอินเดียนั้นมีการพัฒนามากและรวดเร็วในยุคนี้เพราะให้ความสำคัญทางด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเน้นที่การปลูกฝังให้เกิดการเรียนรู้ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเอง2 .การที่ความเจริญเริ่มย้ายฝั่งจากอเมริกา มาสู่ประเทศจีนและอินเดียนั้นอเมริกาก็ไม่ได้นิ่งเฉย ได้ตั้งกำแพงภาษีและการกีดกันทางการค้าขึ้นมาเพื่อพยายามลดการเจริญเติบโตของประเทศคู่ค้า 3. ความสามารถในการแข่งขันในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่จะต้องผลิตผลิตภัณฑ์ทีมี่คุณภาพในราคาต้นทุนต่ำเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาคนให้มีคุณภาพในการทำงาน และมีจริยธรรม การพัฒนาถึงจะมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ขอขอบคุณอาจารย์จีระ ที่ได้แนะนำบทความดีดีให้ผมได้อ่าน ซึ่งบทความนี้ทำให้ผมได้เข้าใจปัจจัยในการพัฒนาของประเทศมหาอำนาจใหม่ได้ดียิ่งขึ้นและตระหนักว่าความสำคัญในการพัฒนาประเทศในปัจจุบันนั้น จะทำได้ดีได้ เราต้องเริ่มจากการเห็นความสำคัญของคน ให้มากกว่านี้ และพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตเรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์ยม และทีมงาน
กระผม นายพัฒนา ปลอดภัยงาม นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
สิ่งที่ได้รับในการเรียนวันที่ 29 ก.ค.2550 ที่ผ่านมา นั้นได้ทราบถึงระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของบริษัทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละที่นั้นต่างมีเป้าหมายที่เหมือนกันก็คือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ในการที่จะบริหารนั้นในแต่ละองค์การ อาจให้ความสนใจที่ สวัสดิการ ผลตอบแทน โดยมองข้ามความต้องการที่แท้จริงของคนในองค์การ ซึ่งอาจต้องการด้านอื่น ๆ เช่น การฝึกอบรม การสร้างบรรยากาศในที่ทำงาน แรงจูงใจในการทำงานโดยหัวหน้างาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการที่แท้จริงและอาจมีมูลค่ามากกว่าเงิน
ได้รับทราบถึงวิธีการคำนวณเงินโบนัส
ว่าต้องอาศัยข้อมูลของธุรกิจเดียวกันมาประกอบการให้โบนัส ว่าควรอยู่ในระดับใด
และการได้รับอาจไม่ต่อเนื่องทุกปีและเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น หรือบริษัทสามารถปฏิเสธที่จะไม่จ่ายให้
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงลดารมภ์ อาจารย์ยม นาคสุข และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากที่ได้เรียนในวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เวลา 9.00 – 13.00 น. เรื่อง แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหารทรัพยากร และการ Present งานของนักศึกษาแต่ละกลุ่มในเรื่อง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรที่สนใจศึกษา เนื้อหาที่เรียนที่ดิฉันจับประเด็นได้หลักๆ 4 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก แนวคิดต้นไม้กับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คือ มีการเปรียบเทียบขั้นตอนของการปลูกต้นไม้ กับการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่แต่ละขั้นตอนก็จะมีลักษณะสอกคล้องกัน เช่น การสรรหาเมล็ดพันธุ์กับการคัดสรรพนักงานคือมีการคัดเลือกให้ได้สิ่งเริ่มต้นที่ดีและมีประสิทธิภาพ เพื่อความเป็นประโยชน์ในระยะยาว และง่ายต่อการพัฒนาให้ดีขึ้น
ประเด็นที่สอง การบริหารความขัดแย้ง คือ เมื่อทราบปัญหา หายุทธวิธีแก้ปัญหา วางแผน (Action Plan) ปฏิบัติตามแผนและมีการตรวจสอบผล ถ้าแผนยังไม่ดีจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ซึ่งสิ่งที่เน้นคือ เราต้องทราบปัญหาและสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง
ประเด็นที่สาม เมื่อมีปัญหาแต่มีคนที่ไม่ยอมรับในการแก้ปัญหา ท่านอาจารย์แนะนำให้กำหนดบุคคลนั้น และทำงานเป็นทีม มีการสื่อสารสองทาง ใช้เครื่องมือ Survey, resource, จัดการประชุม ทำการประเมินผล และตรวจสอบภายใน จัดเลี้ยงรับประทานอาหารร่วมกัน เพื่อที่จะได้พูดคุยกันมากขึ้น
ประเด็นที่สี่ เศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มี 3 ห่วง 2 เงื่อนไข 3 ห่วง คือ ความพอประมาณ(Moderation) ความมีเหตุมีผล(Reasonableness) และความมีภูมิคุ้มกัน (Self-Immure) 2 เงื่อนไข คือ เงื่อนไขความรู้และเงื่อนไขคุณธรรม โดยสมรรถนะที่พึงประสงค์ของผู้นำ จากรายงานการสัมมนาตัวแทนชาติต่างๆ ในอาเซียน เรื่อง New Wave Leaders มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเช่นกัน เพื่อนำไปสู่ความสมดุลของเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม และพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลง
จากประเด็นที่สรุปได้ทั้งสี่ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์กร แนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ยมมากค่ะและอีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในบริษัทเพื่อให้สามารถดำเนินอยู่ได้ภายใต้เศรษฐกิจที่ไม่ดีนั้น ควรที่จะมีการแจ้งให้พนักงานทุกแผนกทราบเพื่อหาข้อแก้ไขร่วมกัน ถือเป็นการให้ความสำคัญกับพนักงานทุกๆแผนกอย่างเท่าเทียมกันและพนักงานจะได้รู้สึกว่าตนเองนั้นมีความสำคัญกับบริษัทเท่าๆกับคนอื่น และเข้าใจในสถานการณ์ของบริษัทรวมถึงเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บริษัทอยู่รอด
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์ยม เป็นอย่างสูงที่ได้มาให้ความรู้กับนักศึกษาทุกคน แม้ว่าอาจารย์ยมจะมาสอนเพียง 2 ครั้งแต่ก็ได้รับความรู้และประสบการณ์ในเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งความรู้ที่ได้ก็สามารถทีจะนำไปใช้ทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
กราบเรียนอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์, อาจารย์ยม และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาว วสพร บุญสุข นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฏาคม 2550 ได้รับความรู้ในการนำเสนอกรณีศึกษา เรื่อง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบริษัทต่างๆ ในการนำเสนอครั้งนี้มีทั้งหมด 5 บริษัท ดังนี้ 1. บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) 2. บริษัทเชียงใหม่เฟรชมิลค์ จำกัด 3. บริษัท GFPT จำกัด (มหาชน) 4. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ 5. บริษัท พรานทะเล จำกัด โดยการนำเสนอภาพรวมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งได้ความรู้ 5 ประเด็นดังนี้
ประเด็นแรก คือ ทุกบริษัทมีกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรดังนี้ 1. การวางแผน การสรรหา และเลือกสรรทรัพยากรมนุษย์ (input) 2. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (process) 3. การดูแลและทัศนคติ ของทรัพยากรมนุษย์ เมื่อออกไปจากองค์กร (output)
ประเด็นที่สอง คือ การบริหารองค์กรจะต้องมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสังเกตได้จากทัศนคติของพนักงานในองค์กร
ประเด็นที่สาม คือ บริษัทที่ในองค์กรที่มีสหภาพแรงงาน ต้องมีการวางแผนบริหารทรัพยากรมนุษย์ในเชิงรุก และควรดึงพนักงานเข้ามาร่วมมือปฏิบัติงานในการวางแผนด้วย
ประเด็นที่สี่ คือ การบริหารทรัพยากรมนุษย์สามารถเปรียบเทียบได้กับการทำสวน (การปลูกต้นไม้) ดังตารางข้างล่างนี้
การทำสวน | การบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
การเตรียมพื้นที่ปลูก | การตั้งบริษัท |
การสรรหาเมล็ดพันธุ์ | การคัดสรร คัดเลือก |
การเพาะเมล็ด | การแต่งตั้ง พนักงานประจำตำแหน่ง |
การให้ปุ๋ย รดน้ำ | การจ่ายค่าจ้าง เงินเดือน |
การฆ่าแมลง กำจัดวัชพืช | การฝึกอบรม พัฒนาพนักงาน |
การออกดอก ออกผล | ผลงาน ประสิทธิภาพงาน |
ประเด็นที่ห้า คือ แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ต้องใช้หลักแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มี 2 เงื่อนไข คือ 1.เงื่อนไขความรู้ 2. เงื่อนไขคุณธรรม และ 3 ห่วง ดังนี้ ห่วงที่หนึ่ง คือ มีเหตุมีผล ห่วงที่สอง คือ พอประมาณ ห่วงที่สาม คือ มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี จะนำไปสู่ความยั่งยืนในองค์กร
สุดท้ายนี้สรุปได้ว่าการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ต้องมีพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างต่อเนื่อง และต้องมีการวางแผนให้เป็นแบบเชิงรุกในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ต้องผสมผสานกับแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วย ขอขอบพระคุณอาจารย์ยม ที่ได้ให้ความรู้ แนวการวางแผนและแนวทางการแก้ไขปัญหา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมย์; อ. ยม นาคสุข และผู้อ่าน Blog ทุกท่านค่ะ ดิฉันน.ส.อรนุช หล่ำสกุลไพศาล นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
วันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเรียนกับอาจารย์ยม ซึ่งอาทิตย์นี้อาจารย์ยม กำหนดให้ส่งรายงานเรื่องภาพรวมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ และPresent เมื่อทุกกลุ่มได้ทำการ Present เสร็จเรียบร้อยแล้ว อ.ยมจึงสรุปเรื่องภาพรวมที่เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้ 3 ประเด็นหลัก
ประเด็นแรก เรื่องของยุทธศาสตร์ในองค์กร องค์กรส่วนใหญ่จะเริ่มจากการรับบุคลากรเข้าทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งรักษาคนดีให้อยู่กับองค์กรต่อไปนั่นเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะหากองค์กรอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขาลง จำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพควบคู่กันถึงจะสามารถฝ่าวิกฤต และก้าวต่อไปได้ ดังนั้นจึงขอสรุปเรื่องการรับบุคลากรจะมีหลักโดยทั่วไปอยู่ 5 ข้อคือ
1. การสรรหาคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน
2. การจัดคนเข้าทำงานให้เหมาะสมกับลักษณะงาน
3. มีการบริหารค่าจ้างและให้ผลตอบแทนที่เป็นธรรม
4. มีการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน
5.มีการส่งเสริมการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาพัฒนาพนักงาน
ซึ่งหลักทั่วไปเหล่านี้ทุกองค์กรมีเป้าหมายของการคัดเลือกอยู่ 4 ประการคือ
1.ต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถในตำแหน่งงานที่เปิดรับ (IQ)(Knowledge)
2. ต้องการคนที่มีความมุ่งมั่นและแรงจูงใจในการทำงาน (Motivation)
3. ต้องการคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ (EQ) (Behavior)
4. ต้องการคนที่มีจริยธรรมในวิชาชีพ
ประเด็นที่สอง การเปรียบเทียบแนวความคิดที่เกี่ยวกับต้นไม้ การสรรหาคน และหลักการบริหารจัดการ คือ
เมล็ดพันธ์ดี เป็นเรื่องการสรรหาคนเก่ง และคนดี หลักการจัดการ Recruit & Selection system Probation& Orientation แทนที่จะเน้นเรื่องการจ้างงานแบบเดิมให้หันมาเน้นด้าน Employability ซึ่งเป็นแนวการพัฒนาคนหรือหาโอกาสให้คนได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง เพื่อให้คนมีความสามารถหลายๆด้าน
ดินดี ก็คือเรื่องของระบบผลตอบแทนที่เหมาะสม หลักการจัดการ Merit System Performance Management Salary& Benefit
รดน้ำพรวนดิน เรื่องของการปกครองบังคับบัญชา หลักบริหารจัดการ Fairness Trust ต้องสร้างบรรยากาศให้พนักงานยอมรับค่านิยมใหม่ๆขององค์กร วัฒนธรรม ที่มุ่งเน้นเรื่อง Speed, Delivery, Best Quality, CR Innovation ก็จะเป็นตัวกำหนด Norm ของบริษัทที่ทุกคนในองค์กรต้องยอมรับ นอกจากนั้นการสร้างค่านิยมอื่นๆ เช่น การให้ความสำคัญกับลูกค้า การเน้นการทำกำไร คุณภาพ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เพิ่มสูงขึ้นตามเป้าหมายของบริษัท
ใส่ปุ๋ย เรื่องความรู้ ทักษะ ทัศนคติ หลักการบริการจัดการเรื่องของ HR Development Career Path & Promotion ให้แสวงหาแนวทางใหม่ ในการทำงาน หมายถึง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ให้กลับไปมองอดีตว่า ปัญหานี้เคยแก้ไขมาอย่างไรผสมกับความคิดใหม่ทำใหม่ เพระสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันกับอดีตย่อมแตกต่างกัน
กำจัดศัตรูพืชเรื่องขจัดความคับข้องใจ หลักการบริหารจัดการ Good Communication HR & Company Relationship อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อเดิมคนในองค์กรที่มีระบบการสื่อสารที่ดีภายในองค์กร อาจจะทำได้โดยการจัดประชุมพูดคุยกันทุกสัปดาห์ สร้างมาตรวัดการทำงาน พยายามให้คนเข้ามามีส่วนร่วม จะทำให้พนักงานในองค์กรยอมรับการเปลี่ยนแปลง เพิ่มขวัญกำลังใจ และรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพอยู่กับบริษัท
ประเด็นที่สาม เรื่องความยั่งยืนซึ่งเปรียบเทียบกับโครงสร้างของต้นไม้เริ่มจากรากหญ้าค่อยขึ้นไปจนกระทั่งถึงยอด ทำไมถึงเริ่มจากรากหญ้า
รากหญ้าเป็นการแสดงถึงความรอบรู้ที่ต้องประกอบทุนทางด้านปัญญา บวกกับทุนมนุษย์และทุนความรู้ ส่งผลถึง ความมีคุณธรรม คือทุนทางจริยธรรม; ความมีเหตุมีผล (ศีล 5 ข้อ); ความพอประมาณ เมื่อมีทั้งหมดเราก็จะมีภูมิคุ้มกัน นำไปสู่ความยั่งยืนเรียน อ.จีระ , อ.ยม , ทีมงาน Chira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เนื่องจากในวันที่ 29/07/07 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเรียน HR กับ อ.ยมอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เป็นการ Present เกี่ยวกับ ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรต่างๆ ซึ่งมีการกล่าวถึง 5 องค์กร คือ
1. บริษัทปูนซีเมนต์ไทยจำกัด ( มหาชน )
2. บริษัทเชียงใหม่เฟรชมิลค์จำกัด
3. บริษัท GFPT จำกัด ( มหาชน )
4. บริษัท ปตท.จำกัด ( มหาชน )
5. บริษัทพรานทะเลจำกัด
และการเรียนเรื่อง แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรต่างๆ ที่ทุกกลุ่มนำมา Present นั้น จะเห็นได้ว่าเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียง ซึ่งองค์การเหล่านี้ล้วนให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์ โดยสังเกตได้จาก
1. มีการกำหนดนโยบายและแนวทางชัดเจนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่การสรรหาคัดเลือก , การพัฒนาทักษะ ทัศนคติในการทำงาน , การรักษาบุคลากรไว้กับองค์กร ไปจนถึงการใช้ประโยชน์หลังจากเกษียณอายุการทำงานแล้ว
2. มีการเน้นยุทธศาสตร์สร้างแรงงานสัมพันธ์ให้เข้มแข็ง เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
ในเรื่องแนวความคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น อ.ยม เน้นเรื่อง ความยั่งยืนเป็นหลัก โดยเริ่มตั้งแต่
1.ความรอบรู้
2.คุณธรรม
3.ความมีเหตุมีผล
4.ความพอประมาณ
5.การมีภูมิคุ้มกัน
กล่าวโดยสรุปว่า องค์กรขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันเน้นให้ความสำคัญกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์มาก ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้องค์กรก้าวหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง และ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เน้นที่ความยั่งยืนเป็นหลัก โดยมีรากฐานมาจาก ความรอบรู้ , คุณธรรม , ความมีเหตุมีผล , ความพอประมาณ และการมีภูมิคุ้มกัน ในท้ายที่สุดจะเกิดความยั่งยืนขึ้น
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์ยม นาคสุข ทีมงานChiraa Academy และท่านผู้อ่านทุกท่าน
จากการเรียนในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้จับประเด็นจากการสอนของอาจารย์ยม ได้ดังนี้
1. แนวคิดเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ คือ- คัดสรรค์เมล็ด สรรหาคนเก่งและต้องเป็นคนดี- มีดินดี การให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม- รดน้ำพรวนดิน ต้องปกครองให้ดี- ใส่ปุ๋ย เพิ่มทักษะ ความรู้ด้วยการอบรม- กำจัดศัตรูพืช ขจัดความข้องใจให้หมด
2. ได้รับความรู้ ด้านแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง - ความรู้ จากการใฝ่หาความรู้เพื่อนำมาปรับใช้ - คุณธรรม เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะจะทำให้เกิดการยับยั้งชั่งใจ และทำแต่สิ่งที่เหมาะสม- พอประมาณ การรู้จักตนเองและประเมินความเหมาะสมในการตัดสินใจ และรู้จักพอ- มีเหตุผล ในการตัดสินใจ โดยนำความรู้ที่มีมาประกอบการตัดสินใจและก่อนจะตัดสินใจควรมีการคิดไตร่ตรองให้ถ้วนถี่เสียก่อน- มีภูมิคุ้มกัน ต้องมีการวางแผน โดยต้องนำข้อมูลที่มีมาวิเคราะห์ก่อนวางแผนโดยต้องมีแผนทางเลือกเผื่อฉุกเฉินด้วย3. การบริหารความขัดแย้ง ต้องรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร นำข้อมูลที่ได้ไปกำหนดยุทธวิธี โดยสมควรจะมีเป็นทางเลือก2-3 วิธี โดยแต่ละแผนมีความสำคัญลดหลั่นกันไป จากนั้นเลือกแผน นำแผนหลักไปวางแผนปฏิบัติการ ทำตามแผน ตรวจสอบและประเมินผล ต้องบริหารความเปลี่ยนแปลง โดยต้องควบคุมให้เกิดผลดีมากกว่าผลเสีย กระจายความมีส่วนร่วมสร้างให้เกิดความเชื่อมั่น โดยเราต้องมีความเชื่อมั่นในตัวผู้อื่นเสียก่อน เมื่อมีปัญหาต้องนำผู้ที่เกี่ยวข้องมาพบกันและสอบถามให้รู้ถึงปัญหา แก้ปัญหาโดยการให้ตัวบุคคลที่มีปัญหามีส่วนร่วม ใช้การสื่อสารแบบสองทาง นำข้อมูลมาวิเคราะห์ ให้รู้ถึงเบื้องลึก จัดให้มีประชุมบ่อยครั้งขึ้น เพื่อรับทราบปัญหาและแก้อย่างทันท่วงที ประเมินตามระยะ และตรวจสอบภายในว่ามีความพอใจหลังการแก้ไขปัญหาหรือไม่ อย่างไร
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์, อาจารย์ยม นาคสุข และสวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ ดิฉันนางสาวสุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันที่ 29/7/50 ได้เรียนกับ อ. ยม เป็นครั้งที่ 2 และครั้งสุดท้ายสำหรับวิชานี้แล้ว ซึ่งดิฉันแบ่งเป็น 2 ประเด็น ดังนี้
1. เรื่องการนำเสนอองค์กรของภาพรวมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรต่างๆ ที่แต่ละกลุ่มได้เลือกมานั้น แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ที่เห็นได้ชัดเจน คือ ธุรกิจที่เป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงและมีระบบของ HR ที่เข้มแข็งและเน้นเรื่องทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมากคือ ปูนซิเมนต์ไทยและปตท. อีกธุรกิจหนึ่ง คือธุรกิจเกี่ยวกับอาหารมีดังนี้ ธุรกิจผลิตภัณฑ์นม, ธุรกิจไก่แช่แข็งและธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง ซึ่ง 3 ธุรกิจนี้ ยังพบข้อบกพร่อง ละจุดอ่อนต่างๆ ที่จากการนำเสนอจะพบปัญหาต่างๆ ดังนี้ ยังไม่มีสหภาพแรงงานเกิดขึ้น, มีการ turn over ในอัตราที่สูงมาก, บุคลากรฝ่ายHR ยังไม่มีความเข้มแข็งพอและต้องสร้างทัศนคติที่ดีให้กับพนักงานเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีและรักในองค์กรให้มากขึ้น
2. แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหาร HR เป็นการมองภาพรวมในการบริหาร HR เปรียบได้กับการทำสวน ซึ่งเริ่มจากหาพื้นที่ปลูก = บริษัทที่มีระบบการจัดการของ HRที่ดี จนถึงขบวนการสุดท้ายคือ ได้ออกดอกและผลตามต้องการ = ได้ผลงานที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งกว่าจะได้การบริหารและพัฒนาHRที่ดีได้นั้น ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ที่ต้องมีนิติกรรม, คุณธรรม, ความโปร่งใส, ความมีส่วนร่วม,ความรับผิดชอบและความคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับ และทำให้เกิดภูมิคุ้มกัน ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 5 เรื่อง คือ 1.) ต้องมีความรู้ 2.) ต้องมีคุณธรรม 3.) ต้องมีเหตุและผล 4.) ต้องมีความพอประมาณ และ 5.) ต้องมีคุณธรรมรองรับไว้เสมอ ขั้นตอนสุดท้ายคือ ต้องประเมินสถานะ เช่น ผลที่ปรากฏออกมา,ต้องทำงานเป็นทีม,ต้องมีการกระจายอำนาจและการบริหารความเชื่อมั่นน่าเชื่อถือ โดยต้องมั่นใจ เชื่อใจในบุคคลากรให้ได้
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณอ.ยมเป็นอย่างยิ่งที่ให้ความรู้และข้อเสนอแนะต่างๆทำให้พวกเราได้เห็นภาพรวมและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่แท้จริงที่เป็นการนำเสนอให้เห็นของจริงและที่อ. ยมได้สอนไว้ทำให้ได้เข้าใจมายิ่งขึ้นและเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขและพัฒนาของระบบHR ต่อไป และเกิดประโยชน์สามารถนำไปใช้และต่อยอดต่อไป เพื่อพัฒนาในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ต่อไปได้ค่ะ
วันที่29-30 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมาได้มีอากาสไปดูงานที่วังน้ำเขียวกับอาจารย์จีระ และคุณหญิง คณะของเราได้เข้าพักที่ บุไทร โฮมสเตย์ ( Busai Home Stay ) ซึ่ง ได้รับตราสัญลักษณ์ มาตรฐานโฮมสเตย์ไทยและโฮมสเตย์ต้นแบบปี 2547 จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 4 บ้านบุไทร ตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา 30370
ต้องขอขอบคุณลุงอินทร์ มูลพิมาย ประธานกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำมูล และพี่สายทองเจ้าของบ้านที่เราไปพัก ที่อำนวยความสะดวกให้กับพวกเราตลอดการดูงานในครั้งนี้ และคอยต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น การดูงานในครั้งนี้เราได้เรียนรู้อาชีพเกษตรแบบยั่งยืนเช่นการเพาะเห็ดหอม การปลูกผักเมืองหนาวปลอดสารพิษ ซึ่งผักเหล่านี้มีความหวาน อร่อย กรอบ หอม แม้กระทั่งผักชีของที่นี้มีความกรอบ ต้นอวบและใส หอม มาก
ช่วงเช้าหลังจากที่ได้กินข้าวต้มฝีมือพี่สายทองแล้วได้เดินทางไปยังสวนลุงไกร ซึ่งปลูกผักปลอดสารพิษ โดยเฉพาะผักสลัดต่างประเทศกว่า 10 สายพันธุ์ นอกจากผักสลัด ก็มีมะเขือเทศราชินี ข้าวโพดหวาน และได้เลือกซื้อผักปลอดสารพิษสดๆกับน้ำสลัดกลับบ้านกัน และมีนักท่องเที่ยวมาซื้อผักปลอดสารที่สวนลุงไกรกันไม่ขาดสาย ต่อจากนั้นไปชมฟาร์มเพาะเห็ดหอม คณะของเราได้รับประทานอาหารเที่ยงที่บ้านลุงอินทร์ ร่วมกับท่านอาจารย์จีระ; คุณหญิง; ลุงอินทร์ และพี่นะ ต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์จีระ และ คุณหญิง ที่ได้ซื้อสาคูไส้หมูมาฝาก เมื่อนำมารับประทานคู่กับผักกาดหอมที่ลุงอินทร์เก็บมา นอกจากนี้พี่สายทองได้ทำเมนูอาหาร น้ำพริกปลาทู กับ ผัดผักปลอดสารพิษ (อร่อยมากๆ)
อาจารย์จีระ ท่านจึงมีความสนใจที่จะช่วยเหลือเกษตรกรที่อำเภอบุไทร (ท่านอยากให้เบ็ดตกปลาแก่ชาวบ้านที่บุไทร) โดยให้พวกเราดูงานของที่นี้และให้ช่วยแชร์ความคิดในการพัฒนาด้านการตลาดกับพวกชาวบ้าน ซึ่งทางคณะจึงได้เสนอแนวความคิดว่า น่าจะทำเป็นแบรนด์ของที่บุไทร และให้แบรนด์ขายตัวมันเองซึ่งการทำตลาดอาจเริ่มจากการเปิดที่ขายผักบริเวณด้านหน้าทางเข้าและส่งผักไปขายในที่ต่างๆในนามของ “บุไทร ผักปลอดสารพิษ” รวมถึงบริเวณภายในบุไทรยังไม่มีการเปิดร้านอาหารที่ทำจากผักไร้สารพิษ จึงคิดว่าน่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการโฆษณาเรื่องของผักปลอดสารพิษที่สดและอร่อย
หลังจากได้เดินทางออกมาจากบุไทรแล้ว คณะของเรา อาจารย์จีระ, คุณหญิง, พี่นะ และลุงอินทร์ได้เดินทางไปเยี่ยมชมสวนองุ่นที่ Village farm ที่อยู่ใกล้กับโฮมสเตย์ ได้เข้าชมวิธีการผลิตไวน์ ที่บ่มไวน์ ได้ชิมน้ำองุ่น 100% (หอมและ หวานธรรมชาติ) พร้อมทั้งได้ฟังเพลงเพราะๆที่ทางร้านได้คัดเพลงเพื่อมาเปิดให้ลูกค้าในร้านได้รู้สึกผ่อนคลาย และได้ชมวีดิทัศน์ในการแนะนำสวนองุ่นของที่นี่ด้วย
สุดท้ายนี้อยากชวนเพื่อนๆชาว BLOG ทุกท่านไปเที่ยวที่นี่เหมือนกับคณะของเรา เพราะเชื่อว่านอกจากที่ทุกท่านได้ไปพักผ่อนแล้วยังจะได้รับการต้อนรับอย่างจริงใจ ชาวบ้านที่นั้นน่ารักมากจริงๆ (จนถึงขนาดท่านอาจารย์จีระ และคุณหญิงอยากที่จะสร้างบ้านพักที่นั่นเลยทีเดียว)และช่วงเช้าจะมีหมอกบางๆทำให้ได้สูดอากาศที่สด รู้ได้เลยอากาศบริสุทธิ์เป็นอย่างไง ซึ่งเรียกได้ว่าคุ้มจริงๆค่ะ อยากให้ชาว Blog ทุกท่านได้ไปพักผ่อนที่นั่นจริงๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบเส้นทาง และข้อมูลเบื้องต้นได้ที่ http://www.wangnamkheo.com หรือโทรหาลุงอินทร์ได้โดยตรงที่เบอร์ 08-1068-6887Input - > Process - > Output
3.อุปกรณ์ที่ช่วยในการบริหารทรัพยากรมนุษย์อย่างหนึ่งที่สำคัญในยุคนี้ก็คือ การ บริหารแรงงานสัมพันธ์ เพื่อเป็นตัวเชื่อมระหว่างบริษัทกับพนักงาน4.ในเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องทำอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บริหารสูงสุดหรือเจ้าของบริษัทต้องมีความเข้าใจและดำเนินกิจกรรมนั้นๆอย่าง ต่อเนื่อง กล่าวคือต้องมี Human Resource Management in mine นอกจากนี้ท่านอาจารย์ยมยังให้ความรู้ในเรื่องของแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ โดยเชื่อมโยงระหว่างแนวคิด 3 วงกลมกับ 2 เงื่อนไข และ ทฤษฎีทุนมนุษย์ ไว้อย่างน่าสนใจมากทำให้สามารถมองเห็นภาพและเข้าใจในหลักการของทั้ง 2 อย่างมากขึ้นและสิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งในยุคนี้คือเรื่อง Conflict and change Management ที่จะต้องเจอทุกองค์กรหรือแม้แต่ในชีวิตประจำวัน หรือในสภาพสังคมในปัจจุบัน ที่ต้องการผู้บริหารที่มีความรู้และความสามารถในการจัดการในเรื่องดังกล่าวมากที่สุดกราบเรียนท่าน อ.ศ.ดร.จีระ , อ.ยม และท่านผู้อ่านทุกท่านดิฉันนางสาวสุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ นักศึกษาระดับปริญญาโทสาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันที่ 29-30/7/50ดิฉันและเพื่อนๆได้มีโอกาสไปบ้านบุไทร อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชศรีมา โดยมีลุงอินทร์ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มตั้งโฮมสเตย์ของบ้านบุไทรขึ้นมาและเป็นประธานกลุ่มมาต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งดิฉันขอเล่าและแบ่งประเด็นได้ดังนี้
1. โฮมสเตย์บ้านบุไทร เริ่มก่อตั้งมาได้ 3 ปีแล้วโดยลุงอินทร์เป็นผู้ริเริ่มและมีความฝันที่อยากทำโฮมสเตย์โดยไปอบรมการทำโฮมสเตย์และนำความรู้ที่ได้มาใช้และเริ่มทำโฮมสเตย์ ในหมู่บ้านบุไทร โดยเริ่มจากบ้านของลุงอินทร์ก่อน แล้วทำให้คนในหมู่บ้านเห็นว่าโฮมสเตย์เป็นยังไงแล้วคนอื่นๆในหมู่บ้านก็สนใจและมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนพัฒนาเป็นโฮมสเตย์ที่น่าสนใจที่หนึ่งและไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก มีจุดเด่นในเรื่องของบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติมีภูเขารอบล้อม เปรียบได้กับสวิสเซอร์แลนด์ในเมืองไทยก็ว่าได้ ซึ่งตอนเช้ามีหมอกขึ้น อากาศเย็นสบายตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดิฉันประทับใจมาก คือ การต้อนรับของลุงอินทร์,พี่สายทองและชาวบ้านที่ดูแลเป็นอย่างดีเหมือนเป็นคนในครอบครัวเลยค่ะ
