ต่อเนื่องจาก 112 วงจรหน้าจืด ความจริงที่ซ่อนอยู่ วันนี้ใคร่ขอนำ “เรื่องจริงมาผ่านจอคอมพิวเตอร์” สักเรื่องได้มาจากการลงหมู่บ้านทำ PRA นั่นแหละครับ ต้องขอไม่เอ่ยสิ่งที่เป็นชื่อเพื่อมิต้องการสร้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ เพียงแต่เอาเรื่องจริงมาเล่าสู่กันฟังว่านี่คือผลของการพัฒนา นี่คืออีกตัวอย่างที่ชาวบ้านคือ ผู้รับเคราะห์กรรมจากสิ่งที่ผู้ปกครองทำขึ้นมา
รัฐหนึ่งไม่ไกลจากสยามรัฐ ผู้ปกครองประกาศว่าจะสนับสนุนให้เกษตรกรเลี้ยงวัวด้วยข้อดีมีร้อยแปดประการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็รับลูกกันเป็นระนาด หมู่บ้านหนึ่งเป็นเป้าหมายที่หน่วยงานนี้เข้าไปทำงานอันเกี่ยวกับโครงการนี้แบบเชิงรุก เป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ปกครองยิ่งนักที่สนองนโยบายทันทีทันควัน เจ้าหน้าที่เข้าไปในหมู่บ้านแล้วประชาสัมพันธ์ถึงโอกาสที่จะทำเงินจากการปลูกหญ้าเพื่อเอาเมล็ดพันธุ์ไปขยายต่อในโครงการเลี้ยงวัว
เจ้าหน้าที่ยื่นเงื่อนไขให้เกษตรกรว่าจะรับซื้อเมล็ดพันธุ์ในราคากิโลกรัมละ 100 บาท และทำสัญญากันเป็นทางการอีกด้วย เกษตรกรรับฟังเจ้าหน้าที่ด้วยความสนใจ เชื่อถือและเชื่อมั่นเพราะเป็นเจ้าหน้าที่แห่งรัฐ มีเกษตรกรจำนวนมากเป็นแบบหัวไวใจกล้ากระโดดลง “แม่น้ำแห่งความหวัง” ทันที และก็ราบรื่น ไหลรีบแบบเร่งรุด ไม่มีหลุดลุ่ย ทำให้ชาวบ้านพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ฟังข่าววิทยุ โทรทัศน์ ก็ยิ่งสร้างความมุ่งมั่นของรัฐในการจะสร้างโครงการนี้ให้บรรลุโดยเร็ววัน เกษตรกรผู้ลิ้มรสของความหวังมาแล้วกะว่า ปีต่อไปนี้จะต้องตั้งเป้าการผลิตให้สูงขึ้น ขยายพื้นที่มากขึ้น ระดมลูกหลาน ญาติพี่น้องมาช่วยกันปลูกเจ้า “หญ้าต่างชาติ” ชนิดนั้น และน่าที่จะได้เงินได้ทองมาหมุนเวียนกัน โอกาสมาแล้วต้องคว้าไว้ อย่าให้โอกาสลอยนวล
พื้นที่ที่เคยปลูกพืชไร่อื่นๆเปลี่ยนมาเป็นการปลูกหญ้า เพื่อนบ้านที่ไม่ได้ปลูกเมื่อปีที่ผ่านมาก็คว้านวลของโอกาสมาไว้ในมือทันทีตัดสินใจก้าวลงจากบ้านไปลงชื่อเป็นผู้ผลิตเพิ่มขึ้นทันที เพียงไม่กี่วันจำนวนคนที่ตัดสินใจปลูก พื้นที่ที่จะปลูกเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าของปีก่อน มิใยที่หมู่บ้านข้างเคียงอื่นๆจะวิ่งตามเกาะโอกาสไปด้วย การผลิตที่ไม่ได้ยุ่งยาก และความเอาใจใส่ของชาวบ้านที่มุ่งหวังผลผลิตเต็มที่จึงทุ่มเทเวลาให้กับการผลิต
ผลผลิตที่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง ต่างเก็บมาไว้ใต้ถุนบ้าน และรักษาความแห้งอย่างทนุถนอมเพราะนี่คือเงินก้อนใหญ่ที่จะได้มาในเร็ววันนี้ บางคนฝันถึงการคืนเงินกู้กองทุนเงินล้านที่กู้มาเมื่อต้นฤดูการผลิต บางคนจะเอาไปคืนเงินกู้ ธกส. และอื่นๆ บางคนจะเอาส่งลูกเรียน ปวช. และ ฯลฯ
แต่แล้วฟ้าก็ผ่าลงกลางบ้าน เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ผู้มาทำสัญญาแจ้งว่าทางราชการแห่งรัฐไม่มีเงินมาซื้อแล้ว เพราะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่แล้ว “ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะผมต้องทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่” “ผมเข้าใจว่าเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหนมาซื้อเมล็ดพันธุ์หญ้า ผมเสียใจ....”
