สำหรับชาว Smart Path และท่านอื่นๆ ที่แวะเวียนมาอ่าน blog นี้ อยากให้คลิกไปอ่านบันทึก AAR: กว่าจะมาครบรอบหนึ่งปี GotoKnow.org ของอาจารย์ ดร.ธวัชชัย ปิยะวัฒน์ ผู้พัฒนา GotoKnow.org ที่เราใข้กันอยู่นี้ บันทึกนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ตัวตนท่านผ่านตัวอักษรที่เรียงร้อยอย่างเรียบง่าย แต่ทรงพลัง ที่สำคัญ ทำให้เราได้ได้ข้อคิดดีๆ ในการทำงานมากมาย
ดร.ธวัชชัยทำให้เราเชื่อและเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การทำงานคือการเรียนรู้ ดังเช่นที่เธอเล่าให้ฟังว่า ประสบการณ์ในทำเว็บไซต์ให้คนไทย โดยเขียนจากอเมริกานั้น ทำให้นักเขียนโปรแกรมอย่างเธอเรียนรู้ว่า “การจัดทำเว็บไซต์นั้นง่าย แต่การบริหารจัดการเว็บไซต์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”
เรารับรู้ถึงความมุ่งมั่นของอาจารย์ ในการสร้างช่องทางเผยแพร่ความรู้ความคิดของคนไทย ที่เธอมีความเชื่อว่าคนไทยนั้นมีความรู้และความคิดดีๆอยู่มากมาย ผ่านประวัติการทำ website ระบบ blog ตั้งแต่ปี 2542
เราได้เรียนรู้ว่า อาจารย์ทำงานโดยคำนึงถึงความต้องการของ user ผ่านประโยคที่น่าประทับใจว่า "ไม่มีอะไรลำบากใจสำหรับนักพัฒนาโปรแกรมเท่ากับเมื่อโปรแกรมของเขาไม่สามารถทำงานกับผู้ใช้จริงได้แล้วครับ" ชัดเจนโดยไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ
บทเรียนรู้ของอาจารย์ ที่ว่า "การพยายามต่อสู้กับปัญหานั้นไม่เคยสร้างความผิดหวัง" เป็นกำลังใจให้นักต่อสู้ทุกคนค่ะ รวมทั้งตนเองด้วย
อาจารย์แสดงตัวอย่างของความจริงที่ว่า “ในทุกวิกฤตนั้น มีโอกาส หรืออาจกลายเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ได้เสมอ” ดังที่อาจารย์บอกว่า “การตัดสินใจผิดพลาดในครั้งแรกทำให้ต้องเริ่มต้นเขียนใหม่หมดด้วยภาษาใหม่และ Web Development Framework ใหม่นั้น ที่จริงแล้วกลับกลายเป็นโอกาสที่ดีในการให้นักพัฒนา …. มีโอกาสได้เริ่มต้นคิดสร้างระบบใหม่หมด...
บันทึกประสบการณ์ของอาจารย์ทั้งสอง ทำให้เราเห็นความมีวิสัยทัศน์ของท่าน และเป็นวิสัยทัศน์เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อส่วนตน ผ่านข้อความที่ว่า “การพัฒนา KnowledgeVolution นี้ เราหวังไว้ไกลมากกว่าการเป็นระบบที่ใช้สำหรับ GotoKnow.org อย่างเดียว เราเปิด open source โดยหวังให้ KnowledgeVolution เป็นระบบที่องค์กรต่างๆ ที่ต้องการจัดการความรู้สามารถนำไปใช้อย่างง่ายดาย…
บันทึกประสบการณ์ของทีมพัฒนา Gotoknow ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (คลิกอ่านของ ดร.จันทวรรณ) ทำให้พวกเราผู้ใช้ Gotoknow ได้รับรู้เรื่องราวความเป็นไป ปัญหาอุปสรรค ความพยายาม ฯลฯ ของผู้พัฒนาระบบ ทำให้เรารัก Gotoknow มากขึ้นมากๆๆ เลยค่ะ ทั้งที่รักสุดใจอยู่แล้ว
ผมขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่กรุณาให้กำลังใจครับ
ผมนึกเสมอว่าการเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเป็นศิลปะที่อยู่บนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เหมือนศิลปะอื่นๆ ที่ต้องมีวิทยาศาสตร์ในตัวเอง เพียงแต่ศิลปะ/ศาสตร์อื่นๆ นั้นผ่านเวลาพิสูจน์มานานว่าความเป็น "ศิลป์" นั้นสำคัญกว่าความเป็น "ศาสตร์" แต่การเขียนโปรแกรมนั้นเป็นเรื่องที่ยังใหม่อยู่ โลกเราเลยยังเห็นความเป็น "ศาสตร์" ในเรื่องนี้เหนือกว่าความเป็น "ศิลป์" ครับ แต่อีกไม่นานมุมมองที่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นศิลปะก็จะเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ครับ
ในมุมมองของการเขียนโปรแกรมเพื่อเป็นการทำงานศิลปะนั้น การเขียนโปรแกรมแล้วโปรแกรมมีประโยชน์ต่อผู้ใช้นี่เป็นความสุขอย่างยิ่งเชียวครับ เหมือนนักดนตรีที่แต่งเพลงแล้วมีคนฟัง เหมือนจิตรกรที่วาดรูปแล้วมีคนดูครับ
ผมขอยืนยันว่าตราบใดที่ยังมีผู้ใช้โปรแกรมที่ผมเขียน ผมก็จะเขียนโปรแกรมต่อไปครับ
ขอขอบคุณอาจารย์ปารมี และ ทีมพยา-ธิ ม.อ. ทุกท่านค่ะ