ด้วยปัญหาที่นิสิตเข้าทำการประเมินการสอนของอาจารย์ผ่านระบบ online ของ มมส. ในแต่ละภาคเรียนมีจำนวนน้อย ทำให้เกิดผลต่อความน่าเชื่อถือ ดังนั้นวันนี้จันทร์ที่ 25 ธค 49 ศูนย์ฯของผมจึงนัด แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อหาแนวทางแก้ไข โดยเชิญรองคณบดีฝ่ายวิชาการของแต่ละคณะมา ลปรร. ร่วมกัน
มี อาจารย์ ดร.วรรทณา สินศิริ รองอธิการบดีฝ่ายประกันคุณภาพ เป็นประธาน ซึ่งได้ชี้แจ้งด้วย Power point <อ่านเอกสารคำบรรยาย> ประเมิน 15 นาที และกระบวนการต่อจากนั้นประธานได้ใช้วิธีการของการจัดการความรู้ (KM) เข้ามาดำเนินการประชุมโดยใช้เครื่องมือ Story Telling และ ลปรร. จากรองคณบดีฯที่เข้าประชุมทีละท่าน ประกอบด้วยเรื่องเล่าของ
รศ.วิรัตน์ พงษ์ศิริ รองคณบดีฝ่ายวิชาการคณะวิทยาการสารสนเทศ……."จากที่ผ่านมาแล้วผู้ที่เข้าประเมินมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ชอบอาจารย์มาก กับ กลุ่มที่ไม่ชอบอาจารย์มากๆ สำหรับวิธีการที่จะทำให้จำนวนผู้เข้าประเมินเป็น 100% คือการล็อกระบบบริการการศึกษาถ้านิสิตไม่ทำการประเมินอาจารย์ผู้สอนก่อนจะดำเนินการใดๆในระบบต่อไม่ได้ และทางส่วนกลางควรจัดตารางการใช้ห้องปฏิบัติการคอมฯให้นิสิตในแต่ละสาขาวิชาได้ไปใช้ทำการประเมินอาจารย์ online และสำหรับข้อคำถามควรทบทวนให้สั้น กระชับ ง่าย"
ผศ.ธัญญา สังขพันธานนท์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ……."เคยเห็นที่ มน. จะมีโปสเตอร์ติดเชิญชวนนิสิตเข้าประเมินอาจารย์ online ติดไปทั่วมหาลัย ซึ่งได้ผลพอสมควร, ข้อคำถามที่ใช้ควรมี 10 หรือ ไม่เกิน 15 ข้อจึงไม่น่าเบื่อ, อาจนำผลการประเมินการสอนนี้นำมาใช้พิจารณาประกอบความดีความชอบ เพื่อให้อาจารย์ผู้สอนแต่ละท่านได้กระตุ้นผู้เรียนของตนเข้าประเมิน online และสิ่งที่สำคัญที่สุดจะทำอย่างไรให้การประเมินผู้สอน ถือว่าเป็นหน้าที่ของนิสิตอย่างหนึ่งที่ต้องทำ"
ผศ.ดร.จันทร์ฉาย กรรภิรมย์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการคณะวิทยาศาสตร์……."คณะวิทยาศาสตร์ในช่วงที่ผ่านใช้การประเมินทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไป คือทั้ง online และแบบ paper"
อ.เชิงชาญ จงสมชัย รองคณบดีฝ่ายวิชาการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง……."การล็อกระบบบริการการศึกษา ต้องระวังการร้องเรียนจากนิสิตให้มาก เพราะเรามีช่องทางการร้องเรียนที่สำคัญคือ สายตรงอธิการบดี และสำหรับข้อคำถามควรสั้น กระชับ ตรงประเด็นที่ต้องการที่สุด"
อ.ดร.โกวัฒน์ เทศบุตร รองคณบดีฝ่ายวิชาการคณะศึกษาศาสตร์……."สำหรับที่ผ่านมาศูนย์ที่เปิดตามจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะระดับปริญญาโท สถานที่ไม่เหมาะสมหรับทำการประเมิน online อาจจะยืดหยุ่นหรือยกเว้นสำหรับกรณีผู้เรียนอยู่ศูนย์ต่างจังหวัด และสำหรับประเด็นที่จะทำการล็อกระบบ เชื่อว่าจะเป็นการสร้างภาพลวงให้กับตนเองอีกอย่างหรือไม่ เพราะนิสิตจะเพียงแค่ คลิ๊กๆ พอให้ผ่านไปเท่านั้น"
อ.อุมาภรณ์ มูลศิลป์ (ตัวแทน)รองคณบดีฝ่ายวิชาการคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม……."ถ้านำผลการประเมินการสอนมาผูก TOR ได้จะทำให้อาจารย์เกิดการกระตุ้น และจะส่งเสริมให้ผู้เรียนของตนเข้าประเมิน onlie และอีกอย่างทางส่วนกลางอาจจะจัด สัปดาห์ประเมินการสอน"
อ.กำจร แซ่เจียง รองคณบดีฝ่ายวิชาการคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์……."ขอเล่าประสบการณ์จากที่ทำงานเดิม คือ ม.รังสิต ประเมินแบบ paper แบบใช้ดินสอฝน และตรวจด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งผลการประเมินจะมีผลต่อการขึ้นเงินเดือน และถ้าอาจารย์ผู้ใดมีผลประเมินต่ำกว่า 3.00 จะถูกคณบดีและอธิการบดี เรียกพบ…อีกประเด็นการที่จะล็อกระบบประเมินนั้นช่วงระยะเวลาก็มีส่วนสำคัญ จากประสบการณ์แล้วการสอบแล้วค่อยประเมิน กับการประเมินแล้วค่อยสอบ ผลจะแตกต่างกันมาก และอีกอย่างสำหรับ ม.รังสิต สำหรับอาจารย์ที่สอนหลายวิชา ก็สามารถเลือกรายวิชาที่จะให้ผู้เรียนประเมินได้ โดยผู้เรียนไม่จำเป็นประเมินทุกรายวิชา"
ผศ.ดร.อนุชิตา มุ่งงาม รองคณบดีฝ่ายวิชาการคณะเทคโนโลยี……."ผู้สอนเป็นคนสำคัญที่ต้องแจ้ง กระตุ้นให้ผู้เรียนของตนไปทำการประเมินผ่านระบบ online และอีกอย่างเท่าที่ประสบมาคือนิสิตผู้เรียนไทยมีความเกรงใจผู้สอน และโดยเฉพาะข้อคำถามปลายเปิดจะมีแต่สิ่งที่ดีๆ ต่างจากผู้เรียนต่างประเทศที่จะเขียนทุกอย่างที่ต้องการให้ปรับปรุง"
รศ.ดร.ณัฐจาพร พิชัยณรงค์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการคณะสาธารณสุขศาสตร์……."จากที่เคยทำของที่ทำงานเดิม คือ ม.มหิดล นอกจากผู้เรียนจะมีการประเมินผู้สอนแล้ว ก็จะให้อาจารย์ประเมินอาจารย์ด้วยกันเองด้วย ผู้บังคับบัญชาของอาจารย์ประเมินด้วย ซึ่งเป็นการตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง สำหรับสเกล scale ของข้อคิดเห็นก็จะมีไม่ถึง 5 ระดับ เพราะจะทำให้ตอบยาก"
(ตัวแทน)รองคณบดีฝ่ายวิชาการคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์……."พอใกล้ถึงช่วงทำการประเมินการสอนผ่านระบบ online ควรมี popup ในการดึงดูด และเตือนผู้เรียนอย่างโดดเด่น จะช่วยได้บ้าง"
(ตัวแทน)ตัวแทนจะกองทะเบียนฯ ผู้ดูแลระบบ online……."การจะล็อกระบบถือว่าทำไม่ยาก แต่กลัวนิสิตจะแค่คลิ๊กพอผ่านๆ เพื่อให้สามารถทำรายการต่อไปได้"
<<<<<<<<<<<<< >>>>>>>>>>>>>
AAR-สิ่งที่ผมได้สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในช่วงเช้าวันนี้
KPN
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2549
วันนี้ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่ายไม่มีงานถ่ายวีดีโอและที่สำคัญเลยครับไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ว่างให้ผมได้ตัดต่องานพบหมอศิริราชเลยครับ เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นพี่พี่ที่หน่วยเค้าได้ใช้แปลงไฟล์โดยแปลงไฟล์จากแผ่นDVD เป็น VCD ครับ ก็อย่างที่ผมได้เคยบอกไปแล้วว่าถ้าแผ่นDVD นั้นมีความยาว 2 ชั่วโมง ก็เท่ากับว่าก็ใช้เวลาแปลงไฟล์ 2 ชั่วโมงครับ ทำให้ทั้งวันนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ แต่มีการบ้านงานหนึ่งที่ผมได้รับมอบหมายจากคุณที่ใช้นามแฝงว่าคุณJack โดยคุณ Jack นั้นจะเป็นคนที่ติดตามบันทึกของผมโดยตลอดครับ โดยคุณJack นั้นมีอาชีพเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ครับ โดยเมื่อหลายวันก่อนคุณJack ได้ให้ผมอธิบายถึงโปรแกรม Windows Movie Maker ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ผมเคยใช้งานแล้วแต่ยังใช้งานไม่จริงจังก็เลยยังไม่กล้าตอบครับ แต่ตอนนี้ผมได้ไปศึกษาโปรแกรม Windows Movie Maker มาโดยละเอียดเหมือนกันครับ และคิดว่าน่าจะอธิบายคุณJack ให้เข้าใจได้ไม่ยากครับ ผมขอเริ่มเลยนะครับ ผมขออภัยก่อนเลยนะครับว่าผมขออธิบายตามความเข้าใจและภาษาของผมนะครับ และถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรเชิญแนะนำได้ครับผม
โปรแกรม Windows Movie Maker นั้นเป็นโปรแกนมที่ติดมากับWindow XP เลยครับเมื่อเราลงโปรแกรมWindow XP ก็จะมีโปรแกรมนี้ติดมาด้วย โดยเข้าไปที่ Start > Accessories > Windows Movie Maker โปรแกรมจะอยู่ในนี้ครับ ค่อยๆ หาครับคอมพิวเตอร์ที่ลงโปรแกรมWindow XP มีทุกเครื่องครับ
โปรแกรม Windows Movie Maker เป็นโปรแกรมที่เหมาะแก่การตัดต่อที่ไม่ซับซ้อนเป็นการตัดต่อแบบคลิปชนคลิป(หรืออาจจะเรียกว่าHome Video ก็ได้ครับ) ไว้สำหรับดูเล่นๆ ในครอบครัว หรือไว้นำเสนองานประเภทสไลด์โชวครับ คำสั่งแต่ละคำสั่งในโปรแกรมนี้นั้นถ้าคนเคยตัดต่อหรือผ่านโปรแกรมAdobe Premiere มาก่อนนั้นจะสามารถเข้าใจได้ทันทีเลยครับ การตัดต่อแบบคลิปต่อคลิปนั้นจะใช้แค่ฟเฟคVideo Transitions สำเร็จรูปที่มีมากับโปรแกรม เป็นตัวเชื่อมให้ภาพระหว่างคลิปแรกเปลี่ยนไปเป็นคลิปที่2 มีความต่อเนื่องกันครับ
ผมขออธิบายคำศัพท์ที่จำเป็นก่อนนะครับ
1.Capture Video คือการนำภาพจากกล้องวีดีโอมาลงคอมพิวเตอร์ครับ
2.Import คือการนำไฟล์ที่เราต้องการที่จะตัดต่อทั้งไฟล์ภาพเคลื่อนไหวภาพนิ่ง หรือว่าไฟล์เสียงต่างๆ มาไว้ในProject หรือตัวงานที่เราจะตัดต่อครับ
3.Video Effects คือเอฟเฟคที่ทำให้ภาพมีลูกเล่นเช่น อาจจะทำให้ภาพนั้นเป็นสีขาวดำ หรืออาจจะทำให้ภาพนั้นกลายเป็นภาพเก่า เป็นต้นครับ Video Effects วิธีใช้นั้นคือจะสามารถลากเอฟเฟคนั้นมาใส่ในภาพเลยครับ
4.Video Transitions คือเอฟเฟคที่ใช้วางระหว่างคลิปต่อคลิปเพื่อให้ภาพนั้นดูต่อเนื่อกันครับเช่นเวลาเปลี่ยนคลิปนั้นภาพแรกจะแตกออกแล้วก็กลายเป็นภาพที่2 เป็นต้นครับ
5.Finish Movie หรือ ถ้าเป็นโปรแกรมAdobe Premiere จะใช้คำว่า Export Movie คือเมื่อเราตัดต่องานจบหมดทุกอย่างแล้วเราต้องการรวบเป็นไฟล์เดียว เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้เปิดกับอะไรเช่นเปิดในPocket PC แต่ว่าความละเอียดก็จะแค่ 208X160 pixels จะเป็นไฟล์นามสกุล Windows Media Video ( WMV) แต่ถ้าต้องการให้ภาพมีความชัดหน่อยก็เลือกHigh quality video (large) ความละเอียดนั้นจะเพิ่มเป็น 640X480 ก็เพียงพอครับ ถ้าคนไม่สังเกตุนั้นก็จะไม่ดูครับหลายคนมักจะกด Next อย่างเดียวโดยไม่อ่านรายละเอียดครับ
ศัพท์ที่สำคัญๆ ก็มีเท่านี้ครับ
Timeline ในโปรแกรม Windows Movie Maker นั้นจะแบ่งเป็น
1.Timeline Video (สำหรับวางไฟล์ภาพนิ่งหรือไฟล์ภาพเคลื่อนไหว เช่น AVI , JPEG เป็นต้น)
2.Timeline Audio/Music (สำหรับวางเพลงหรือไฟล์เสียงต่างๆ เช่น MP3 , WMA เป็นต้น)
3.Timeline Title Overlay ไว้สำหรับให้เราวางไตเติ้ลครับโดยไตเติ้ลนั้นจะเป็นไตเติ้ลสำเร็จรูปให้เราเลือกใช้ครับ ผมขอบอกเลยว่าสุดยอดครับ นี่เป็นจุดเด่นของโปรแกรม Windows Movie Maker เลยก็ว่าได้ครับ ใช้งานง่ายมากแค่เราพิมข้อความที่เราต้องการลงไปและเลือกรูปแบบการนำเสนอว่าต้องการไตเติ้ลแบบไหนเท่านั้นเองครับ และที่สำคัญเลยครับโปรแกรม Windows Movie Maker นั้นสามารถใช้Font หรือว่าตัวอักษรรูปแบบต่างๆ ได้ทุกรูปแบบเลยครับถือว่าSupport ดีมากเลยครับ
นี่เป็นความรู้และประสบการณ์ที่ผมได้ศึกษามาเพื่อที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับหลายๆ คนได้รับทราบครับเกี่ยวกับโปรแกรม Windows Movie Maker และในวันพรุ่งนี้ผมจะนำข้อดีและข้อเสีย ของโปรแกรมนี้มาเล่าให้ฟังครับ ช่วยติดตอมและช่วยComment ผมหน่อยนะครับโปรแกรม Windows Movie Maker มีอะไรที่พวกคุณหลายๆ รมทั้งผมด้วยยังไม่รู้อีกมากครับ ผมจะนำสิ่งที่ผมและคุณไม่รู้มาทำให้รู้ครับ
จิรอาจ สมิงชัย