ย้อนรอยความคิดมองชีวิต หลังงานศพ !


เมื่อไรเผลอมากก็ถูกลากไปทางโลก ครั้นสติมา ปัญญาเกิดก็เริ่มหัวเราะเยาะความคิดและการกระทำเหล่านั้น แต่ไม่นานก็กลับเป็นแบบเดิมอีก

  
     หมู่นี้มีงานศพติดๆกันหลายงานครับ  ทุกครั้งที่ไปร่วมงานก็มักถือเป็นโอกาสเตือนตน  บอกตัวเองว่า  ชีวิตคนก็แค่นั้น  ดูเหมือนว่าจะหยุดความคิดบางอย่างได้  แต่บางทีก็กลับคิดอะไรต่างๆนาๆออกไปอีกมาก  เช่นตั้งคำถามว่าในเมื่อชีวิตมันก็แค่นั้น  อดีตกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้  อนาคตก็ยังมาไม่ถึง  กังวลมากไปก็แค่นั้น  พรุ่งนี้อาจไม่มีเราแล้วก็ได้  จึงต้องอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด  แล้วควรทำอะไรดีล่ะกับปัจจุบันขณะของเรา ?   คำตอบก็ออกมาแบบเดิมๆว่า  ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ใจเป็นสุข  ไม่ก่อทุกข์และเป็นโทษแก่ผู้อื่น   แล้วเจ้าความคิดยังถามต่ออีกว่า จะเอาอย่างไหน ระหว่าง สุขทางโลก และ ทางธรรม ? คำตอบที่ได้ก็ค่อนข้างชัดว่า ยังต้องการทั้งสองอย่างนั่นแหละ   ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ตอบยากที่สุด  นั่นคือ สัดส่วนแค่ไหนคือความลงตัวพอดี ในการผสมผสานสุขทั้งสองแบบ ?  เท่าที่ลองย้อนรอยพิจารณาดูก็พบว่า  ไม่แน่ไม่นอน  อยู่ที่เผลอมากหรือน้อย   เมื่อไรเผลอมากก็ถูกลากไปทางโลก  ครั้นสติมา ปัญญาเกิดก็เริ่มหัวเราะเยาะความคิดและการกระทำเหล่านั้น  แต่ไม่นานก็กลับเป็นแบบเดิมอีก  ทั้งๆที่สุขทางโลกมักเผาลนให้เจ็บปวด  ต้องอยู่ในอาการดิ้นรนต่อสู้  และต้องเหน็ดเหนื่อยกับมัน  ไม่โปร่งโล่ง เบาสบายเหมือนสุขทางธรรมที่มีตัวแบบให้เจริญรอยตามได้อยู่มากมาย   สงสัยเหลือเกินว่า เมื่อรู้ว่ามันดีกว่า สูงกว่าแล้วทำไมไม่ก้าวกระโดดไปอยู่ที่ตรงนั้นเสียเลย ?   คิดไปคิดมาก็พอจะได้คำตอบว่า  คงเป็นเพราะ อยากเติมเต็มให้กับสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต นั่นเอง  
    ชีวิตที่ผ่านมาเปรียบเหมือนเดินทางผ่านป่าจนเกือบจะสุดทางแล้วมีคนบอกว่า ในป่านั้นอุดมไปด้วยดอกไม้ ทั้งที่มีกลิ่นหอม  และสีสันงดงามน่าชื่นชม แถมยังมีผลไม้รสดีให้ได้ชิมอีกมาก  แต่เราก็ไม่มีโอกาสได้รับรู้หรือสัมผัส  เหตุเพราะมัวพะวงอยู่กับเรื่องทางเดินที่ขรุขระไม่ราบเรียบนั่นเอง    ตอนนี้ความขรุขระหมดไป  ทางที่เห็นก็ราบเรียบน่าจะเดินได้อย่างสะดวกสบาย  ไปสู่เป้าหมายที่ควรไป  จะหยุดอยู่ในป่าแห่งโลกสักระยะหนึ่งเพื่อเติมส่วนขาดที่เราไม่มีโอกาสได้พบเจอ  จะดีมั้ยหนอ ? 
     อาจได้พบเพื่อนเพื่อร่วมเดินทางต่อไปด้วยความอบอุ่นและมั่นใจมากขึ้นก็ได้   ใครจะรู้  จริงมั้ยท่านผู้ชม  ช้านิดจะเป็นอะไรไปเนาะ .

หมายเลขบันทึก: 88381เขียนเมื่อ 3 เมษายน 2007 20:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:03 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

