ขอบคุณมากค่ะคุณศิริกุลที่ติดตามบันทึกมานาน
มาตอบคำถามกันดีกว่า
1. rigorของงานนี่จริงๆมันแฝงไปในทุกขั้นตอนเลยค่ะ เหมือนกับในบันทึกตอนที่ 1 ที่สำคัญคือทำอะไรต้องมีหลักฐานทั้งหมดค่ะ เรียกว่าต้องทำ Audit trail ไว้ เหมือนกับว่าถ้ามีกรรมการมาตรวจย้อนไปว่าทำงานมาอย่างไร ต้องสามารถโชว์กรรมการได้หมด
- ต้องเก็บเอกสารทั้งหมดไว้้ดีๆ (ใบ consent form ที่ participant เซ็น, transcripts, เทป, วีดีโอเทป, electronic files ต่างๆ ฯลฯ) แล้วส่วนไหนที่เป็นความลับต้องเก็บใบตู้ที่มีล็อค หรือในคอมพิวเตอร์ที่มี password
- ต้องมีการจัดการเอกสาร หรือ archives ต่างๆที่นำมาใช้วิเคราะห์ดีๆ แบ่งเป็นแฟ้มๆให้หาง่าย
ที่นี้ถ้าเราเป็นกรรมการเราจะไปตรวจจริงๆเป็น audit ก็ได้ แต่เท่าที่เห็นมา แค่คุยๆ สัมภาษณ์ตอนที่นักวิจัยนำเสนองานก็พอรู้แล้วค่ะว่าคนนี้ทำงานมั่ว หรือมีการจัดการข้อมูลที่เป็นระเบียบ และที่สำคัญคือเข้าใจในงานตัวเองแค่ไหน เข้่าใจในปรัชญาบื้องหลังไม๊ เข้าใจใน design ตัวเองว่าทำไปเพราะอะไร ตอบเรื่อง credibility ได้ก็เป็นอันใช้ได้ค่ะ อย่างคนที่ไม่มี triangulation ไม่มี member-cheking ข้อมูลหรือการแปลผลเลย ถ้าเค้่่าสามารถ defend ได้ว่าเค้าวิเคราะห์ผลจากมุมมองไหน (interpretivist) แล้วทำให้กรรมการเห็นชัดเจนว่าส่วนไหนของผล มาจากการแปลของนักวิจัย ส่วนไหนของผลมากจากข้อมูลดิบ (คำพูดของ participants, จาก diary ของ participants, จากตัวอักษาที่ได้จาก document analysis) ก็โอเคค่ะ
มัทคาดว่าคุณ ศิริกุล ทำงานสายสุขภาพใช่ไม๊ค่ะ ทีนี้งานสายเราจะต่างกับสายสังคมศาสตร์ pureๆ ตรงที่ กรรมการของพวกเรา เช่น journal editors เวลาจะลงพิพม์บทความนั้นยังบังคับให้เราเขียนงานวิจัย ในกรอบที่เรียกว่าเป็น post-positivism พราะฉะนั้นเค้าจะต้องการให้เราทำงานตาม checklist 15 ข้อที่มัทเขียนในบันทึกตอนที่ 1 คือจะต้องทำตามให้ได้มากที่สุด้เท่าที่จะทำได้
2. วิธีการวิเคราะห์ต่างๆ วันนี้ขอตอบคร่าวๆนะคะ เพราะคิดอยากเขียนบันทึกเรื่อง การวิเคราะห์ และ นำเสนองานแยกออกไปเป็นอีกบันทึก
สรุปง่ายๆคือ การวิจัยเชิงคุณภาพมี 2 แบบ คือ top-down กับ bottom-up
-
แบบ top-down คือ นักวิจัยมี framework มี template การ code อยู่แล้ว คือมีชื่อของ categories, subcategories อยู่แล้วจากกรอบแนวคิดที่ได้จากงานวิจัยคนอื่นที่ทำเรื่องคล้ายๆกัน ทีนี้พอได้ข้อมูลดิบมา ก็เอามาเทียบกับ framework หรือ template ที่มี แล้วก็ code การวิเคราห์แบบนี่ เรียกว่า framework analysis บ้าง content analysis บ้าง topical coding บ้าง (แต่คำว่า content analysis มีอะไรมากกว่านี้ค่ะ บางคนใช้คำว่า content analysis ไปในความหมายอื่นด้วย) การนำเสนอก็อาจเป็นตาราง เป็น diagram ที่ได้จากการวิเคราะห์ หรือเขียนเป็นเรื่องๆ เป็น themeๆ ก็ได้แต่เป็น themeหลักๆที่ code มาจาก template ที่เตรียมไว้ จะต่างจากแบบที่กำลังจะกล่างถึงต่อไป
- แบบ bottom-up คือ ดูกันที่ข้อมูลดิบเลยแต่ต้น ไม่ได้มี template เตรียมไว้ ใช้วิธีอ่านหลายๆรอบ เริ่ม code หาข้อความ หรือ คำ หรือ ประโยค ที่น่าสนใจ และ เกิดขึ้นบ่อยๆ หา pattern ของข้อมูล คำที่ใช้มา label หรือ code มักจะเป็นภาษาของ participantsเอง (folk term, emic) แต่การวิเคราะห์แบบนี้ก็ทำได้หลายแบบอีกเหมือนเคยค่ะ thematic analysis ก็เป็นแบบหนึ่งที่หา pattern ในข้อมูลแล้วนำเสนอออกมาเป็น themeๆไป พวกที่ทำ grounded theory ก็มีวิํธีวิเคราะห์ที่เป็นเรื่องเป็นราวมากค่ะทำ open coding ก่อนแล้วทำ axial coding ตามมา
นอกจากน้อน การนำเสนองานวิจัยเชิงคุณภาพยังมีอีกหลายวิธีเช่น
- narrative คือ เล่าเป็นเรื่องเลย มีการเดินเรื่องที่คิดมาอย่างดี
- เอาผลไปวิเคราะห์แบบเชิงปริมาณยังได้เลยค่ะ นำเสนอเป็น descriptive statistics เป็น % เป็น ratio เป็นแผนภูมิต่างๆก็มีคนทำ
- หรือทำเป็น documentary ทำหนังไปเลยก็มี
- บางคนเขียนผลออกมาเป็นบทกวีก็มีค่ะ
3. การสัมภาษณ์ผู้ป่วยสมองเสื่อม
เรื่องนี้มี paper และ textbook ออกมาโดยเฉพาะเลยค่ะว่าใช้เทคนิคอะไรได้บ้าง เช่น ให้นั่งตรงหน้าผู้ป่วยเวลาถาม ห้ามพูดจากข้างหลังหรือข้างๆ ใช้คำถามสั้นๆ พูดชัดๆดัง อย่าใช้เสียงสูง (high pitched voice) เพราะไม่ได้ยิน บางงานวิจัยให้ตอบแต่ yes no
แต่เท่าที่มัทคุยมาก็คุยก็เป็นเรื่องเป็นราวได้ค่ะ แต่ท่านจะตอบซำ้ๆหรือไม่ตรงเรื่องค่ะ คือเข้าใจคำถามเราผิดไป หรือไปรำลึกความหลัง (ชอบเล่าเรื่องเก่าๆที่เหมือนจะเกี่ยวกับงานวิจัยเรา แต่มันไม่เกี่ยว) แล้วก็หลายๆครั้งก็จำไม่ได้จริงๆ แต่หลายๆอย่างเราใช้วิธีสังเกตการณ์ได้ค่ะ ดูสีหน้าท่าทางได้ สัมภาษณ์อย่างเดียวยากค่ะ
ส่วนข้อมูลที่เป็น fact เราก็ดูจาก medical chart ได้ หรือ ถามญาติได้
สิ่งที่ช่วยได้มากคือคุยกับท่านพร้อมญาติ หรือ ผู้ดูแลคู่ใจค่ะ คนที่ดูแลท่านบ่อยๆจะรู้ว่าต้องพูดอย่างไร แล้วคนไข้เองก็คุ้นเคย คุยกันดีค่่ะ มัทสัมภาษณ์พร้อมกันไปเลย เป็นคู่ๆไป เหมือนนั่งคุยกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่การ designและ objective งานวิจัยค่ะว่าทำได้ไม๊
ที่สำคัญคือ ต้องใจเย็นๆค่ะ
หัวข้องานวิจัยคุณ ศิริกุล มัทเคยอ่านเจอค่ะ พอมีตัวอย่างดีๆให้ดูก็ทำให้ง่ายขึ้นเยอะค่ะ ต้องปรับให้เข้ากันบริบทตัวเองเท่านั้นเอง
หวังว่าคำตอบของมัทพอมีประโยชน์บ้่างนะคะ โชคดีนะคะ