บันทึกนี้สำหรับเตือนตัวเอง และระลึกถึงความผิดพลาดในชีวิต ในระหว่างการเดินทางแห่งชีวิต คนเราได้ทำความผิดไว้มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเดาว่าคนที่ตามอ่านบันทึกชุดนี้ ส่วนใหญ่คงจะคิดว่าผมเป็นคนดี ทำอะไรก็สำเร็จเสมอ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นความจริง แต่ส่วนใหญ่ไม่จริงครับ ในชีวิตผมเต็มไปด้วยตำหนิ รอยด่างพร้อย ที่ซ่อนอยู่ แต่มันเป็นความผิดพลาดที่ไม่ใหญ่ หรือคนเขาให้อภัยได้ มันอาจถูกกลบโดยความสำเร็จที่เห็นชัดเจนกว่า ผมจึงรอดตัวไป
เขียนอย่างนี้อาจจะผิดนะครับ เพราะจริงๆ แล้ว คนเราจะมีความสำเร็จในชีวิตได้ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดบ้าง ความสำเร็จบ้าง ที่เป็นเหตุการณ์เล็กๆ แล้วเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาเป็นบทเรียนส่วนตัว ปรับปรุงแก้ไขตนเองอยู่ตลอดเวลา ใครเรียนรู้เก่ง ก็จะมีความสำเร็จในชีวิตได้ง่ายหน่อย
บทเรียนที่สำคัญยิ่งสำหรับผม ซึ่งเป็นคนขวางโลก คือต้องอย่าทำตัวเป็นผู้วิเศษ อย่ายกตนข่มท่าน อย่าหลงความดี แม้เราจะทำความดี ก็อย่าติดดี อย่าคิดว่าคนที่ไม่ทำเหมือนเราเป็นคนเลวหรือต่ำต้อยกว่าเรา
การทำตัวเป็นผู้วิเศษ สูงกว่าคนอื่น มองคนอื่นต่ำต้อยกว่าตัวหมด ทำให้เราเป็นคนไม่น่ารักในสายตาคนอื่น ทำให้ไม่มีมิตร แต่นั่นยังไม่ใช่อันตรายที่สำคัญที่สุดของมิจฉาทิฐินี้
อันตรายที่สุดอยู่ในตัวเราเอง การทำตัวเป็นผู้วิเศษ ทำให้เราสร้างความหยาบกระด้างขึ้นในจิตใจ เป็นการอบร่ำจิตใจของตนเองด้วยยาพิษ เป็นการสร้างพิษขึ้นจากภายในตัวเราเอง แล้วเอามาทำร้ายตัวเอง ที่เรียกว่าเป็นวงจรแห่งความชั่วร้าย (vicious cycle) พิษนั้นคือ อหังการ์ - ความถือดี หลงดี หลงตน เท่ากับเราสร้างและเลี้ยงดูปรนเปรอพญามาร ขึ้นภายในตัวเราเอง ภายในจิตใจของเราเอง
เนื่องจากมันอยู่ภายในตัวเรา และยิ่งเรารู้สึกว่าเราเป็นคนวิเศษมากเท่าไร พญามารก็จะอยู่ลึกเท่านั้น เราก็จะไม่รู้สึกตัวว่าเรากำลังถูกมารเข้าสิง แต่คนอื่นเขารู้ เขารู้สึกได้จากปัญญาแห่งมนุษย์