คิดว่าสุขทางโลกที่ไม่ใช่ทางโลกย์ น่าจะไปได้ด้วยกันกับสุขทางธรรมนะคะ

สำหรับตัวเองไปงานศพสมัยนี้ รู้สึกว่าจะมีเรื่องคิดกับสิ่งแวดล้อมของงานศพมากกว่าความปลงนะคะ เห็นว่าการเดินไปทำงานที่ต้องผ่านห้องศพทุกวัน บางวันก็มีญาติมารอรับศพ บางวันก็มีศพนอนรอญาติอยู่ข้างทางเดิน ทำให้ได้คิดกว่าไปงานศพอีกค่ะ เพิ่งไม่กี่วันนี้เองที่ได้ยิน ญาติท่านหนึ่งเล่าให้อีกท่านหนึ่งฟังว่า คุณลุง(ที่นอนนิ่งม้วนด้วยผ้าขาวเรียบร้อยอยู่บนรถเข็น) มีเงินเท่านั้นเท่านี้ ฯลฯ เราก็ได้คิดไปด้วยว่า คุณลุงจะได้ยินไหมหนอ และคุณลุงจะเสียดายไหมหนอ ที่เอาไปด้วยก็ไม่ได้ ตอนอยู่ก็ไม่ทันได้ใช้ คุณลุงวางแผนจะทำอะไรกับเงินนั้นหนอ ฯลฯ ถึงเวลานี้แล้ว เราก็เหลือแต่ตัวและสิ่งที่เราเคยทำเพื่อคนอื่นเท่านั้นเอง เพราะแม้แต่สิ่งที่เราทำเพื่อตนเองก็ไม่ได้อยู่กับเราหรือไปกับเราด้วย ทำให้ได้เจริญมรณานุสติทุกๆวันเลยค่ะ

ใครๆก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ซักนิดเลยนะคะ ยามที่ต้องจากโลกนี้ไป

เรียนท่านพี่

 ดีก่อนจบ พบก่อนหาย

 จุดหมาย มาดมั่น

  สร้างสรรค์ สังคม

  ระดม ร่วม ลิขิต

  นำ Tacit มาเผยแพร่

  ร่วมแก้ ร่วมฝัน

  ทุกคืนวัน มีทั้งฉันและเธอ

ขอบคุณครับ

  • น้องสาวในดวงใจ โอ๋-อโณ .. มรณานุสติ นี่ดีนะ .. ช่วยลดความคิดที่ฟุ้งซ่าน .. หันมามีใจให้กับงาน ... ได้ชีวิตที่โปร่งเบา .. แล้วจะเผลอให้น้อยลงครับ.
  • คุณ ใบบุญ  .. นั่นสินะ  แล้วจะโลภ ในเรื่อง กิน - กาม - เกียรติ  กันไปถึงไหน
  • ท่าน JJ  ...  ขอบพระคุณที่ร่วมฮาเฮ .. ด้วยข้อความที่แฝงแง่คิด ที่ได้ทั้ง สติ กำลังใจ และ ความอุ่นใจครับ

สมัยเล็กๆ ดิฉันไม่ไปร่วมงานใดๆที่ไหนเลยค่ะอาจารย์  เพราะไม่สบายใจที่จะไปอยู่ในที่คนมากๆหนึ่ง  และเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรหนึ่ง  (แปลว่าไม่รู้จักคิดว่าเราควรจะไปช่วยอะไรเขาบ้าง) 

เมื่อโตขึ้นก็ไปร่วมงานอยู่บ้าง เพราะมีหน้าที่การงาน  เรียกว่าไปโดยสังคมบังคับ (และพ่อกับแม่ให้ข้อคิด)จึงได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น

จนเมื่อแก่ตัวเข้า จึงได้เข้าใจว่าพึงไปอย่างยิ่ง  เพื่อการเรียนรู้ความเป็นสังคมหนึ่ง  เรียนรู้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเรียนรู้ที่จะมองเห็นสัจธรรมอย่างง่ายอีกหนึ่ง   โดยเฉพาะในงานศพนี่เห็นชัดเหลือเกิน  ทำให้ใจนิ่งขึ้นอีกเยอะ

หลังๆมาได้พยายามหัดสวดมนต์ในใจตามพระท่านในงานศพด้วย  ดิฉันชอบบทสวดตอนกรวดน้ำมากที่สุดเลยค่ะ 

 

ขอบคุณครับ อ. ดอกไม้ทะเล 
  
   มองให้ดีๆ ทุกเหตุการณ์ ทุกปรากฏการณ์รอบตัวเรา คือแหล่งเรียนรู้ หรือ สื่อการเรียนรู้ชั้นยอดเสมอ
  • แวะมาเก็บเกี่ยวค่ะ
  • หากเรามีชีวิตถึง 65 ปี เรามีเวลาของชีวิต
    23725
      วันค่ะ  ตอนนี้ดิฉันใช้ไปแล้ว 14600 วันค่ะ คงเหลือคร่าวแบบเอาแน่ไม่ได้ประมาณ 9000 +/-
  • เวลาทุกวันที่เหลืออยู่ของดิฉัน ใช้คุ้มค่ะ ทำงาน/ พักผ่อน/ เรื่อยเปือย เล่นบ้าง ไร้สาระบ้าง อะไรๆ ทำให้ง่ายเข้าค่ะ
  • don't worry, be happy ค่ะ

  เวลาไปงานศพ  ตอนวางดอกไม้จันทน์ พระท่านมีคำพระผมจำไม่ได้ แต่มีความหมายว่า "สักวันหนึ่งเราก็จะตายเหมือนกัน"

   ท่านลองคิดดูว่าเมื่อท่านเดินขึ้นบนเมรุ นั้น

เหมือนกับท่านกำลังบอกตัวเองว่า ทุกคนก็มาสิ้นสุด ณ ที่สถานที่แห่งนี้ ทุกคนกำลังเดินสู่ที่สุดแห่งชีวิตแล้ว เหมือนกับร่างที่นอนอยู่เบื้องหน้านั้นเอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท