เมื่อไรเผลอมากก็ถูกลากไปทางโลก ครั้นสติมา ปัญญาเกิดก็เริ่มหัวเราะเยาะความคิดและการกระทำเหล่านั้น แต่ไม่นานก็กลับเป็นแบบเดิมอีก
หมู่นี้มีงานศพติดๆกันหลายงานครับ ทุกครั้งที่ไปร่วมงานก็มักถือเป็นโอกาสเตือนตน บอกตัวเองว่า ชีวิตคนก็แค่นั้น ดูเหมือนว่าจะหยุดความคิดบางอย่างได้ แต่บางทีก็กลับคิดอะไรต่างๆนาๆออกไปอีกมาก เช่นตั้งคำถามว่าในเมื่อชีวิตมันก็แค่นั้น อดีตกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง กังวลมากไปก็แค่นั้น พรุ่งนี้อาจไม่มีเราแล้วก็ได้ จึงต้องอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด แล้วควรทำอะไรดีล่ะกับปัจจุบันขณะของเรา ? คำตอบก็ออกมาแบบเดิมๆว่า ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ใจเป็นสุข ไม่ก่อทุกข์และเป็นโทษแก่ผู้อื่น แล้วเจ้าความคิดยังถามต่ออีกว่า จะเอาอย่างไหน ระหว่าง สุขทางโลก และ ทางธรรม ? คำตอบที่ได้ก็ค่อนข้างชัดว่า ยังต้องการทั้งสองอย่างนั่นแหละ ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ตอบยากที่สุด นั่นคือ สัดส่วนแค่ไหนคือความลงตัวพอดี ในการผสมผสานสุขทั้งสองแบบ ? เท่าที่ลองย้อนรอยพิจารณาดูก็พบว่า ไม่แน่ไม่นอน อยู่ที่เผลอมากหรือน้อย เมื่อไรเผลอมากก็ถูกลากไปทางโลก ครั้นสติมา ปัญญาเกิดก็เริ่มหัวเราะเยาะความคิดและการกระทำเหล่านั้น แต่ไม่นานก็กลับเป็นแบบเดิมอีก ทั้งๆที่สุขทางโลกมักเผาลนให้เจ็บปวด ต้องอยู่ในอาการดิ้นรนต่อสู้ และต้องเหน็ดเหนื่อยกับมัน ไม่โปร่งโล่ง เบาสบายเหมือนสุขทางธรรมที่มีตัวแบบให้เจริญรอยตามได้อยู่มากมาย สงสัยเหลือเกินว่า เมื่อรู้ว่ามันดีกว่า สูงกว่าแล้วทำไมไม่ก้าวกระโดดไปอยู่ที่ตรงนั้นเสียเลย ? คิดไปคิดมาก็พอจะได้คำตอบว่า คงเป็นเพราะ อยากเติมเต็มให้กับสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต นั่นเอง
ชีวิตที่ผ่านมาเปรียบเหมือนเดินทางผ่านป่าจนเกือบจะสุดทางแล้วมีคนบอกว่า ในป่านั้นอุดมไปด้วยดอกไม้ ทั้งที่มีกลิ่นหอม และสีสันงดงามน่าชื่นชม แถมยังมีผลไม้รสดีให้ได้ชิมอีกมาก แต่เราก็ไม่มีโอกาสได้รับรู้หรือสัมผัส เหตุเพราะมัวพะวงอยู่กับเรื่องทางเดินที่ขรุขระไม่ราบเรียบนั่นเอง ตอนนี้ความขรุขระหมดไป ทางที่เห็นก็ราบเรียบน่าจะเดินได้อย่างสะดวกสบาย ไปสู่เป้าหมายที่ควรไป จะหยุดอยู่ในป่าแห่งโลกสักระยะหนึ่งเพื่อเติมส่วนขาดที่เราไม่มีโอกาสได้พบเจอ จะดีมั้ยหนอ ?
อาจได้พบเพื่อนเพื่อร่วมเดินทางต่อไปด้วยความอบอุ่นและมั่นใจมากขึ้นก็ได้ ใครจะรู้ จริงมั้ยท่านผู้ชม ช้านิดจะเป็นอะไรไปเนาะ .