คนอื่นเขาเห็น และรู้เท่าทัน แต่เขาก็ไม่กล้าหรือไม่อยากบอกเรา หรือเขาไม่มีทักษะในการช่วยเหลือกัลยาณมิตรที่ติดโรคนี้ เราก็ขาดคนช่วยเหลือ โรคหลงตนก็จะลุกลาม และในที่สุดก็จะเป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่ทำลายชีวิตของเรา ทำลายความสุขที่เรามีสิทธิ์ได้ในฐานะที่เป็นคน แต่เราไม่ได้ความสุขเพราะเราใส่ปุ๋ยสร้างความฮึกเหิมทางใจจนเกินพอดี ทำให้ความมั่นใจตนเองในฐานะที่เป็นคนคนหนึ่ง เติบโตอย่างขาดตัวเหนี่ยวรั้ง กลายเป็นมะเร็ง หรือพญามาร มารแห่งความหลงตัว
วิจารณ์ พานิช
๒๕ กค. ๔๙
บนเครื่องบินไปหาดใหญ่
ใช้คำสื่อได้ถึงความรู้สึก และความหมายที่ตั้งใจมากเลยค่ะ โรคหลงตน เกิดขึ้นได้ทั้งจากตนเอง และผู้อื่นสรรเสริฐ ต้องเตือนตนอยู่เสมอ ทุกคนมีสิ่งดีและไม่ดีอยู่ในตัวตนของตน ถ้าทุกคนใช้ในด้านที่ดี สังคมคงจะดี
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ที่ถ่ายทอดออกมาจากเรื่องเล่าของอาจารย์ค่ะ ทำให้ได้แง่คิดหลายอย่าง
ป.ล. ลงท้ายว่าเขียนตอนอยู่บนเครื่องบินทำให้ได้อารมณ์มาขึ้นเลยค่ะ หลังจากอ่านมาจนจบ จินตนาการได้ถึงน้ำเสียง ที่แฝงไปด้วยพลังของอาจารย์ จากตัวอักษรที่เรียบเรียงไว้ในบันทึกนี้ค่ะ (ยังไม่เคยได้ยินเสียงอาจารย์จริงๆ)
หนูมักโชคดี....ที่ได้ร่วมงานกับผู้ใหญ่ เสมอ เป็น ...โอกาสที่หนูได้ "มองเห็นความเป็นไป...ของการทำตัวเป็นผู้วิเศษ....เลี้ยงดูปรนเปรอพญามาร ขึ้นภายในตัว ภายในจิตใจโดยไม่รู้ตัว " อย่างที่อาจารย์กล่าวมองด้วยปกติแห่งใจ....เพียงย้ำเตือนตัวเองว่า........."เพียรกำหลาบ พญามารในกายเรา....ไว้ให้ดี..." อย่าให้ออกจากเราไปอาละวาดใครเข้า....หากจะอาละวาดก็จงไล่ข่วนตัวเอง...พอ...พอให้รู้ว่ามันร้ายและเจ็บ.... ภาษาหนูเรียกว่า...ตัวขาว...ตัวดำ...ในเรา...สิ่งหนึ่งที่หนูพบในตนเองคือ แม้พยายามอ่อนน้อมถ่อมตน....."หนูก็ยังดูเป็นคนมั่นใจในตนเองมากอยู่ดี...." หลายครั้งที่ใคร ใครไม่กล้าแนะนำ..... "แม้เพียรกำหลาบ....มันก็ยังมีอยู่......แต่ได้ความมีความคิดดีไม่ทำร้ายใครมาช่วย เป็นความน่ารักแห่งตนอยู่.......วิทยายุทธชั้นสูงเลยค่ะ...."ปราบพยามารในตน" ขอบคุณค่ะที่หนูได้มาพบและ ซึมซับไว้เตือนตนตั้งแต่ยังเด็ก....(หนูหมายความว่าเด็กกว่าอาจารย์ น่ะค่ะ...)
