เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสลงไปร่วมประชุมศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนดลยีการเกษตรประจำตำบลลานดอกไม้ อำเภอเมืองกำแพงเพชร และร่วมปฏิบัติงานกับนักส่งเสริมการเกษตรที่รับผิดชอบตำบล
การลงไปปฏิบัติงานในครั้งนี้ เป็นไปตามแนวทางการทำงานของสำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชร ที่ได้มอบหมายให้นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรในระดับจังหวัด ไปเป็นพี่เลี้ยง และผู้ประสานงานกับศูนย์บริการแลพถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล โยแบ่งหน้าที่กระจายกันไปในทุกอำเภอ โดยเฉลี่ยนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร 1 คน ต่อศูนย์บริการฯ ตั้งแต่ 3- 10 ตำบล มากบ้างน้อยบ้างตามสภาพของแต่ละอำเภอ
ส่วนผมต้องไปเป็นผู้สนับสนุนใน 7 ตำบล ของอำเภอเมืองกำแพงเพชร และตำบลลานดอกไม้นี้ก็เป็นหนึ่งใน 7 ตำบลเหล่านั้น
ในภาคเช้า มีการประชุมประจำเดือนของคณะกรรมการบริหารศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลลานดอกไม้ ซึ่งมีการประชุมกันทุกเดือน โดยในเดือนนี้ใช้สถานที่ ที่ทำการชั่วคราวของศูนย์บริการฯ ซึ่งก็ตั้งอยู่ในองค์การบริหารส่วนตำบลลานดอกไม้ วันนี้นอกจากจะมีคณะกรรมการที่ประกอบไปด้วยกำนัน(ประธาน) ผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทนกลุ่มอาชีพต่างๆ ที่เป็นคณะกรรมการบริหารแล้ว ยังมีปลัด อบต.พี่ดำรงค์ มหาวงค์ และเจ้าหน้าที่พัฒนากรของ อบต.ลานดอกไม้ ร่วมประชุมด้วย
ผมได้เข้าร่วมประชุม และได้นำเสนอผลกิจกรรมการเข้าค่ายยุวเกษตรกรของตำบล ที่เป็นผลงานของศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลลานดอกไม้ร่วมกับ อบต.ลานดอกไม้ได้ร่วมกันดำเนินกิจกรรม (คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติม) และจากการเข้าประชุมครั้งนี้สังเกตพบว่า ชุมชนและท้องถิ่น ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในการทำงานร่วมกัน เพื่อเสริมหนุนภาคการเกษตร ซึ่งเป็นภาพที่พวกเราคงอยากเห็น และพวกเรานักส่งเสริมการเกษตร ก็จะได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนายความสะดวกและสร้างกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
มีหลายๆ กิจกรรมที่คณะทำงานได้ริเริ่มที่จะทำ เช่นกิจกรรมการแข่งขันการดำนา เพื่อต้องการฟื้นฟูนาดำ การทำนาแบบดั้งเดิมและเกี่ยวข้าวด้วยมือเพื่อที่จะให้ชาวนาได้หันกลับมาหาวิถีชีวิตดั้งเดิม กิจกรรมนี้ท่านกำนันตำบลลานดอกไม้ให้พื้นที่นาของตนเองเป็นแปลงเรียนรู้ ทางปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลก็ให้ข้อเสนอแนะและให้แนวคิดที่จะให้ชุมชนได้ร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมีเพื่อกุ้งปหอย ปูปลา จะได้กลับมา ซึ่งกิจกรรมจากความคิดของทุกฝ่ายเหล่านี้บางกิจกรรมก็สามารถดำเนินการได้เลย โดยองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมที่จะสนับสนุน บางกิจกรรมก็เป็นแนวทางให้คณะกรรมการได้กลับไปคิดต่อเพื่อหาแนวทางทำงานในอนาคตต่อไป
จากการเข้าร่วมประชุมในวันนี้ทำให้ได้มองเห็นการทำงานที่ชุทชนและท้องถิ่นได้เข้ามามีบทบาทในการคิด กำหนดแนวทางพัฒนาด้วยตนเอง แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เพราะหากเมื่อใดงานส่งเสริมกากเกษตรหรืองานพัฒนา ชุทชนและท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ก็เท่ากับว่าเขาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของ เป็นสัญญาณที่ดีว่าน่าจะเกิคความยั่งยืนในการพัฒนา แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การที่จะทำให้ชุมชนและท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมในการดูแลและพัฒนาภาคการเกษตรได้อย่างสมบูรณ์นั้น ก็คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ต้องค่อยๆ สร้างการเรียนรู้ และเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นๆ เป็นลำดับ โดยมีนักส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่คอยเสริมหนุนอยู่อย่างใกล้ชิด
ส่วนผมซึ่งมีหลายๆ พื้นที่ให้ได้ร่วมเข้าไปเสริมหนุน และในขณะเดียวกันก็เข้าไปเรียนรู้ด้วย ก็จะได้นำส่วนสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ไปขยายวงให้แก่เพื่อนนักส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่อื่นต่อไป
บันทึกมาเพื่อการ ลปรร.ครับ
วีรยุทธ สมป่าสัก 18 มกราคม 2551
* การทำงานในพื้นที่ ต้องทำด้วยใจจริง แล้วผลที่กลับมาคือ การได้ใจ(ที่มีแต่ความจริงใจ) จากเกษตรกร
* ประสบการณ์ 7 ปี ในกรมส่งเสริมการเกษตร สอนให้รู้อะไรตั้งหลายอย่าง
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ ท่านสิงห์ป่าสัก..
สร้าเครือข่ายได้ดีครับ..สมัยนี้ไม่มีเครือข่ายไม่ได้แล้ว..
การเกษตรปัจุบัน..ก็มาจากผลของการเกษตรในอดีต..
การเกษตรในอนาคต..ก็จะเป็นผลการส่งเสริมการเกษตรในปัจจุบัน..
จริงไหมครับ..
แต่ถ้าเกษตร(อยู่)จังหวัดต้องรับผิดชอบตำบล 7 ตำบล ที่อยู่ไกลถึง 270 กม.คงยุ่งน่าดู...