• ปัญหาใหญ่ของ KM ในองค์กรภาครัฐ คือไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ทำไปก็เพิ่มงาน เพิ่มภาระ รู้สึกไม่สนุก ทำแบบถูกบังคับ ถ้ารู้สึกอย่างนี้ แสดงว่ากำลังเดิน KM ผิดทาง ผิดวิธี
• KM ในองค์กรภาครัฐของไทยต้องใช้ความสำเร็จ (success story) เป็นเครื่องมือ เปิดทวารทั้งห้าของสมาชิกในองค์กร ได้แก่เปิดปาก เปิดหู เปิดตา เปิดใจ และเปิดอารมณ์ เป็นการเปิดรับ และเปิดปล่อยสิ่งดีๆ แก่กัน ซึ่งจะมีผลทำให้ทุกคนมีจิตใจที่สดชื่นขึ้น เคารพซึ่งกันและกันมากขึ้น เห็นคุณค่าซึ่งกันและกันมากขึ้น คึกคักขึ้น บางคนอาจเกิด transformation ในเวลาอันรวดเร็ว ใครไม่เชื่อให้มาคุยกับคุณแกบ ผู้จัดการสำนักงานของ สคส.
• ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคนที่เข้ามาร่วมกระบวนการจะค้นพบศักยภาพ หรือความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัว และหาไม่พบมาเป็นเวลานาน อาจจะหลายสิบปี แต่พอได้บรรยากาศที่เป็นอิสระ บรรยากาศเชิงบวก เชิงชื่นชม จะคล้ายๆ เมล็ดพันธุ์ที่สงบ (dormant) อยู่นาน ตื่นขึ้นรับน้ำรับแสง แล้วงอกงามเบ่งบานอย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อ
• ดังนั้น สิ่งที่ต้องการคือ “คุณอำนวย” ที่จะทำหน้าที่จัดเวที เสาะหา “คุณกิจ” ที่มีเรื่องราวความสำเร็จเล็กๆ (ย้ำว่าในเบื้องต้นให้เน้นความสำเร็จเล็กๆ อย่ามัวหลงไปหาความสำเร็จใหญ่ๆ) ตามวิสัยทัศน์หรือเป้าหมายขององค์กร จำนวนมาก เอามา ลปรร. กัน โดยจัดเวทีเล่าเรื่อง (storytelling) ภายใต้บรรยากาศเชิงบวก เชิงชื่นชม หรือ Appreciative Inquiry แล้วหาทางเดินเรื่องหรือขยายการ ลปรร. ต่อไปเรื่อยๆ อย่างเป็นพลวัต ใช้แนวทางที่ไม่เป็นทางการเป็นตัวนำ มีส่วนที่เป็นทางการหรือเป็นระบบเสริม ส่วนนี้คือส่วนที่เป็นทักษะ ในการกระตุ้น และสร้างความคึกคัก
• ในขณะเดียวกัน ก็มีการฝึกทักษะสมาชิกขององค์กร ในการ เปิดปาก (เล่าเรื่อง พูดแบบ dialogue ไม่ใช่ discussion หรือพูดแบบ Appreciative Inquiry) เปิดหู (ฟังอย่างลึก – deep listening) เปิดตา มองให้เห็นภาพรวม ภาพใหญ่ มองด้วย ”ตานก” เปิดใจ รับฟังความคิดที่อยู่ต่างทิฐิ (mindset) กับตนเอง
• หาทางทำให้เรื่องราวของความสำเร็จน้อยใหญ่เป็นเรื่องที่อบอวล พูดถึงกันแล้วพูดถึงกันอีก ภายในองค์กร พูดถึงด้วยถ้อยคำที่ต่างกัน ด้วยต่างมุมมอง แต่เหมือนกันที่ความชื่นชม นอกจากพูดก็มีการเขียนบรรยาย ตีความ ถอดความรู้ เอาออกมาเผยแพร่
• เมื่อไรก็ตามที่มีการ reuse ความรู้ที่ได้จากเรื่องราวของความสำเร็จนั้น ก็ให้มีการบอกกล่าวเล่าเรื่องซ้ำ ยิ่งเป็นการ reuse ด้วยวิธีการที่ต่าง (เพราะเป็นงานในต่างบริบท) และได้รับความสำเร็จ ยิ่งต้องสร้างโอกาสชื่นชมยกย่อง
• อย่าลืมให้รางวัล โดยเน้นที่คุณค่าทางใจ มากกว่ามูลค่าของสิ่งของ
• ผู้บริหารอย่าลืมเข้ามาแจม โดยเข้าไปชื่นชม ยกย่อง ให้รางวัลแก่คนหรือกลุ่มคนที่มีความสำเร็จน้อยใหญ่เหล่านั้น และให้โอกาสขยายผล
วิจารณ์ พานิช
๒๐ มิย. ๔๙
ดิฉันนางเพ็ญศรี สุภาวสิทธิ์ นิสิตปริญญาโทสาขาหลักสูตรและการสอน เป็นครูสอนที่โรงเรียนอนุบาลเมืองเชียงราย และเป็นลูกศิษย์ของ รศ.เทียมจันทร์ พานิชย์ผลินไชย
ในขณะที่กำลังศึกษา ท่านอาจารย์ให้โอกาสดิฉันและเพื่อนอีก 6 คน เข้ารับฟังคำบรรยายเรื่องการจัดการความรุ้ ที่มหาวิทยาลัยนเรศวรจัดขึ้น โดยมี ดร.วิบูลย์ วัฒนาธรเป็นผู้บรรยาย ทำให้ดิฉันและเพื่อนมีความรู้เรื่องนี้มากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นท่านอาจารย์ให้พวกเรา สมัครเป็นสมาชิก โดยการสร้าง blog ของตนเอง ซึ่งดิฉันใช้นามแฝงว่า ครูหนิง blog ของดิฉันจะพุดถึงแต่การเรียนการสอน คณิตศาสตร์ เท่านั้น
สิ่งที่ดิฉันกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้คือการนำการจัดการความรุ้ไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ แต่เนื่องจากประสบการณ์ยังน้อย ยังไม่แตกฉานในเรื่องนี้ ทำให้การนำไปใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร
แต่เนื่องจากดิฉันมีความสนใจในเรื่องนี้มาก ดิฉันจึงพยายามหาเวลาเข้ามาอ่านความรู้ที่ท่านได้เขียนลงใน blogนี้ ดิฉันสนใจที่ท่านได้เขียนเล่าเรื่อง การจัดมหกรรม KM ที่ สคส.จัดขึ้น ที่ไบเทคบางนา ดิฉันได้เรียนถาม ดร.วิบูลย์ วัฒนาธร ท่านได้แนะนำให้ดิฉันสม้ครเข้าร่วมในกิจกรรมนี้ ( ในโปรโมชั่น 2,500 บาท ถ้าสมัครไม่เกินวันที่ 30 กันยายน )
วันนี้ดิฉันได้อ่านที่ท่านอาจารย์ได้เขียนให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวในการทำ workshop แล้วทำให้ดิฉันอยากมีโอกาสเข้ารับฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์ในวันที่ 15 กันยายน 49 นี้เป็นอย่างมาก
จึงเรียนมาขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์เกี่ยวกับการอบรมดังกล่าวข้างต้น ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ครูหนิง