โรคนี้ผมก็เคยเป็นครับ ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา มันก่อตัวอยู่ลึกๆ เหตุเพราะบังเอิญมีเหตุการณ์ที่ดูเหมือนว่าเราเก่ง คนเขาชื่นชมไปทั่ว ทั้งเพื่อน ทั้งรุ่นพี่ ทั้งอาจารย์ เลยพาลนึกว่าเราเก่งจริง ตัวอย่างเช่น
ฯลฯ
ตอนนั้นมักจะรู้สึกหลอกตัวเองอยู่ลึกๆว่าตนดูจะเหนือคนอื่นไปเสียหมด มองอะไรที่ใครทำก็คอยจับผิดอยู่เงียบๆ พอได้จังหวะก็แสดงให้คนเห็นว่าอย่างนั้นผิด ที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้ พอคนเขายอมรับว่าเราพูดถูก ความอหังการ์ภายในก็เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านมาหลายปีก็ค่อยๆค้นพบว่าเรานี่ช่างแอบโง่อยู่ได้ .. เห็นสัจธรรมว่าที่แท้มันก็แค่เราชอบเรียนรู้และชอบทำอะไรหลายๆอย่าง ทั้งศาสตร์และศิลป์ สนุกกับมันไปเรื่อย ทำอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งก็น้อยคนที่จะเป็นอย่างนั้น ... จริงๆมันคือ กว้าง แต่ ไม่ลึก ยังมีความรู้ในตัวคนอื่นอีกมากมายนักที่เราจะใช้เติมเต็มให้กับชีวิตเราได้ ถ้าสลายกำแพงอหังการ์ที่เคยมีลงเสียได้ ... ทบทวนมากเข้าก็เลยได้ใช้ Slogan ใหม่ประจำชีวิต 2 ประการคือ
There is no man on the road from whom you can’t learn something of value.
ผมพอใจตัวเองที่หายบ้าได้ มันเบาสบายอย่างเหลือเชื่อเลยล่ะครับ จนผมมีบันทึกหนึ่งชื่อว่า ... ทุกคนล้วนมีค่า แม้คนบ้าก็ไม่เว้น !
แท้จริงเราก็แค่ ธุลีหนึ่งของจักรวาล มีหน้าที่สำคัญคือการทำลายความไม่รู้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และครูคือทุกอย่างที่แวดล้อมตัวเราอยู่ทั้งที่เป็นคน สัตว์ และสิ่งของ
ยิ้มๆๆ...กะปุ๋มมาแล้วหลายรอบคะ...แต่พอมาเห็นความเห็นท่านอาจารย์ Handy ชอบใจคะ...อาการที่ว่ากะปุ๋มก็เป็น...คะ
ประมาณว่า "ข้านี่และหนึ่งในตองอู"...ยิ่งตอนจบ ป.โทใหม่ๆ...ตั้งแต่ปี 42...โอ้โห!!+ ....สุดยอด...ไม่มีใครเจ๋งเท่าเรา...เพราะสมัยก่อนเรียนโท - จบโทนั้นมีไม่มากเหมือนทุกวันนี้...
แต่พอไปเรียน ป.เอก...อ้าว!!! ที่คิดว่า "ข้าแน่"..นั้นเริ่มสั่นคลอนไม่แน่ใจ...โห...มีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่รู้...และยิ่งไปเรียน ป.โท ใบที่สองควบคู่กันไปด้วยนั้น...ยิ่งแบบว่าน้ำที่กระฉอกแก้ว...หกเลอะเทอะ...ออกมาจากแก้วเกือบหมด...รู้เลยคะว่า...ยิ่งเรียนเรายิ่งรู้ว่าเราไม่รู้อะไร...เลย...เลยตัดสินใจว่าเรียนและเรียน...เรียนทั้งในตำราและนอกตำรา...
สนุกและมีความสุขมากขึ้น...
ยิ่งได้ไปแอบตักตวงว่าผู้อื่นรู้อะไร ยิ่งสนุกและมีความสุข..
ขอบคุณคะ
กะปุ๋ม
ศาสนาพุทธสอนให้เรารู้ว่า
"ทุกดวงจิต ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้"
ชอบอ่านที่อาจารย์เขียนค่ะ มันเป็นธรรมชาติดี ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย สอนคนอ่านได้ดี มากเลยค่ะ ขออนุญาต copy อ่านเสียงตามสายในโรงพยาบาลนะคะ เรื่องลึกซึ้ง แต่อ่านแล้วเข้าใจง่าย จับใจด้วย