2. บ้านพักโฮมสเตย์บ้านบุไทร ที่ไปพัก คือ บ้านพี่สายทอง ที่เป็นกันเองดูแลพวกเราเป็นอย่างดีสิ่งที่ประทับใจคือ เมื่อได้เข้าบ้านพี่สายทองได้นำน้ำฝนเย็นๆมาให้ดื่ม รู้สึกสดชื่นและยอมรับว่าหาดื่มยากมากโดยเฉพาะในกรุงเทพ โดยพวกเราชอบมากและดื่มจนหมดเลยค่ะ ,อาหารก็อร่อยเป็นข้าวต้มใส่เห็ดหอมสดของขึ้นชื่อวังน้ำเขียวด้วยและผลไม้ที่ปลูกเองมีรสหวานอร่อยสดๆ ซึ่งบ้านพี่สายทองมีปลูกพริก,กุหลาบ,ผักชี, หน่อไม้และอื่นๆที่แสนร่มรื่น
3. พอประมาณ10 โมงเช้าลุงอินทร์ได้พาพวกเราไปสวนลุงไกรที่เป็นศูนย์กลางแปลงปลูกผักสลัดจากต่างประเทศหลายๆชนิด ซึ่งลุงอินทร์ได้อธิบายและพาไปดูแปลงปลูกผักเกษตรอินทรีย์ของที่นี่ที่มีชื่อเสียงของวังน้ำเขียวว่าปลูกอะไรบ้างปลูกยังไงซึ่งการปลูกของที่นี่จะแปลงนึงไม่ใหญ่นักและมีหญ้ารอบล้อมเพื่อกันแมลงและวัชพืชต่างๆซึ่งการปลูกวิธีนี้ประสบความสำเร็จได้ผลผลิตที่ดีกว่าสมัยก่อนที่ปลูกครั้งหนึ่งแปลงใหญ่ ซึ่งเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจ และที่นั้นมีนักท่องเที่ยวมาซื้อผักปลอดสารพิษสดๆจากสวนกันมากมาเป็นระยะๆจนเกษตรกรขายแทบไม่ทันเลยทีเดียว
4. ได้รับประทานอาหารกลางวันกับท่าน อ.จีระและคุณหญิงภริยาท่านอ.จีระ ที่บ้านลุงอินทร์กับผักสดๆปลอดสารพิษและอาหารที่แสนอร่อยและสาคูไส้หมูที่อ.จีระซื้อมาฝากจากกรุงเทพเพื่อมารับประทานกับผักหอมที่นี่โดยเฉพาะ ซึ่งมีรสชาติอร่อย+ผักสดๆกรอบๆของวังน้ำเขียวอร่อยมากๆค่ะ เมื่ออิ่มท้องแล้วยังอิ่มกับธรรมชาติที่สวยงามและสดชื่น หลังจากนั้น อ.จีระได้พาพวกเราไปเยี่ยมชม วิลเลจฟาร์มที่มีชื่อเสียงของวังน้ำเขียวซึ่งมีที่พัก,ร้านอาหารและได้เยี่ยมชมโรงงานผลิตไวน์ส่งออกต่างประเทศที่มีชื่อเสียงที่หนึ่งของประเทศอีกด้วย
สุดท้ายนี้ดิฉันขอขอบพระคุณท่านอ.จีระเป็นอย่างสูงที่ให้โอกาสดิฉันและเพื่อนๆได้มารู้จักสังคมการเรียนรู้ที่นี่ของวังน้ำเขียว ได้มาพบปะกับลุงอินทร์ที่มีความตั้งใจและมุ่งมั่นมากที่จะพัฒนาโฮมสเตย์บ้านบุไทรในเรื่องต่างๆต่อไปและพี่สายทองที่น่ารักเป็นกันเองให้ที่พักและอาหารที่แสนอร่อย,บรรยากาศดี,สดชื่นมากและมีโอกาสมาเยี่ยมชมวิลเลจฟาร์มที่มีชื่อเสียงในเรื่องไวน์ส่งออกของประเทศ ถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าและประทับใจมากๆค่ะกราบเรียนท่าน อ.ศ.ดร.จีระ , อ.ยม และท่านผู้อ่านทุกท่านดิฉันนางสาวสุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ นักศึกษาระดับปริญญาโทสาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันที่ 29-30/7/50ดิฉันและเพื่อนๆได้มีโอกาสไปบ้านบุไทร อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชศรีมา โดยมีลุงอินทร์ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มตั้งโฮมสเตย์ของบ้านบุไทรขึ้นมาและเป็นประธานกลุ่ม ซึ่งดิฉันขอเล่าและแบ่งประเด็นได้ดังนี้1. โฮมสเตย์บ้านบุไทร เริ่มก่อตั้งมาได้ 3 ปีแล้วโดยลุงอินทร์เป็นผู้ริเริ่มและมีความฝันที่อยากทำโฮมสเตย์โดยไปอบรมการทำโฮมสเตย์และนำความรู้ที่ได้มาใช้และเริ่มทำโฮมสเตย์ ในหมู่บ้านบุไทร โดยเริ่มจากบ้านของลุงอินทร์ก่อน แล้วทำให้คนในหมู่บ้านเห็นว่าโฮมสเตย์เป็นยังไงแล้วคนอื่นๆในหมู่บ้านก็สนใจและมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนพัฒนาเป็นโฮมสเตย์ที่น่าสนใจที่หนึ่งและไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก มีจุดเด่นในเรื่องของบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติมีภูเขารอบล้อม เปรียบได้กับสวิสเซอร์แลนด์ในเมืองไทยก็ว่าได้ ซึ่งตอนเช้ามีหมอกขึ้น อากาศเย็นสบายตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดิฉันประทับใจมาก คือ การต้อนรับของลุงอินทร์,พี่สายทองและชาวบ้านที่ดูแลเป็นอย่างดีเหมือนเป็นคนในครอบครัวเลยค่ะ
2. บ้านพักโฮมสเตย์บ้านบุไทร ที่ไปพัก คือ บ้านพี่สายทอง ที่เป็นกันเองดูแลพวกเราเป็นอย่างดีสิ่งที่ประทับใจคือ เมื่อได้เข้าบ้านพี่สายทองได้นำน้ำฝนเย็นๆมาให้ดื่ม รู้สึกสดชื่นและยอมรับว่าหาดื่มยากมากโดยเฉพาะในกรุงเทพ โดยพวกเราชอบมากและดื่มจนหมดเลยค่ะ ,อาหารก็อร่อยเป็นข้าวต้มใส่เห็ดหอมสดของขึ้นชื่อวังน้ำเขียวด้วยและผลไม้ที่ปลูกเองมีรสหวานอร่อยสดๆ ซึ่งบ้านพี่สายทองมีปลูกพริก,กุหลาบ,ผักชี, หน่อไม้และอื่นๆที่แสนร่มรื่น
3. พอประมาณ10 โมงเช้าลุงอินทร์ได้พาพวกเราไปสวนลุงไกรที่เป็นศูนย์กลางแปลงปลูกผักสลัดจากต่างประเทศหลายๆชนิด ซึ่งลุงอินทร์ได้อธิบายและพาไปดูแปลงปลุกผักเกษตรอินทรีย์ของที่นี่ที่มีชื่อเสียงของวังน้ำเขียวว่าปลูกอะไรบ้างปลูกยังไงซึ่งการปลูกของที่นี่จะแปลงนึงไม่ใหญ่นักและมีหญ้ารอบล้อมเพื่อกันแมลงและวัชพืชต่างๆซึ่งการปลูกวิธีนี้ประสบความสำเร็จได้ผลผลิตที่ดีกว่าสมัยก่อนที่ปลูกครั้งหนึ่งแปลงใหญ่ ซึ่งเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจ และที่นั้นมีนักท่องเที่ยวมาซื้อผักปลอดสารพิษสดๆจากสวนกันมากมาเป็นระยะๆจนเกษตรกรขายแทบไม่ทันเลยทีเดียว
4. ได้รับประทานอาหารกลางวันกับท่าน อ.จีระและคุณหญิงภริยาท่านอ.จีระ ที่บ้านลุงอินทร์กับผักสดๆปลอดสารพิษและอาหารที่แสนอร่อยและสาคูไส้หมูที่อ.จีระซื้อมาฝากจากกรุงเทพเพื่อมารับประทานกับผักหอมที่นี่โดยเฉพาะ ซึ่งมีรสชาติอร่อย+ผักสดๆกรอบๆของวังน้ำเขียวอร่อยมากๆค่ะ เมื่ออิ่มท้องแล้วยังอิ่มกับธรรมชาติที่สวยงามและสดชื่น หลังจากนั้นท่านอ.จีระได้พาพวกเราไปเยี่ยมชม วิลเลจฟาร์มที่มีชื่อเสียงของวังน้ำเขียวซึ่งมีที่พัก,ร้านอาหารและได้เยี่ยมชมโรงงานผลิตไวน์ส่งออกต่างประเทศที่มีชื่อเสียงที่หนึ่งของประเทศอีกด้วย
สุดท้ายนี้ดิฉันขอขอบพระคุณท่านอ.จีระเป็นอย่างสูงที่ให้โอกาสดิฉันและเพื่อนๆได้มารู้จักสังคมการเรียนรู้ของวังน้ำเขียว ได้มาพบปะกับลุงอินทร์ที่มีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่พัฒนาโฮมสเตย์บ้านบุไทรในเรื่องต่างๆต่อไปค่ะและพี่สายทองที่น่ารักเป็นกันเองให้ที่พัก,อาหารที่แสนอร่อย,บรรยากาศดี,สดชื่นมากและได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมวิลเลจฟาร์มที่มีชื่อเรื่องไวน์องุ่นส่งออกต่างประเทศ ถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าและประทับใจมากๆค่ะ
กราบเรียนท่าน อ.ศ.ดร.จีระ , อ.ยม และท่านผู้อ่านทุกท่านดิฉันนางสาวสุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ นักศึกษาระดับปริญญาโทสาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันที่ 29-30/7/50ดิฉันและเพื่อนๆได้มีโอกาสไปบ้านบุไทร อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชศรีมา โดยมีลุงอินทร์ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มตั้งโฮมสเตย์ของบ้านบุไทรขึ้นมาและเป็นประธานกลุ่ม ซึ่งดิฉันขอเล่าและแบ่งประเด็นได้ดังนี้1. โฮมสเตย์บ้านบุไทร เริ่มก่อตั้งมาได้ 3 ปีแล้วโดยลุงอินทร์เป็นผู้ริเริ่มและมีความฝันที่อยากทำโฮมสเตย์โดยไปอบรมการทำโฮมสเตย์และนำความรู้ที่ได้มาใช้และเริ่มทำโฮมสเตย์ ในหมู่บ้านบุไทร โดยเริ่มจากบ้านของลุงอินทร์ก่อน แล้วทำให้คนในหมู่บ้านเห็นว่าโฮมสเตย์เป็นยังไงแล้วคนอื่นๆในหมู่บ้านก็สนใจและมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนพัฒนาเป็นโฮมสเตย์ที่น่าสนใจที่หนึ่งและไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก มีจุดเด่นในเรื่องของบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติมีภูเขารอบล้อม เปรียบได้กับสวิสเซอร์แลนด์ในเมืองไทยก็ว่าได้ ซึ่งตอนเช้ามีหมอกขึ้น อากาศเย็นสบายตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดิฉันประทับใจมาก คือ การต้อนรับของลุงอินทร์,พี่สายทองและชาวบ้านที่ดูแลเป็นอย่างดีเหมือนเป็นคนในครอบครัวเลยค่ะ
2. บ้านพักโฮมสเตย์บ้านบุไทร ที่ไปพัก คือ บ้านพี่สายทอง ที่เป็นกันเองดูแลพวกเราเป็นอย่างดีสิ่งที่ประทับใจคือ เมื่อได้เข้าบ้านพี่สายทองได้นำน้ำฝนเย็นๆมาให้ดื่ม รู้สึกสดชื่นและยอมรับว่าหาดื่มยากมากโดยเฉพาะในกรุงเทพ โดยพวกเราชอบมากและดื่มจนหมดเลยค่ะ ,อาหารก็อร่อยเป็นข้าวต้มใส่เห็ดหอมสดของขึ้นชื่อวังน้ำเขียวด้วยและผลไม้ที่ปลูกเองมีรสหวานอร่อยสดๆ ซึ่งบ้านพี่สายทองมีปลูกพริก,กุหลาบ,ผักชี, หน่อไม้และอื่นๆที่แสนร่มรื่น
3. พอประมาณ10 โมงเช้าลุงอินทร์ได้พาพวกเราไปสวนลุงไกรที่เป็นศูนย์กลางแปลงปลูกผักสลัดจากต่างประเทศหลายๆชนิด ซึ่งลุงอินทร์ได้อธิบายและพาไปดูแปลงปลุกผักเกษตรอินทรีย์ของที่นี่ที่มีชื่อเสียงของวังน้ำเขียวว่าปลูกอะไรบ้างปลูกยังไงซึ่งการปลูกของที่นี่จะแปลงนึงไม่ใหญ่นักและมีหญ้ารอบล้อมเพื่อกันแมลงและวัชพืชต่างๆซึ่งการปลูกวิธีนี้ประสบความสำเร็จได้ผลผลิตที่ดีกว่าสมัยก่อนที่ปลูกครั้งหนึ่งแปลงใหญ่ ซึ่งเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจ และที่นั้นมีนักท่องเที่ยวมาซื้อผักปลอดสารพิษสดๆจากสวนกันมากมาเป็นระยะๆจนเกษตรกรขายแทบไม่ทันเลยทีเดียว
4. ได้รับประทานอาหารกลางวันกับท่านอ.จีระและคุณหญิง ที่บ้านลุงอินทร์กับผักสดๆปลอดสารพิษและอาหารที่แสนอร่อยและสาคูไส้หมูที่อ.จีระซื้อมาฝากจากกรุงเทพเพื่อมารับประทานกับผักหอมที่นี่โดยเฉพาะ ซึ่งมีรสชาติอร่อย+ผักสดๆกรอบๆของวังน้ำเขียวอร่อยมากๆค่ะ เมื่ออิ่มท้องแล้วยังอิ่มกับธรรมชาติที่สวยงามและสดชื่น หลังจากนั้นอ.จีระได้พาพวกเราไปเยี่ยมชม วิลเลจฟาร์มที่มีชื่อเสียงของวังน้ำเขียวซึ่งมีที่พัก,ร้านอาหารและได้เยี่ยมชมโรงงานผลิตไวน์ส่งออกต่างประเทศที่มีชื่อเสียงที่หนึ่งของประเทศอีกด้วย
สุดท้ายนี้ดิฉันขอขอบพระคุณท่านอ.จีระเป็นอย่างสูงที่ให้โอกาสดิฉันและเพื่อนๆได้มารู้จักสังคมการเรียนรู้ของวังน้ำเขียว ได้มาพบปะกับลุงอินทร์ที่มีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่พัฒนาโฮมสเตย์บ้านบุไทรในเรื่องต่างๆต่อไปค่ะและพี่สายทองที่น่ารักเป็นกันเองให้ที่พัก,อาหารที่แสนอร่อย,บรรยากาศดี,สดชื่นมากและได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมวิลเลจฟาร์มที่มีชื่อเรื่องไวน์องุ่นส่งออกต่างประเทศ ถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าและประทับใจมากๆค่ะ
เรียน อ.จีระ , อ.ยม , ทีมงาน Chira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เนื่องจากวันที่ 29 - 30/7/50 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปศึกษาดูงาน เรื่องผักปลอดสารพิษ ที่บ้านบุไทร อ.วังน้ำเขียว จ,นครราชสีมา เริ่มออกเดินทางประมาณ 17.00 น. ไปถึงที่พักประมาณ 23.00น. คืนแรกก็สนุกสนานกันพอประมาณหลังจากเครียดกับการสอบมาทั้งเดือน (ฝึกคณิตศาสตร์กันยามดึก) ช่วงเช้าตื่นขึ้นมาได้รับอากาศบริสุทธิ์ ( วังน้ำเขียวได้ชื่อว่าเป็นแหล่งโอโซนอันดับต้นๆของโลก ) อากาศกำลังดีไม่ร้อนจนเกินไป ระหว่างรับประทานอาหารที่ พี่สายทอง ซึ่งเป็นเจ้าของ โฮมสเตย์ที่พวกผมไปพัก มาพูดคุยด้วยความเป็นกันเอง เลยมีโอกาสได้สอบถามคร่าวๆ ถึงความเป็นมาของธุรกิจโฮมสเตย์ในระแวกนี้ ว่า ประธานกลุ่ม ชื่อ ลุงอินทร์ เป็นคนริเริ่ม และเป็นคนบริหารจัดการอยู่ในช่วงนี้ จากนั้นช่วงสาย พวกผมได้มีโอกาสพบลุงอินทร์ ได้พูดคุยสอบถาม และได้ไปเยี่ยมชมสวนผักปลอดสารพิษของชาวบ้าน ทำให้พอทราบถึงแนวคิดของการทำธุรกิจผักปลอดสารพิษในละแวกนี้ว่า จะมีบางคนที่เข้มแข็ง เป็นศูนย์รวมให้แต่ละบ้านนำพืชผักมาวางขายเป็นจุดเดียวกัน แต่เมื่อดูจากระยะทาง และจุดขายแล้ว ถ้าเราสามารถทำให้สามารถขายผักปลอดสารพิษได้ในบริเวณโฮมสเตย์เลยน่าจะดีกว่า เพราะนักท่องเที่ยวสามารถซื้อหาได้ง่าย และยังเป็นแหล่งดึงดูดให้มาพักที่โฮมสเตย์ด้วย จากนั้น ช่วงเที่ยง อ.จีระ และ คุณหญิง ( ภรรยา ) ของอาจารย์ได้ให้เกียรติพวกผม มานั่งรับประทานอาหารด้วย และได้พูดคุยกันระหว่างรับประทานอาหาร ถึงแนวทางที่จะช่วยพัฒนาให้ผักปลอดสารพิษมีจุดขาย สามารถกระจายให้บุคคลทั่วๆไปหารับประทานได้ง่าย จากที่คุยแล้วได้ความว่า จะให้ลุงอินทร์ ช่วยเป็นพื้นธุระหาพื้นที่ในการจำหน่ายให้และทางนักศึกษา ป.โทลาดกระบัง จะช่วยในเรื่อง การตลาด และ Brand ซึ่งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่มั่นคงของธุรกิจ ที่ไม่ได้ทำอะไรเกินตัวมากนัก ซึ่งเรื่องนี้ ทางลุงอินทร์ และทางคณะนักศึกษาจะประสานงานกันอีกครั้ง ในช่วงบ่าย อ.จีระ ได้พาพวกผม และลุงอินทร์ ไปที่ วิลเลจน์ฟาร์มแอนด์ ไวน์งเนอรี่ ซึ่งเป็นรีสอร์ต และไร่องุ่นในบริเวณใกล้เคียงซึ่งอ.จีระรู้จักเป็นอย่างดี ได้มีโอกาสดูไลน์การผลิตไร่องุ่น และรับประทานน้ำองุ่นฟรี !! พวกผม ลุงอินทร์ และ อ.จีระ ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน จนถึงช่วงเย็น ( ประมาณ 16.30 น.) ซึ่งระหว่างที่พวกผมได้อยู่กับ อ.จีระนั้น ได้ความรู้เพิ่มเติมมากมาย จากนั้นจึงเดินทางกลับ
ต้องขอขอบคุณ อ. จีระ , คุณหญิง , ลุงอินทร์ และพี่สายทอง ที่ทำให้พวกผมได้มีประสบการณ์ดีๆเพิ่มขึ้นในชีวิต งานในเรื่องนี้ พวกผมจะพยายามทำต่อให้เต็มความสามารถครับ
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงลดารมภ์ อาจารย์วสุ แสงสิงห์แก้ว และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากที่ได้เรียนในวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 9.00 – 12.00 น. เรื่อง ประสบการณ์ในการทำงาน (กระทรวงต่างประเทศ) เนื้อหาที่เรียนที่ดิฉันจับประเด็นได้หลักๆ 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก นักบริหารที่ดี ต้องมีการเตรียมตัวและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เข้ามาได้ทุกรูปแบบ มีการมองภาพล่วงหน้า คือมีการมองถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ต้องรับทราบข่าวสารใหม่ๆ ในทุกๆ วัน ทุกอย่างมีวิวัฒนาการ และต้องมีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นที่สอง การเป็นผู้บริหารที่มีความสุข ท่านอาจารย์บอกว่าในทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้แยกว่าเป็นความสุขกับความทุกข์ แต่มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย คือช่วงที่คิดว่ามีความสุขที่จริงแล้วเป็นช่วงที่มีทุกข์น้อย การเป็นผู้บริหารที่มีความสุข จะต้องพยายามหาจุดมุ่งหมายหรือสิ่งที่จะทำให้มีความสุข จะได้เห็นทิศทางในการบริหาร ซึ่งเราจะค้นพบตนเองได้นั้นต้องอาศัยทั้งวัยวุฒิและประสบการณ์
ประเด็นที่สาม ความแตกต่างของการบริหารงานของภาครัฐและภาคเอกชน
การบริหารงานของภาคเอกชน | การบริหารงานของภาครัฐ |
1. เงินทุนมาจากเจ้าของกิจการ หรือแหล่งเงินทุน 2. ผู้บริหารมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้ผลกำไรสูงสุด 3. การตัดสินใจเชิงนโยบายทำได้อย่างรวดเร็ว |
1. เงินทุนมาจากภาษีของราษฎร 2. ผู้บริหารเป็นผู้เข้ามารับเงินเดือน และขับเคลื่อนประเทศให้ดีขึ้น 3. การตัดสินใจเชิงนโยบายจะยุ่งยาก เนื่องจากที่มาของแหล่งเงินทุนต่างกัน ต้องปฏิบัติงานตามขั้นตอน |
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงลดารมภ์ อาจารย์วสุ แสงสิงห์แก้ว และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากที่ได้เรียนในวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 9.00 – 12.00 น. เรื่อง ประสบการณ์ในการทำงาน (กระทรวงต่างประเทศ) เนื้อหาที่เรียนที่ดิฉันจับประเด็นได้หลักๆ 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก นักบริหารที่ดี ต้องมีการเตรียมตัวและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เข้ามาได้ทุกรูปแบบ มีการมองภาพล่วงหน้า คือมีการมองถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ต้องรับทราบข่าวสารใหม่ๆ ในทุกๆ วัน ทุกอย่างมีวิวัฒนาการ และต้องมีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นที่สอง การเป็นผู้บริหารที่มีความสุข ท่านอาจารย์บอกว่าในทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้แยกว่าเป็นความสุขกับความทุกข์ แต่มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย คือช่วงที่คิดว่ามีความสุขที่จริงแล้วเป็นช่วงที่มีทุกข์น้อย การเป็นผู้บริหารที่มีความสุข จะต้องพยายามหาจุดมุ่งหมายหรือสิ่งที่จะทำให้มีความสุข จะได้เห็นทิศทางในการบริหาร ซึ่งเราจะค้นพบตนเองได้นั้นต้องอาศัยทั้งวัยวุฒิและประสบการณ์
ประเด็นที่สาม ความแตกต่างของการบริหารงานของภาครัฐและภาคเอกชน
การบริหารงานของภาคเอกชน | การบริหารงานของภาครัฐ |
1. เงินทุนมาจากเจ้าของกิจการ หรือแหล่งเงินทุน 2. ผู้บริหารมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้ผลกำไรสูงสุด 3. การตัดสินใจเชิงนโยบายทำได้อย่างรวดเร็ว |
1. เงินทุนมาจากภาษีของราษฎร 2. ผู้บริหารเป็นผู้เข้ามารับเงินเดือน และขับเคลื่อนประเทศให้ดีขึ้น 3. การตัดสินใจเชิงนโยบายจะยุ่งยาก เนื่องจากที่มาของแหล่งเงินทุนต่างกัน ต้องปฏิบัติงานตามขั้นตอน |
กราบเรียนอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์, อาจารย์ ยม, อาจารย์ วสุ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาว วสพร บุญสุข นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2550 ได้มีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์วสุ แสงสิงห์แก้ว (พี่จิ๊บ) ในรายวิชา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในหัวข้อ ประสบการณ์ในการทำงาน (ในกระทรวงการต่างประเทศ) ทำให้ดิฉันได้ความรู้เพิ่มเติม 4 ประเด็นดังนี้
ประเด็นแรก คือ การยกคำกล่าวของพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “วิสสาวะ ปรมา ญาติ” ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง เมื่อคนเราที่คุ้นเคยกันจะช่วยเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทำให้ลดขั้นตอนความยุ่งยาก (สร้างConnection)
ประเด็นที่สอง คือ การบริหารองค์กรหรือทรัพยากรมนุษย์ จะต้องเริ่มที่ตัวเราก่อนเสมอ ต้องปรับตัวเข้ากับสังคม วัฒนธรรม ขององค์กร โดยการเข้าไปแบบว่างเปล่า เป็นแก้วที่ว่างเปล่า ไม่สร้างกำแพงปิดกั้นตัวเรา
ประเด็นที่สาม คือ การเป็นผู้บริหารที่ดี ต้องรู้จักเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะต้องอาศัย ประสบการณ์+ความรู้ความสามารถ+connection และการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่สำคัญก็คือ การเป็นคนดีของสังคม และต้องมีสติ สรุปภาพรวมของคนดีได้ดังนี้ 1. อย่าทำให้ตัวเราเดือดร้อน 2. อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน3. ควรทำประโยชน์ให้กับสังคมตามกำลังของเรา (ความพอเพียง)
ประเด็นที่สี่ คือ การทำงานไม่ว่าจะหน้าที่หรือตำแหน่งไหน ตัวเราจะต้องรักงานที่ทำ จะทำให้เกิดความสุขในการทำงาน ผลงานออกมาจะมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน สรุปประเด็นทั้งหมดได้ว่า การจะทำให้คนอื่นรัก หรือให้คนอื่นเกลียดเราน้อยลง ขึ้นอยู่กับการกระทำตัวของเราเอง ต้องรู้จักปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และจะต้องมีทุนของอาจารย์จีระ คือ ทุนแห่งจริยธรรม (Ethical Capital) และ ทุนแห่งความสุข(Happiness Capital) จากการเรียนครั้งนี้ ทำให้ดิฉันรู้จักการเรียนที่มีความสุข และขอบคุณอาจารย์วสุ ที่ได้เล่าประสบการณ์จากการทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ คำกลอน และคำคม ให้ดิฉัน สามารถนำมาเตือนสติ แลtประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีกับสถานการณ์ปัจจุบันนี้กราบเรียนท่าน อ.ศ.ดร.จีระ , อ.วสุ และท่านผู้อ่านทุกท่านดิฉันนางสาวสุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ นักศึกษาระดับปริญญาโทสาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันที่ 5/8/50 ได้มีโอกาสได้เรียนกับคุณ วสุ แสงสิงห์แก้ว หรือพี่วสุนั้นเอง ดิฉันขอเรียกเป็นอาจารย์น่ะค่ะ ที่ได้มาถ่ายทอดความรู้และเล่าประสบการณ์ในการทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศตลอดเวลา 18 ปี ที่ผ่านมาซึ่งได้ข้อคิดที่ดีๆมากมาย ซึ่งดิฉันขอแยกเป็นประเด็นดังนี้
1. การทำงานนั้นย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ แต่ควรที่จะมีสุขมากกว่าหรือ happiness Capitalให้มาก เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้งานที่ทำอยู่จึงจะทำให้งานออกมาดีและผ่านพ้นไปได้ ซี่งการทำอะไรด้วยความสุขด้วยรอยยิ้มย่อมจะทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อย่างการเรียนก็ควรจะเรียนอย่างมีความสุข การทำงานก็ควรมีแนวทางการจัดการบริหารให้มีความสุข นั้นคือต้องรักในสิ่งที่เราทำนั้นเอง2. วัฒนธรรมการอยู่ในองค์กรควรมีการสร้างความคุ้นเคย การมีความสัมมาคารวะ การให้เกรียติกับผู้ร่วมงานและผู้อาวุโสกว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเกิดการสร้างสัมพันธ์ที่ดีในองค์กรและจะทำให้มีความสุขกับงานที่ทำตามมาด้วย
3. การบริหารภาครัฐต่างกับภาคเอกชน ซึ่งทุกๆคนก็รู้กันดีแต่มีอย่างหนึ่งที่การบริหารภาครัฐไม่ต่างกับภาคเอกชนก็คือ คุณสมบัติของผู้บริหารที่ดีของภาครัฐและเอกชน เช่น การมีความห่วงใยกังวล,ความอบอุ่นใจกับผู้ร่วมงานในองค์กรทุกคน ที่เหมือนกัน
สรุป จุดหมายปลายทางชีวิตของการทำงานก็คือ การเป็นคนดีของสังคม ทำประโยชน์ให้สังคมและคืนประโยชน์ให้สังคมโดยไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน ซึ่งดิฉันคิดว่ามีประโยชน์ในการนำมาใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานต่อไปและเพื่อเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ดีต่อไปค่ะ
เรียน อ.จีระ , อ.จิ๊บ , ทีมงาน Chira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เนื่องจากวันที่ 5/8/50 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเรียน HR กับ อ.วสุ แสงสิงห์แก้ว ( อ.จิ๊บ ) โดยประเด็นที่เรียน จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์จริง กับการทำงานทางด้าน HR ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่ง อ.จิ๊บ ได้ให้แง่คิดต่างๆ ที่ผมพอจะจับประเด็นได้ดังนี้
1. Change Management การเปลี่ยนแปลง มีอยู่เสมอ ( เป็นเรื่องธรรมดา ) ผู้บริหารที่ดี ต้องจัดการและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้
2. ความสุข การกระทำใดๆก็ตาม อย่าเน้นที่ผลประโยชน์เป็นหลัก ให้ดูที่ความสุขที่จะได้รับด้วย เช่นการทำงาน ณ.ปัจจุบันของแต่ละคน มีความสุขดีหรือไม่ ถ้าไม่ มีทางไหนที่จะปรับปรุงให้มีความสุขขึ้นหรือเปล่า
3. การเป็นหัวหน้าที่ดี เมื่อมองถึงหัวหน้า ในมุมมองของลูกน้องแล้ว ย่อมมีอยู่ 2 อย่าง คือ เป็นที่รักและเป็นที่เกลียดชัง การประพฤติตัวอย่างไรให้เป็นที่รักของลูกน้องนั้น ต้องมีความเมตตา ความอบอุ่น พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือกับลูกน้อง อย่าปัดความรับผิดชอบ ด่าทอ ( พวกฟ้องนายขายเพื่อน ) แล้วคุณจะเป็นหัวหน้าที่ดี ที่เมื่อคุณ ตายจากองค์กรนั้นๆไปแล้วแต่ชื่อเสียงของคุณยังคงอยู่
4. หลักรัฐศาสตร์ และ หลักนิติศาสตร์ มีความสำคัญทั้งคู่ แต่บางครั้ง การใช้รัฐศาสตร์ ช่วยให้ทำอะไรได้สะดวกมากขึ้น เรื่องต่างๆดูเบาลงได้ ถ้าบางครั้งยึดกับตัวกฎมากเกินไปปัญหาอาจลุกลามใหญ่โตได้ ( เน้นการมี connection + network ที่ดี )
5. เพื่อน การมีเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งมีเพื่อนที่ดีมากเท่าไร การกระทำต่างๆ จะง่ายขึ้นเท่านั้น สามารถเอื้อประโยชน์กันได้ ( แต่ต้องไม่ผิดจริยธรรม )
โดยสรุปแล้ว อ.จิ๊บ เน้นให้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข และให้มี เพื่อน ให้มากๆ การกระทำสิ่งใดๆก็ตามจะราบรื่น สิ่งต่างๆที่ อ.จิ๊บ สอนมานี้ ผมจะนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถใช้ได้จริง อย่างเห็นได้ชัด
ขอบคุณครับ
วรพจน์
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ, อ.วสุ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน น.ส.อรนุช หล่ำสกุลไพศาล ID.50066214 นักศึกษาระดับ ป.โท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากการที่ได้มีโอกาสฟังการบรรยายในชั่วโมงการเรียนวิชา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2550 กับ อ.วสุ แสงสิงห์แก้ว สามารถจับประเด็นได้ 3 ประเด็นดังนี้
ประเด็นแรก เรื่องการเป็นนักบริหารที่ดีต้องมี Information มีนโยบายที่ชัดเจน มี Connection และรู้ ความต้องการทั้งของตัวเอง ลูกน้อง และลูกค้า ถามตัวเองอะไรเกิดขึ้นวันนี้ เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ที่สำคัญในการทำงานของเรา Connection เป็นสิ่งที่สำคัญ การสื่อสารที่ดีสามารถขจัดความขุ่นข้องหมองใจสามารถทำให้สิ่งที่ยากเป็นสิ่งที่ง่ายระหว่างเจ้านาย ลูกน้อง และลูกค้า
ประเด็นที่สอง อาจารย์ได้เล่าประสบการณ์ให้พวกเราได้ฟังกัน พร้อมกับเปรียบเทียบในเรื่องของการทำงานว่า เมื่อเราแรกเข้าทำงานทุกคนเปรียบเสมือนน้ำเต็มแก้ว คนเรามักสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นจึงมักเกิดความขัดแย้งเมื่อเราจริงจังมากเกินไปมักยอมรับความล้มเหลวของตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าหากเราเป็นแก้วเปล่า ทำให้กลมกลืน รู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติกัน แต่มีหลักการหรือจุดยืนของตัวเอง ค่อยๆที่จะสร้างบารมีไป
ประเด็นที่สาม ข้อคิดสุดท้ายที่อาจารย์ให้ คือโค้งสุดท้ายเมื่อเรากำลังจะออกจากงานไม่ว่าเราจะเป็นระดับผู้บริหารระดับสูงแค่ไหนหากเราไม่เคยทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรเอาแต่อยู่ไปวันๆ ไม่เป็นที่น่าจดจำ ที่น่านับถือก็ไม่มีค่าอะไร เมื่อเทียบกับผู้จัดการธรรมดาที่ได้สร้างแนวทางไว้ให้คนรุ่นหลังที่ใครๆก็ให้ความเคารพอย่างจริงใจเป็นที่น่าจดจำ ทำให้นึกถึงหนังสือ HR พันธ์แท้ของท่านพารณและ อ.จีระ ที่เป็นผู้หนึ่งที่เป็นที่น่าจดจำ เป็นแนวทางให้กับลูกน้องในองค์กร เป็นที่น่านับถือไปตลอดกาล
อาจารย์ได้ส่งท้ายเรื่องการเป็นคนดี 3 ประการว่าอย่าทำให้ตนเองเดือดร้อน, อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน และ มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่อย่างพอเพียง จากเอกสารที่ อ.วสุ ให้เป็นข้อคิด คติดีๆ โดยส่วนตัวเห็นว่าเอกสารชุดนี้สามารถใช้ได้ในทุกสถาน หยิบขึ้นมาอ่านได้ทุกเมื่อจึงขอยกข้อคิด และคติดีๆ ที่อาจารย์ได้ให้มาใส่ไว้ใน Blog ให้ได้อ่านกันค่ะ
“มิตตะรูเปนะ พะหะโว ฉันนา เสวันติ สัตตะโว” แปลว่า ศัตรูจำนวนมากที่คบหา แฝงมาโดยรูปแห่งมิตร.
การมีเพื่อนฝูงมากก็ยิ่งมีหนทางเดินมาก More friends More ways
การรู้จักคนมาก ดีกว่าจะเก่งกาจมาก Know “WHO” is better than know “HOW”
4.การทำงานหรือเรียนจะต้องทำอย่างมีความสุข โดยการเริ่มต้นจากตัวเราเองก่อน กล่าวคือจะต้องรักงานที่ทำหรือรักเรื่องที่เรียน
5.ในมุมมองของความสุข ไม่มีผู้ใดที่มีแต่ความสุข หรือ มีแต่ความทุกข์ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วควรมองว่า ทุกข์มากหรือทุกข์น้อย จะเห็นได้ว่าการที่เมื่อไรก็ตามที่เรามีทุกข์น้อย นั่นหมายความว่า เรามีความสุขอยู่ด้วย6.จงอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง 7.ความแตกต่าง และ ความเหมือน ในการบริหารภาคเอกชนและภาครัฐ ความแตกต่าง : 7.1ภาคเอกชนจะเน้นกำไรสูงสุด การตัดสินใจเชิงนโยบายสามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว และมีการใช้ต้นทุนของตนเอง 7.2ภาครัฐ มีการใช้ต้นทุนจากภาษีที่เก็บจากประชาชน และมีผู้บริหารที่จะมีหน้าที่บริหารเงินทุนดังกล่าวเพื่อประเทศชาติการทำงานหรือเรียนจะต้องทำอย่างมีความสุข โดยการเริ่มต้นจากตัวเราเองก่อน กล่าวคือจะต้องรักงานที่ทำหรือรักเรื่องที่เรียน ความเหมือน : ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ จะไม่แตกต่างกันในเรื่องของความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา(ลูกน้อง) หากมีการบริหารโดยผู้บริหารที่ดี8. การเป็นคนดีของสังคม คือ การที่ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน , ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และ ไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน9. การวัดความเป็นที่รักของผู้อื่น สามารถวัดได้จาก งานศพ ซึ่งหากมีคนรักมาก จะพบว่าแม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ชื่อยังคงถูกจารึกไว้ในหัวใจของคนอื่น ดังนั้นในงานศพจะมีผู้คนไปร่วมไว้อาลัยจำนวนมาก แต่ในทางกลับกัน หากในช่วงที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้ทำตนให้เป็นที่รักของคนอื่นแล้ว ยามตายไป ก็จะไม่มีคนไปร่วมไว้อาลัยในครั้งสุดท้าย10.คติที่น่าสนใจที่ได้รับมามีหลายๆคติด้วยกัน แต่ที่ประทับใจได้แก่ “ความร่ำรวยก็เป็นสิ่งดี ความแข็งแรงก็เป็นสิ่งดีอีกอย่าง แต่สิ่งที่ดีกว่าก็คือการเป็นที่รักของเพื่อนฝูงมากๆ” แต่ในการคบหาสมาคมกับผู้คนเพื่อให้มีเพื่อนฝูงมากๆนั้น คงต้องมีการระมัดระวังด้วยเช่นกัน ดังคติที่ว่า “ศัตรูจำนวนมากที่คบหา แฝงมาโดยรูปแห่งมิตร”เรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์วสุ แสงสิงแก้วและทีมงานทุกท่าน ผมนายพัฒนา ปลอดภัยงาม นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
สิ่งที่ได้รับในการเรียนวันที่ 5 สิงหาคม 2550 นั้น
1.การที่จะเป็นที่เคารพรักและทำคุณประโยชน์ นั้นโดยหลักจะมาจากการที่เป็นที่มีทั้งพระเดชและพระคุณ การที่ได้มีตำแหน่งหน้าที่ในการงานทั้งเอกชนหรือราชการ ต่างก็ต้องมีการหมดวาระหน้าที่ ซึ่งตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ นั้นก็เป็นเหมือนหัวโขนที่แต่ละคนจะมีบทบาทต่างกัน การที่พ้นจากวาระตำแหน่งหรือจากโลกใบนี้ไป ยังมีคนกล่าวถึงแต่สิ่งดี ๆ ที่เคยได้ทำมา แสดงความเคารพรักอยู่เสมอ ก็ต้องมาจากการทำความดีและเข้าใจและร่วมงานกับคนในองค์กรได้ดี สิ่งนี้ที่จะติดตัวหัวหน้างานไปตลอด ไม่ว่าจะร่วมงานอยู่หรือพ้นตำแหน่งไปแล้ว
2.การทำงานที่ชอบและถนัด ถ้าทุกคนได้ทำในสิ่งที่ชอบ ผลลัพธ์จากงานก็จะดี แต่การที่ได้ทำงานที่ไม่ชอบ บางครั้งก็ต้องทำเพราะความจำเป็นบางอย่าง ควรต้องทำงานนั้น ๆ ด้วยความสามารถที่มีให้ได้มากที่สุด เพราะผลงานที่ออกมานั้นเปรียบเหมือนเป็นกระจก ที่ส่องมองคนที่ทำ ว่าจะดีหรือไม่
ขอบคุณอาจารย์วสุ ที่ได้ให้คำสอน หลักธรรม และหลักปฏิบัติในการทำงานและการใช้ชีวิตครับ
เรียน ศ.ดร จีระ หงส์ลดารมณ์ , ท่านอาจารย์ยม , อาจารย์ประกาย ,อาจารย์วสุ และทีมงาน Chirra academy ทุกๆท่าน และสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน วันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้รับเกียรติจากอาจารย์ วสุ แสงสิงห์แก้ว ที่สละเวลามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้มุมมองในด้านบริหารทรัพยากรมนุษย์ โดยเน้นไปที่ในส่วนของภาครัฐ โดยยกตัวอย่างในการทำงานและบริหารงานในกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอาจารย์วสุได้มีประสบการณ์ตรงจากการรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ มีประเด็นหลักที่นำมาเสนอให้ชาว Blog ได้รับความรู้ดังนี้
1. การที่เราจะทำงานและประสบความสำเร็จได้นั้น ก่อนอื่นเราต้องรู้จักหาความเป็นตัวของตัวเองความรักในงานที่เราได้ทำ ด้วยการให้เวลาในการทำงานและตอบคำถามให้ได้ว่าเป็นงานที่เราเต็มใจ สบายใจและรักที่จะทำแม้เกิดปัญหา หากเราพบว่างานที่เราทำนั้นเป็นงานที่เรารักเราจะสามารถจัดการกับปัญหา และทำงานด้วยความสุขแม้จะเกิดปัญหาใหญ่สักเพียงใด
2. เราจะต้องพร้อมรับกันสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น การย้ายที่ทำงาน การเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง หากเราไม่มีการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้าหากเกิดปัญหา อาจจะทำให้เกิดความไม่สบายใจและไม่อยากทำงานได้
3.ในการทำงานเราต้องมีการติดต่อสื่อสารกันทั้งในองค์กรและนอกองค์กร การสื่อสารที่ดีทำให้เราประสบความสำเร็จในงานที่ได้รับมอบหมายได้
4.เราต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัว ทำสิ่งใดตามใจตนเอง ทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนในองค์กร สร้างผลงานให้คนรุ่นหลังได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติตน และใช้ผลงานในทางสร้างสรรค์เพื่อให้สังคมดำเนินต่อไปได้อย่างมีความสุข ความเจริญต่อไป
1. แนวทางการทำงานให้ก้าวหน้าอย่างมีความสุข - ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้ทำงานในตำแหน่งผู้บริหารจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรอบรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลงของโลก อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้มีความทันสมัยและเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้สิ่งที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ การเปิดใจกว้างยอมรับความเห็นที่แตกต่าง การทำตัวให้เปรียบเสมือนแก้วน้ำที่ไม่เต็มเพื่อที่สามารถรองรับข้อมูลหรือสิ่งใหม่ๆ เข้าไปอยู่เสมอ ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับทุกคนที่ต้องการจะพัฒนาการทำงานให้บรรลุตามเป้าหมาย
2. การเป็นผู้บริหารที่ดี มีคุณธรรม ย่อมจะได้รับความรัก ความเคารพจากลูกน้องและเพื่อนร่วมงานเสมอทั้งในช่วงเวลาทำงานหรือเมื่อเลิกทำงานไปแล้ว ดังนั้น จึงเป็นข้อคิดที่ดีสำหรับผู้ที่กำลังจะก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้บริหารในอนาคตว่าจะเป็นผู้บริหารแบบไหนถึงจะได้ใจลูกน้องและเพื่อนร่วมงาน
สุดท้ายแล้วก่อนจะจบชั่วโมงเรียน อ.วสุ ก็ได้ฝากและย้ำให้นักศึกษาได้คิดอีกครั้งสำหรับการเป็นผู้บริหารนั้นไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานในตำแหน่งใดหรือในองค์กรไหนก็ตามควรจะมีการสร้างประโยชน์กลับคืนสู่สังคมบ้างเพื่อการพัฒนาสังคมให้น่าอยู่และมีความสุขมากยิ่งขึ้น.
เรียนศร.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด รวมถึงอาจารย์ทุกท่านและท่านผู้อ่าน ดิฉันนางสาว อรุณี แซ่ตั้ง นักศึกษาปริญญาโท การจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคมผ่านมา อ. พจนารถ ซีบังเกิด ได้มาสอนเรื่อง workforce alignment in an organization ซึ่งอาจารย์ได้ให้การบ้านเป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับ workforce alignment ภายในองค์กรที่สนใจ ซึ่งดิฉันได้เลือก AIS เนื่องจากเป็นองค์กรที่ประสบความสำเร็จและมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงที่สุดในตลาดเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
วิสัยทัศน์
เป็นผู้นำที่ขับเคลื่อนอย่างไม่หยุดนิ่งในการสร้างสรรค์และนำเสนอบริการทางการสื่อสารที่ผสมผสานในรูปแบบต่างๆจากเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคม
พันธกิจ· มุ่งมั่นสรรหาบริการใหม่ๆที่มีความพิเศษและแตกต่างซึ่งสอดคล้องการใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ใช้บริการ · มีเป้าหมายที่จะรักษาความเป็นผู้นำในด้านส่วนแบ่งรายได้ และมีผลกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี· มุ่งมั่นในการเพิ่มคุณค่าองค์กรและบุคลากร เพื่อให้ผู้ถือหุ้น นักลงทุน ผู้ใช้บริการ ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้มูลค่าที่สูงขึ้น
· มุ่งมั่นในการดำเนินกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคมของเราอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอดไป
AIS ถือว่าเรื่อง “Brand Preference และ Brand Image” เป็นจุดแข็งของ AIS ด้วยความพร้อมของการเป็นผู้ให้บริการที่มั่นใจในคุณภาพที่ดีกว่าคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพเครือข่าย , คุณภาพของการให้บริการ และ คุณภาพของช่องทางการจัดจำหน่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้นกลยุทธ์เรื่องราคาจึงไม่ใช่กลยุทธ์หลักแต่เพียงอย่างเดียว กลยุทธ์ที่สำคัญของ AIS จะเน้นด้านการบริการเสริมต่างๆให้แก่ลูกค้า เช่น ใช้แนวกลยุทธ์ทางการตลาดแบบ CMR (Customer Managed Relationships) คือ ให้ลูกค้าเลือกผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงความต้องการของตัวเองมากที่สุดโดยมีรูปแบบการบริการที่หลากหลายเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ใช้บริการให้มากที่สุด ซึ่งบริการเสริมของ AIS มีหลากหลายรูปแบบไม่ใช่เป็นเพียงระบบเครือข่ายโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว เช่น บริการออนไลน์ที่เป็นการให้บริการผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน, AIS smart solution เป็นระบบสื่อสารที่รวมเอาเทคโนโลยีต่างๆมารวมกันเพื่อการจัดการในองค์กรธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น เพื่อให้สามารถสนองความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าแต่ละรายให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด นอกจากนั้น AIS ยังได้ใช้กลยุทธ์ใหม่ที่เรียกว่า “IMP” (Integrated Marketing Power) ซึ่งจะเน้นเรื่องค่าโทรที่สามารถแข่งขันกับเครือข่ายอื่นๆได้ และยังคงเน้นในเรื่องบริการเสริมต่างๆ อีกเช่นเดิม
จากที่กล่าวข้างต้นจะเห็นว่ากลยุทธ์ของ AIS จะเน้นที่การให้บริการที่หลากหลายเพี่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าผู้ใช้บริการ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวก็ถือว่าประสบผลสำเร็จพอสมควรเนื่องจากปัจจุบัน AIS มีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 60% และกลยุทธ์ดังกล่าวสามารถที่จะตอบโจทย์ของ วิสัยทัศน์และพันธ์กิจของ AIS ที่ได้ตั้งไว้ได้
นอกจากนั้น AIS ยังได้ มีโครงการเพื่อสังคมเช่น โครงการสานรัก, กองทุน AIS เพื่อผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหนึ่งเพื่อตอบแทนสังคมซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจที่ AIS ตั้งเป้าว่าจะทำให้สำเร็จ
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า AIS เน้นที่การให้บริการลูกค้าดังนั้น วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรน่าจะมีการปลูกฝังในเรื่องของ Service mind ความเต็มใจในการให้บริการลูกค้าเป็นหลัก นอกจากนั้นควรที่จะเน้นในเรื่องความรู้ทางเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้มีการพัฒนาทางด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ผสมผสานไปกับระบบเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อให้ เกิด เทคโนโลยีการบริการใหม่ๆ ที่ทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้
เรียน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์, อาจารย์ ยม, อาจารย์ พจนารถ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน น.ส. วสพร บุญสุข นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2550 ดิฉันมีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์ พจนารถ ซีบังเกิด สอนในรายวิชา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ หัวข้อเรื่อง Workforce Alignment in an Organization และได้การบ้านในคำถามที่ว่าวิเคราะห์องค์กรที่สนใจ ที่ทำให้พนักงานแต่ละคนปฏิบัติงานตาม Mission, Vision, Values, Goals/Objectives ซึ่งดิฉันเลือก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) จากการที่ดิฉันได้ศึกษา
Vision
เราจะเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนองความต้องการปิโตรเลียมของประเทศในปัจจุบันและอนาคต โดยการประสานประโยชน์ ภายในกลุ่ม ปตท. จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำหรับการเติบโตของเรา
Missionเราจะผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในราคาที่แข่งขันได้
Corporate Values - พร้อมเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับปรุง เรียนรู้เพื่อพัฒนา ค้นหาสิ่งใหม่ ฉลาดใช้ความรู้- ทีมงานประสานประโยชน์ แบ่งปันความรู้ ช่วยเหลือเกื้อกูล- คิดเป็นระบบ คำนึงผลกระทบทุกด้าน สื่อสารตรงประเด็น เล็งเห็นเป้าหมาย- ทุ่มเทด้วยใจ สำนึกในหน้าที่ ภักดีต่อองค์กร เน้นที่คุณภาพมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ก้าวไกล มั่นคง ปตท.สผ. รณรงค์ส่งเสริม “บรรษัทภิบาล"
ดิฉันพบว่า ปตท.สผ. มีนโยบายการกำกับดูแลกิจการ ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ ปตท.สผ. ให้แก่กรรมการและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง โดยการปฐมนิเทศกรรมการและพนักงานเข้าใหม่ และจัดให้มีการบรรยายให้แก่กรรมการและผู้บริหารระดับสูง เกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี ได้พัฒนาปรับปรุงการทำงาน เพื่อความทัดเทียมหรือเหนือกว่าแนวปฏิบัติที่ดีระดับสากล และรายงานผลการดำเนินงานตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ เป็นประจำทุกไตรมาสแก่คณะกรรมการบรรษัทภิบาล เพื่อรับทราบผลงานและให้คำแนะนำ ปตท.สผ. ได้ตกลงให้ บริษัทไทยเรทติ้ง แอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (TRIS) เข้ามาประเมินการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ ปตท.สผ. ตามแนวทางของ TRIS ซึ่งอิงกับหลักการของ Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) โดยประเมินใน 4 ส่วน ได้แก่(1) สิทธิของผู้ถือหุ้น (20%) (2) องค์ประกอบและบทบาทของคณะกรรมการและฝ่ายจัดการ (40%) (3) การเปิดเผยข้อมูล (25%)(4) วัฒนธรรมการกำกับดูแลกิจการ (15%)
ซึ่งในปี 2549 ปตท.สผ. ได้รับการประเมินจาก TRIS. ได้รับรางวัลในงาน SET Award 2006 รวม 2 รางวัล คือ Best Performance Award ของหมวดทรัพยากร ในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานดีเด่น และรางวัล Distinction in Maintaining Excellent Corporate Governance Report ที่สามารถรายงานการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีได้ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง
สำหรับระบบประเมินผลงานผู้บริหารระดับสูงนั้น โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจากทักษะความสามารถในการปฏิบัติงาน ได้แก่ Business Skill, Leadership Skill และ People Skill ในปัจจุบัน บริษัทได้นำระบบ Balanced Scorecard มาใช้ในระดับองค์กร และมีการกำหนดตัวชี้วัดในระดับฝ่าย สำหรับในระดับบุคคลนั้น ผู้บังคับบัญชาและพนักงานเป็นผู้กำหนดเป้าหมายร่วมกัน นอกจากผู้บริหารและพนักงานได้รับค่าตอบแทนในรูปของตัวเงินแล้ว ยังมีการให้ Team Award และ Individual Award เป็นพิเศษแก่คณะทำงานหรือบุคคลที่มีผลงานดีเด่น ยังได้รับค่าตอบแทนในรูปของใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นของบริษัทด้วย
สุดท้ายนี้ ดิฉันสรุปได้ว่า ปตท.สผ. ได้มีการทำ Workforce Alignment Model ประกอบด้วย Aligned Goals, Business Acumen/Skills Measured Accountabilities, Linked Rewards, Ownership Thinking ที่ทำให้พนักงานปฏิบัติงานตาม พันธกิจ วิสัยทัศน์ ค่านิยม เป้าหมายทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ รวมทั้งแผนเชิงกลยุทธ์และตัวชี้วัดในด้านต่างๆ ที่บริษัทตั้งไว้ เพื่อให้ ปตท.สผ.ประสบความสำเร็จ โดยมีระบบการประเมินและผลตอบแทน ให้เป็นแรงจูงใจต่อพนักงาน เพื่อรวมเป็นพลังขับเคลื่อนสำหรับการเติบโตของบริษัท
เรียน อาจารย์ จีระ อาจารย์ พจนารถ ทีมงานChira Academy และท่านผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวิศรุต แสงโนรี นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2550 อาจารย์ พจนารถ ได้ให้ความรู้ในหัวข้อเรื่อง
Workforce Alignment in an Organization และมีหัวข้อให้วิเคราะห์องค์กรที่สนใจ ที่ทำให้พนักงานแต่ละคนปฏิบัติงานตาม Mission, Vision, Values, Goals/Objectives ซึ่งผมได้เลือก บริษัทเสริมสุข จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดี และมีพนักงานจำนวนมาก มีรายละเอียดที่ได้ศึกษาดังนี้
วิสัยทัศน์สิ่งที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จนั้นเนื่องจากทางบริษัทได้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้มีส่วนร่วมงานในด้านต่างๆซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ผู้ถือหุ้น: บริษัทฯ ตระหนักถึงความรับผิดชอบในการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับผู้ถือหุ้นทุกราย โดยการดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบและโปร่งใส มีเป้าหมายในการเพิ่มยอดขาย กำไรและเสริมสร้างสถานทางการเงินให้มั่นคง บริษัทฯมุ่งเน้นการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมั่นคงพนักงาน : บริษัทฯเน้นความสำคัญในด้านจริยธรรมของพนักงานทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตและความมีระเบียบวินัยในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะส่งผลระยะยาวต่อการดำเนินงานตลอดจนภาพลักษณ์ของบริษัทฯและพนักงานโดยรวม บริษัทฯ ปฏิบัติต่อพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ให้ความเคารพต่อสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่มีการกีดกันแบ่งแยก เพศ เชื้อชาติ หรือศาสนา จัดให้มีสถานที่ทำงานที่สะอาดปลอดภัยลูกค้า ผู้ขายหรือผู้ให้บริการ และคู่แข่ง : บริษัทฯ ตระหนักถึงสิทธิของลูกค้าและผู้บริโภคในอันที่จะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม รวมถึงโอกาสที่จะได้ทดลองสินค้าใหม่ ๆ รวมทั้งการตอบแทนในรูปแบบของรายการส่งเสริมการขายที่บริษัทฯ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีการตั้งมูลนิธิ ทรง บุลสุข เพื่อสร้างสรรค์สังคม โดยการให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนแก่บุคคลทั่วไปและพนักงานภายในบริษัท และมีโครงการรักษ์สิ่งแวดล้อม มีการจัดการด้านน้ำและมลพิษ ซึ่งสิ่งที่กล่าวมามีส่วนทำให้การบริหารงานมีคุณภาพ พนักงานในทุกระดับจึงมีเต็มใจและทำงานอย่างเต็มความสามารถ เนื่องจากผู้บริหารมีความเข้าใจและเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร ตลอดจนมีความใส่ใจผู้ร่วมลงทุนโดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องรวดเร็ว ทางด้านลูกค้าทางบริษัทได้ผลิตสินค้าดีมีคุณภาพและมีการจัดกิจกรรมตอบแทนลูกค้า และใส่ใจต่อสังคมโดยการให้ทุนการศึกษาและมีระบบจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม จึงทำให้บริษัทพัฒนาอย่างยั่งยืนมาตลอดระยะเวลา 50 ปี
เรียน อาจารย์ จีระ อาจารย์ พจนารถ ทีมงานChira Academy และท่านผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวิศรุต แสงโนรี นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2550 อาจารย์ พจนารถ ได้ให้ความรู้ในหัวข้อเรื่อง Workforce Alignment in an Organization และมีหัวข้อให้วิเคราะห์องค์กรที่สนใจ ที่ทำให้พนักงานแต่ละคนปฏิบัติงานตาม Mission, Vision, Values, Goals/Objectives ซึ่งผมได้เลือก บริษัทเสริมสุข จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดี และมีพนักงานจำนวนมาก มีรายละเอียดที่ได้ศึกษาดังนี้
วิสัยทัศน์
บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) คือ บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มครบวงจรรายแรก ที่นำความสดชื่นมาสู่ผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ และในการที่จะรักษาไว้ซึ่งความเป็นผู้นำอันแข็งแกร่งในตลาดเครื่องดื่ม
สิ่งที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จนั้นเนื่องจากทางบริษัทได้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้มีส่วนร่วมงานในด้านต่างๆซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ผู้ถือหุ้น: บริษัทฯ ตระหนักถึงความรับผิดชอบในการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับผู้ถือหุ้นทุกราย โดยการดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบและโปร่งใส มีเป้าหมายในการเพิ่มยอดขาย กำไรและเสริมสร้างสถานทางการเงินให้มั่นคง บริษัทฯมุ่งเน้นการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมั่นคง
พนักงาน : บริษัทฯเน้นความสำคัญในด้านจริยธรรมของพนักงานทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตและความมีระเบียบวินัยในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะส่งผลระยะยาวต่อการดำเนินงานตลอดจนภาพลักษณ์ของบริษัทฯและพนักงานโดยรวม บริษัทฯ ปฏิบัติต่อพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ให้ความเคารพต่อสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่มีการกีดกันแบ่งแยก เพศ เชื้อชาติ หรือศาสนา จัดให้มีสถานที่ทำงานที่สะอาดปลอดภัย
ลูกค้า ผู้ขายหรือผู้ให้บริการ และคู่แข่ง : บริษัทฯ ตระหนักถึงสิทธิของลูกค้าและผู้บริโภคในอันที่จะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม รวมถึงโอกาสที่จะได้ทดลองสินค้าใหม่ ๆ รวมทั้งการตอบแทนในรูปแบบของรายการส่งเสริมการขายที่บริษัทฯ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วทุกภาคของประเทศ
นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีการตั้งมูลนิธิ ทรง บุลสุข เพื่อสร้างสรรค์สังคม โดยการให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนแก่บุคคลทั่วไปและพนักงานภายในบริษัท และมีโครงการรักษ์สิ่งแวดล้อม มีการจัดการด้านน้ำและมลพิษ ซึ่งสิ่งที่กล่าวมามีส่วนทำให้การบริหารงานมีคุณภาพ พนักงานในทุกระดับจึงมีเต็มใจและทำงานอย่างเต็มความสามารถ เนื่องจากผู้บริหารมีความเข้าใจและเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร ตลอดจนมีความใส่ใจผู้ร่วมลงทุนโดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องรวดเร็ว ทางด้านลูกค้าทางบริษัทได้ผลิตสินค้าดีมีคุณภาพและมีการจัดกิจกรรมตอบแทนลูกค้า และใส่ใจต่อสังคมโดยการให้ทุนการศึกษาและมีระบบจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม จึงทำให้บริษัทพัฒนาอย่างยั่งยืนมาตลอดระยะเวลา 50 ปีเรียนท่านอาจารย์จีระ อ.พจนารถ ทีมงานChira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ดิฉันนางสาวอรนุช หล่ำสกุลไพศาล ID 50066214 นักศึกษาปริญญาโท การจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
การเรียน HRM สามารถที่จะเรียกได้ว่าเป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์ ไม่ใช่เพียงแต่ที่จะดูเรื่องการขาด ลา มาสาย เท่านั้น ที่ว่า HRM เป็นศาสตร์เนื่องจากเป็นการจัดการกับสิ่งที่ยุ่งๆ ให้เป็นระบบ ซึ่งจะมีทั้งการวิเคราะห์ คำนวณ และการทำวิจัย สิ่งที่ HR ต้องการคือการทำให้คนมีขวัญ กำลังใจ เรื่อง HR เกี่ยวเนื่องกันกับทุกเรื่อง อย่างการที่ลูกค้าไม่ happy ซึ่งเมื่อดูกันตามจริงแล้วดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องของ HR เลย แต่การที่ลูกค้าไม่ happy นั้นสืบเนื่องจากพนักงานไม่ Happy นั้นจึงเป็นสิ่งที่ผู้ที่เป็น HR นั้นต้องเข้าไปแก้และปรับเพราะ Learn Organization หรือ Organization that Learn คือความผิดพลาดในวันนี้ ไม่น่าจะเกิดในวันพรุ่งถ้าเรามีการ Communication ที่ดี
Workforce Alignment อาจารย์แนะนำให้พวกเราเขียน Mission และ Vision เพื่อจะได้ไม่หลงทาง ในการทำงานของเราก็ควรที่จะเลือกงานที่มี vision ที่ตรงหรือใกล้เคียงกับองค์กร Shared Purpose เพื่อให้ถึงตามGoals, Roles, Practices ซึ่งการวิเคราะห์เกี่ยวกับ workforce alignment ภายในองค์กรที่สนใจ ดิฉันได้เลือก DTAC เนื่องจากมี Vision และ mission ที่ชัดเจนและน่าสนใจดังนี้
Vision DTAC จะเป็นบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมที่ประชาชนเจาะจงเลือกใช้บริการ ทุกเมื่อที่ต้องการสื่อสารถึงกัน อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในการดำเนินธุรกิจและในชีวิตประจำวัน
Mission DTAC จะเป็นบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมชั้นนำระดับโลก ที่เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค และนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการบริการที่ดีที่สุด เพื่อตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าได้อย่างฉับไว
สร้างบรรยากาศการทำงานที่เปิดโอกาสเต็มที่ให้พนักงานได้แสดงความสามารถ และเติบโต รวมถึง ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับผลการปฏิบัติงาน
สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การจัดการความสัมพันธ์ของ DTAC ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ระหว่างคน หรือบริษัทกับลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้าง Experience Relationship ระหว่างคนกับตัวสินค้าด้วย โดยการสร้างรูปแบบสถานการณ์จำลองขึ้นมา เช่น กลยุทธ์ Event Marketing ที่ไม่ได้เป็นเพียงการจัดแสดงสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างบริษัท-สินค้า-ลูกค้า ทั้งที่เป็นลูกค้าเดิมและลูกค้าเป้าหมาย DTAC เป็นบริษัทที่มีความยืดหยุ่นของโปรโมชั่นสูง ทั้งให้ตัวของลูกค้าสามารถควบคุมค่าใช้จ่าย ระยะเวลาใช้งานได้ตามสะดวก
ดีแทคยังใช้ ROI กับการตลาดที่วัดค่าด้วยภาพลักษณ์แทนการวัดค่าจากตัวเลขเหมือนกับ ROI Finance ซึ่งเป็นที่มาของการประชาสัมพันธ์ซับแบรนด์ย่อยๆ ของดีแทคในเวลาต่อมา โดยเฉพาะการเปิดตัวแบรนด์ "Happy" ธุรกิจโทรศัพท์แบบเติมเงิน ที่ใช้การประชาสัมพันธ์ที่ไม่เน้นการใช้ดารา หรือโฆษณาทางโทรทัศน์ แต่ใช้การประชาสัมพันธ์ที่เน้นถึงวิถีชีวิตประจำวันของคนในสังคม ตัวอย่างหนึ่งของการใช้สื่อเข้ามาช่วยประชาสัมพันธ์แบรนด์ Happy ตามหลัก ROI Marketing ก็คือ ติดโลโกหน้ายิ้ม ที่สื่อความหมายถึงแบรนด์ Happy ลงบนสินค้าทุกอย่างของ Happy รวมถึงติดต่อกับพันธมิตรอื่นๆ ในการติดรูปหน้ายิ้มลงบนเครื่องใช้ ทั้งแก้วน้ำ หรือแม้แต่ถุงพลาสติกสำหรับใส่ของตามตลาดนัด
ขณะที่ ROI สำหรับพนักงานทั่วไปนั้น วัดได้จากการเลือกใช้ KPI (Key Performance Indicator) หรือตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลัก หนึ่งในการวัดผลการทำงานของพนักงานเพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุดใครจะรู้ว่าปีที่ผ่านมาดีแทคตัดสินใจใช้ Single KPI กับพนักงาน ทุกระดับ โดยเปิดตัวแนวคิดของการวัดผลแบบใหม่ โดยเลือกที่จะให้ผลตอบแทนเป็นโบนัสให้กับพนักงานในอัตรา 0.5 เดือนกับพนักงานที่สามารถเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท 1.7 เปอร์เซ็นต์ทุกเดือน และต้นปีที่ผ่านมาก็ตัดสินใจที่จะให้โบนัสกับพนักงาน 1 เดือนหากว่าพนักงานสามารถเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท 40 เปอร์เซ็นต์ในหนึ่งไตรมาส แม้จะนำผลตอบแทนมาเป็นแรงจูงใจในการทำงาน แต่ก็ปฏิเสธ ไม่ได้ว่า การให้ผลตอบแทนเช่นนี้เอง กลายเป็น KPI ที่ได้ผลลัพธ์ในการลงทุนของบริษัทได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
นอกเหนือจากความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งมีความซื่อสัตย์ ยุติธรรมและเอาใจใส่ต่อลูกค้า DTAC ได้เน้นการทำกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม ซึ่งจะมีส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติและสังคมไทย โดยจะมุ่งเน้นการช่วยเหลือและพัฒนาสังคมในประเด็นสำคัญๆอาทิ
1.การพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่เด็กและเยาวชน โดยDTAC ได้มีนโยบายให้การสนับสนุนและสานต่อ โครงการมูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิด ทั้งในการให้ทุนการศึกษา แก่เด็กและเยาวชนจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้และประสบการณ์แก่เยาวชนในโครงการ
2. การทำกิจกรรมเพื่อสังคมควบคู่กิจกรรมทางการตลาด อันเป็นแนวนโยบายและทิศทางการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบใหม่ โดยฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคมและทีมการตลาดของ DTAC จะจัดหากิจกรรม นำสิ่งของ อุปกรณ์การเรียน เครื่องอุปโภคบริโภค อุปกรณ์กีฬาหรือคอมพิวเตอร์ ไปบริจาคให้โรงเรียน โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์
3. การทำกิจกรรมพิเศษ เนื่องในโอกาสเทศกาลสำคัญต่างๆ ซึ่งในปี 2550 นี้ DTAC มีนโยบายที่จะจัดกิจกรรมพิเศษเนื่องในวาระพิเศษต่างๆ เช่นเทศกาลต่างๆ วันแม่ วันพ่อ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยเปลี่ยนจากการร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลต่าง ๆ มาเน้นการทำประโยชน์และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม ทั้งยังร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการเกื้อกูลกันมากขึ้นในสังคมไทย
เรียน อ.จีระ , อ.พจนารถ , ทีมงาน Chira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เนื่องจากวันที่ 12/8/07 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเรียนกับ อ.พจนารถ ให้หัวข้อ " Workforce Alignment in an Organization " โดย อ. พจนารถ assign งานให้ทำ โดยให้ยกตัวอย่างองค์กร แล้ววิเคราะห์ว่า องค์กรนั้น มี Workforce Alignment หรือไม่ อย่างไร ซึ่ง ผมจะขอยกตัวอย่างบริษัทที่ผมทำอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ คือ " SM.Chemical Supplies Co.;Ltd " ( จากนี้จะขอย่อชื่อว่า sm )ซึ่งเป็นบริษัท ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าสารเคมี ( biochemical and life science research ) จากต่างประเทศ ซึ่งบริษัทนี้ได้รับ Autorized โดยตรงจาก " SIGMA&ALDRICH Co.;Ltd " ซึ่งอยู่ที่ประเทศ สหรัฐอเมริกา บ.sm เป็นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง มีบุคลากรประมาณ 40 คน ยอดขายประมาณ 120 ล้านบาทต่อปี กำหนด Vision และ Mission ไว้ดังนี้
Vision " We are one of the established distributors who could meet the special needs of researchs with various offerings and ready to support the development of high-technology research in Thailand "
Mission " We will bring the scientific community premium-quality products specifically for life science and analytical research with the strong technical support. We aim to provide the responsive customer service with the continued improvement in cutting-edgetechnology and support system to create the most value to our customer. "
กล่าวโดยสรุปว่า เราจะเป็นที่ 1 ในธุรกิจนี้ในประเทศไทย โดยนำเสนอ เทคโนโลยีใหม่ๆมีบุคลากรที่เข้มแข็งและให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก
ดังนั้นในแต่ละแผนก จะมีการกำหนด หน้าที่ต่างๆไว้ดังนี้ ( คร่าวๆ )
ทีมขาย
1. มีหน้าที่ติดต่อประสานงานให้ข้อมูลที่ลูกค้าต้องการ รวมทั้งนำเสนอ products ใหม่ๆ ตลอดเวลา
2. ติดต่อประสานงานกับต่างประเทศ เพื่อ support ข้อมูลที่ลูกค้าต้องการในส่วนที่ จนท.เทคนิคฝ่ายเราไม่สามารถให้คำตอบในเรื่องนั้นๆได้
3. สร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มลูกค้าเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจ
ทีม support
1. ให้ข้อมูลเรื่องราคากับทางลูกค้าและทำใบเสนอราคา
2. รับเรื่อง complain ต่างๆ
ซึ่งทั้ง 2 ทีมนี้จะมี Target ในเรื่อง service performance ได้ ดังนี้
โดยสรุปแล้วจะเห็นว่า สิ่งที่ระดับปฏิบัติ ลงมือทำ ถ้าทำได้แล้วจะตอบสนองต่อนโยบายด้านบน คือ Vision และ Mission ได้ แต่การที่จะทำให้ทุกคนปฏิบัติอย่างจริงจังนั้น บริษัทได้ใช้เรื่อง สิ่งตอบแทน เป็นสิ่งจูงใจ ( motivation ) โดยทีมขายเอง ถ้าลูกค้าพอในและยอดขายมาก จะได้ค่าตอบแทน เป็น commision และทีม support ถ้ายอดขายของบริษัทถึงตามเป้าที่กำหนด ( ยอดรวม ) ก็จะได้ ค่าตอบแทน เป็น intensive ซึ่งหมายความว่า ถ้า ทีมsupport ช่วย ทีมขาย ให้ยอดขายมากขึ้นเท่าไร ตัวเองจะได้ intensive มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งในการที่จะขายของได้นั้น เราซึ่งเป็น บ.ที่ทำด้าน service ย่อมต้องได้รับความพอใจ และไว้ใจจากกลุ่มลูกค้า ซึ่งก็ตอบสนอง Vision และ Mission ขององค์กร ส่วนในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆนั้น ทางบริษัทเอง มีการ deal กับ ต่างประเทศตลอดเวลาเพื่อหาความเหมาะสมที่จะนำ สินค้าที่เหมาะสมกับประเทศไทยใหม่ๆเข้ามานำเสนอกับทางลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าทำการวิจัยได้ดีขึ้น (ใน paper วิจัยจากต่างประเทศนั้น method ที่ใช้จะอ้างอิงถึง สิ่งที่ใช้ในการทำวิจัยนั้นๆเสมอ ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา )
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 อาจารย์สอนในหัวข้อ Workforce Alignment in an Organization แต่ดิฉันไม่ได้มาเรียนเนื่องจากทำบุญครบ 1 ปีให้แม่ เลยพลาดโอกาสดีๆ ในการได้เรียนกับอาจารย์ แต่ก็ได้รับการถ่ายทอดจากเพื่อนๆ และอ่านจากในเอกสารของอาจารย์ โดยองค์กรที่ดิฉันสนใจ คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากเป็นรัฐวิสาหกิจของชาติ ที่ดำเนินกิจการแข่งขันกับต่างประเทศ ในธุรกิจการบินโลก และเป็นรัฐวิสาหกิจที่สามารถทำกำไรต่อเนื่องเรื่อยมา จึงได้เลือกนำมาวิเคราะห์
วิสัยทัศน์ของบริษัทฯ (Vision)เป็นสายการบินที่ลูกค้าเลือกเป็นอันดับแรก ให้บริการดีเลิศด้วยเสน่ห์ไทย
ภารกิจของบริษัทฯ (Mission)
ให้บริการขนส่งทางอากาศอย่างครบวงจร ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยใส่ใจในเรื่องความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และ การบริการที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจต่อลูกค้า
มีการบริหารธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และโปร่งใสด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตามแนวทางปฏิบัติที่เป็นสากล และมีผลประกอบการที่น่าพอใจ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น
สร้างสิ่งแวดล้อมในการทำงานและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม เพื่อจูงใจให้พนักงานเรียนรู้และทำงานอย่างเต็มศักยภาพ และภูมิใจที่เป็นส่วนร่วมในความสำเร็จของบริษัทฯ
มีความรับผิดชอบต่อประเทศชาติ ในฐานะเป็นสายการบินแห่งชาติ
นโยบายของบริษัทฯ ดำเนินงานในฐานะที่เป็นสายการบินแห่งชาติ เป็นตัวแทนของประเทศไทย ในการดำรงรักษาและเพิ่มพูนสิทธิด้านการบิน ร่วมส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แสวงหาและเพิ่มพูนรายได้ ทั้งในรูปเงินบาท และเงินตราต่างประเทศ นอกจากนั้น ยังดำเนินการส่งเสริมพัฒนาทรัพยากรบุคคลของบริษัทฯ ให้มีทักษะ และวิชาชีพที่เป็นมาตรฐานสากล รวมถึงส่งเสริมพัฒนาเทคโนโลยีทุกสาขาที่เกี่ยวข้อง ในการบินพาณิชย์ของโลก ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเผยแพร่วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และเอกลักษณ์ของประเทศไทย สู่สายตาชาวโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พบว่า ได้มีการปฏิบัติงานตามวิสัยทัศน์ของทางบริษัทที่ตั้งไว้ ดังนี้
1. เครื่องบินและเครือข่ายการบิน คือ เพิ่มจำนวนเครื่องบิน ศักยภาพของเครื่องบิน จากเริ่มต้นเป็นเครื่องบินใบพัด มาเป็นเครื่องบินไอพ่น มาเป็นเครื่องบินแบบแอร์บัส และโบอิ้ง และเลือกคุณสมบัติที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่น มีความจุ จำนวนที่นั่งมากขึ้น
2. ให้บริการผู้โดยสารมากขึ้น จากเริ่มต้น 83,000 คน 3 ปี เพิ่มเป็น 100,000 คน ต่อมาเป็น 1 ล้าน และมากกว่า 10 ล้านคน ตามลำดับ และบริษัทฯ ได้ขยายกำลังการผลิต โดยการเพิ่มจุดบินเพื่อขยายเครือข่ายการบินให้ครอบคลุมมากขึ้น และการเพิ่มความถี่ของเที่ยวบิน เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น
3. มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง ทุนเริ่มต้น 2 ล้านบาท อีก 3 ปี เพิ่มทุนเป็น 40 ล้านบาท อีก 20 ปี เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,100 ล้านบาท จากนั้น เข้าตลาดหลักทรัพย์ และจำหน่ายหุ้น ระดมทุนได้ถึง 14,000 ล้านบาท และในปี 2537 ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน
4. การบินไทยเริ่มดำเนินโครงการระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ the Customer Relationship Management (CRM) เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและสานความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้ตามคาดหมาย การบินไทยยังได้ขยายความร่วมมือด้านการบินทั้งภายในประเทศและภูมิภาค ผ่านพันธมิตรการบินทั่วโลก
5.การบินไทยแนะนำบริการใหม่รอยัล อี เซอร์วิส นวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายรวดเร็วแก่ผู้โดยสารอย่างครบวงจรในการเลือกเที่ยวบิน สำรองที่นั่ง ออกบัตรโดยสาร เช็คอิน และบริการอื่นๆ ด้วยตนเองผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การบินไทยเริ่มใช้ระบบการประมูลผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อลดค่าใช้จ่าย สร้าวความโปร่งใส ถูกต้องและมีธรรมาภิบาล
6. เน้นเอกลักษณ์และบริการแบบไทย เริ่มต้นใช้สัญลักษณ์ เป็นตุ๊กตารำไทย ต่อมาเปลี่ยนสัญลักษณ์ใหม่ให้เป็นสากลมากขึ้น โดยใช้สีม่วง สีชมพู และสีทอง ที่งามสง่าอันแสดงถึงความงามของธรรมชาติ และอารยธรรมไทย การบริการบนเครื่อง มีการต้อนรับอันนุ่มนวลเปี่ยมด้วยน้ำใจ และอัธยาศัยไมตรีแบบคนไทย มีการร่วมรณรงค์ส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย โดยการเผยแพร่เอกลักษณ์ความเป็นไทย และวัฒนธรรมไทย ร่วมสนับสนุนปี ศิลปะและหัตถกรรมไทย ด้วยการจัดรายการบัตรโดยสารราคาพิเศษ
นอกจากนี้ ทางบริษัท ยังให้ความสำคัญกับพนักงาน ตระหนักในคุณค่าของพนักงาน โดยยึดหลักว่าพนักงานทุกคนเป็นทรัพยากรที่สําคัญและเป็นตัวแทนของบริษัทฯ พนักงานทุกคนจึงมีส่วนร่วม และสนับสนุนความสําเร็จของบริษัทฯ และเพื่อบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าว ทางบริษัทฯ มีการกําหนดขัอพึงปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อเป็นหลักในการปฏิบัติงานของพนักงานทุกระดับ รวมทั้งกําหนดจริยธรรมในการดําเนินธุรกิจโดยทั่วไป และมีการจัดทำโครงการเพื่อสังคมหลายโครงการ เช่น โครงการเฉลิมพระเกียรติ “ไมล์สร้างบุญ”ในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวไทยร่วมสร้างมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ ด้วยการมอบไมล์สะสมเพื่อสนับสนุนการเดินทางแด่พระสงฆ์ 80 รูป ไปจาริกแสวงบุญ ที่ดินแดนพุทธภูมิ ประเทศอินเดีย - เนปาล และร่วมสวดมนต์ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกโครงการ คือ โครงการ “หยุดเหล้า หยอดกระปุก เพื่อพ่อ”บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ให้พนักงานของบริษัทฯ ทำความดีถวายในหลวง ด้วยการลด ละ เลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และนำเงินออมที่ได้เข้าสมทบกองทุนพ่อหลวง 80 พรรษา ของมูลนิธิชัยพัฒนา นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนแนวพระราชดำริเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง”และการดำเนินชีวิตอย่างมีหลักคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม1. มีคุณธรรม : โปร่งใส ซื่อสัตย์ มีจริยธรรม ทั้งในฐานะบุคคลและองค์กร
2. รับผิดชอบ : ยึดมั่นต่อสัญญา รับผิดชอบทุกการกระทำ
3. ทำงานเป็นทีม : ให้คุณค่าต่อความร่วมแรงร่วมใจ เราจะแข็งแกร่งที่สุดเมื่อร่วมมือกันกรรมการผู้บริหารและพนักงานทุกคนจะมุ่งมั่น (objective) ที่จะดำเนินการและยึดถือในหลักการต่อไปนี้
1. ลูกค้า ธนาคารมุ่งให้ลูกค้าได้รับประโยชน์และความพึงพอใจอย่างเหมาะสม โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีอย่างมีคุณภาพ ให้บริการด้วยความเป็นธรรม รวมทั้งดูแลรักษาข้อมูลต่างๆของลูกค้าไว้เป็นความลับ2. ผู้ถือหุ้น ธนาคารมุ่งให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม โดยดำเนินการให้มีผลประกอบการที่ดีเลิศอย่างสม่ำเสมอพร้อมทั้ง มีระบบการควบคุมและตรวจสอบภายในรวมทั้งระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ3. พนักงาน ธนาคารสรรหาและรักษาพนักงานที่มีความสามารถในการปฏิบัติงาน รวมทั้งมุ่งพัฒนาพนักงานอย่างต่อเนื่องและส่งเสริมพนักงานให้มีโอกาส ในความก้าวหน้าและความมั่นคงในอาชีพ4. พันธมิตรและคู่แข่งทางการค้า ธนาคารปฏิบัติต่อพันธมิตรและคู่แข่งทางการค้าอย่างเป็นธรรมและรักษาความลับ ภายใต้หลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งไม่แสวงหาข้อมูลของพันธมิตรและคู่แข่ง ทางการค้าอย่างไม่สุจริตและไม่เป็นธรรม5. เจ้าหนี้และคู่ค้า ธนาคารยึดมั่นในความซื่อสัตย์ต่อการปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่ให้ไว้ต่อเจ้าหนี้และคู่ค้าทุกประเภทโดยอยู่ภายใต้เงื่อนไข รวมทั้งหลักเกณฑ์และกฎหมายที่กำหนด6. สังคม ธนาคารยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและ ระมัดระวังในการพิจารณาดำเนินการใดๆ ในเรื่องที่กระทบต่อความรู้สึก ของสาธารณชน (Public Interest) นอกจากนี้ธนาคารมุ่งดำเนินการและ ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมโดยรวมอย่างสม่ำเสมอ7. สิ่งแวดล้อม ธนาคารมุ่งปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ดูแลด้านความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมของธนาคารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบใดๆ กับชุมชนใกล้เคียง และส่งเสริมพนักงานให้มีจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม8. ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ธนาคารจัดให้มีการควบคุมดูแลและป้องกันเกี่ยวกับรายการที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หรือรายการที่เกี่ยวโยงกันหรือรายการระหว่างกันที่ไม่เหมาะสม โดยกำหนดนโยบาย ระเบียบวิธีปฏิบัติ กระบวนการในการพิจารณาและอนุมัติรายการ พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลและอนุมัติรายการที่เกี่ยวโยงกันให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หน่วยงานต่างๆ ที่กำกับดูแลธนาคาร9. การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ธนาคารมุ่งเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของธนาคารต่อผู้ถือหุ้น นักลงทุน และสาธารณชนทั่วไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ทั่วถึง และทันกาล รวมทั้งเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 10. การกำกับดูแลกิจการ ธนาคารยึดมั่นในการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่กำหนดโดยหน่วยงาน ทางการที่ควบคุมดูแลธนาคารในฐานะธนาคารพาณิชย์และบริษัทจดทะเบียน และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียในการมุ่งพัฒนางานกำกับดูแลกิจการ ของธนาคารให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อประโยชน์และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ในขณะเดียวกัน ความยุติธรรม ความซื่อสัตย์ และคุณธรรม ถือเป็นหลักสำคัญในการดำเนินธุรกิจของ SCB Bank และในขณะเดียวกัน SCB Bank มีความมุ่งมั่นที่จะให้บริการที่เป็นเลิศ ความมุ่งมั่นดังกล่าว ต้องเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของพนักงานทุกคน และแสดงออกอย่างชัดเจน ทั้งโดยวาจา การกระทำ และการวางตัว การแสดงออกด้วยความเคารพ ความใส่ใจ และความกระตือรือร้น จะต้องปรากฎชัดในการติดต่อกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการต่อหน้า การพูดคุยทาง โทรศัพท์ หรือการติดต่อด้วยจดหมายเป็นต้น มีวัฒนธรรมการให้บริการที่เป็นเลิศนี้ จะเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน และงอกงาม ก็ต่อเมื่อพนักงานทุกคน ปฏิบัติต่อกันเช่นนั้นด้วย ความกระตือรือร้น ความร่วมแรงร่วมใจ การทำงานร่วมกันเป็นทีม และความพร้อมตอบสนอง เป็นคุณลักษณะ ที่พนักงานพึงเรียนรู้จากกันและกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้า ต่อผู้ถือหุ้น และต่อ พนักงานในที่สุด และสิ่งนี้คือ Vision ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เกี่ยวโยงสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน ปัจจุบัน ธนาคารปรับปรุงโครงสร้างองค์กร (Change Program) เพื่อให้ระบบการทำงานเป็นไปอย่างคล่องตัวและก้าวเข้าสู่ความเป็นสากล การสร้างสรรค์และเพิ่มศักยภาพการบริการลูกค้าแต่ละกลุ่มให้มีประสิทธิภาพ และสร้างความพึงพอใจสูงสุด ด้วยฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารมีความพร้อมที่จะเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศ และเป็น ผู้นำการสร้างสรรค์นวัตกรรม(Innovation)ใหม่ ๆ ในการให้บริการ เพื่อก้าวสู่การเป็น “ธนาคารที่คุณเลือก” (Your Bank of Choice) สรุปประเด็น จากการกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า SCB Bank ได้เน้นสีสันของ สีม่วงและทอง ที่ลูกค้าจะนึกถึงเสมอ, ความรวดเร็วทันใจ, การให้บริการกับทุกระดับไม่แตกต่างกันโดยบริการเท่าเทียมกันเป็น100% โดยมียุทธศาสตร์ที่เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพของทั้งกลุ่ม ในทิศทางที่ถูกต้อง ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีเยี่ยม เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าเป็นหลัก ดั้งสโลแกน ลูกค้าเท่านั้น..ที่รู้
วิสัยทัศน์ เครือเบทาโกร มุ่งผลิตและพัฒนาอาหารที่มีคุณภาพสูง และปลอดภัยจากฐานอุตสาหกรรมการเกษตรที่ทันสมัย เพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากรโลก Food Safety เป็นบริษัทที่ผลิตอาหารที่เน้นความปลอดภัยและสุขลักษณะ โดยปราศจากสารเคมี เน้นคุณภาพตั้งแต่การคัดเลือกสุกรหรือไก่ที่ได้มาตรฐานเพื่อนำมาแปรรูป พันธกิจ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าว เครือเบทาโกรมุ่งมั่นที่จะ
|
เรียนศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด รวมถึงอาจารย์ทุกท่านและท่านผู้อ่าน ดิฉันนางสาว อรุณี แซ่ตั้ง นักศึกษาปริญญาโท การจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคมผ่านมา อาจารย์พจนารถ ได้มาสอนในหัวข้อ Performance management และอาจารย์ได้ให้การบ้านเป็นคำถามที่เกี่ยวกับการเรียนในหัวข้อนี้คือ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าองค์กรไม่มี Performance management System”
เป้าหมายที่สำคัญของการใช้ Performance management System คือการทำให้ทุกคนในองค์กรมีแนวทางและเป้าหมายในการทำงานเป็นไปในแนวทางเดียวกัน เนื่องจากมีการวางเป้าหมายอย่างชัดเจนเพื่อให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจร่วมกัน รวมถึงมีระบบการติดตาม ชี้แนะแนวทางการทำงานระหว่างปฏิบัติงาน และประเมินผลงานอย่างมีระบบซึ่งจะช่วยให้การทำงานเป็นไปในแนวทางที่ถูกต้องและไม่หลงทาง ซึ่งหากไม่มีการใช้ Performance management System อาจทำให้การทำงานขององค์กรเป็นไปอย่างไร้ทิศทางเนื่องจากคนในองค์กรไม่เข้าใจเป้าหมายขององค์กรและอาจทำให้เกิดความล่าช้าในการบรรลุเป้าหมายเนื่องจากขาดการติดตามผลระหว่างการปฏิบัติงานได้
นอกจากนั้น การประเมินผลงานในระบบ Performance management System จะช่วยให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานที่ดี เนื่องจากมีการวัดและประเมินผลอย่างเป็นรูปธรรมวัดผลงานได้ชัดเจน ซึ่งเมื่อมีการประเมินผลงานที่ชัดเจนการให้ผลตอบแทนแก่พนักงานที่ทำงานตามผลงานก็จะเกิดความเป็นธรรมมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นแรงจูงใจที่ดีให้พนักงานรู้สึกต้องที่จะทำงานให้ดีที่สุดตามหน้าที่ของตัวเอง เพื่อความเจริญก้าวหน้าและค่าตอบแทนที่ดีนั่นเอง
PMS เป็นระบบการจัดการโครงสร้างและการบริหารทรัพยากรบุคคลภายในองค์กร การทำงานของระบบนี้จะเป็นการกำหนดโครงสร้างขององค์กร มีการกำหนดตำแหน่งและหน้าที่ในการทำงานของผู้บริหารและพนักงานภายในองค์กร ให้มีความชัดเจนในด้านหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบและบทบาทการแสดงออกที่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานภาพของตนเอง มีการกำหนดรูปแบบการทำงานในองค์กรให้มีความสอดคล้องกันทั้งองค์กร และเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถที่จะดำเนินงานให้บรรลุไปสู่จุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายที่องค์กรได้กำหนดขึ้น โดยในระบบ PMS นี้ยังได้มีการกำหนดถึงวิธีการและขั้นตอนการบริหารงานทางด้านทรัพยากรบุคคล ทั้งในด้านการบริหารงานให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ และการทำงานอย่างมีความสุข พอใจกับการที่ได้ทำงานให้กับองค์กร
จากรายละเอียดที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า องค์กรใดก็ตามที่สามารถทำได้ดังนี้ ย่อมที่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำงานได้มากกว่าและเร็วกว่าองค์กรที่ไม่ได้ทำตามระบบนี้ เนื่องจากการทำงานตามระบบ PMS จะมีความเป็นระเบียบและผู้บริหารสามารถที่จะควบคุมและดูแลการทำงานให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผนการทำงานขององค์กรได้ง่าย เมื่อเกิดความผิดพลาดในการทำงาน ก็สามารถที่จะดำเนินการหาสาเหตุที่ทำให้เกิด และคิดหาแนวทางแก้ไขได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายทั้งที่คิดเป็นมูลค่าได้และไม่ได้น้อยกว่าองค์กรที่ไม่ได้ปฏิบัติตามระบบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า องค์กรที่ไม่มี PMS จะไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงาน เพียงแต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลามากกว่า , การบริหารงานของผู้บริหารมักจะยุ่งยาก ทำให้การตัดสินใจในเรื่องต่างๆทำได้ช้า หรือหากมีความรวดเร็วก็มักเป็นการตัดสินใจที่รวบรัด โดยไม่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายได้มาก นอกเสียจากว่า ผู้บริหารและพนักงานขององค์กรจะมีประสบการณ์การทำงานมาก จนสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ซึ่งเป็นไปได้ยาก และย่อมจะเป็นการทำงานที่หนักกว่าการใช้ PMS อย่างแน่นอนเรียนศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด รวมถึงอาจารย์ทุกท่านและท่านผู้อ่าน Blog นี้ ดิฉัน นางสาวอรนุช หล่ำสกุลไพศาล นักศึกษาปริญญาโท การจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคมผ่านมา ได้มีโอกาสเรียนกับ อ.พจนารถ เป็นครั้งที่ 2 และอาจารย์ได้สอนเรื่อง Performance management
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าองค์กรไม่มี Performance management
Performance คือผลการปฏิบัติงาน และ Performance Management ก็คือการพัฒนาผลการปฏิบัติงาน หรือกล่าวอีกในหนึ่งได้ว่าระบบการบริหารจัดการเพื่อให้ผลการปฏิบัติงานขององค์กรและพนักงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จากเดิมที่อาจารย์ได้สอนเมื่ออาทิตย์ก่อนว่า “บริษัทแทบทุกแห่งจะมีการเขียน Vision Mission Goals” แต่ในการเขียน Vision Mission ควรมีไม่เกิน 7 ข้อ และต้องเป็นการตั้งเป้าหมายที่ดี SMART คือ เฉพาะเจาะจง (Specific) สามารถวัดได้ (Measurable) สามารถทำให้สำเร็จได้ (Attainable) สอดคล้องกับความเป็นจริง(Relevant) กำหนดระยะเวลา (Time bound)
หากภายในองค์กรยังมีการประเมินผู้ปฏิบัติงานแบบในอดีต ที่บริหารแบบทิศทางเดียวจากผู้บังคับบัญชา อาศัยการบริหารที่ให้ความสำคัญกับแบบฟอร์มต่างๆในการดำเนินงานหรือมุ่งประเมินผลงานเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตำหนิ ติเตียนผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติผลงานได้ตามเป้า สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่บั่นทอนขวัญ กำลังใจของคนที่ทำงานให้ถดถอย เกิดการทำงานไม่ประสานกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันเองในองค์กร ขาด Motivation ในการทำงาน องค์กรก็จะอยู่กับที่ แต่ถ้าหากเป็นการกระทำเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหากับบุคลากรที่ไม่สามารถปฏิบัติผลงานได้ตามเป้าหมายแล้วนำมาปรับกระบวนการทำงานให้ได้ผลงานในอนาคตที่เราได้ตั้งไว้ โดยเน้นการสื่อสารแบบสองทางระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นการบริหารโดยเน้นเรื่องผลการใช้บทสนทนาทำความเข้าใจเรื่องผลการปฏิบัติงาน ติดตามแผนการขององค์กร
การวัด Competency เพื่อที่จะได้รู้ว่าต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างไรเพื่อให้พนักงานของเราสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่เราได้ตั้งไว้ และเพื่อที่จะได้ปรับกลยุทธให้เหมาะสมกับความสามารถของคนในองค์กรของเรา หากเราไม่ปรับ ไม่ประเมินผลให้เหมาะสมกับความสามารถแล้วยังกำหนดรางวัล หรือโทษไว้กับเงื่อนไขความสำเร็จ และไม่สำเร็จของการทำงานเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายนั้นๆผล อาจทำให้พนักงานเกิดความท้อ ยุติความพยายามในการทำงานเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้เนื่องจากทราบดีว่าทำอย่างไรก็ไม่ถึงเป้าแน่นอน หรืออาจพยามยามทำทุกวิธีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา (ก็ไม่ได้รางวัลแล้ว) จึงยิ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายกับองค์กรมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นในแต่ละขั้นของ PM สามารถสรุปเป็นขั้นๆดังนี้ ขั้นแรกต้องมีการระบุมีการวางแผน และเตรียมแผนที่รองรับกลยุทธ ระบุเป้าหมายที่สำคัญคือควรมีกระบวนการต่อรองระหว่างฝ่ายบริหารสูงสุดขององค์กรและฝ่ายปฏิบัติ ให้ได้จุดที่เห็นชอบร่วมกัน แล้วจึงกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบตั้งแต่ระดับบนลงมา ตั้งความคาดหวังของผลการปฏิบัติงาน กำหนดเป้าหมายและระยะเวลาเริ่มต้น ขั้นที่สอง มีการตรวจสอบผลการปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์โดยประเมินตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้นแล้วให้ Feedback และ Coaching ทบทวนเพื่อตรวจสอบว่าพนักงานขาด competencies อะไร และต้องเข้า Course อะไรเพิ่มเติม ขั้นที่สาม ตรวจสอบประเมินผลการปฏิบัติงาน โดยบางองค์กรอาจกำหนดให้มีการทำแบบประเมินหรือการพูดคุยแล้วทำเป็น report ออกมา เชื่อมโยงผลงานกับค่าตอบแทนถือว่าเป็นหัวใจเพราะหากมีการจัดการผลการปฏิบัติงาน ก็จะเกิดความล้มเหลว เพราะทำแล้วไม่ได้ผลงาน โดยจะเชื่อมกับขั้นที่ 1 คือต้องแจ้งก่อนว่าทำแล้วจะได้อะไร และองค์กรต้องการประเมินอะไร โดยการประเมินผลมักจะดูว่าบรรลุเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ร่วมกันตามขั้นที่ 1 ไหมเรียนศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด ทีมงานChira Academyและท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมนายวิศรุต แสงโนรี นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคมผ่านมา อาจารย์พจนารถ ได้ให้ความรู้ในหัวข้อ Performance management และอาจารย์ได้ฝากการบ้านโดยให้ตอบคำถามที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าองค์กรไม่มี Performance management System”
หากไม่มีเป้าหมายและการวางแผนงาน พนักงานในองค์กรก็จะไม่มีแนวทางการทำงานและไม่มีทิศทางในการวางแผนระดับปฏิบัติงาน เนื่องจากไม่มีเป้าหมายว่าทำเพื่ออะไร ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน องค์กรไม่พัฒนา และไม่มีประสิทธิภาพในการแข่งขัน ไม่มีการ Coaching และ Feedback ทำให้พนักงานไม่ได้รับการฝึกฝนพัฒนาคุณภาพในการทำงานโดยผู้ชำนาญการ และไม่ได้รับผลตอบรับจากผู้ได้รับผลจากการปฏิบัติงาน ทำให้ไม่มีการพัฒนาและดึงศักยภาพที่แท้จริงของพนักงานออกมาใช้ไม่มีการรายงานผล การปฏิบัติงานและประเมินผลทำให้ไม่สามารถทราบถึงประสิทธิภาพในองค์กรและการทำงานในส่วนต่างๆว่ามีความเป็นมาตรฐานหรือไม่ และสุดท้ายทำให้ไม่มีแนวทางในการแก้ไขปัญหา จึงก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในองค์กรอย่างมากมาย
การมีระบบ Performance management System จะก่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีการกำหนดเป้าหมายและวางแผนการทำงาน มีการวัดและประเมินผลที่สามารถวัดผลจากการปฏิบัติงาน ได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม ทำให้การให้ผลตอบแทนแก่พนักงานเกิดความเป็นธรรมมากขึ้น เกิดแรงจูงใจแก่พนักงาน ทำให้ตั้งใจและเต็มใจทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เพื่อความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานและความเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2550 เป็นครั้งที่สอง ที่ดิฉันได้เรียนกับอาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด สอนในรายวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ หัวข้อเรื่อง Performance Management ได้การบ้านในคำถามที่ว่า ถ้าองค์กรไม่มี Performance Management จะเกิดอะไรขึ้น ?
ดิฉันคิดว่า เมื่อองค์กรมี วิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยม กลยุทธ์ต่างๆแล้ว จะต้องมี Performance Management เพื่อให้ทุกคนในองค์กรทำงานเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ถ้าองค์กรไม่มี Performance Management จะทำให้พนักงานในองค์กรทำงานไม่มีเป้าหมาย ไม่เป็นไปตามที่หัวหน้าคาดหวัง และทำให้องค์กรไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากไม่ได้บอกรายละเอียดให้ชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพนักงาน เนื่องจากพนักงานเกิดความเครียด ,พนักงานบางคนขยันทำงาน แต่ค่าตอบแทนไม่แตกต่างกับคนที่ทำงานไปวันๆ อาจเกิดปัญหาความขัดแย้งในองค์กร เนื่องจากไม่มีการประเมิน วัดผล ให้ชัดเจน ในเรื่องระดับคะแนน ค่าตอบแทน และรางวัล เพราะหัวหน้าไม่ได้แนะนำพนักงานในการทำงาน ไม่สร้างแรงจูงใจในการทำงาน เมื่อทุกคนในองค์กรทำงานอย่างไร้ทิศทาง ผลงานที่ทำก็ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้องค์กรไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อาจทำให้องค์กรต้องปิดบริษัท ส่งผลต่อครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ ของประเทศ
สรุปได้ว่า ถ้าองค์กรไม่มี Performance Management จะเกิดปัญหาที่สามารถเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ปัญหาที่เกิดในองค์กร จนกระทั่งส่งผลกระทบต่อสังคมได้ ดังนั้น องค์กรจะต้องมี Performance Management เพื่อที่จะเป็นแนวทางให้องค์กรประสบความสำเร็จ และไม่ก่อปัญหาต่อสังคมกราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากที่ได้เรียนในวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 9.00-12.00 น. เรื่อง Performance Management System จากคำถามของอาจารย์ “ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าองค์กรไม่มี Performance Management System ”
Performance Management System คือ ระบบการบริหารการปฏิบัติงานโดยที่บริษัทมีการกำหนดเป้าหมายที่ดี, กรอบการปฏิบัติงานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมุ่งไปสู่ผลลัพธ์เดียวกัน โดยมีการให้ข้อมูลย้อนกลับและการแนะนำระหว่างการปฏิบัติงาน การติดตามผลการดำเนินงานแล้วแนะนำ และการประเมินผลให้เป็นไปตามแผนอย่างมีระบบ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าองค์กรไม่มี Performance Management System อาจส่งผลให้
1. ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจาก Performance Management System เป็นเหมือนเครื่องมือประเมินคุณภาพการทำงานของพนักงาน ถ้าส่วนไหนมีการทำ Performance Management System งานในส่วนนั้นก็จะได้รับความสนใจ เอาใจใส่ มากกว่าส่วนอื่น
2. เกิดความล่าช้าและอาจหลงทางได้ Performance Management System เป็นเสมือนจุดหมายปลายทางในการเดินทาง เมื่อเรามีจุดหมาย (Goal-setting) แล้ว เราก็ต้องวางแผน (Performance Planning) เหมือนการทำป้ายบอกทาง เมื่อมาทางนี้แล้วมีป้ายแนะนำ (Coaching and Feedback) ให้เราไปทางไหนต่อเพื่อความถูกต้อง และไม่เสียเวลากับการเดินทางผิดเส้นทาง และเมื่อถึงจุดหมายก็มีทบทวนผลการดำเนินงานและการประเมิน (Performance Review and Evaluation) ว่าเราทำได้ตามแผนหรือไม่ และถ้าเราทำได้ก็ย่อมได้รับรางวัลที่ดี (Reward) จากผู้ร่วมทางหรือจากเจ้าของจุดหมายในการเดิน
ดังนั้น Performance Management System จึงเป็นระบบที่มีความสำคัญกับทุกองค์กร เพื่อที่องค์กรจะสามารถประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วทันกับการแข่งขันกับคู่แข่งในยุคปัจจุบันเรียน อ.จีระ , อ.พจนารถ , ทีมงาน Chira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เนื่องจากวันที่ 19/8/07 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเรียนกับ อ.พจนารถ ให้หัวข้อ " Performance Management " อ. พจนารถ assign งานให้ทำโดยให้บอกว่า " ถ้าไม่มี Performance Management จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง "
ก่อนอื่นต้องบอกว่า Performance Management จะใช้กับระดับปฏิบัติการ ( Individuals ) เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อตอบสนองต่อ Strategies ที่องค์กรนั้นๆได้วางเอาไว้ และตัว Strategies เองก็ต้องตอบสนองต่อ Objective , Goals , Mission , Vision ขึ้นไปเป็นทอดๆ ดังนั้นถ้าจะมองว่า การไม่มี Performance Mangement จะเกิดอะไรขึ้นบ้างอาจมองได้ 2 รูปแบบคือ 1. Micro 2. Macro
1. Micro ( มองเฉพาะในองค์กร ) การที่ไม่มี Performance Mangement จะทำให้องค์กรนั้นๆไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ระดับปฏิบัติการจะไม่สามารถทำงานตอบสนองนโยบายขององค์กรได้ ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาวองค์กรนั้นจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ต้องปิดตัวลงไป ปัญหาที่เกิดจากการปิดตัวขององค์กรนี้ก็สร้างความเดือนร้อนกับบุคลากรในองค์กรนั้นๆเอง เช่น คนงานตกงาน ( ลูกเมีย ก็ลำบากไปด้วย ) และธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องก็อาจล้มกันเป็นทอดๆได้ เช่น Supplier ที่ทำการส่งวัตถุดิบป้อนให้ ถ้าการจัดการการเปลี่ยนแปลง ( Change Management ) ของ Supplier ไม่ดี ไม่มีการเตรียมการรับมือไว้ก่อน ก็อาจล้มได้
2. Micro ( มองปัญหาที่เกิดจากการล้มขององค์กรในภาพรวม ) จากปัญหาที่เกิดจาก Micro นั้น จะเห็นว่า จากการที่ธุรกิจล้มกันเป็นทอดๆนั้น ทำให้เกิดปัญหาในระดับประเทศมากมาย เช่น ปัญหาคนว่างงาน ( ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมตามมา ) , ธุรกิจที่ล้มกันเป็นทอดๆ ทำให้ปริมาณเงินในระบบผันผวน ( ซึ่งมีผลต่อการคาดการณ์ทางธุรกิจและการลงทุน ) , เกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจตามมาซึ่งทำให้รัฐไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้ามีผลกับการทำงบประมาณแผ่นดินซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงทุนอาจต้องมีการตัดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนต่างๆ ซึ่งเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสที่แพงมากและมีผลกระทบต่อประชาชนคนไทยทุกคน
ท้ายนี้ ขอสรุปว่า Performance Mangement มีความสำคัญมากในการที่จะทำให้องค์กรนั้นๆประสบความสำเร็จตามที่ตั้ง เป้าไว้ ซึ่งแต่ละองค์กรควรให้ความสนใจกับการทำ Performance Management ให้มากๆ
กระผมนาย พัฒนา ปลอดภัยงาม นักศึกษาปริญญาโท
สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารเรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์, อาจารย์พจนารถ ชีบังเกิด รวมถึงอาจารย์ทุกท่านและผู้อ่านทุกท่าน
ผมนายปริญญา รักพรหม นักศึกษา ป.โท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
จากการเรียนเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา ในเรื่อง Performance Management (PM) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการการดำเนินการขององค์กรเพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย การจัดทำ PM ในองค์กรนั้นก็เปรียบ
เสมือนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งซึ่งนับว่ามีความสำคัญเชิงการบริหาร ที่ช่วยในการพัฒนาและปรับปรุงองค์กรให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เจริญเติบโตก้าวหน้าและบรรลุผลตามเป้าหมายขององค์กร แต่หากองค์กรไม่มีการจัดทำ PM นั้นจะมีผลกระทบตามกระบวนการของ Performance Management Cycle คือ
- หากไม่มีการวางแผนและเป้าหมาย (Planning/Goal-Setting) จะส่งผลทำให้องค์กรดำเนินงานอย่างไร้ทิศทาง ไร้เป้าหมายที่ชัดเจน พนักงานไม่ทราบเป้าหมายและนโยบายขององค์กรทำให้เกิดความรู้สึกว่าทำงานเพื่อให้เสร็จในแต่ละวัน เหมือนขาดแรงกระตุ้น แรงจูงใจ ให้อยากทำงาน และ อยากพัฒนาปรับปรุงศักยภาพการทำงานให้ดีขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในภาพรวมขององค์กรด้วย
- หากไม่มีการ Coaching & Feedback อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลทำให้พนักงานขาดการพัฒนาทักษะการทำงานและรวมถึงไม่ทราบสถานะของตัวเองว่าควรจะต้องเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานในด้านใดเพิ่มขึ้นเพื่อให้การปฏิบัติงานได้ตรงตามเป้าหมายของหน่วยงานและองค์กร
- หากไม่มีการทบทวนและประเมินผล (Review & Evaluation) จะมีผลทำให้ผู้บริหารเองไม่ทราบว่าการทำงานของพนักงานของแต่ละหน่วยงานเป็นไปตามเป้าหมายขององค์กรหรือไม่ และจะไม่เห็นข้อเปรียบเทียบหรือแนวโน้มความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานของพนักงาน
- หากไม่มีการแก้ไขและปรับปรุง (Corrective & Adaptive action) ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะไม่ได้รับการแก้ไขและก็จะเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำซ้ำซากจะส่งผลเสียต่อระบบงาน ระบบการผลิต จนถึงการดำเนินธุรกิจขององค์กร
ดังนั้น PM จึงมีความสำคัญมากหากไม่มีการนำระบบนี้มาใช้นอกจากดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังจะมีผลกระทบทำให้องค์กรขาดประสิทธิภาพในการพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ทั้งภายในและภายนอกองค์กรเอง ซึ่งทำให้เกิดความเสียเปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ.
เรียนศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด รวมถึงอาจารย์และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉันนางสาว อรุณี แซ่ตั้ง นักศึกษาปริญญาโท การจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคมผ่านมา อาจารย์พจนารถ ได้มาสอนในหัวข้อ Employees Engagement ซึ่งถือเป็นหัวข้อสุดท้ายที่อาจารย์พจนารถได้มาสอน ซึ่งบรรยากาศการเรียนการสอนในวันนั้นเป็นไปอย่างสนุกสนานเนื่องจากเป็นการเรียนการสอนแบบแลกเปลี่ยนความรู้และข้อคิดเห็นภายในห้องเรียน ซึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่เครียด และมีความสนุกไปกับการเรียน
ในการเรียนเรื่อง Employees Engagement ทำให้ได้ข้อคิดและมุมมองในการทำงานของดิฉันกว้างมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นในฐานะที่เป็นหัวหน้าหรือลูกน้อง การที่จะทำให้พนักงานทุกคนในองค์กรมีความรักในองค์กร อยากที่จะอยู่และพัฒนาองค์กรให้เจริญก้าวหน้านั้น จะต้องมีการทำ Employees Engagement ซึ่งต้องทำในหลายๆด้าน เช่น เรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมในองค์กร ความสัมพันธ์ในองค์กร ค่าตอบแทน เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่หัวหน้าทุกคนต้องให้ความสำคัญ ไม่เฉพาะ HR Manager เท่านั้น Line manager ทุกๆคนต้องเป็นคนทำขึ้นมาด้วยเนื่องจากเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากแต่ก็สามารถที่จะทำได้ หากมีความตั้งใจทำจริง การทำ Employees Engagement จะทำให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากเต็มใจที่จะทำเพื่อองค์กร จะส่งผลให้องค์กรมีความเจริญก้าวหน้าและพัฒนาอย่างยั่งยืน
ดิฉันขอขอบคุณ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด เป็นอย่างสูงที่ได้มาให้ความรู้แก่ดิฉันและเพื่อนนักศึกษาทุกคน ซึ่งจะนำความรู้ที่ได้นั้นไปใช้ในการทำงานต่อไป
เรียนศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด รวมถึงอาจารย์ทุกท่านและท่านผู้อ่าน Blog นี้ ดิฉัน นางสาวอรนุช หล่ำสกุลไพศาล นักศึกษาปริญญาโท การจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคมผ่านมา ได้มีโอกาสเรียนกับ อ.พจนารถ อีกครั้งวันนี้อาจารย์ได้สอนเรื่อง Employee Engagement for Sustainable Growth
เรื่อง Employee Retaintion นั้นจะเป็นการเก็บรักษาพนักงานไว้ให้อยู่กับองค์กร แต่ถ้า Employee Engagement เป็นกระบวนการสร้างให้พนักงานขององค์กรเชื่อถือ โดยพนักงานทุกคนสามารถทำงานให้กับองค์กร อย่างไม่ลังเล
เมื่อพนักงานมี Engagement สิ่งที่เป็นได้ชัดอย่างแรกคือพนักงานทุกคนจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะอยู่ทำงานให้กับองค์กร หรือ Stay, สองคือ เชื่อมั่นและศรัทธาในองค์กร พูดถึงองค์กรให้ผู้อื่นฟังอย่างภาคภูมิใจเพราะ Member get member พนักงานจะเป็น sale กระจายชื่อเสียงของพนักงานได้ดีที่สุด หรือ Say, สุดท้ายเมื่อพนักงานยินดีที่จะเป็นตัวแทน ทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มใจ หรือที่เรียก Strive
ปัจจัยทั้ง 7 ของ Engagement ที่มีเรื่อง Culture and Purpose, Leadership, Relationships, Quality of Life, Job Tasks, Opportunity และ Total Compensation นอกจากนี้ Engagement จะมี 3 Model คือ Think จากการมี Vision, mission และมี culture และ Purpose เดียวกันองค์กรจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อสร้าง Value ไปสู่ Goalที่ทุกคนเชื่อมั่น และศรัทธา เกิดความสามัคคี ไม่ขัดแย้ง หรือ Feel ที่ทำให้เราทุกคนรู้สึกกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร Act ที่ได้จากความเชื่อ ความรู้สึก Stay-Say-Strive คืองานที่ออกมามีประสิทธิภาพ เกิดข้อผิดพลาดน้อย องค์กรก็จะก้าวหน้า มีผลกำไรจากการประกอบการเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลทำให้เราได้รับ Bonus ที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน พนักงานก็จะรู้สึก Happy มีกำลังใจในการทำงาน
เรียนอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์ยม อาจารย์ พจนารถ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาว วสพร บุญสุข นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2550 ได้เรียนกับอาจารย์ พจนารถ และเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เรียนกับอาจารย์พจนารถ ในรายวิชา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในหัวข้อ Employees Engagement For Sustainable Growth ซึ่งทำให้ดิฉันได้ความรู้เรื่อง Employees Engagement มากขึ้น เนื่องจากอาจารย์พจนารถ ได้มีกิจกรรมให้ทุกคนลองคิด แล้วเขียนว่า Engagement คืออะไร ตามความคิดของแต่ละคน และจัดกลุ่มแต่ละความคิดเห็นเป็นกลุ่มเดียวกัน แล้วอาจารย์พจนารถได้สรุปคำตอบว่า Engagement คือ เป็นกระบวนการที่ทำให้พนักงานอยากอยู่กับองค์กร (Stay) และพูดถึงองค์กรในทางที่ดี (Say) แล้วทำให้พนักงานทำงานอย่างเต็มที่ (Strive) ก่อนที่จะทำให้องค์กรเกิด Employees Engagement องค์กรต้องมี The Seven Factors of Engagement ประกอบด้วยปัจจัยดังนี้ 1. Culture and Purpose 2. Leadership 3.Relationship 4.Quality of Life 5. Job Tasks 6. Opportunity 7. Total Compensation จะทำให้เกิด Employees Engagement ในองค์กร และปัจจัยทั้งหมดนี้สำคัญต่อองค์กรอย่างมาก
สรุปได้ว่าองค์กรจะเกิด Employees Engagement จะต้องมี The Seven Factors of Engagement และหัวหน้าต้องรู้ว่าพนักงานแต่ละคนเป็นแบบไหน ควรจะพัฒนาพนักงานแต่ละคนอย่างไร เพื่อที่จะได้มอบหมายงานให้เหมาะสม ทำให้ได้ผลงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำพาองค์กรและพนักงานประสบความสำเร็จ มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์พจนารถ ที่ได้มาให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ ทำให้ดิฉันมีความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น ได้มีกิจกรรมให้ดิฉันทำรู้สึกสนุกสนาน ได้ลองฝึกคิด และสามารถนำความรู้มาแก้ปัญหา ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำได้กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากที่ได้เรียนในวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 9.00-12.00 น. เรื่อง “ Employee Engagement For Sustainable Growth ”
Employee Engagement คือ Process และกระบวนการขององค์กรที่ทำให้พนักงานมีความรู้สึกอยากอยู่กับองค์กร (Stay) และพูดถึงองค์กรในด้านดี (Say) และตั้งใจทำงานให้องค์กรอย่างไม่ลังเล (Strive) ดิฉันจับประเด็นที่สำคัญได้ 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก อาจารย์ให้นักศึกษาช่วยกันตอบว่าถ้าองค์กรมีจัดการเรื่อง Employee Engagement จะทำให้องค์กรนั้นเป็นอย่างไร คือ จะทำให้มีความสุข, สามัคคี, กล้าแสดงความคิดเห็น, มี Alignment, เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน, มีผลตอบแทน, และมีการเจริญเติบโตของพนักงานและองค์กร
ประเด็นที่ 2 Performers มี 4 ประเภท คือ Rising Star คือ คนที่มีความสามารถและทำงานดี ซึ่งแต่ละองค์กรสามารถมี star ได้ในทุกตำแหน่งงาน เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัย จำทะเบียนรถยนต์ของผู้มาติดต่องานบ่อยๆ ได้ และให้การต้อนรับ ทักทาย Work Horse คือคนที่มีความสามารถน้อย แต่ทำงานดี 2 ประเภทนี้องค์กรต้องเก็บรักษาไว้ โดยทำให้เขามีความสุข ให้โบนัส Problem Child คือ คนที่มีความสามารถสูง แต่ทำงานได้ไม่ดี ควรดูว่าเป็นที่ Aptitude หรือไม่ และถ้ามีปัญหาเรื่องทักษะควรเพิ่มการ training Deadwood คือ มีความสามารถต่ำ และทำงานไม่ดีด้วย องค์กรควรลองพัฒนาแต่มีระยะเวลาจำกัดคือ อาจเป็น 3-6 เดือน
ประเด็นที่ 3 Engagement มีปัจจัยที่สำคัญ 7 ปัจจัย คือ Culture and Purpose, Leadership, Relationships, Quality of Life, Job tasks, Opportunity และ Total Compensation
ดังนั้น องค์กร จะมี Employees Engagement ที่ดีได้นั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากพนักงานทุกส่วน ไม่ใช่แค่ แผนก HR อย่างเดียว แต่หัวหน้างานทุกคนจะต้องเป็นผู้จัดการฝ่ายของพนักงานของตนเองด้วย และขอขอบพระคุณอาจารย์พจนารถมากๆ ค่ะ ที่สละเวลามาเพิ่มความรู้ทางด้าน HR ให้พวกเรา ได้นำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานจริงเรียน อ.จีระ , อ.พจนารถ , ทีมงาน Chira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันที่ 26/8/50 ที่ผ่านมา อ.พจนารถ ได้เข้าสอนเป็น class สุดท้าย สำหรับพวกเรา ซึ่งหัวข้อที่เรียนในวันนี้ คือ " Employees Engagement " ผมพอจะจับประเด็นสำคัญๆ ได้ดังนี้
Employees Engagement คือ ขบวนการขององค์กรที่ทำให้พนักงานอยากอยู่กับองค์กร พูดถึงองค์กรในทางที่ดี และเต็มใจทำงานให้องค์กร ( stay , say , strive ) แน่นอนว่าถ้าพนักงานในองค์กรทุกคนเป็นอย่างนี้แล้ว องค์กรนั้นๆย่อมพัฒนาไปในแนวทางที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน พนักงานทุกคนทำงาน อย่างเต็มความสามารถ และปรารถนาดีต่อองค์กร แต่การที่จะให้ให้ Engagement เกิดขึ้นได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเริ่มจากแนวคิดของ CEO องค์กรนั้นๆด้วยว่าเห็นความสำคัญในเรื่องนี้หรือไม่ ( ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าสังเกตุการสถิติการ turn over ของพนักงาน ก็น่าจะคิดได้นะครับ Ex. CP โดยปัจจัยที่ทำให้เกิด Engagement มี 7 เรื่องดังนี้
ถ้ามีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว Engagement จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ผมขอบอกว่า Employees Engagement เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากต่อองค์กร เปรียบเสมือนการซื้อใจพนักงานทุกคนไว้ได้ จึงอยากให้ผู้บริหารทั้งหลาย ได้เรียนรู้ในเรื่องนี้ไว้ด้วย ไม่ใช่คิดแต่ กำไรที่เป็นตัวเลข เฉพาะหน้า ปีต่อปี เท่านั้น ควรคิดถึงภาพลักษณ์ขององค์กร และความสุขของพนักงานด้วย เพราะจะทำให้องค์กรนั้น ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ขอขอบคุณ อ.พจนารถที่มาให้ความรู้กับพวกเรานะครับ ความรู้ที่ได้จาก อาจารย์ ผมจะนำไปคิด และประยุกต์ใช้ต่อไปครับ
( Bye' bye ....CP )
เรียน อาจารย์จีระ อาจารย์พจนารถ ทีมงาน Chira Academy และท่านผู้อ่านที่ติดตาม Blog ของพวกเราชาวนักศึกษา ป.โท ลาดกระบังทุกท่าน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์พจนารถ อีกครั้งหนึ่งซึ่งในครั้งนี้ได้เรียนในหัวข้อเรื่องของปัจจัยที่จะทำให้เกิด Engagement ในตัวพนักงานในองค์กร ช่วงแรกอาจารย์พจนารถได้ให้นักศึกษาทุกคนได้แสดงความคิดเห็นโดยการให้เขียนว่าเมื่อองค์กรมี Engagement จะทำให้เกิดอะไรขึ้นในองค์กรบ้างและให้จัดกลุ่มของความคิดเห็น ส่วนเนื้อหาที่ได้เรียนมีใจความสำคัญดังนี้
1. engagement คือ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะอยู่ทำงานกับองค์กร เชื่อมั่นและศรัทธาในองค์กร พูดถึงองค์กรให้อย่างภาคภูมิใจ และเต็มใจที่จะออกรับแทนและทำเพื่อองค์กรอย่างเต็มความสามารถ 2. ปัจจัยของการเกิด engagement คือ - Culture and Purpose วัฒนธรรมองค์กรและเป้าหมายมีความเข้ากันได้- Leadership ความเชื่อใจและศรัทธาในผู้นำในองค์กร- Relationships ความสัมพันธ์ของระหว่างคนในองค์กรและคนกับองค์กร- Quality of life คุณภาพชีวิต ในการทำงานและชีวิตประจำวัน- Job Tasks ความเหมาะสมของคนกับงานและความสุขในการทำงาน- Opportunity โอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน- Total Compensation ผลตอบแทนที่เหมาะสมเมื่อพนักงานในองค์กรสิ่งแวดล้อมต่างๆการทำงานหรือสังคม ที่ดีจะส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานให้ประสบความสำเร็จสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีความสุข ถ้าทุกคนในองค์กรมีคุณภาพชีวิตที่ดีส่งผลให้บรรยากาศในการทำงานที่ดี คุณภาพงานที่ได้ก็จะมีคุณภาพ มีความขัดแย้งน้อยลง มีการทำงานแบบ team work
ช่วงท้ายชั่วโมงอาจารย์พจนารถได้ให้แบ่งกลุ่มกลุ่มละสาม คน เพื่อแสดงความคิดเห็นเรื่อง 7 ปัจจัยที่ทำให้เกิด Engagement ซึ่งผมได้กลุ่มที่ต้องแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Total Compensation เกี่ยวกับการให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมจะก่อให้เกิดความจงรักภักดีต่อองค์กรโดยหลักในการให้ผลตอบแทนประกอบด้วย Fair คือ ต้องมีความยุติธรรม ตรวจสอบได้ให้โดยความชอบธรรมดูจากผลงานไม่ใช้เส้นสาย ไม่ให้เพราะเป็นพรรคพวก Meaningful ต้องมีความหมายมีคุณค่าคู่ควรแก่การที่พนักงานคนหนึ่งได้อุทิศตนเพื่อองค์กรโดยอาจมีการให้โบนัสตอบแทนความมานะอุตสาหะ และ Competitive คือการแข่งขันได้ กับองค์กรอื่นๆที่อยู่ในธุรกิจลักษณะเดียวกัน การให้ผลตอบแทนต่างๆต้องมีการดูจากตลาดโดยทั่วไปไม่ใช่ให้ตามใจชอบเพราะอาจทำให้สูญเสียพนักงานที่มีคุณภาพไป ขอขอบคุณอาจารย์พจนารถที่นำความรู้ที่น่าสนใจมาถ่ายทอดให้ผมได้รับฟัง ผมจะนำความรู้ที่ได้นำไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดการพัฒนาในหน่วยงานและสังคมรอบข้างต่อไปกราบเรียนศ.ดร. จีระ ,อ.พจนารถ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉันนางสาวเริงหทัย สำราญ นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสเรียนวิชา human resource management กับอ.พจนารถ ในหัวข้อ “employee engagement for sustainable growth” ซึ่งทางอาจารย์ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบในการเรียน โดยให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนความคิดกัน ซึ่งถือว่าเป็นการเรียนที่สนุกและเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น โดยประเด็นที่อาจารย์ได้ให้ความรู้ คือ Employee Engagement ซึ่งเป็นความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร ซึ่งทำให้พนักงานปรารถที่จะ อยู่(Stay), เชื่อมั่น กล่าวถึงองค์กรอย่างภาคภูมิใจ(Say), และยินดีทำทุกอย่างเพื่อองค์กร(Strive) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มีความสําคัญและเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสําเร็จ โดยการสร้างความรับรู้ถึงความยุติธรรม ความมั่นคง ความเข้าใจต่อองค์กร การให้พนักงานมีส่วนร่วม สร้างความไว้วางใจ มีการสื่อสารที่ดี และบูรณาการกลไกกับหน้าที่ของการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งการดำเนินการให้ประสบความสำเร็จ ต้องอาศัย 7 ปัจจัย(The Seven Factors of Engagement) คือ
1 Culture and Purpose
2 Leadership
3 Relationship
4 Quality of life
5 Job Task
6 Opportunity
7 Total Compensation
ถ้าผู้คนในองค์กรเกิด Engagement ก็จะทำให้พนักงานรู้สึกมีความผูกพันกับองค์กร พร้อมที่จะทุ่มเทพลังกาย พลังใจ ให้กับการทำงานที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ พวกเขาจะรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกถึงความท้าทายกับงานที่ทำในแต่ละวัน และพร้อมที่จะหาวิธีการใหม่ๆ ในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายอยู่เสมอ สร้างจุดแข็งทางด้านธุรกิจและความก้าวหน้าขององค์กรและตัวพนักงานเอง
สุดท้ายนี้ ต้องขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์พจนารถที่ได้มาให้ความรู้ ในเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งได้ทั้งความรู้ แนวความคิด และกลยุทธ์ต่างๆ พร้อมทั้ง Case study ที่ง่ายต่อการเข้าใจและการมองภาพรวม ซึ่งดิฉันจะนำไปประยุกต์ใช้กับองค์กรและการพัฒนาตนเองต่อไปคะ
Employees Engagement คือ กระบวนการและขั้นตอนขององค์กรที่ทำให้พนักงานอยากอยู่กับองค์กรต่อไปนานๆ โดยพูดถึงองค์กรในเชิงบวกและมีความตั้งใจทำงานให้องค์กรได้อย่างทันทีและมีประสิทธิภาพก็เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จและการเจริญเติบโตขององค์กรอย่างมั่นคง ซึ่งต้องประกอบไปด้วย ดังนี้ Stay : ความต้องการให้พนักงานอยู่ทำงานให้กับองค์กรนานที่สุด, Say: มีความเชื่อมั่นและศรัทธากับองค์กร , Strive: มีความเต็มใจและต้องการที่จะเป็นตัวแทนและทำทุกอย่างเพื่อองค์กร
การจะเกิด รูปแบบ Engagement ขึ้นมาได้นั้น ต้องมี 3 ห่วงและส่วนที่ซ้อนกันหรือรวมกันก็ คือ Engagement นั้นเอง โดย เริ่มจาก 1.) เกิดความคิด (Think) ก่อนว่าองค์กรมีความคิดไปแนวเดียวกันอย่างชัดเจน2.) เกิดความรู้สึก (Feel) รักองค์กร ที่นี่เปรียบเหมือนบ้านของเขา 3.) การแสดงออก(Act) ทำให้พนักงานมีความกล้าแสดงความคิดเห็นมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดลัษณะของ Performers 4 ลักษณะ คือ Rising Star:มีผลงานดีและเก่งด้วย คู่แข็งชอบติดต่อ, Work House : ทำงานได้ดีควรเก็บไว้และดูแลให้พนักงานมีความสุข, Deadwood : ทำงานได้ไม่ดีและไม่มีความสามารถถึง, Problem Child : มนุษย์เจ้าปัญหา ถ้ามีการพัฒนาต่อไปจะมีโอกาสเป็น rising star ได้
จะมีขั้นตอนอย่างไรในการทำให้พนักงานในองค์กรมีความสุขได้ โดยผลลัพธ์ที่ต้องการ คือ ทำให้ธุรกิจเติบโตและอยู่ได้ โดยเริ่มจากการทำกลยุทธ์ เพื่อให้มุ่งไปสิ่งที่เราต้องการ, เพื่อให้ได้คุณสมบัติของพนักงานที่ต้องการ, พนักงานเกิด strategy ดูดีขึ้นและศักยภาพสูงขึ้น, การฝึกฝนของ การจัดการทาง Talent โดยต้องเริ่มในองค์กรจาก staff ก่อน แล้วพาไปอบรม เพื่อให้เกิดperformและทำการให้รางวัลแก่พนักงานคนนั้น, ทำให้พนักงานพึงพอใจและลูกค้าพึงพอใจในที่สุด
สรุป จะเห็นได้ว่าการที่จะเกิด Engagement ได้นั่นจะต้องประกอบไปด้วย 7 ปัจจัยหลักๆ เพื่อให้องค์กรไปสู่ Alignment เดียวกัน Vision และ Mission เดียวกันได้ หน้าที่นี้นอกจาก HR Manager และ Manager แต่ละหน่วยงานแล้วนั่น หัวหน้างานก็สามารถทำได้เช่นกัน ดิฉันขอขอบพระคุณอาจารย์พจนารถเป็นอย่างยิ่งค่ะ ที่ได้เสียสละเวลามาให้ความรู้กับพวกเราซึ่งทำให้เข้าใจเกี่ยวกับองค์กรและ HR ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไรและต้องทำอย่างไรบ้าง ที่จะทำให้องค์กรเติบโตอยู่ได้และพนักงานก็เช่นกัน
เรียนศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด และทีมงานทุกท่าน
กระผมนาย พัฒนา ปลอดภัยงาม นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
จากการที่ได้ศึกษาเรื่องEmployee Engagement ซึ่งเป็นความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร ซึ่งทำให้พนักงานปรารถที่จะ อยู่(Stay), เชื่อมั่น กล่าวถึงองค์กรอย่างภาคภูมิใจ(Say), และยินดีทำทุกอย่างเพื่อองค์กร(Strive) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มีความสําคัญและเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสําเร็จ โดยการสร้างความรับรู้ถึงความยุติธรรม ความมั่นคง ความเข้าใจต่อองค์กร การให้พนักงานมีส่วนร่วม สร้างความไว้วางใจ มีการสื่อสารที่ดี และขับเคลื่อนกลไกการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่ง ต้องอาศัย 7 ปัจจัย(The Seven Factors of Engagement) คือ
1 Culture and Purpose
2 Leadership
3 Relationship
4 Quality of life
5 Job Task
6 Opportunity
7 Total Compensation
ถ้าผู้คนในองค์กรเกิด Engagement ก็จะทำให้พนักงานรู้สึกมีความผูกพันกับองค์กร พร้อมที่จะทุ่มเทพลังกาย พลังใจ ให้กับการทำงานที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ พวกเขาจะรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกถึงความท้าทายกับงานที่ทำในแต่ละวัน และพร้อมที่จะหาวิธีการใหม่ๆ ในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร สร้างจุดเด่นและความเป็นผู้นำทางธุรกิจ เพื่อความก้าวหน้าขององค์กรและตัวพนักงานเอง
เรียนศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด และทีมงานทุกท่าน
กระผมนาย พัฒนา ปลอดภัยงาม นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
จากการที่ได้ศึกษาเรื่องEmployee Engagement ซึ่งเป็นความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร ซึ่งทำให้พนักงานที่จะ อยู่กับองค์กร(Stay)
เชื่อมั่น กล่าวถึงองค์กรอย่างภาคภูมิใจ(Say)
และยินดีทำทุกอย่างเพื่อองค์กร(Strive)
ถ้าผู้คนในองค์กรเกิด Engagement ก็จะทำให้พนักงานรู้สึกมีความผูกพันกับองค์กร พร้อมที่จะทุ่มเทพลังกาย พลังใจ ให้กับการทำงานที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ พวกเขาจะรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกถึงความท้าทายกับงานที่ทำในแต่ละวัน และพร้อมที่จะหาวิธีการใหม่ๆ ในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร สร้างจุดเด่นและความเป็นผู้นำทางธุรกิจ เพื่อความก้าวหน้าขององค์กร
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มีความสําคัญและเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสําเร็จ โดยการสร้างความรับรู้ถึงความยุติธรรม ความมั่นคง ความเข้าใจต่อองค์กร การให้พนักงานมีส่วนร่วม สร้างความไว้วางใจ มีการสื่อสารที่ดี และขับเคลื่อนกลไกการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่ง ต้องอาศัย 7 ปัจจัย(The Seven Factors of Engagement) คือ
1 Culture and Purpose
2 Leadership
3 Relationship
4 Quality of life
5 Job Task
6 Opportunity
7 Total Compensation
ผมนายปริญญา รักพรหม นักศึกษา ป.โท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
จากการเรียนเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา ในเรื่อง Employee Engagement for Sustainable Growth ก่อนอื่นก็ขอเรียนอาจารย์ว่าบรรยากาศการเรียนในวันนั้นเป็นการเรียนที่ค่อนข้างสนุกมาก ความรู้สึกแบบเป็นกันเองของผู้สอนและผู้เรียนทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น ในส่วนของเนื้อหาที่เรียนซึ่งเป็นเรื่องของ Employee Engagement for Sustainable Growth ในความหมายของเรื่องนี้เป็นการเน้นถึงความสัมพันธ์ ความผูกพันของพนักงานกับองค์กร การที่พนักงานที่มีความตั้งใจ ทุ่มเทพลังกาย พลังใจ ให้กับการทำงานที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ พนักงานจะรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกถึงความท้าทายกับงานที่ทำ พนักงานจะเกิดความต้องการพัฒนาตัวเองเพื่อดึงเอาความสามารถ เพื่อหา “พรแสวง” พร้อมกับนำเอาพรสวรรค์ในตัวเองมาใช้ในการทำงานที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งใฝ่เรียนรู้ หาวิธีการใหม่ๆ ในการทำงานให้บรรลุผลตามเป้าหมายตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับจากหน่วยงานและสอดคล้องตาม นโยบาย เป้าหมาย ขององค์กร
ซึ่งการจะดำเนินการให้เกิด Employee Engagement ขึ้นในองค์นั้น ผู้บริหารในองค์กรเองจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิด Engagement คือ
1. Culture and Purpose – องค์กรจะต้องพยายามชี้แจงอย่างชัดเจนในเรื่องของวัฒนธรรมขององค์กร ระเบียบปฏิบัติ รวมถึงธรรมเนียมปฏิบัติในองค์กร ให้พนักงานนั้นเข้าใจและยอมรับให้ได้เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในองค์กร
2. Leadership – องค์กรจะต้องสร้างภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นในทุกๆ ระดับ เพื่อทำให้พนักงานเกิดความเชื่อมั่นในผู้นำ รวมทั้งเกิดความมั่นใจในสถานะขององค์กรด้วย
3. Relationships – องค์กรจะต้องสร้างให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีในองค์กรขึ้นซึ่งจะมีผลทำให้เกิดความร่วมมือที่ดีในการทำงาน มีบรรยากาศการทำงานที่ส่งเสริมให้อยากทำงาน พนักงานเกิดความรักความสามัคคีกัน เป็นต้น
4. Quality of Life – องค์กรจะต้องส่งเสริมให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวของพนักงาน เพื่อช่วยให้พนักงานเกิดแรงจูงใจ หรือ มีกำลังใจที่ดี พร้อมที่จะสร้างสรรค์งานที่มีประสิทธิภาพให้องค์กร
5. Job Tasks – องค์กรจะต้องดำเนินการ มอบหมายงาน จัดแบ่งบทบาทหน้าที่การทำงานให้เหมาะสมกับความสามารถของพนักงาน “Put the right man in the right job” เพื่อสร้างให้พนักงานเข้าใจในงาน เกิดความรักและความภูมิใจในงานของตัวเอง ซึ่งก็จะส่งผลให้เกิดผลการปฏิบัติงานที่ดีขึ้นได้
6. Opportunity – องค์กรจะต้องเปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ รวมทั้งจะต้องส่งเสริมและพัฒนาพนักงานให้มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ให้มากขึ้น ประกอบกับการเปิดโอกาสในการแสดงความคิดเห็นในด้านต่างๆ ต่อองค์กร เพื่อองค์จะได้รับรู้และทราบถึงแนวคิดและความต้องการของพนักงาน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตได้
7. Total Compensation – สุดท้ายองค์กรจำเป็นที่จะต้องตอบแทนพนักงานอย่างเหมาะสม ทั้งในเรื่องรายได้และสวัสดิการ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกและเป็นสิ่งที่จะทำให้พนักงานเกิดแรงจูงใจให้อยากทำงานและจะช่วยให้พนักงานมีความคิดแบบ Positive Thinking ต่อองค์กรด้วย
หากองค์กรสามารถที่จะหลอมรวมปัจจัยเหล่านี้ พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้เกิด Employee Engagement อย่างจริงจังก็จะส่งผลให้เกิดความรัก ความผูกพันของคนในองค์กรได้อย่างยั่งยืน
หัวใจของ Employee Engagement เป็นขบวนการขององค์กรที่ทำเพื่อหวังให้พนักงานมีความรู้สึกอยากอยู่กับองค์กร , กล่าวถึงองค์กรในด้านดีและสามารถทำทุกสิ่งเพื่อองค์กรอย่างเต็มใจ (Stay , Say , Strive) ซึ่งที่ได้จากการเรียนครั้งนี้ทำให้ได้รู้ว่า เราควรที่มีกลยุทธ์ใดๆบ้างเพื่อที่จะทำให้เกิด Employee Engagement โดยท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงองค์ประกอบร่วมต่า
Dear Prof. Dr. Hongladarom and Chiraacademy Team. My name is MissNirachornChaiyakarn . I am from King Mongkut’s Institute of Technology Ladkrabang, Agibusiness and Food industry Management. On last Sunday, September 2 , 2007 , in our Human Resort Management class, we learnt about ‘Knowledge Management’ and “ASV theory” . In the coffee time, Prof.Dr. Hongladarom recommended us a very interesting magazine , The Business Week, issue August 20&27,2007 in the column “The Future of Work” and asked that “How we apply The Future of Work for Thai people?” . After I have already read about these , in my opinion, we are in the new business world which run by globalization and technologies. That’s mean now and in the future our jobs will change to the way with have many kind of knowledge. So that, if Thai people want to compete, we have to change the way we learnt and work to make us from “a student” or “a worker” to “a professional ” in what are we doing. We must not learn only in the book or in the class. We need to hard learn and hard work from the real situation and apply it to make for our benefit. In fact, we must not learn only in the day but we must to learn and work in every times, every minutes in hold life because knowledges and technologies are change and rebuild all the time not except when we are rest. However, I believes in Thai people's abilities that what we want to do, we can do it well.
Dear Prof. Dr. Chira and All Reader. My name is Miss Wasaporn Boonsuk student Master’s degree from King Mongkut’s Institute Technology Lardkrabang major of Agribusiness of Food Industry Management. On Sunday 2 September 2007. I have homework in Business Week about “The future of work”. On this question “How we apply the future of work for Thai people?”
In my opinion, I thing the future of work for Thai people, Globalization and Technology are creating the potential for start changes in the world. Which the managers and workers will be pressures by competitive. So the employee should be improved levels of education and manager should be improved “workplace” for workers in an organization. Because the workplace is important point of employee made job to collaborate efficiently and effectively. The managers must have communication and information to workers need to move toward the vision. The workplace should be get have exchange idea between managers and workers. In the future, I thing work of Thai people could to get competitive foreign. Finally they are work to successful and profit in life.2. There is no place like work:
It bring the home into workplace. 3.Throw out the time sheets:The unlimited time off for work.4. The nanny corporation is watching:The new kind of companies,they will be interested in whether we are…called “Paternalism”.5. Benefits customized for us:The companies realize they can get a better return on investment by tailoring perks to how we perform and the stage of life we are in. If we still be employees or employers, we must learn about the best way or best thing we will do in the future because most of companies seem to change to the new model(like above). However,we do not scare about it because I think we have more enough time to change yourself proceedingly.Dear Prof. Dr. Chira , Chiraacademy team and everybody who reading this Blog. My name is Ms. Oranut Lamsakulpaisan. I am studying at King Mongkut’s Institute Technology, Lardkrabang. Majored in Agribusiness of Food Industry Management.
The topic in the business week is The future of work. Michael Mandel said the topic “Which way to the future”. He says that Globalization and technology are drastically changing how we do our jobs and that’s both a promise and problem. Therefore, The way to manage a global virtual team to the pros and cons of branding yourself, to the seemingly farfetched use brain chips to enhance your capabilities. I think that Good managers should be focusing in particular on how to get an organization full of people from different cultures and backgrounds to collaborate efficiently and effectively.
And finally, The future of work among globalization period we noticed that we can follow this systematical movement by holding Dr. Chira’s point of view, 4’L, which mentioned as follow. Learning Methodology by sharing the idea in workplace and workshop. Learning Environment by focusing on Coaching, Facilitator and Mentoring. Learning Opportunity and Learning Communities.
Dear Prof. Dr. Chira, Chiraacademy team and everybody is reading this Blog. On last Sunday, September 2, 2007.In the morning coffee, Prof. Dr. Chira recommended us a very interesting article in The future of work magazine. And he asked that“How we apply The Future of Work for Thai people?” In my opinion, nowadays employee must have for 2H1C
Thus
- High education: We must not learn only in the book, we can learn everyday everywhere and every time.
- Creativity: When We have good learning system, we can think an innovation to bring about development work system.
- Happiness: Is the most important for employee in the event of can make an employee to give Happiness that organization to be completed of the human resource management.And I to obtain learning the new theory of Prof. Dr. Jira is “ASV” A first written character is “A” Acquire, meaning is finding the knowledge Every time and everywhere of life and consider what the real or important things that we receive. The second “S” Share, telling people about knowledge opinion and information, Beside that a good listening is an important to make see with success.And the last character is “V” is Value Added, meaning is making the high benefits off Knowledge to learning thorough life.
At present not anything important more than learning. So as everybody have to see to inculcate a habit to your life since a day. And to share social of learning to follow theory 4’Ls of Prof. Dr. Chira for social things development is kind sustainability.Dear : Professor Doctor Jira Hongradarom and all reader,
I am Miss Supaporn Numrungroj. I am studying MBA major agribusiness and food industry management at KMITL. When 2/9/07 , I learned HRM with Prof. Dr. Chira gave me read the article from Business Week Book(issue:20-27/8/07). “The Future of Work” Which Prof. Dr. Chira gave me read and explain my opinion about this is article and I learned about Knowledge management(KM)& Acquired,Shared and Value Added or to be called is “ASV Theory” Summary issue is
1. Future of Work , In my opinion. It must have planning that what is target og work? And you must be successful.but future of work, of Prof. Dr.Chira will be focus on 2R’s theory (Reality& Relevance)knowledge will be modern,fresh which can be real use and every time.
2. Acquired,Share and Value Added or Called “ASV Theory” Here is the meaning.
Acquired(A) is to find knowledge from many source and think about it truly. Such as training,listening news, opening website ,knowing excellent Humans and etc.You will discover knowledge all life.
Share(S) is focus on 4’ L theory by Prof. Dr. Chira , Which everybody share and you have good management too.
Value Added(V) is useful knowledge add value of knowledge, look at knowledge& create, If you lake knowledge some factor, We must have networking.
3. From the last “ASV Theory” in class on 2/9/07 .My group had brain storming that ASV theory add 3 story is (1.) Leader (L) is good leader,sacrifice and the most important of leader is morality,honesty or the less selfish. (2.) Team (T)Work is working team and unity. (3.) Timing (T) is use propler time and use time is result.
In Conclude, You should learnig all life . Such as You graduated master degree that is first start of learned.Moreover,You must start to find the new knowledge,concretely and do it your “Good Habit” in find Social of Knowledge.Dear : Professor Doctor Chira Hongradarom and all reader,
I am Miss Supaporn Numrungroj. I am studying MBA major agribusiness and food industry management at KMITL. When 2/9/07 , I learned HRM with Prof. Dr. Chira gave me read the article from Business Week Book(issue:20-27/8/07). “The Future of Work” Which Prof. Dr. Chira gave me read and explain my opinion about this is article and I learned about Knowledge management(KM)& Acquired,Shared and Value Added or to be called is “ASV Theory” Summary issue is
1. Future of Work , In my opinion. It must have planning that what is target of work ? And you must be successful.but future of work, of Prof. Dr.Chira will be focus on 2R’s theory (Reality& Relevance)knowledge will be modern,fresh which can be real use and every time.2. Acquired,Share and Value Added or Called “ASV Theory” Here is the meaning.
Acquired(A) is to find knowledge from many source and think about it truly. Such as training,listening news, opening website ,knowing excellent Humans and etc.You will discover knowledge all life.
Share(S) is focus on 4’ L theory by Prof. Dr. Chira , Which everybody share and you have good management too.
Value Added(V) is useful knowledge add value of knowledge, look at knowledge& create, If you lake knowledge some factor, We must have networking.
3. From the last “ASV Theory” in class on 2/9/07 .My group had brain storming that ASV theory add 3 story is (1.) Leader (L) is good leader,sacrifice and the most important of leader is morality,honesty or the less selfish. (2.) Team (T)Work is working team and unity. (3.) Timing (T) is use propler time and use time is result.
In Conclude, You should learnig all life . Such as You graduated master degree that is first start of learned.Moreover,You must start to find the new knowledge,concretely and do it your “Good Habit” in find Social of Knowledge.
เรียน ท่านปลัด วีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม , ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉันนางสาว วสพร บุญสุข นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2550 ได้มีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์ วีระ โรจน์พจนรัตน์ ซึ่งอาจารย์เป็นปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในรายวิชา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในหัวข้อเรื่อง Food Science กับ บทบาทวัฒนธรรมไทย ดิฉันได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมของอาหาร 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง วัฒนธรรมอาหารโลก คือ เริ่มจากมนุษย์บริโภคอาหาร เพื่อระงับความหิวและการดำรงชีวิตแล้ว การบริโภคอาหารด้วยความสุข ในคุณภาพของอาหารที่ปรุงแต่งรสให้เกิดความสุข นั้น เป็นจุดที่เรียกว่า “วัฒนธรรมการกิน” แต่ละประเทศมีวัฒนธรรมการกินที่เลียนแบบกันมาเพื่อให้เข้ากับประเทศของตัวเอง เพื่อที่จะนำมาประยุกต์เป็นวัฒนธรรมการกินของประเทศนั้นๆ
ประเด็นที่สอง วัฒนธรรมอาหารไทย คือ แต่ละภาคของไทย วัฒนธรรมการกินจะแตกต่างกันไป เช่น เครื่องปรุงหลัก วิธีทำ และรสชาติ แต่ที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมการกินของไทยที่เหมือนกัน คือ ผักสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้รักษาโรคต่างๆ ที่ทุกภาคนำมาปรุงอาหาร จึงเป็นจุดเด่นของวัฒนธรรมอาหารไทย
ประเด็นที่สาม โอกาสทางธุรกิจของอาหาร คือ เนื่องจากมนุษย์ในโลกต้องบริโภคอาหาร 3 มื้อ หรือมากกว่านั้นใน 1 วัน จึงทำให้ได้เกิดโอกาสธุรกิจของอาหารเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อิตาลี และฝรั่งเศส เป็นต้น และได้มีโอกาสได้รับความรู้โดยตรงจากประสบการณ์ของ คุณ ชัยพล สุขเอี่ยม (คุณเอ) ซึ่งได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่น ได้แนะนำว่าการทำธุรกิจ จะต้องหากลุ่มเป้าหมายให้ได้ชัดเจน และต้องหาจุดเด่นของร้านให้ได้ และเรื่องของกุ๊ก เป็นเรื่องที่สำคัญมาก นับว่าเป็นปัญหาโลกแตก ต้องมีการบริหารจัดการให้ดี ไม่ต่างกับพนักงานในองค์กรที่เก่ง และมีความสามารถ เมื่อพนักงานหรือกุ๊กไม่มีความสุขกับองค์กรหรือร้านที่อยู่แล้ว อาจจะทำให้เกิดปัญหากับองค์กรหรือร้านไม่ประสบความสำเร็จ ผู้บริหารต้องมีความรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการบริหารจัดการจึงจะประสบความสำเร็จในธุรกิจ
สรุปได้ว่า Food Science กับ บทบาทวัฒนธรรมไทย มีความสำคัญมาก เนื่องจาก Food Science จะช่วยให้พัฒนาประเทศไทย ในอนาคตมีโอกาสทางธุรกิจที่จะเป็นครัวไทยสู่ครัวโลก เพราะวัฒนธรรมอาหารไทยมีเอกลักษณ์และรสชาติ ที่ชาวต่างชาติยอมรับและชื่นชอบ สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับอาหารไทย สามารถ make money ให้กับประเทศได้ โดยคนไทยเป็นเจ้าของไม่ใช่คนชาติอื่นเป็นเจ้าของอาหารไทย และนำครัวไทยสู่ครัวโลกได้อย่างยั่งยืนดิฉันนางสาวสุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันที่ 9/9/07 ได้มีโอกาสได้เรียนวิชา HRM กับอาจารย์ วีระ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในหัวข้อเรื่อง “ Food Science กับ บทบาทวัฒนธรรมไทย” ดิฉันขอกล่าวถึงประเด็นต่างๆ ดังนี้
1. ประวัติความเป็นมาของวัฒธรรมการบริโภคอาหารของชาวตะวันตก เช่น คำพูดของเจฟ สมิธ พ่อครัวเอกชาวอเมริกันได้กล่าวไว้ว่า “ ผู้ที่คิดค้นอาหารใหม่ ถ้าไม่รู้จักอาหารจานเก่าที่บรรพบุรุษเคยทำกินกันมาก่อนก็จะไม่ได้อาหารจานใหม่ที่ดี”,วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวฝรั่งเศสกับที่มาของครัวซองค์ว่ามีลักษณะนี้มาจากประวัติความเป็นมาเรื่อง เสี้ยวพระจันทร์ของอิสลาม,แฮมเบอร์เกอร์มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเยอรมัน เป็นต้น
2. ประวัติความเป็นมาของวัฒนธรรมอาหารไทย ว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใด เช่น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น มีการรับประทานอาหารคาว-หวาน โดยมาจากหลักฐานกาพย์เห่ชมเครื่องคาว,หวานและผลไม้ จากพระราชนิพนธ์โดยรัชกาลที่2 ทำให้ทราบว่าอาหาร,ขนมและผลไม้นั้นมีที่มาและนิยมรับประทานกันตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มาแล้ว
3. วัฒนธรรมการบริโภคอาหารแต่ละภูมิภาค มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน ซึ่งในส่วนที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดวัฒนธรรมการกินที่แตกต่างกัน โดยอาหารที่มีในแต่ละภาคนั้นจะทำให้เกิดความหลากหลาย จนทำให้เกิดลักษณะเด่นชัดของอาหารไทย คือ ความน่าสนใจและความแปลกใหม่เกิดขึ้น เช่น ภาคใต้ นิยมอาหารรสเผ็ดและเค็มจัด (แกงไตปลา) , ข้าวยำโดยนำน้ำบูดูมาคลุกกับข้าวทำให้มีรสเค็มนำและมีผักสดหลายชนิด โดยเฉพาะผักเหนาะ ที่รับประทานร่วมกับอาหารเพื่อเพิ่มความอร่อยและช่วยลดความเผ็ดร้อนของอาหาร ทำให้ผักเหนาะกลายเป็นเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านของชาวใต้ เป็นต้น
4. ยุทธศาสตร์ของครัวไทยสู่ครัวโลก ว่าประเทศไทยมีการส่งออกของอาหารเป็นอันดับ 6 ของโลก แต่ยังขาดเรื่องการประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะต้องได้รับการสนับสนุนให้ร้านอาหารไทยเป็นศูนย์กลางในการกระจายข้อมูลไปทั่วโลก เช่น การวางแผนประชาสัมพันธ์อาหารไทยไปที่คนไม่รู้จักในประเทศแอฟริกา เป็นต้น
สรุป วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของแต่ละภาคของไทยนั้น มีการนำเอาศิลปวัฒนธรรมมาใช้ได้อย่างกลมกลืนและเหมาะสม ในเรื่องของรสชาติ,วิธีการปรุง,การตกแต่งหรือสรรพคุณต่างๆของอาหาร โดยเฉพาะในปัจจุบันFood Science มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในเรื่องของ value added ควบคู่กับพัฒนาคุณภาพอาหารและทำรายได้ให้กับประเทศในแต่ละปีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ “ครัวไทย” กลายเป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่าของสังคมไทยจนไปมีชื่อเสียงไปทั่วโลกกราบเรียนคุณวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ศ.ดร.จีระ หงลดารมภ์ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสุคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากที่ได้เรียนในวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2550 เวลา 9.00 – 13.00 น. เรื่อง Food Science กับบทบาทวัฒนธรรมไทย รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เรียนกับท่านปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เนื้อหาที่เรียนที่ดิฉันจับประเด็นได้หลักๆ 4 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวโลก การบริโภคอาหารเพื่อระงับความหิวเป็นการบริโภคเพื่อความอยู่รอด แต่การบริโภคของมนุษย์ยังเพื่อความอร่อยลิ้น อร่อยรสชาติด้วย จึงถือเป็นวัฒนธรรมการกิน วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวต่างชาติ ล้วนมีความเป็นมาของอาหาร และแตกต่างกันไปตามประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น แต่ก็ยังมีอาหารบางส่วนที่เป็นตัวสัมพันธ์กันอยู่ และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางด้านอาหารกัน
ประเด็นที่สอง วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของไทย อาหารของไทยจะมีความสวยงาม และประณีต เป็นเอกลักษณ์ แต่ก็มีอาหารบางชนิดที่ได้อิทธิพลมาจากชาวต่างชาติ ซึ่งวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของไทยจะมีความแตกต่างกันไปตามภาค คือแต่ละภาคจะมีอาหารที่เป็นวัฒนธรรมของตนเอง แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องเพื่อสุขภาพ และได้รับคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน
ประเด็นที่สาม โอกาสทางธุรกิจอาหาร ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 4 ของอาหารของประเทศที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีเมนูหลายอย่างที่เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ อีกทั้งรัฐยังให้การสนับสนุนยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่ครัวโลก การประกอบธุรกิจอาหารไทยในต่างประเทศจึงเป็นที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลกแน่นนอน
ประเด็นที่สี่ ตัวอย่างธุรกิจอาหาร เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น อยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ซึ่งผู้ประกอบการมาเล่าถึงธุรกิจของตน โดยร้านมีจุดเด่นคือ อาหารเน้นรสชาติดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น จึงแตกต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นร้านอื่นๆ ที่มีอยู่ ณ เวลานี้ อีกทั้งมีการจัดโปรโมชั่น และมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เช่น มีบริการหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น อีกทั้งธุรกิจยังเลือกใช้วัตถุดิบภายในประเทศช่วยลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย
จากประเด็นที่สรุปได้ทั้งสี่ สามารถเข้าใจความเชื่อมโยงกันระหว่าง Food science กับวัฒนธรรมการบริโภคมากยิ่งขึ้น อีกทั้งได้ศึกษาจากผู้มีประสบการณ์ตรงในการทำธุรกิจทางด้านอาหาร ได้รับความรู้ที่มีประโยชน์มากมายที่จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ขอขอบพระคุณท่านวีระเป็นอย่างสูงค่ะเรียน ท่านปลัด วีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม , คุณชัยพล , อ.จีระ , ทีมงาน Chira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันที่ 9/9/50 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเรียน วิชา Human Resource กับ คุณ วีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในหัวข้อ Food science กับ บทบาทวัฒนธรรมไทย ซึ่งประเด็นต่างๆที่ผมได้รับถ่ายทอดมาพอจะจับประเด็นได้ดังนี้
1. วัฒนธรรมการกิน เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้ แต่วัฒนธรรมการกิน คือ การที่กินอาหารโดยไม่ใช่แค่ยังชีพอย่างเดียว แต่ต้องเป็นการเสพรสชาติในอาหารนั้นด้วย วัฒนธรรมการกินของแต่ละประเทศมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละประเทศอยู่ แต่โดยมากแล้ว ย่อมมีความหมายในตัวมันเองอยู่
2. วัฒนธรรมการกินของประเทศไทย ประเทศไทยมีวัฒนธรรมการกินของแต่ละภูมิภาคต่างกันค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องของรสชาติ สีสัน เครื่องเทศ วัตถุประสงค์ในการทำ แต่จากความแตกต่างนี้เอง ทำให้เกิดความหลากหลายขึ้น ทำให้ไม่ซ้ำซาก น่าเบื่อ และเกิดสิ่งใหม่ๆได้ตลอดเวลา
3. วัฒนธรรมสามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้ อันนี้ยกตัวอย่างให้คนเห็นง่ายๆ เช่น ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งทุกวันนี้ วัฒนธรรมเป็นอุตสาหกรรมส่งออกไปทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยจะแฝงมาในรูปแบบต่างๆ เช่น อาหาร , ภาพยนต์ , ละคร , แฟชั่น , เพลง ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการลงทุนจากภาคเอกชน โดยได้รับการส่งเสริมอย่างเต็มที่จากภาครัฐ ตรงนี้ประเทศไทยเองกำลังดำเนินการพัฒนาอยู่ให้ภาคเอกชนทำวัฒนธรรมเป็นธุรกิจ โดยมี ภาครัฐให้คำปรึกษาและสนับสนุน ( ในส่วนนี้ผมขอแสดงความเห็นว่า ควรจะมีการกำหนดขอบเขตของสิ่งที่จะนำเสนอให้ดี ทั้งให้ไม่น่าเบื่อ และไม่ล้ำเส้นเกินไป ซึ่งคงต้องใช้การพิจารณาอย่างดีจากกระทรวงวัฒนธรรมและจรรยาบรร จากภาคเอกชน )
ขอกล่าวโดยสรุปว่า วัฒนธรรมสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจประเภทต่างๆได้ และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของไทย ใน International คือ อาหาร ซึ่ง อาหารไทยติดอันดับต้นๆ ของอาหารยอดนิยมในโลก ซึ่งสมควรจะได้รับการพัฒนาในส่วนนี้ต่อไป และเรื่องของความแตกต่างที่ก่อให้เกิดความหลากหลาย ผมไม่อยากให้ความรู้สึกนี้จบลงแค่เรื่องอาหารเท่านั้น อยากให้รู้สึกถึงเรื่อง การเมือง วัฒนธรรม ศาสนา เชื้อชาติ ด้วย มองให้สิ่งเหล่านี้ เป็นความแตกต่างที่ก่อให้เกิดสีสันบนโลกใบนี้ ยอมรับและปรับตัวเข้ากับมันให้ได้ อย่ากีดกัน อย่าเหยียดหยัน อย่าถือว่าใครดีกว่าใคร โลกใบนี้จะสงบสุขครับ
ท้ายนี้ขอขอบคุณ ท่านปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คุณ วีระ โรจน์พจนรัตน์ มากครับ ที่มาแนะนำสอนสิ่งดีๆ เรื่องวัฒนธรรมกับพวกเรา AFIM พวกผมจะนำข้อคิดต่างๆที่ได้ในวันนี้ไปประยุกต์ใช้ต่อไปครับ
กราบเรียนท่านปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายวีระ โรจน์พจนรัตน์, ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ทีมงาน chira academyและท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมนายวิศรุต แสงโนรี นักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาบริหารธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากการเรียนในวันที่ 9 กันยายน 2550 เวลา 9.00 – 12.00 น. ได้รับโอกาสที่ดีจากท่านวีระ โรจน์พจนรัตน์ ที่สละเวลามาให้ความรู้เรื่อง “Food Science กับวัฒนธรรมไทย” ซึ่งทำให้ผมได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีกมากมาย สามารถจับใจความสำคัญได้ สี่ประการ ดังนี้
1.วัฒนธรรมอาหารโลก เมื่อมนุษย์มีการบริโภคอาหารเพื่อให้เกิดความสุข อร่อยลิ้น จึงจะเรียกว่าเป็น วัฒนธรรมการบริโภค ซึ่งวัฒนธรรมการบริโภคของมนุษย์ในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันตามท้องถิ่น เช่น ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการอาหารที่มีลักษณะใกล้เคียงกันโดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ตามท้องถิ่น เช่น การทำกะปิ มีการทำทั่วไปตามพื้นที่ที่ติดทะเลและแถบใกล้เคียง 2.วัฒนธรรมอาหารไทย วัฒนธรรมการกินของไทย เริ่มตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย บางส่วนของอาหารไทยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศในแถบเอเชียที่มีการติดต่อค้าขายกันหรือจากการทำสงครามมีการกวาดต้อนผู้คน ทำให้ได้รับวัฒนธรรมการกินจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งบางส่วนได้ผสมผสานกับของพื้นเมืองจนแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นของเราแต่เดิมหรือไม่ เช่น การทำขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ที่ชาวโปรตุเกสนำมาเผยแพร่ ซึ่งไทยเราได้แบ่งวัฒนธรรมการบริโภคอาหารแยกตามภาคต่างๆ ในประเทศ เช่น ภาคใต้ จะเน้นรสจัด อาหารหลายอย่างจะเผ็ดและมีการใส่ขมิ้น และกินพร้อมผักสด ภาคเหนือ อาหารจะรสอ่อนกว่า เน้นทางรสเค็มมีการกินข้าวเหนียวกับน้ำพริกนานาชนิด เป็นต้น 3. นโยบายของทางภาครัฐ ทางกระทรวงวัฒนธรรมเห็นความสำคัญของอาหารไทยที่สามารถบ่งบอกถึงความเป็นชาติของไทยได้เป็นอย่างดี จึงมีการส่งเสริม ให้ผู้ประกอบการคนไทยได้มีโอกาสในการเปิดร้านอาหารในต่างประเทศ และมีการจัดให้มีการส่งเสริมความเป็นไทยในร้านนั้นๆ เช่น มีการแสดงจากประเทศไทยไปเผยแพร่ มีการนำสินค้าจากประเทศไทยไปแสดง เพื่อประกาศความเป็นไทยให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่าไม่ได้มีเพียงอาหารเท่านั้น การที่เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน มีวัฒนธรรมต่างๆอีกมากมายที่ดีงามแฝงอยู่อีกมาก4. โอกาสทางธุรกิจ ในการดำเนินธุรกิจบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องนำเอาความเป็นตัวเองไปเสนออย่างเดียวเราอาจ จะนำความเป็นเอกลักษณ์ที่ดีของชาติอื่นๆ มาเป็นจุดขายของธุรกิจได้ เราต้องดูจากความเหมาะสม ปัจจัยในทางธุรกิจอย่างอื่นด้วยในการประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีการศึกษามาเป็นอย่างดี นำความรู้ที่มีมาวางแผนการบริหารงานทั้งคนทั้งงาน ให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประกอบกับความอดทนมานะพยายาม พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองตลาดและการพัฒนาตามโลกที่เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ ท่านปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คุณ วีระ โรจน์พจนรัตน์ ที่นำเรื่องที่น่าสนใจมาบรรยายให้ฟังท่านเป็นนักเล่าเรื่องที่ดีมากครับ และท่านยังนำนโยบายใหม่ของกระทรวงมาเผยแพร่ให้ทราบและนำวิทยากรพิเศษมาบรรยายลงรายละเอียดเรื่องการทำธุรกิจร้านอาหาร มีประโยชน์มากครับขอบคุณครับกราบเรียนท่านปลัดกระทรวงวัฒนธรรมท่านวีระ โรจน์พจนรัตน์, ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉันนางสาวอรนุช หล่ำสกุลไพศาล นักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาบริหารธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง การเรียนการสอนในวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา ท่านวีระได้ให้เกียรติมาบรรยายในเรื่อง Food Science กับวัฒนธรรมไทย ไว้ 3 เรื่อง คือ วัฒนธรรมอาหารของโลก, วัฒนธรรมอาหารของไทย และ อาหารจะเป็นธุรกิจได้อย่างไร
เรื่องแรก วัฒนธรรมอาหารโลก จากคำถามที่ว่าอาหารที่ดีเป็นอย่างไร อาหารที่ดีคือเมื่อกินแล้วต้องอร่อยลิ้น กินแล้วต้องมีความสุข ในวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของ เจฟ สมิธ ที่กล่าวว่า ผู้ที่จะคิดค้นอาหารจานใหม่ ถ้าไม่รู้จักอาหารจานเก่าที่บรรพบุรุษเคยทำกินกันมาก่อนก็จะไม่ได้อาหารจานใหม่ที่ดี หรือที่เราเห็นได้ชัดคือวัฒนธรรมอาหารของชาวตะวันออกอย่างจีน ที่ถือว่าอาหารถือเป็นยาบำรุง และรักษาโรค
เรื่องที่สอง วัฒนธรรมอาหารของไทย ในแต่ละภาคหรือแต่ละท้องถิ่นก็ยังมีความแตกต่างกัน ถึงอย่างไรก็ตามคุณค่าและภูมิปัญญาของอาหารไทยที่มีทั้งสมุนไพร ผักต่างๆที่ล้วนแล้วแต่มีคุณค่าในการป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อย่างที่เรารู้กันดีว่าอาหารไทยบางชนิดก็ได้รับ อิทธิพลมาจากต่างประเทศจึงทำให้อย่างไทยของเรามีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
เรื่องสุดท้าย อาหารจะเป็นธุรกิจได้อย่างไรนั้น เนื่องจากวิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่มีเวลาเป็นปัจจัยที่จำกัด ผู้คนต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบแข่งกับเวลาอะไรที่อำนวยความสะดวกรวดเร็วให้จึงเป็นตัวเลือกแรก ๆ ด้วยเหตุนี้เองธุรกิจร้านอาหารจึงได้เกิดขึ้น เพื่อเป็นการตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้คนในวิถีโลกปัจจุบัน แต่การเปิดร้านอาหารไทยตามที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือต่างประเทศนั้น สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงคือเรื่องของคุณภาพ รสชาดของอาหารที่ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
จากทฤษฏี 5 K’s Innovation Capital ทุนทางนวัตกรรม Knowledge Capital ทุนทางความรู้ Cultural Capital ทุนทางวัฒนธรรม Emotional Capital ทุนทางอารมณ์ Creativity Capital ทุนทางความคิดสร้างสรรค์ ทั้งอาหารและวัฒนธรรมถือว่าเป็นสิ่งที่คู่กันอย่างเรื่อง 5 K’s ของอาจารย์จีระ เพราะเราต้องมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรื่องวัตถุดิบในแต่ละสถานที่นั้นมีไม่เหมือนกันจึงต้องมีการประยุกต์ แล้วปรับปรุงให้เข้ากับแต่ละพื้นที่ ปรับสูตรให้เหมาะสมกับแต่ละประเทศ โดยรัฐจะต้องเข้าไปช่วยส่งเสริมธุรกิจของคนไทย ที่ไปเปิดยังที่ต่างๆ ควรที่จะเข้มงวด ทั้งวัตถุดิบและเครื่องปรุง เพื่อที่จะให้ได้มาตรฐานรสชาติใกล้เคียงกัน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ควรละเลยไป ทั้งนี้ก็เพื่อคุณค่าและคุณภาพของอาหารที่จะได้ก้าวไปสู่ระดับโลกอย่างแท้จริงเรียน คุณวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และท่านผู้อ่านทุกท่าน
กระผมนายปริญญา รักพรหม นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสได้เรียนกับคุณวีระ โรจน์พจนรัตน์ ซึ่งปัจจุบันท่านก็ดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และในวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา ท่านก็ได้ให้เกียรติมาเป็นอาจารย์พิเศษ สอนในหัวข้อเรื่อง Food Science กับ บทบาทวัฒนธรรมไทย โดยเนื้อหาสาระที่เรียนในวันนั้นก็จะเริ่มตั้งแต่การศึกษาทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชนชาติต่างๆ ตามภูมิภาคทั่วโลก, วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวไทย ทั้ง 4 ภาค และ แนวทางการสร้างธุรกิจร้านอาหารให้เกิดเป็น
ดังเช่นที่ท่านปลัดได้บอกว่า “การกินอาหาร เพียงแค่เพื่ออิ่ม” นั้นยังไม่ถือว่าวัฒนธรรมการบริโภคอาหาร แต่ถ้าหากการกินอาหารเพื่อลิ้มรสถึงความอร่อย กินอาหารเพื่อความอิ่มเอมในคุณภาพอาหารที่ปรุงขึ้น นั้นจึงจะเรียกได้ว่าเป็น “เป็นวัฒนธรรมการกิน”การได้เรียนรู้ที่มาที่ไปของวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชนชาติต่างๆ รวมถึงชาวไทยเราด้วยนั้นก็เพื่อช่วยให้เราได้เกิดความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเราเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการดำรงชีวิตและการดำเนินธุรกิจ เพราะว่าปัจจุบันวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของแต่ละชนชาติไม่ได้ถูกจำกัดด้วยขอบเขตตามแผนที่โลก แต่การที่เกิดกระแสโลกาภิวัฒิน์ (Globalization) ขึ้นทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นทางด้านภาษา ดนตรี การแต่งกาย และการบริโภคอาหาร ก็รวมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ดังเช่น อาหารไทยของเรา ซึ่งถือว่าเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก ด้วยที่เป็นอาหารที่มีรสชาติที่อร่อย มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดดเด่นทั้งรสชาติและรูปลักษณ์ตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งนั่นก็สะท้อนถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ได้สร้างและสืบทอดมาถึงพวกเราทุกวันนี้
ด้วยปัจจุบันวิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม จึงเกิดขึ้นการบริโภคอาหารที่ไม่ต้องใช้เวลาในการปรุงแต่งมากและการให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้นจึงเป็นสิ่งที่คนในสังคมโดยเฉพาะในสังคมเมืองกำลังให้ความนิยม การได้รับความนิยมของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี ก็เนื่องด้วยเป็นวัฒนธรรมอาหารที่เน้นด้านสุขภาพและคุณภาพของอาหาร ประกอบกับการได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลของประเทศในการเผยแพร่วัฒนธรรม ดังนั้น จากที่ในสังคมปัจจุบันการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไปเป็นเน้นความทันสมัย เร่งรีบ และใช้ชีวิตสะดวกสบาย ทำให้มีการนิยมบริโภคอาหารนอกบ้านมากขึ้น การได้รับความนิยมของร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีในประเทศไทยจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลก เราในฐานะที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมอาหารไทยซึ่งเป็นอาหารที่มีความเป็นอาหารสุขภาพโดยตัวเองอยู่แล้วและได้รับความนิยมของชาวต่างชาติอยู่แล้ว จึงมีโอกาสที่จะสามารถสร้างและพัฒนาเป็นธุรกิจร้านอาหารขนาดใหญ่ทั้งในและนอกประเทศได้
โอกาสทางธุรกิจของอาหารไทย การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการบริโภคอาหาร โดยเฉพาะอาหารจานด่วนที่ให้บริการส่งถึงบ้านประกอบกับการดำรงชีวิตที่รีบเร่งมากขึ้นของคนไทยทำให้ไม่มีเวลาประกอบอาหารรับประทานเอง คนไทยจึงมีแนวโน้มที่จะบริโภคอาหารสำเร็จรูปมากขึ้นหรือเลือกที่บริโภคอาหารนอกบ้านมากขึ้น ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นโอกาสที่สำคัญทางธุรกิจสำหรับผู้ที่สนใจจะประกอบธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะความนิยมอาหารสุขภาพซึ่งยังมีโอกาสที่จะเติบโตอีกนาน
สรุป การศึกษาวัฒนธรรมทางด้านอาหารของประเทศต่างๆ ทำให้เราได้ทราบสาเหตุและเข้าใจถึงวัฒนธรรมหรือความต้องการบริโภคอาหารของแต่ละชนชาติได้ ปัจจุบัน Food Science มีบทบาทสำคัญต่อวัฒนธรรมการบริโภคของไทย เนื่องจากสามารถช่วยพัฒนาอาหารทั้งสูตรและคุณภาพได้ ดังนั้น Food Science จึงมีบทบาทไม่น้อยต่อการนำอาหารไทยก้าวไปสู่ครัวโลกได้ แนวโน้มของธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศก็น่าจะเพิ่มมากขึ้นด้วย
เรียนศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉันนางสาว อรุณี แซ่ตั้ง นักศึกษาปริญญาโท การจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ได้บรรยายในหัวข้อ ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน และได้ให้การบ้าน คือ ให้แสดงความคิดเห็นว่าความแตกต่างของผู้นำและผู้บริหารมีอะไรบ้าง ซึ่งในความคิดของดิฉัน คือ
1. เป้าหมายในการดำเนินงาน : ผู้บริหารจะมีเป้าหมายสูงสุดในการทำงานคือ กำไร ผลตอบแทนสูงสุดที่หน่วยงานหรือองค์กรจะได้รับจากการบริหารงานที่ทำให้ได้ประสิทธิภาพในการทำงานสูงที่สุด ส่วนผู้นำจะมีเป้าหมายสูงสุดในการดำเนินงานคือ ความสำเร็จต่อเนื่องและยั่งยืน
2. การบริหารจัดการคน : เนื่องจากผู้บริหารมีเป้าหมายสูงสุดคือกำไรขององค์กรดังนั้นการบริหารจัดการคนในองค์กรของผู้บริหารจะเน้นไปที่การพยายามดึงเอาประสิทธิภาพในการทำงานของคนในองค์กรออกมาให้ได้มากที่สุด หาวิธีการที่จะทำให้คนในองค์กรทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ แตกต่างจากผู้นำ ที่มีเป้าหมายคือการพัฒนาองค์กรให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจะต้องมีการพัฒนาและเจริญเติบโตไปพร้อมๆกัน ดังนั้นผู้นำจะเน้นการพัฒนาคน และสร้างความผูกพันระหว่างคนกับองค์กร เพื่อให้เกิดความรักในองค์กร ซึ่งจะทำให้คนอยู่กับองค์กรอย่างมีความสุข ซึ่งทั้งคนและองค์กรก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
3. วิสัยทัศน์ : วิสัยทัศน์ในการทำงานของผู้บริหารและผู้นำมีความแตกต่างกัน โดยที่ผู้บริหารจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับองค์กร ที่มีความจำเป็นในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงาน เพื่อนำพาองค์กรหรือบริษัทไปในทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ผู้นำจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าผู้บริหาร กล่าวคือ ผู้นำจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวางและกว้างไกลในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับองค์กรหรือไม่และต้องประมวลผล เพื่อหาความเชื่อมโยงในเรื่องต่างๆ เพื่อเป็นเข็มทิศที่จะนำพาคนและองค์กรให้เดินในทางที่ถูกต้อง และมั่นคงอย่างยั่งยืนต่อไป
ผู้นำ | ผู้บริหาร |
1. ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น | 1. ตัดสินใจเพียงผู้เดียว |
2. เกิดขึ้นได้ทุกโอกาส | 2. ต้องได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าของกิจการ |
3. มีบุคลิกภาพที่อบอุ่น | 3. มีบุคลิกภาพที่น่าเกร่งขาม |
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงลดารมภ์ และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวรสสุคนธ์ น้อยจินดา นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากที่ได้เรียนในวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2550 เวลา 9.00 – 12.30 น. เรื่อง ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นการเรียนครั้งสุดท้ายก่อนสอบ อาจารย์ให้ต่อยอดความคิดของอาจารย์ในเรื่องผู้นำและผู้จัดการต่างกันอย่างไร โดยอาจารย์ให้อ่านเพิ่มเติมจาก The 8th HABIT โดย Stephen R. Covey
ผู้นำ | ผู้บริหาร |
1. ด้วยการเลือกของตัวเอง2. มีได้ทุกระดับ3. การปลูกฝัง อบรม สั่งสมการเรียนรู้4. อยากเดินตาม | 1. ด้วยตำแหน่งหน้าที่2. ต้องอยู่ระดับสูง3. การศึกษาวิชาการ 4. ต้องเดินตาม |
คือ จากข้อ 1 ผู้นำ มาจากการเลือกของตัวเอง เมื่อเราค้นพบศักยภาพของตนเอง และนำศักยภาพนั้นมาใช้ อีกทั้งเรายังช่วยเป็นแรงผลักดันให้คนอื่นๆ ได้พบศักยภาพของตนเองอีกด้วย ถือเป็นผู้นำที่ดี ส่วนผู้บริหาร คือ มีตำแหน่งหน้าที่ที่ชัดเจน และต้องปฏิบัติงานตามตำแหน่งหน้าที่ เป็นผู้ประสานงานให้มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
ข้อ 2 ผู้นำสามารถมีได้ทุกระดับ คือทุกระดับของหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นระดับพนักงาน ระดับหัวหน้าฝ่าย แต่บุคคลที่จะเป็นผู้บริหารนั้นจะต้องอยู่ในระดับสูง ถ้าเปรียบเป็นพีระมิดผู้บริหารก็อยู่ที่ยอดพีระมิด ส่วนผู้นำมีได้ทุกระดับ
ข้อ 3 การเป็นผู้นำ เหมือนกับต้องได้รับการปลูกฝัง อบรมมาตั้งแต่เป็นเด็ก ทั้งจากครอบครัวและจากโรงเรียน มีการสั่งสมเรียนรู้การเป็นผู้นำ ผู้บริหารนั้นจะต้องมีการเรียนรู้วิชาการบริหารอย่างจริงจังและมีความเข้าใจ ผู้บริหารจึงจะประสบความสำเร็จได้ ข้อ 4 ผู้นำ คือ คนที่ผู้อื่นอยากเดินตาม มีความน่านับถือ และเป็นที่ไว้วางใจของคนอื่น แต่ผู้บริหาร คือคนที่คนอื่นต้องเดินตาม อาจเดินตามด้วยความเต็มใจหรือเดินตามเพราะจำเป็นแต่ไม่ได้เต็มใจ
จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันมีการพูดถึงเรื่องผู้นำมากขึ้น เนื่องจากผู้บริหารในองค์กรจะมีให้เห็นมากมาย แต่ภาวะผู้นำจะหาพบได้น้อยมากในแต่ละองค์กร ผู้นำที่มีคุณธรรม จริยธรรม ที่จะช่วยเพิ่มคุณค่า (Value) ให้กับองค์กร ซึ่งถ้าผู้บริหารไม่มีความเป็นผู้นำด้วยนั้น การบริหารทรัพยากรมนุษย์และธุรกิจให้ประสบความสำเร็จย่อมเป็นเรื่องยาก และขอขอบคุณท่านอาจารย์จีระเป็นอย่างสูงที่สละเวลามาให้ความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ ในการเรียนวิชานี้ อีกทั้งเลี้ยงอาหารพวกเราในวันสุดท้ายของการเรียน ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
กราบเรียนอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ , อาจารย์ ยม และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาว วสพร บุญสุข นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2550 ได้เรียนกับอาจารย์จีระ เป็นอาทิตย์สุดท้ายในการเรียนในรายวิชา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในหัวข้อ ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน ได้คำถามว่า “ คุณลักษณะและบทบาทของ ผู้นำ (Leader) กับผู้บริหาร (Manager) แตกต่างกันอย่างไร ” ดิฉันมีความคิดเห็นเพิ่มเติม 3 ประเด็นดังนี้
ผู้นำ (Leader) | ผู้บริหาร (Manager) |
เน้นที่คน | เน้นที่ระบบ |
Trust | ควบคุม |
ระยะยาว | ระยะสั้น |
What, Why | When, How |
มองอนาคต ขอบฟ้า/ภาพลักษณ์ | กำไร/ขาดทุน ทุก 3 เดือน |
เน้นนวัตกรรม | จัดการให้สำเร็จ มีประสิทธิภาพ |
Change | Static |
มองคนภายในองค์กร | มองคนภายนอกองค์กร |
คุณสมบัติและความสามารถ | ตำแหน่งหน้าที่ในการทำงาน |
สร้างแรงจูงใจ | สร้างความกดดัน |
ประเด็นที่หนึ่ง
ผู้นำ : มองคนภายในองค์กร คือ ผู้นำจะให้ความสำคัญของคนภายในองค์กร เน้นการพัฒนาให้คนในองค์กรมีความสามารถในการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อที่จะทำให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย ผู้บริหาร : มองคนภายนอกองค์กร คือ ผู้บริหารจะให้ความสำคัญของคนภายนอกองค์กร ตอบสนองความต้องการของคนภายนอกองค์กร เพื่อที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
ประเด็นที่สอง
ผู้นำ : คุณสมบัติและความสามารถ คือ ผู้นำเป็นคุณสมบัติและความสามารถเฉพาะคน จะสร้างและพัฒนาคนให้ทำงาน เพื่อจะทำให้งานประสบความสำเร็จ ผู้บริหาร : ตำแหน่งหน้าที่ในการทำงาน คือ เป็นตำแหน่งหน้าที่ในการทำงานที่จะบริหารจัดการคนในองค์กรทำงานให้ประสบความสำเร็จประเด็นที่สาม
ผู้นำ : สร้างแรงจูงใจ คือ จะสร้างแรงจูงใจให้คนในองค์กรทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ และดึงศักยภาพของแต่ละคนออกมา ทำให้งานประสบความสำเร็จ และคนในองค์กรเกิดความภาคภูมิใจ มีความสุขในการทำงานผู้บริหาร : สร้างความกดดัน คือ จะสร้างความกดดันให้กับคนในองค์กรทำงาน เพื่อที่จะให้งานความประสบความสำเร็จ ทำให้คนในองค์กรเกิดความเครียด และไม่มีความสุขในการทำงาน
สุดท้ายนี้ดิฉันได้รับความรู้เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในเรื่องภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน การที่จะเป็นผู้นำได้จะต้องมีการเรียนรู้ กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขอขอบพระคุณอาจารย์จีระ เป็นอย่างสูง ที่ได้มาสอนให้ดิฉัน รู้จักการเรียนรู้แบบใหม่ สังคมการเรียนรู้ จากความจริง และดิฉันสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน
นางสาววสพร บุญสุขกราบเรียนอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ , อาจารย์ ยม และท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาว วสพร บุญสุข นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2550 ได้เรียนกับอาจารย์จีระ เป็นอาทิตย์สุดท้ายในการเรียนในรายวิชา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในหัวข้อ ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน ได้คำถามว่า “ คุณลักษณะและบทบาทของ ผู้นำ (Leader) กับผู้บริหาร (Manager) แตกต่างกันอย่างไร ” ดิฉันมีความคิดเห็นเพิ่มเติม 3 ประเด็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่งผู้นำ : มองคนภายในองค์กร คือ ผู้นำจะให้ความสำคัญของคนภายในองค์กร เน้นการพัฒนาให้คนในองค์กรมีความสามารถในการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อที่จะทำให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย
ผู้บริหาร : มองคนภายนอกองค์กร คือ ผู้บริหารจะให้ความสำคัญของคนภายนอกองค์กร ตอบสนองความต้องการของคนภายนอกองค์กร เพื่อที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมายประเด็นที่สอง
ผู้นำ : คุณสมบัติและความสามารถ คือ ผู้นำเป็นคุณสมบัติและความสามารถเฉพาะคน จะสร้างและพัฒนาคนให้ทำงาน เพื่อจะทำให้งานประสบความสำเร็จ
ผู้บริหาร : ตำแหน่งหน้าที่ในการทำงาน คือ เป็นตำแหน่งหน้าที่ในการทำงานที่จะบริหารจัดการคนในองค์กรทำงานให้ประสบความสำเร็จ
ประเด็นที่สาม
ผู้นำ : สร้างแรงจูงใจ คือ จะสร้างแรงจูงใจให้คนในองค์กรทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ และดึงศักยภาพของแต่ละคนออกมา ทำให้งานประสบความสำเร็จ และคนในองค์กรเกิดความภาคภูมิใจ มีความสุขในการทำงาน
ผู้บริหาร : สร้างความกดดัน คือ จะสร้างความกดดันให้กับคนในองค์กรทำงาน เพื่อที่จะให้งานความประสบความสำเร็จ ทำให้คนในองค์กรเกิดความเครียด และไม่มีความสุขในการทำงานผู้นำ (Leader) |
ผู้บริหาร (Manager) |
เน้นที่คน | เน้นที่ระบบ |
Trust | ควบคุม |
ระยะยาว | ระยะสั้น |
What, Why | When, How |
มองอนาคต ขอบฟ้า/ภาพลักษณ์ | กำไร/ขาดทุน ทุก 3 เดือน |
เน้นนวัตกรรม | จัดการให้สำเร็จ มีประสิทธิภาพ |
Change | Static |
มองคนภายในองค์กร | มองคนภายนอกองค์กร |
คุณสมบัติและความสามารถ | ตำแหน่งหน้าที่ในการทำงาน |
สร้างแรงจูงใจ | สร้างความกดดัน |
สุดท้ายนี้ดิฉันได้รับความรู้เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในเรื่องภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน การที่จะเป็นผู้นำได้จะต้องมีการเรียนรู้ กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขอขอบพระคุณอาจารย์จีระ เป็นอย่างสูง ที่ได้มาสอนให้ดิฉัน รู้จักการเรียนรู้แบบใหม่ สังคมการเรียนรู้ จากความจริง และดิฉันสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน…..นางสาววสพร บุญสุข
กราบเรียน ท่าน อ. ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์,ทีม chiraacademy และท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ
ดิฉันนางสาวสุภาภรณ์ นำรุ่งโรจน์ นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันที่ 16/9/07 ได้มีโอกาสได้เรียนวิชา HRM กับท่านอาจารย์จีระ ในหัวข้อเรื่อง “ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน” และได้เรียนกับอาจารย์ในวิชาHRM เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว และอาจารย์ได้ให้นัศึกษาแสดงความคิดเห็นของ Leader และ manager ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ตามความคิดเห็นของดิฉันสามารถแยกได้เป็นประเด็น ดังนี้Leader | Manager |
- ผลประโยชน์ คือ ส่วนรวม | - ผลประโยชน์ คือ องค์กร |
- ใกล้ชิดหรือมีความเป็นกันเอง | - ห่างไกล หรือ เป็นทางการ |
- out put คือ ความภูมิใจ | - out put คือ ความสำเร็จ |
เรียน อ.จีระ , ทีมงาน Chira Academy และผู้อ่านทุกท่าน ผม นายวรพจน์ สู่เสน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันที่ 16/9/50 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเรียนกับอ.จีระ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งวันนี้ถ้าตามปกติแล้วจะเป็น class สุดท้ายที่ อ.จีระจะมาสอนพวกผม ซึ่งหัวข้อที่เรียนกันวันนี้คือเรื่อง " ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน " ความหมายของผู้นำ คือ ผู้ที่ทำให้คนอื่นเก่งและนำองค์กร (ทั้ง macroµ ) ไปสู่ความสำเร็จ หรือหลีกเลี่ยงความล้มเหลว อ.จีระได้สอนให้เห็นถึงความแตกต่างของผูนำ กับผู้จัดการว่าแตกต่างกันอย่างไรไว้ 7 ประการ ซึ่งพอทำให้ผมเห็นภาพได้ และอ.จีระได้ให้พวกผมต่อยอดความเข้าใจนี้ ลงใน blog เพื่อให้คนอื่นได้รับทราบด้วย ซึ่งผม พิจารณาแล้ว ได้สิ่งที่เพิ่มเติมดังนี้
ผู้นำ ผู้จัดการ
1.เน้นที่คน 1.เน้นระบบ
2.Trust 2.ควบคุม
3.ระยะยาว 3.ระยะสั้น
4.What , Why 4.When , How
5.มองอนาคต/ภาพลักษณ์ 5.กำไร/ขาดทุน
6.เน้นนวัตกรรม 6.จัดการให้สำเร็จ
7. Change 7.Static
8.เสียสละ 8.ทำเพื่อผลประโยชน์
9.กล้าเสี่ยงกล้าตัดสินใจ 9.เน้นความปลอดภัย
10.วางแผน/ป้องกัน 10.แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ข้อ 8. ผู้นำที่ดีต้องมีความเสียสละ ปรารถนาที่จะเห็นลูกน้องได้ดี ไม่ใช่ทำไปตามหน้าที่โดยมีเพียงผลประโยชน์เป็นตัวกำหนดเท่านั้น
ข้อ 9. ผู้นำต้องมีความกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ ไม่ใช่ทำไปเรื่อยๆตามปกติประจำวันไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ แต่การตัดสินใจที่ผู้นำทำนั้นย่อมต้องยืนอยู่บนหลักของเหตุผลและความถุกต้อง
ข้อ 10. ผู้นำที่ดี จะมี vision ที่ดี มองการไกล วางแผนไว้ล่วงหน้า ป้องกันสิ่งต่างๆที่คิดว่าจะเป็นปัญหาไว้ และคิดหนทางแก้ไขไว้ก่อนที่ปัญหาจะเกิด ไม่ใช่ พอมีปัญหาก็เคลียร์กันเป็นเรื่องๆไปวันๆ
ผู้นำเองก็มีผู้นำอยู่หลายประเภท เช่น ผู้นำทางการเมือง , ผู้นำทางธุรกิจ , ผู้นำทางทหาร เป็นต้น ซึ่งผู้นำแต่ละประเภทนั้น ย่อมต้องการความสามารถที่โดดเด่น แตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ผมขอให้ผู้นำทุกประเภทมีเหมือนกัน คือ ศีลธรรม จริยธรรม เพียงแค่ ปรารถนาดีต่อผู้อื่น ละอายและเกรงกลัวต่อบาป เพียงเท่านี้ความวุ่นวายต่างๆคงไม่เกิดขึ้นทั้งในบ้านเมืองของเรา และโลกใบนี้
ผมขออัญเชิญกระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช มากล่าว ซึ่งผมเห็นว่าเหมาะกับหัวข้อนี้มากคือ " บ้านเมืองเรานั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี การทำให้บ้านเมืองปกติสุขนั้น หาใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากอยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือนร้อนวุ่นวายได้ " ถ้าผมกล่าวผิดประการใดขออภัยด้วยนะครับ
ท้ายสุดนี้ สิ่งที่อ.จีระได้ทิ้งให้กับพวกผมไว้ คือ "เบ็ดตกปลา" ซึ่งพวกผมจะใช้ได้ตลอดชีวิต นั้นคือการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ผมขอขอบคุณ อ.จีระ และทีมงาน Chira Academy ทุกคน ที่เสียสละเวลาอันมีค่ามาสอนพวกผมจนจบ couse นี้ พวกผมจะนำ แนวความคิดในการเรียนรู้ที่ อ.จีระได้ถ่ายทอดไว้ มาพัฒนาตนเองและเพื่อเป็นการพัฒนาประเทศชาติต่อไป
ขอบคุณครับ
วรพจน์
ผู้นำ (Leader) | ผู้บริหาร (Manager) |
Empower | Centralize |
EQ | IQ |
Confident | Ego |
ผู้นำ | ผู้บริหาร |
เน้นที่ คน | เน้น ระบบ |
Trust | ควบคุม |
ระยะยาว | ระยะสั้น |
What Why | When How |
มองอนาคต ขอบฟ้า / ภาพลักษณ์ | กำไร / ขาดทุน ทุก 3 เดือน |
เน้นนวัตกรรม | จัดการให้สำเร็จ มีประสิทธิภาพ |
Change | Static |
ใช้จิตวิทยา | ใช้ทฤษฎี |
คิดและสนใจในเรื่องเล็ก | คิดและสนใจแต่เรื่องใหญ่ |
เน้น พฤติกรรม | เน้น นิติกรรม |
ตัวอย่างของผู้นำที่ดีทีสุดที่นึกถึง ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดช(รัชกาลที่9) ซึ่งหลายๆท่านคงจะยอมรับในพระปรีชาสามารถในทุกๆด้านซึ่งไม่มีผู้ใดที่จะปฏิเสธได้
ส่วนผู้นำทางด้าน food science ทีดีนั้น ควรมีลักษณะที่เพิ่มจากผู้นำด้านอื่นๆคือ ควรจะต้องมีความรู้ในด้านอาหารและวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมด้วยเพราะอาหารมีอายุสั้นและเน่าเสียได้ง่าย(สามารถทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้) หากไม่อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม และหากมีการจัดการที่มากเกินไป เช่นการให้ความร้อนสูงมาก ย่อมจะเป็นผลทำให้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีสูญสลายไปอย่างน่าเสียดายเช่นกัน ดังนั้นในผู้นำด้าน food science จึงต้องลักษณะ การทำงานที่ว่องไว รวดเร็ว ประกอบด้วย สุดท้ายสุดนี้ ต้องขอขอบคุณ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ , อาจารย์ท่านอื่นๆ ทุกท่านและ ทีมงาน ที่ได้เสียสละเวลาอันมีค่าเข้ามาให้ความรู้กับพวกเราด้วยดีตลอดเวลาเรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และทีมงานทุกท่าน
กระผม นาย พัฒนา ปลอดภัยงาม นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เรื่องของความแตกต่างระหว่างผู้นำกับผู้บริหาร
ตามที่อาจารย์ได้ให้ความนั้นเป็นประโยชน์ต่อการทำงานเป็นอย่างยิ่ง และได้ให้เสนอความแตกต่างของผู้นำกับผู้บริหารนั้น มีดังนี้
ผู้บริหาร ผู้นำ
- หน้าที่ - สถานการณ์
- ผลประโยชน์ - อุดมการณ์
- ทำงานตามระบบ - มีความคิดสร้างสรรค์
ผู้บริหาร
นั้นเป็นผู้ที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบตามหน้าที่การที่ได้รับมอบหมาย และได้รับผลประโยชน์จากการทำงานนั้น ๆ โดยจะได้รับค่าตอบเป็นเงินเดือนหรือผลกำไร และงานต่างๆที่ทำนั้นต้องเป็นไปตามระบบที่ทำมาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงได้ไม่มาก
ผู้นำ
นั้นอาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์หรือสภาพที่ต้องมีคนเป็นคนริเริ่ม โดยความสมัครใจ โดยในงานที่ทำนั้นต้องมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่และตั้งใจจริงที่จะทำงานนั้น ให้สำเร็จ และเป็นผู้นำหลังการปฏิบัติการนั้น เช่น หาตลาดใหม่และผูกขาดการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในตลาดนั้นๆ มีความคิดที่แปลกใหม่ก้าวนำคนอื่น ๆ โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเน้นความแตกต่าง
ท้ายนี้ ขอขอบพระคุณท่านศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และทีมงานทุกท่านที่มาให้ความรู้ในช่วงภาคการศึกษาที่ผ่านมา สร้างความคิดในมุมมองใหม่ ขอบคุณมากครับ
ผู้นำ | ผู้บริหาร |
1. ให้โอกาสคนแสดงความสามารถตามความคิด2. ยอมรับความผิดพลาดของตนเองโดยการเรียนรู้จากผู้อื่น ทั้งจากผู้บังคับบัญชา เพื่อน และใต้บังคับบัญชา และปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น3. รู้จักที่ยอมรับความผิดพลาดของผู้อื่น & ช่วยแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งที่ช่วยกำหนดแนวทางพัฒนาการทำงานเพื่อลดความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต4. เน้นพัฒนาตนเองให้ได้ดีที่สุด ก่อนจะพัฒนาผู้อื่น | 1. เน้นปฏิบัติตามคำสั่ง 2. ไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง 3. ตำหนิติเตียน หรืออาจใช้บทลงโทษ ซึ่งเป็นการบั่นทอนกำลังใจผู้ร่วมงาน และอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงด้วย 4. เน้นพัฒนาผู้อื่นและสิ่งรอบตัวมากกว่าที่พัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถมากพอที่จะพัฒนาผู้อื่นได้ |
ผู้นำ (Leader) | ผู้บริหาร (Manager) |
เน้นที่คน | เน้นที่ระบบ |
Trust | ควบคุม |
ระยะยาว | ระยะสั้น |
What, Why | When, How |
มองอนาคต ขอบฟ้า/ภาพลักษณ์ | กำไร/ขาดทุน ทุก 3 เดือน |
เน้นนวัตกรรม | จัดการให้สำเร็จ มีประสิทธิภาพ |
Change | Static |
Ask | Tells |
Opens Suggestions | Knows the answers |
Followers | Subordinates |
เนื่องจากในวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2550 ดิฉันได้เรียนวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เรื่องภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลง และได้แลกเปลี่ยนความรู้ แสดงความคิดเห็นในด้านสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ ตารางแสดงความแตกต่างผู้นำและผู้บริหาร
ผู้นำ | ผู้บริหาร |
1. คุณธรรม2. เป้าหมายที่ชัดเจน3. วิสัยทัศน์ที่กว้าง4. ลงมือปฏิบัติก่อนผู้อื่น | 1. เน้น output & productivity เป็นหลัก2. เป้าหมายไม่แน่นอนขึ้นอยู่ผลตอบแทน3. วิสัยทัศน์ไม่ครอบคลุมกับเป้าหมาย4. รอเวลาเมื่อมาถึง |
จากตารางแสดงให้เห็นว่า การที่จะเป็นผู้นำจะมีความยั่งยืนกว่าเป็นผู้จัดการ เพราะการที่จะทำสิ่งใดนั้นไม่ใช่เป็นแค่การตัดสินใจชั่วคราว เราจะต้องมองไปถึงอนาคต และนำข้อมูลที่ผ่านมาวิเคราะห์ จึงจะได้การตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม
ดังนั้นในการพัฒนาตนเองและองค์กร ผู้นำจึงเป็นบุคคลสำคัญที่จะทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนของกิจกรรมทุกกิจกรรมในองค์กรนั้นๆ ซึ่งถ้าองค์กรใดมีผู้นำที่มีความสามารถก็จะทำให้องค์นั้นน่าอยู่และพร้อมที่จะเติบโตได้ตลอดเวลา ในทางกลับกันถ้าองค์กรไม่มีผู้นำก็จะทำให้องค์กรนั้นหยุดชะงัก และไม่สามารถเติบโตได้
ในปัจจุบันบุคคลที่เป็นผู้นำในประเทศไทยนั้นหายากมาก ซึ่งก็จะมีแต่บุคคลรุ่นเก่าๆ ซึ่งบุคคลรุ่นใหม่ยังไม่ค่อยเจอเท่าไหร่นัก ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม เพื่อพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น
สุดท้ายนี้ดิฉันขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง ที่ได้ให้ทั้งความรู้และประสบการณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ที่ทำให้ดิฉันได้นำไปใช้พัฒนาตัวเองและสังคมให้ดีขึ้น
เรียน ศ.ดร.จีระหงส์ หงส์ลดารมณ์ ทีมงาน Chira Academy และผู้ที่ติดตามอ่าน Blog ของพวกเรานักศึกษาป.โท ลาดกระบังทุกท่านสำหรับวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2550 เป็นวันปิดคอร์สการเรียนในวิชา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อาจารย์จีระได้สร้างความคิดใหม่ให้กับผมท่านได้กระตุ้นให้เกิดความอยากเรียนรู้ ทำให้เกิดการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ให้กับพวกเรา และหลังจากที่เราได้มีเบ็ดตกปลาที่จะใช้ในการตกปลา ก็คือความรู้จากทะเลที่กว้างใหญ่แล้วเรายังต้องปลูกฝังให้ผู้อื่นในสังคมของเราได้เกิดความอยากเรียนรู้ ใฝ่หาความรู้เพื่อพัฒนาตัวเองและพัฒนาชุมชนและพัฒนาประเทศชาติต่อไป
ในชั่วโมงเรียนอาจารย์จีระได้กล่าวถึงเรื่อง “ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน” และสิ่งที่สมควรมีในตัวผู้นำในทุกระดับ และยังได้ให้คิดว่าจาก 7 ข้อที่อาจารย์ได้ยกตัวอย่างสมควรจะเพิ่มรายละเอียดส่วนใดเพิ่มเติมลงไปโดยให้ศึกษาจากหนังสือเรื่อง The 8th HABIT โดยมี Stephen R. Covey เป็นผู้เขียน สิ่งที่ผมคิดเพิ่มเติมหลังจากการหาข้อมูลมีดังนี้
ผู้นำ (Leadership) |
ผู้บริหาร (Manager) |
1. ทุกคนเป็นศูนย์กระจายความสามารถ | 1. ตัวเองเป็นศูนย์กลาง |
2. เข้าใจ-เข้าถึง | 2. เรื่องงานเท่านั้น |
3. กล้าคิดกล้าทำเพื่อสิ่งที่ดีกว่า | 3. เชื่องช้าไม่กล้าทำหากไม่ใช่สิ่งที่เคยทำ |
ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้1. ผู้บริหารมักจะใช้ความมีอำนาจสั่งการยึดถือว่าตนเองได้รับมอบหมายงาน จึงมักใช้ความคิดตนเองในการตัดสินใจ แต่ผู้นำย่อมเห็นความสามารถของทุกคนในทีมงาน ทุกคนสามารถทำได้หากมีโอกาสและการได้รับคำแนะนำที่ดีถูกทิศถูกทางเพราะจะทำให้งานมีความคล่องตัวรวดเร็ว2. ผู้บริหารมักจะใช้เวลาแต่ในเวลางานในการพูดคุยสั่งงานควบคุมเวลาการส่งงาน จึงไม่เข้าใจในปัญหาเรื่องส่วนตัวความคับข้องใจของลูกน้อง การทำงานจึงเป็นไปแบบความเกรงกลัว ไม่ได้คุยปัญหาที่ทำให้มาตรฐานการทำงานไม่ดี ส่วนผู้นำจะใช้เวลาในการเข้าถึงจิตใจของลูกน้อง สอบถามปัญหาพูดคุยทำความรู้จัก ให้เกิดบรรยากาศที่สบายในการทำงาน เข้าใจซึ่งกันและกันทำให้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ สามารถแก้ได้ถูกจุด3. มองหาโอกาสจากข้อมูลที่มี และคว้าอย่างรวดเร็ว เพื่อความพัฒนาขององค์กร นี่คือผู้นำอีกทั้งยังต้องปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลัง ส่วนผู้บริหารมักจะรีรอการก้าวไปหาโอกาสใหม่ๆเพราะไม่ตรงกับสิ่งที่เคยทำ ระบบเดิม เลยใช้เวลาในการคิดตัดสินใจช้ามักทำให้เสียโอกาส สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่อาจารย์จีระ อาจารย์ทุกๆท่านและทีมงาน chira academy ที่ได้ให้ความรู้ สิ่งที่เรามองข้าม แต่สำคัญในการทำให้ตัวเราพัฒนา ให้ความรู้เพิ่ม ตามทันโลกที่หมุนเร็วอย่างเช่นปัจจุบัน อาจารย์จีระยังสอนให้รู้จักให้สร้างการพัฒนาทางความคิดแก่ผู้คนอื่นในประเทศไทยให้มองเห็นความสำคัญของการหาความรู้และนำความรู้ที่มีมาใช้ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผมจะนำความรู้ที่ได้จากอาจารย์ทุกท่านมาใช้ในการพัฒนาตัวเอง และผู้คนรอบข้างในสังคมครับ
เรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์, อาจารย์ทุกท่านและผู้ติดตามอ่าน Blog นี้ทุกท่าน ครับ
ผมนายปริญญา รักพรหม นักศึกษา ป.โท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
จากการเรียนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา ในเรื่อง “ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน” ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่อาจารย์ได้มาถ่ายทอดวิชาให้ความรู้เองก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นเรื่องที่ปัจจุบันเป็นสิ่งที่หลายๆ หน่วยงาน หลายๆ องค์กรกำลังค้นหาและบ่มเพาะกันอยู่ สำหรับประเด็นที่อาจารย์ให้ เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผู้นำและผู้บริหารเพิ่มเติม โดยให้ยกตัวอย่าง 3 ประเด็น ในมุมมองของผมคิดว่าน่าจะมีเพิ่มเติม คือ
ผู้นำ | ผู้บริหาร |
เน้นที่คน | เน้นที่ระบบ |
Trust | ควบคุม |
ระยะยาว | ระยะสั้น |
What, Why | When, How |
มองอนาคต ขอบฟ้า/ภาพลักษณ์ | กำไร/ขาดทุน ทุก 3 เดือน |
เน้นนวัตกรรม | จัดการให้สำเร็จ มีประสิทธิภาพ |
Change | Static |
เป็นโดยคุณสมบัติเฉพาะตัว | เป็นโดยตำแหน่งหน้าที่ |
มองภาพกว้าง เห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น | จำกัดอยู่เฉพาะหน้าที่ที่ต้องทำ |
เป็นผู้ชี้นำ | เป็นผู้ออกคำสั่ง |
จากที่เพิ่มเติมเข้าไป 3 ข้อ อธิบายได้ว่า
ข้อ1 นั้นบ่งบอกได้ว่า “ผู้นำนั้นเกิดจากความสามารถ คุณลักษณะเด่นเฉพาะตัว ที่มีอยู่ในสายเลือด” ขณะที่ “ผู้บริหาร เป็นเพียงบทบาทหน้าที่ที่ได้รับจากองค์กร”
ข้อ2 ผู้นำจะมีมุมมองที่กว้างกว่ามักจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองข้ามและไม่คาดคิดว่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญต่อองค์กร ขณะที่ผู้บริหารจะมีมุมมองที่แคบลงมากกว่าคือจะถูกจำกัดด้วยหน้าที่ที่ได้รับจากองค์กร เช่น จะต้องทำกำไรเพิ่มขึ้นทุกๆ เดือน ลดต้นทุนการผลิตให้ได้ 10% จากเดิม ของปีที่ผ่านมา เป็นต้น
ข้อ3 ผู้นำมักจะเป็นผู้ชี้นำแนวทางหรือวิถีทางที่ดีที่สุดให้กับองค์กรซึ่งจะต่างกับผู้บริหารที่เน้นไปที่การออกคำสั่งว่าจะต้อง จะต้อง จะต้อง...ทำให้ได้ตามที่วางแผนไว้
ดังนั้น ทั้ง 3 ข้อ ที่ผมเพิ่มเติมเข้ามาคิดว่าน่าจะช่วยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของผู้นำและผู้บริหารได้ ถึงแม้ในบางครั้งคนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าทั้งสองอย่างมีจะความคล้ายคลึงแต่ถ้าพิจารณาดีๆ ก็จะเห็นถึงความแตกต่างที่แอบแฝงอยู่
ท้ายนี้ ผมก็ต้องขอขอบพระคุณ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์, อาจารย์ทุกท่าน และ พี่ๆ ทีมงาน ที่ได้เสียสละเวลามาให้ความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ให้กับพวกเรา ถึงแม้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เรียนกับอาจารย์แต่ก็จะยังติดตามผลงานและ Blog ของ chiraacademy ต่อไปครับ
ผู้นำ (Leader) | ผู้บริหาร (Manager) |
เน้นที่คน | เน้นที่ระบบ |
Trust | ควบคุม |
ระยะยาว | ระยะสั้น |
What, Why | When, How |
มองอนาคต ขอบฟ้า/ภาพลักษณ์ | กำไร/ขาดทุน ทุก 3 เดือน |
เน้นนวัตกรรม | จัดการให้สำเร็จ มีประสิทธิภาพ |
ผู้นำ ( leader ) ในปัจจุบันมีการพูดถึงกันอยู่มากมาย เช่น ผู้นำประเทศ ผู้นำทางการเมือง ผุ้นำทางทหาร เป็นต้น แต่ละตำแหน่งหน้าที่ล้วนแล้วแต่จะต้องมีคุณสมบัติทั่ว ๆไป คือ ผู้นำจะต้องมีบุคลิกที่น่าเชื่อถือเป็นที่ไว้วางใจ มีความสมเหตุสมผล เป็นกันเอง เน้นนำในเชิงความคิด ริเริ่มพัฒนาคนเป็นหลัก มีทักษะในการถ่ายทอดความรู้ การปลูกผังและการสร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับลูกน้องของตนได้ มีความเสียสละต่อการทำงาน ร่วมทำงานเป็นทีม แชร์ความรู้และข้อคิดเห็นของทุกฝ่าย มีการวางแผนการทำงาน และสร้างความยืดหยุ่นต่อระบบงาน มองอนาคตของเพื่อนร่วมงานทุกระดับ และมองอนาคตขององค์กรด้วย รู้จักเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว อาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน ผู้นำจะต้องมีความกล้าหาญ และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรใหม่ ๆ กล้าเผชิญปัญหาและหาแนวทางแก้ไข และสุดท้ายเมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็จะคิดว่าเขาและลูกน้องร่วมกันทำให้เกิดผลงานนั้น ๆ ขึ้นมา ( win – win )ผู้บริหาร ( manager ) ผุ้บริหารหรือผู้จัดการ คือ จัดการทุกอย่างตามระบบที่วางไว้ ให้ความสำคัญกับระบบการทำงานมากกว่า ควบคุมขั้นตอนการทำงานทุก step ไม่มีความยืดหยุ่นต่อเหตุการณ์ทำงาน ทำตามหน้าที่ของตัวเองและจัดการบริหารงานโดยไม่ต้องคำนึงถึงความคิดเห็นของผู้อื่น มี Ego สูง การทำงานจะเน้นเป้าหมายเป็นหลัก นึกถึงผลประโยชน์ส่วนตน (องค์กร) เพื่อที่จะให้องค์กรก้าวหน้าทัดเทียมคู่แข่งได้ หรือดีกว่าคู่แข่ง มุ่งแสวงหาแต่ผลกำไรเป็นที่ตั้ง พัฒนาผลงานมากกว่าจิตใจ มองอนาคตของตนเองที่จะก้าวหน้าเหนือผู้อื่น ตัดสินใจโดยใช้ทฤษฎีมาเป็นตัวกำหนดแนวความคิด ไม่เป็นกันเองกับลูกน้องเข้าหายาก มีพิธีรีตองในการเข้าพบ และสุดท้ายเมื่อองค์กรประสบความสำเร็จเขาจะคิว่าเขาคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น ๆ จะเห็นได้ว่าคุณลักษณะของผู้นำและผู้บริหารนั้นมีความแตกต่างกันในทางปฏิบัติตน ซึ่งผู้บริหารนั้นจะต้องมีความเป็นผู้นำด้วยเพื่อที่จะนำทีมบริหารงานขององค์กรให้สำเร็จ เกิดผลกำไร และได้ผลตอบแทนทั้งสองฝ่ายได้โดยที่ไม่ต้องออกแรงมากด้วย สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณท่านศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ท่านอาจารย์ผู้ช่วยสอนทุกท่าน เป็นอย่างสูง ที่ได้สละเวลาอันมีค่ามาสร้างการเรียนรู้และได้ให้เบ็ดตกปลาแก่ดิฉันและเพื่อน ๆ ได้มอง HR ในภาพรวมกว้างขึ้นให้มีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง แสวงหาสิ่งใหม่ ไม่หยุดนิ่ง และที่สำคัญให้เรานึกถึงสังคมส่วนรวมบ้าง และขอขอบคุณทีมงาน chira academy ผู้ช่วยอาจารย์ ( คุณนะ ,คุณเอ้, คุณเอ ) เป็นอย่างมากที่อำนวยความสะดวกในการเรียนในคอร์สนี้ด้วยดีตลอดมา ดิฉันจะนำเอาประสบการณ์ในการเรียนรู้และทฤษฎีที่ได้ในครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวันต่อไปด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
กราบเรียนอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ , ท่านอาจารย์ทุกๆท่าน และผู้อ่านทุกท่าน ดิฉันอรนุช หล่ำสกุลไพศาล นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2550 เป็นอาทิตย์สุดท้ายในการเรียนในรายวิชา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในหัวข้อ ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน กับ อาจารย์จีระ จากคำถามว่า “คุณลักษณะและ บทบาทของ ผู้บริหาร (Manager) กับ ผู้นำ (Leader) แตกต่างกันอย่างไร”
ผู้บริหาร มองคนภายนอกองค์กร ตอบสนองความต้องการของคนภายนอกองค์กร เพื่อที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย สิ่งที่ต้องยอมรับคือ ผู้บริหารเป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจอย่างเป็นทางการ การจัดการก็จะเน้นในการควบคุมสิ่งของ และผู้คน โดยมีลำดับการบังคับบัญชา มีระเบียบขั้นตอน ปฏิบัติงานซับซ้อนยุ่งยาก มีการ Motivation สร้างจากภายนอกอาศัยเทคนิคการประเมินผลแบบดั้งเดิม อาศัยรายงานการเงินในระยะสั้นเป็นหลักใช้การสื่อสารจากระดับบนลงระดับล่าง งบประมาณก็จะลงมาจากระดับสูงลงสู่ระดับล่าง ถือว่าคนเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน
ส่วน ผู้นำ เน้นการพัฒนาให้คนในองค์กรมีความสามารถในการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อที่จะทำให้องค์กรบรรลุสำเร็จตามเป้าหมาย ในเรื่องนี้สิ่งผู้นำต้องทำมีอยู่ด้วยกัน 4 เรื่อง คือ
ในตามความคิด ทุกคนในองค์กรสามารถที่จะเป็นผู้นำได้ แต่คนที่จะเป็นผู้นำที่ดีนั้นต้องมีเรื่อง Ethical Capital หรือทุนใน 8K’s และ ทฤษฏี 3 วงกลมของ อ.จีระ เป็นแกนกลางในการเดินตาม วิสัยทัศน์ (กำหนดทิศทางตาม Context) จึงเดินเข้าไปสู่ วินัย (ปรับแนวทางให้สอดคล้อง) โดยพิจารณาจาก Skills และ Competencies แล้วจึงปลดปล่อยศักยภาพ พร้อมทั้งสร้างMotivation
สุดท้าย ได้สังเกตตัวเองเหมือนกันว่าเมื่อเรียนวิชา HRM กับ อ.แล้ว รู้สึกมีไฟในตัวขึ้นมา ตัวเองดีขึ้นมากๆ จากแรกที่สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรเลย มาเรียนแบบ มึนมึน ก็ว่าได้ จึงขอกราบขอบพระคุณ อ.จีระ, อ.ทุกท่าน รวมถึงพี่เอ้ พี่นะ ที่ทำให้รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาเรียน
ข้อ | ผู้นำ | ผู้จัดการ |
1 | เน้นที่คน | เน้นที่ระบบ |
2 | Trust | Control |
3 | ระยะยาว | ระยะสั้น |
4 | What ,Why | When , How |
5 | มองอนาคต ขอบฟ้า/ภาพลักษณ์ | กำไร ขาดทุนทุก 3 เดือน |
6 | เน้นนวัตกรรม | จัดการให้สำเร็จ มีประสิทธิภาพ |
7 | change | static |
8 | ริเริ่มและเป็นแบบอย่าง | ให้นโยบาย |
9 | ค้นหาและมีข้อมูล | รายงาน |
10 | รับและออกคำลั่ง | คำสั่ง |
กราบเรียนท่านศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมย์และท่านวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ดิฉันนางสาววรนรี พันธุสังข์ รหัสนักศึกษา 50066207 นักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2550 ดิฉันและเพื่อนๆ ได้เข้าร่วมเรียนโดยมีท่านปลัดกระทรวงวัฒนธรรรม ท่านวีระ โรจน์พจนรัตน์ ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ Food Science กับบทบาทวัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับพวกเราส่วนใหญ่ได้อย่างดีในฐานะ Food Scientist ท่านได้เริ่มเปิดประเด็นได้อย่างน่าสนใจมากที่เดียวอยู่ 2 ประเด็นด้วยกัน
1. คือ อย่างแรกว่าทำไมการมีวัฒนธรรมแล้วต้องรู้จักที่จะมีการบริหารจัดการ เพราะว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และมีอยู่มากมายทั่วโลกอย่างหลากหลายการที่เราจะทำอย่างไรให้วัฒนธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงามและมีคุณค่าคงอยู่ได้ทั้งที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่ให้ถูกกลืนหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆของโลกปัจจุบันเราต้องรู้จักที่จะรักษา ไม่ละทิ้งละเลยไปรวมทั้งเมื่อเรารู้ว่าการมีเอกลักษณ์เป็นสิ่งที่มีคุณค่า และมีประโยชน์นี้ หากรู้จักที่จะมีการบริหารจัดการที่ดีด้วยแล้วจะทำให้เกิดประโยชน์จากการนำสิ่งเหล่านี้มาใช้และสามารถสร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวยจากเอกลักษณ์ดังกล่าว และความเจริญก้าวหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน อย่างที่สอง คือ วัฒนธรรมการกินของมนุษย์เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ การเกิดขึ้นของวัฒรธรรมการกินเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักที่จะมีการเลือกที่จะรับประทาน เลือกตามความต้องการเพื่อให้เกิดความอร่อยลิ้น อร่อยใจ ไม่ใช่เพื่อการยังชีพเท่านั้น เพราะการกินเพียงเพื่อดำรงชีวิตยังไม่จัดว่าเป็นวัฒนธรรมการกินของมนุษย์จากเพียง 2 ประเด็นแรกนี้ก็ทำให้ดิฉันและเพื่อนๆรู้สึกว่าน่าสนใจมาก นอกจากนี้ท่านปลัดยังได้เล่าประวัติและ
2.วัฒนธรรมการกินของประเทศต่างๆ ให้เราได้ทราบได้อย่างน่าสนใจซึ่งล้วนแต่ทำให้เราต้องกลับมามองว่าจากการที่แต่ละประเทศแต่ละวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกันมีความเป็นเอกลักษณ์และวิถีการดำเนินชีวิตเป็นของตัวเองนี่เองก่อให้เกิดความหลากหลายได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมและอาหารไม่ใช่เพียงแค่การกินมีอะไรหลายอย่างที่หลากหลายเป็นศาสตร์และศิลป์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะประเทศไทยเราเป็นประเทศเกษตรกรรมและมีอาหารและวัฒนธรรมอยู่อย่างมากมายและมีความหลากหลายไปตามวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศยิ่งสร้างความน่าสนใจและมีคุณค่า ดังนั้นจากด้วยโอกาสแห่งความหลากหลายของวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของประเทศไทยเรานี้ประกอบกับในปัจจุบันอาหารของไทยเรายังเป็นที่สนใจอย่างมากและติดอันดับความนิยมของโลก ท่านจึงให้แง่คิดและชี้แนะแนวทางให้พวกเราในฐานะที่ Food Science จะนำความรู้ต่างๆที่เกี่ยวข้องระหว่างเทคโนโลยีและอาหารให้มองว่า อาหารจะเป็นธุรกิจได้อย่างไร และเราจะมีส่วนช่วยพัฒนาธุรกิจอาหารไทยได้อย่างไร จากความได้เปรียบในความหลากหลายและมีคุณค่า
3.ในเชิงสุขภาพของอาหารไทยให้เป็นที่ต้องการและตอบสนองได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งธุรกิจอาหารนี้อาจทำรายได้ให้แก่ประเทศของเราได้อย่างมากมาย ตลอดจนความต้องการในการส่งเสริมและสนับสนุนช่องทางจากภาครัฐบาลร่วมด้วยจากหลายๆปัญหาที่เรายังประสบอยู่เช่นการขาดแคลนพ่อครัวแม่ครัว การขาดการรวมตัวและร่วมมือกันระหว่างร้านและภาคเอกชนแทนการแข่งขันกันเองเพื่อให้ brand ความเป็นอาหารไทยแทรกซึมและเกาะติดกลุ่มตลาดโลกได้อย่างทั่วถึงและยาวนานอย่างจริงจัง
เรียนอาจารย์ที่เคารพ ดิฉันเป็นนักศึกษาที่กำลังเรียนเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เมื่อเห็นข้อมูล ข้อสรุปที่พี่ ๆ นักศึกษาปริญญาโทแล้วมีความสนใจอยากดูรายละเอียดการ present ขอรบกวนดูรายละเอียดได้ไหมคะ
ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนา“ปัจจัยท้าทายประเทศไทยปี 2553 อยู่รอดหรือยั่งยืน?”
วันที่ 8 ธันวาคม 2552
ณ มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด แคมปัสพระรามเก้า
มีรายละเอียดในลิ้งค์นี้