สวัสดีค่ะคุณสมพงศ์ เตชะวโร
ดิฉันเคยได้ยินคำว่าไตรสิกขามาก่อนเหมือนกับคำว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธค่ะ แต่ไม่เคยผูกสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันเลย ยอมรับเลยว่าตัวเองศึกษาทฤษฎีหรือปริยัติน้อยมากๆ แต่ไม่ใช่ไม่ต้องการศึกษานะคะ แต่ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ น่ะค่ะ เหมือนวันนี้ก็รู้เรื่องไตรสิกขามาอีกเรื่องหนึ่ง... ส่วนเรื่องโพชฌงค์ ๗ นั้นก็เคยถามหลวงพี่ BM.chaiwut ไว้ ท่านเลยเขียนบันทึกสั้นๆ เรื่อง โพชฌงค์ ๗ : องค์แห่งธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ ไว้ค่ะ ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมไป ศึกษาไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละค่ะ
ที่ปฏิบัติเป็นประจำคือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ตามแนวมหาสติปัฎฐาน ๔ ค่ะ กาย เวทนา จิต ธรรม ประมาณนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ไปทุกเรื่องนะคะ เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
หากถามว่าเวลาดิฉันปฏิบัติในชีวิตประจำวันแล้วเป็นไปตามแนวโพชฌงค์ ๗ หรือไม่นั้น เท่าที่ดิฉันพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าเป็นไปตามธรรมชาติแบบนั้นจริงๆ ก็คือ มีสติ พิจารณาเลือกเฟ้น ด้วยความเพียร เกิดความอิ่มใจ เกิดความสงบ เกิดสมาธิ แล้วก็ปล่อยวางได้ในที่สุดค่ะ แต่ว่าระยะเวลาของแต่ละช่วงนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละเรื่องที่กำลังเกิดค่ะ บางเรื่องก็เป็นอาทิตย์ บางเรื่องก็แว๊บเดียวหายเลยเพราะรู้ทันอยู่แล้วน่ะค่ะ
ดิฉันเองก็ไม่ค่อยรู้ปริยัตินะคะ แต่เมื่อมาเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติก็พบว่าเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในพระธรรมคำสอน อย่างเรื่องโพชฌงค์ ๗ หรือไตรสิกขา ซึ่งทำให้ดิฉันเกิดความศรัทธา และอยากปฏิบัติมากขึ้นไปอีก เพราะเห็นว่าทางนี้เป็นหนทางในการดำรงชีวิตที่ดีจริงๆ เป็นของจริง.. แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าแบบนี้เรียกว่าปฏิเวธไหม แต่เท่าที่คิด ก็คิดว่าตัวเองเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติค่ะ แต่จะมากน้อยอย่างไร ครบถ้วนไหม อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ก็คิดว่ายังไม่ครบหรอกค่ะ..
ดังนั้นขอสรุปว่า ถ้าไม่รู้ปริยัติ แต่ปฏิบัติ อาจเกิดปฏิเวธได้ แต่ถ้าศึกษาปริยัติประกอบไปด้วย จะทำให้เกิดปฎิเวธได้ดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้นน่ะค่ะ..
ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะคะ..