ภรรยาผมเป็นครูสอนภาษาจีน เธอได้ทุนไปรับการอบรมเทคนิคการสอนภาษาจีนที่ National Taiwan Normal University, Extension Division for Inservice and Continuing Education ตั้งแต่วันที่ ๒๓ เม.ย. ถึง ๑๑ พ.ค.๕๐ (แปลกใจไหมครับว่าตอนนี้ใครๆ ก็ไปจีนแผ่นดินใหญ่กัน แต่ยังมีคนไปไต้หวันอยู่ เรื่องนี้จะไปตอบในบันทึกตอนสุดท้ายของเรื่องเล่าจากไต้หวัน ตอนการศึกษา)
มีหลายเรื่องที่เธอเล่าประสบการณ์จากการไปใช้ชีวิตในไต้หวัน ๓ สัปดาห์ แล้วผมรู้สึกว่าควรบันทึกไว้ในบล็อก อีกทั้งเพื่อจุดประกายให้คนในบ้านเราได้คิดต่อ ซึ่งจะประกอบด้วยเรื่อง
ซึ่งผมทำหน้าที่เป็น "อักษรเลข" ช่วยบันทึกแยกเป็น ๕ ตอน บันทึกตอนแรกนี้เป็นเรื่องการกินการถ่าย
เรื่องการกิน มีเรื่องที่น่าสังเกตคือร้านอาหารทั่วไปสองข้างถนน เช่น ร้านขายก๊วยเตี๋ยว จะใช้ชามกระดาษ ตะเกียบ ช้อนพลาสติก และแก้วน้ำกระดาษ แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง จากที่เธอสอบถามมาได้ความว่าเคยเกิดโรคติดต่อระบาด เพื่อเป็นการป้องกันการระบาด เขาเลยใช้ภาชนะแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งแบบนี้กัน หลังจากนั้นก็ใช้กันมาเรื่อยๆ แม้ไม่มีการระบาดแล้ว (ดูรูป)
อย่างไรก็ตาม ร้านอาหารที่หรูหน่อยก็ยังคงใช้ภาชนะกระเบื้องเคลือบที่เขาสามารถล้างด้วยน้ำร้อนได้
ผมกับภรรยาคุยกันว่า เรื่องการใช้ครั้งเดียวทิ้งนี้ อาจดีสำหรับสุขอนามัยของชุมชน แต่การใช้ทิ้ง ใช้ทิ้ง หากไม่ระวังก็จะกลายเป็นเคยชิน จนเป็นนิสัยลามไปถึงเรื่องอื่นๆ รวมไปถึงทิ้งพ่อแม่ ทิ้งลูก ตามที่พระไพศาล วิสาโล เคยเขียนเรื่อง Throw Away Culture
ไต้หวันเป็นประเทศอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งใน "เสือ" เอเชีย ที่มีญี่ปุ่นเป็นพี่ใหญ่ มีไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เจริญรอยตาม ประเทศอุตสาหกรรมเหล่านี้ มีลักษณะตรงกันอย่างหนึ่งคือ เศรษฐกิจของประเทศมีพื้นฐานอยู่ที่การผลิต(และการค้า)เพื่อส่งออก แต่ผลิตอาหารเลี้ยงตัวเองไม่ได้ (ยกเว้นญี่ปุ่น) คือผลิตในประเทศได้ไม่พอกิน ต้องพึ่งพา(ซื้อ)อาหารจากประเทศอื่นมาบริโภค ของสิงคโปร์หนักกว่า แม้กระทั่งน้ำดื่มก็ต้องซื้อจากมาเลเซีย ไทยเราจะพัฒนาอุตสาหกรรมไปสักแค่ไหน แต่ต้องยืนหยัดเป็นประเทศที่ "พึ่งตัวเอง" ด้านอาหารให้พอเพียงสำหรับคนในประเทศให้ได้ไว้ก่อนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
เรื่องการถ่าย ที่เธอสังเกตมา คือ ในไทเปมีสุขาสาธารณะอยู่มาก ที่สำคัญคือสุขาเหล่านั้นเป็นแบบนั่งยอง ซึ่งมีรูปทรงแปลกจากบ้านเรา (ดูรูป) คนจากบ้านเราเข้าไปแล้วอาจหันหน้าหันหลังไม่ถูก ในบางห้องน้ำก็มีสติ๊กเกอร์บอกว่าต้องหันหน้าไปด้านที่มีโคมดักการกระเซ็น เสร็จธุระแล้วก็อาจหาปุ่มกดชักโครกไม่เจอ เพราะใช้เชือกหรือโซ่ดึงลงมาจากข้างบน(เหนือศีรษะ)
เรื่องห้องน้ำสาธารณะนี้ภรรยาผมตั้งข้อสังเกตว่า
คุยกันแล้วก็เลยได้ความคิดว่า "แบบ" ของที่ปลดทุกข์ของห้องน้ำสาธารณะที่ใดๆ ก็ตามในบ้านเราควรเป็นแบบนั่งยอง เพราะป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่า (สมมุติฐาน) และการดูแลรักษาความสะอาดก็น่าจะทำได้ง่ายกว่า ส่วนห้องน้ำแบบนั่งใครจะใช้ที่บ้านอย่างไรก็แล้วแต่ความถนัดและความสะดวก
บันทึกในตอนต่อไปจะเป็นเรื่องของการสัญจร โดยเฉพาะการใช้รถไฟฟ้าและรถเมล์ ซึ่งไปๆมาๆ ก็เกี่ยวกับการศึกษาของประชาชนอีก!!!
-ขอให้กำลังใจท่านผู้เขียนสิ่งที่พบเห็นมาเล่าเชิงเปรียบเทียบ ระหว่างบ้านเรา/บ้านเขา เห็นด้วยเรื่อง พฤติกรรมที่แตกต่าง เพราะแตกแยกของความคิด หากเราพัฒนาคนได้ป่านนี้ก็และลิบๆ เพราะเป็นประเทศที่มีคนเรียนจบ Dr.สาขาต่างๆมาก...แต่แปลกมากนะเขาเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้บริหารชาติบ้านเมือง....หาได้ที่นี่...เมืองไทย...
- ผมเคยอยากเรียนต่อเหมือนกันแต่ไม่ทราบว่าจะเรียนมามากทำไมเพราะต้องใช้เงินมากๆ จึงจะได้สิ่งนั้นและขาดสถาบันที่จะให้ถ่ายทอด...โอกาสทำอย่างนั้นได้มีน้อย มีหลายอย่างที่อยากจะพูด....แต่กลัวพูดไปแล้วอาจมีคนไม่ชอบขี้หน้า
- ผมจะติดตามบทบรรยายเชิงเปรียบเทียบของท่านะครับ ต้องขอบคุณผมคงไม่มีโอกาสไปประเทศอื่นๆได้อย่างท่าน...เพราะอยู่บ้านนอก และไม่รวยครับ ก็ได้แต่ดูสารคดีจาก TV.กับข่าวต่างประเทศ และหาดูทางอินเน็ตได้บ้าง หากเกษียณแล้วคงจะขาดโอกาสนี้ เพราะประเทศไทยไม่ส่งเสริมให้คนบ้านนอกมี Internet ก็ว่าได้
ชอบมากค่ะ ทำให้มองเห็นความแตกต่างหลายๆเรื่องหวังว่าคงจะมีเรื่องอื่นๆมาเล่าสู่กันฟังอีก