เหมือนสุริยุปราคาเกิดขึ้นทันที มันมืดไปหมด เงินจำนวนมากที่ชาวบ้านกู้ยืมมาลงทุนเพื่อหวังจะได้เงินก้อนมา “บัดนี้..เงินก้อนก็ไม่ได้ หนี้สินก็กลับทรุดหนักลงไปอีก...” น้ำตาผู้ให้ข้อมูลเอ่อท้นเบ้าขึ้นมาทันที..
ผู้นำชาวบ้านต่างดิ้นรนแบบชาวบ้าน ที่ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไรบ้าง แต่ก็รู้ว่าต้องไปร้องขอหน่วยงานนั้นให้ช่วยพิจารณาหาเงินมาซื้อเถิดในราคาที่ต่ำลงมาก็ได้ จะได้เอาทุนคืน เอาเงินไปคืนเจ้าหนี้เขา จะได้ไม่เสียดอกเบี้ยด้วย..
ไม่มีคำตอบ..ที่แน่ชัด ไม่มีคำมั่นสัญญาเหมือนสัญญาที่ได้ทำไว้ ไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดออกมาเลย ท้องฟ้าที่บ้านนี้มันมืดไปตลอดกาลเลยหรือ...
ผู้นำหมู่บ้านดิ้นรนจนถึงที่สุด ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างสันติ อย่างร้องขอ ทั้งๆที่เขามีสถานภาพเป็นคู่สัญญาทำการค้าการผลิตทางการเกษตร แต่เขาไม่มีความรู้ใดๆที่จะไปต่อกรกับคนภายนอก โดยเฉพาะผู้เป็นเจ้าหน้าที่แห่งรัฐนั้น.. ในที่สุดผู้นำก็บอก หลังจากนับร้อยๆครั้งที่เข้าไปร้องขอ ก็ได้คำตอบว่า เขารับซื้อในราคาครึ่งหนึ่งของสัญญาที่ทำกันไว้ และเอาเมล็ดพันธุ์ไปก่อน เงินจะจ่ายให้ทีหลังโดยไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าเมื่อใด.... นั่นคือความหวังครั้งสุดท้ายที่เขามีอยู่
ทุกวันนี้เขาเหล่านั้นคอย รอคอย.. และคอยอยู่ในความมืดของงานพัฒนาที่อดีตผู้ปกครองรัฐแห่งนั้นมีสถานะเป็นมหาเศรษฐีของโลกและประกาศสร้างโครงการนี้
ผมยืนยันว่ารัฐแห่งหนึ่ง...นั้นมิใช่สยามรัฐครับ...
สวัสดีค่ะคุณ บางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)
อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าขาดความพอดี.. เวลาจะทำอะไรทีก็เหมือนแห่กันไปทำ... ดีหรือไม่ ไม่รู้ แต่ต้องเอาไว้ก่อน ทำนองจตุคง จตุ..อะไรเนี่ยแหละค่ะ... ไม่มีการรับประกันอะไรเลย.. น่าสงสารเกษตรกรจริงๆ เปลี่ยนรัฐบาลที ก็แย่ทีนึง เหมือนถูกปล้นคาตา...แต่ทำอะไรไม่ได้...
บทเรียนนี้เจ็บลึกจริงๆ แต่ต้องเอาบทเรียนอย่างนี้แหละค่ะไปเผยแพร่ เพื่อป้องกันการถูกปล้นซ้ำอีก แต่ถึงเวลาถ้าโจรแต่งตัวมาดี..เขาจะดูออกกันไหม...เดี๋ยวนี้โจรแต่งตัวดี รวย และการศึกษาก็ดีเสียด้วยสิ...แย่จริงๆ...
คงต้องป้องกันโดยการให้เกษตรกรมีความรู้เกี่ยวกับกลไกพวกนี้มากขึ้นด้วยแหละค่ะ...แล้วก็ต้องเป็นบทเรียนเลยว่าห้ามทำเหมือนกันหมด..ต้องมีความหลากหลายพอสมควร..ไม่งั้นถ้าล้ม ก็ล้มกันหมด...วงจรหน้าจึดก็จะไม่หมดเสียที...
วันนี้รู้สึกตัวเองเขียนแรงมากเลย..แต่อยากส่งกำลังใจให้กับคนที่กำลังเผชิญเรื่องเหล่านี้อยู่ค่ะ...แล้วก็คุณบางทรายด้วยค่ะ ที่เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่... ขอบคุณนะคะ...
ในทัศนผมคิดว่าอาจารย์เขียนไม่แรงหรอกครับ
มุมมองของผมคือ อาชีพการทำการเกษตรเป็นอาชีพที่เสี่ยงมากอยู่แล้ว หากทำ Risk Analysis เราก็จะเห็นว่าจุดอ่อนของเกษตรกรไทย หรือที่ไหนในโลกนี้ก็เหมือนๆกัน เพียงแต่รัฐบาลในฐานะที่ต้องรับผิดชอบงานพัฒนาประเทศชาติจะต้องเอาใจใส่มากกว่าที่เป็นอยู่ และอย่าไปซ้ำเติมความเสี่ยงให้กับเกษตรกรอีก
ในกรณีนี้รัฐลงไปทำสัญญาการผลิตกับเกษตรกรก็ต้องทำตามสัญญา รัฐบาลใหม่เข้ามาต้องรับไปพิจารณาและประกาศให้ทราบถึงความผิดพลาดที่ผ่านมาด้วย มิเช่นนั้นชาวบ้านก็คือหมากที่ผู้ปกครองเป็นผู้หยิบเล่นจะเอาไปวางตรงไหนก็ได้ ทำอย่างไรก็ได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ต้องรับผิดชอบ
มันมีเรื่องที่เราฟังแล้วก็ขำไม่ออกตามมาอีกครับอาจารย์ กล่าวคือ ผมลองแหย่ว่า เอ้าถ้าเช่นนั้นก็จำไว้งวดหน้าเราก็อย่าไปเลือกเขาเป็นเข้ามาเป็นรัฐบาลสิ ชาวบ้านคนหนึ่งตอบตรงไปตรงมาว่า ไม่ได้หรอก เราต้องเลือกเขาเข้ามาอีก เหตุผลก็คือ เมื่อเขามาเป็นรัฐบาลเขาจะได้กลับมาแก้ปัญหานี้.....??? !!!!
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
นี่เป็นหนึ่งการผุกร่อนของสังคมที่เกิดขึ้นจาก " เงิน " ที่หว่านลงไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ..
เบิร์ดยืนยันว่า " เงิน " แก้ปัญหาความยากจนไม่ได้..โลกไม่ได้ขาดเงิน แต่ขาดความรู้ ขาดปัญญาในการใช้เงิน...การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนที่พูดๆกันเหมือนนกแก้วนกขุนทอง แท้จริงแล้วคือการแปลงสินทรัพย์เป็น " หนี้ " ...แล้วจะทำให้คนเป็นหนี้ทำไม ?...โอย ! ของขึ้นขออภัยค่ะพี่บางทราย..ไปก่อนที่จะแรงกว่านี้ดีกว่า..^ ^
สวัสดีครับน้องขจิต
ขอบคุณมากที่เอาเรื่องวงจรหน้าจืดไปขยาย ดีครับ เพื่อเป็นข้อมูลสาธารณะ และให้คนที่อยู่ในเมือง ไม่ค่อยมีโอกาสสังผัสชุมชนเข้าใจบ้าง
และเปิดเวทีความคิดเห็นสาธารณะ เป็นประโยชน์มากครับ
เรื่องสัญญาที่ชาวบ้านทำกับรัฐนั้นได้ปรึกษากับทนายความเบื้องต้นแล้วครับ
สวัสดีครับน้องเบิร์ด
คนทั่วไปจำนวนมาก มองไม่เห็นประเด็นที่น้องเบิร์ดกล่าว โดยเฉพาะชาวบ้าน แม้แต่สหายจากสมรภูมิเดือด
เงินไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แต่สามารถใช้เงินเป็นเครื่องมือสร้างคนได้ รู้จักใช้ รู้จักความหมายและการเดินผ่านเพื่อผ่าน มิใช่ผ่านเพื่อเก็บ และสะสมจนมืดบอด แต่ใครจะเอาหนังสือพิมพ์ไปเคาะศรีษะแล้วจะบรรลุมรรคผลดังนี้ได้เล่า มีแต่ค่อยๆทำไป
หลายคนยังบอกว่า โอย..เขาก้าวไปยังกะจรวดเอ็กโซเซ..เราน่ะมัวแต่คลำหาทางอยู่ เมื่อไหร่จะทันกันเล่า..
เราก็บอกว่า นี่เห็นไหม..ในมือเราถือหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "..นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ.." ถึงยอมเข็นครกขึ้นภูเขาไงเล่าครับ อิ อิ.(หนักจัง..)
สวัสดีครับคุณบางทราย
เรื่อง"เชื่อท่านผู้นำแล้วท่านจะเจริญ"มีทุกยุคทุกสมัยแหละครับ
ชาวบ้านตาดำๆได้ยินแต่คำหวานหู แม้ยังไม่เริ่มโครงการก็วาดฝันไปถึงไหนถึงไหนแล้ว
ยิ่งอุตส่าห์ดูแลจนเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย รอเพียงท่านผู้นำมารับซื้อ ใครจะคิดบ้างว่าจู่ๆก็มีฟ้าผ่าลงมากลางบ้านกลางวันแสกๆ น่าเห็นใจจริงๆครับ
คนโบราณเขาถึงมีคำเตือนว่า "อย่าไว้ใจทาง...อย่าวางใจคน"
ถ้ามีทนายความคอยตามช่วยเหลือกรณีต่างๆเหล่านี้ ผมว่า คดีคงล้นศาล แน่เลยครับ
สงสารชาวบ้าน เหมือนนักสู้ตาบอดครับ
สวัสดีครับพี่บางทราย
เป็นเรื่องที่ผมก็คิดตรงกันครับ
ที่บ้านศีขรภูมิ สุรินทร์ เป็นที่ ที่เรื่องราวเหล่านี้มีมากมายครับ
อิสานเป็นพื้นที่ๆ ได้รับผลกระทบมากที่สุดกับเรื่องการหว่านเม็ดเงินเข้ามา ล่อตาล่อใจพี่น้องเรา
โดยที่เราก็ไม่รู้เท่าทัน เตรียมตัวไม่พร้อม ปกติเราก็ลำบากอยู่แล้ว แต่ก็ลำบากกาย ไม่ลำบากใจ ไม่มีหนี้สินมากมาย
อต่ตอนนี้ผมเชื่อว่า บ้านทุกๆหลังที่หมู่บ้านผม ทุกคนนอนไม่ค่อยหลับ ทุกคนไม่มีความสุขกายสุขใจนัก เพราะว่ามีหนี้สินมากมาย
บ้างก็หาทางออกด้วยสุรา การพนัน หรือเรื่องที่ไม่สุจริต ทำให้มีปัญหาตามมามากมายเลยครับ
เรื่องชุมชนในอิสาน น่าสนใจมากๆครับ
หวังว่าการไป ลปรรเฮฮาศาสตร์ครั้งนี้ผมจะได้ เรียนรู้เพิ่มเติมในความรู้อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจ และอาจจะได้นำมาใช้กับตัวเองในอนาคตครับ
สวัสดีครับน้องหมอ kmsabai