เริ่มทำงาน


ได้ทำงานจริงๆเสียที

วันที่ 11 พฤษภาคม 2550

วันนี้จะเป็นวันแรกจริงๆของการทำงาน               

เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย เพราะว่าเสียงเด็กๆข้างนอกมันดังกันจนตี 1 กว่าๆ คนเดินก็ได้ยินเสียง ประตูปิดโครมคราม หมอนก็เตี้ย สรุปว่าไม่สบายเอาเสียเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ประมาณ 7 โมงเช้า ได้ยินเสียงฝนตกหนักมากอยู่ข้างนอก ก็เสียวๆอยู่เหมือนกัน เพราะร่มไม่มี หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็จัดผ้าที่ต้องการซักออกมาเพิ่งส่งซัก เขียนจำนวนและรายละเอียดของผ้าแล้วใส่ถุงนำไปวางไว้ที่ที่เขาจัดไว้ แล้วรีบออกไปทันที โชคดีที่ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้ว ที่พักกับป้ายรถบัสห่างกันแค่ 100 เมตร อากาศกำลังสบาย ยืนรอรถประมาณ 5 นาทีก็ได้ขึ้น เช้าวันนี้ผมเจอรถติดแบบสิงคโปร์ คือไม่น่าหนักใจเพราะมันก็ไหลไปได้เรื่อยๆ ใช้เวลา 20 นาทีก็ถึง KKH แล้ว ผมเลยไปลงที่ Little India MRT เพื่อจับรถใต้ดินไปที่ Chinatown MRT แล้วเดินต่อไปยังกระทรวงแรงงานต่อ ทำตามที่เขาแนะนำไว้เมื่อวานทั้งหมด คือกดปุ่มรอคิวตัว H แล้วไปรอที่ชั้น 2 Fernandi ได้รับเอกสารก่อนที่ผมจะมาถึง เขาจึงอยู่รอเป็นเพื่อน แค่ 3 นาทีก็ถึงคิว ผมยื่นบัตรเมื่อวานไปให้แล้วจ่ายเงินอีก 40 เหรียญ ก็ได้ work permit มา เป็นบัตรสีเขียวเล็กๆ ขนาดเท่ากับบัตรประชาชนเรานั่นแหละ เคลือบให้อย่างดี บัตรนี้มีความสำคัญมาก เพราะว่าเวลาที่ผมกลับบ้าน ก็จำเป็นต้องยื่นที่ immigration เสมอ และเมื่อเข้าสิงคโปร์ก็ไม่ต้องกรอกใบขาเข้าเหมือนคนอื่นๆ ก็แค่ยื่นบัตรนี้ให้ดูก็เรียบร้อย ที่ passport ก็จะมีการปั๊มอะไรอีกมากมายที่แสดงให้ทราบว่า เรากำลังทำงานในประเทศสิงคโปร์ ทุกอย่างขั้นตอนที่ทำมาตลอด 4 วันนี้ถึงแม้จะยุ่งยากมาก แต่มันก็ทำให้เราอยู่และเดินทางเข้าออกประเทศเขาอย่างง่ายมากอีกเช่นกัน                

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินทางไป KKH โดยผมแนะนำให้ Fernandi ลองไปลงที่สถานี Bugis บ้าง เพื่อจะได้เห็นว่าเราสามารถโดยสารไปกับ shuttle bus ได้อย่างไร และเมื่อไปถึงก็ได้ขึ้นรถเลยครับ รถคันนี้บริการฟรี ผมเดาว่า KKH คงจะจ่ายให้เขาเอง สังเกตเห็นคนขับจะบันทึกจำนวนผู้โดยสารไว้ด้วย และเนื่องจากผู้โดยสารใช้บริการฟรี เมื่อลงจากรถทุกคนก็จะกล่าวขอบคุณคนขับรถด้วยเสมอ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่น่าชื่นชม                เราสองคนตรงไปยังชั้น 6 ซึ่งเป็นสำนักงานภาควิชา ผมทะเล่อทะล่าเข้าไปโดยหารู้ไม่ว่าประตูที่นี่มันล๊อคอัตโนมัติ เราต้องมีบัตรและมีรหัสเท่านั้น หากไม่มีต้องกดปุ่มเรียกพนักงานแล้วเขาจะออกมารับ แต่ที่ผมสามารถเข้าไปได้ก็เพราะว่าสงสัยมีคนก่อนหน้าเพิ่งเดินเข้าไปไม่นาน มันจึงยังเปิดได้อยู่ Judy ออกมารับและขอเอกสารที่ไปทำมาทั้งหมดไปเดินเรื่องต่อ ไม่นานผมก็ได้บัตรชั่วคราวที่สามารถเปิดประตูได้ เราได้โทรศัพท์กันคนละเครื่อง ที่นี่เขาจะให้โทรศัพท์กับหมอ เพื่อสะดวกในการติดตาม เราสามารถใช้โทรไปที่ไหนก็ได้ ผมยังไม่แน่ใจว่าสามารถใช้ได้กี่นาทีต่อเดือน คุ้นๆที่บีเคยบอกไว้ว่าราวๆ 80 นาที หากเกินกว่านี้ก็โทรออกไม่ได้ รับได้อย่างเดียว เรื่องน่าขันก็คือ มันเป็นรุ่นเดียวกับที่ผมใช้ล่าสุดก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น PDA phone เลย นอกจากนั้นผมยังได้บัตร Kopitiam ซึ่งเป็นบัตรเติมเงินสำหรับทานอาหารในโรงพยาบาล (คาดว่าสามารถใช้กับสาขาข้างนอกได้เช่นเดียวกัน) บีฝาก Judy ไว้ให้ผม (เห็นไหมครับ ว่าผมโชคดีแค่ไหน) บัตรนี้จะทำให้ผมได้กินข้าวในราคาที่ถูกกว่าการจ่ายเงินสดเล็กน้อย นอกจากนี้ Judy ยังได้แนะนำตารางปฏิบัติงานประจำวันว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ต้องลงบันทึกอะไรบ้าง เราได้ logbook เพื่อบันทึกการปฏิบัติงานและการประเมินผล ทั้งนี้น่าจะเป็นการประกันคุณภาพของการฝึกอบรมไปด้วย               

เวลาประมาณ 10 โมงครึ่ง ผมก็แยกย้ายกับ Fernandi เพราะเขาจะกับไปประชุมวิชาการที่อินโดนีเซีย ส่วนผมนั้น Judy พาเดินลงไปยังชั้น B1 เพื่อไปที่คลินิก เพื่อพบ Dr Han ตามที่นัดหมาย ตอนที่ไปนั้นพบว่า Dr Han กำลังไปทำคลอด (ฮั่นแน่ ดูๆไปก็เหมือนหมอสูติที่เมืองไทยเลย) เมื่อเขามาถึงก็ให้ผมเข้าไปนั่งกับคุณหมอ Shukiman ซึ่งเป็น Senior registra ชาวมาเลย์เซีย ที่มาอยู่ก่อนผม เค้ามีเวลาเรียนที่นี่ 9 เดือน จะจบราวๆปลายเดือน มิถุนายนนี้ ถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่เข้าใจวา registra กับ fellow ต่างกันอย่างไร ที่เห็นได้ขณะนี้คือ เขาสามารถนำ round ได้ เขียนบันทึกต่างๆได้ ส่วนผมนั้นไม่สามารถ (มีคนกระซิบว่า เดี๋ยวอยู่ไปก็ได้ทำทุกอย่างเองแหละ) Shukiman เป็นคนน่ารักครับ ใจเย็น พยายามสอนผมบ้าง เนื่องจากคงเข้าใจว่ากะเหรี่ยงอย่างผมคงสับสนแน่ๆ                

ลักษณะ OPD card ของเขาเหมือนกับของ ม.อ. (ในอดีต ก่อนที่มันกำลังจะไม่มีอีกต่อไป) เขาเก็บบันทึกทุกอย่างไว้ใน OPD card กระทั่งการนอนโรงพยาบาล บันทึกการผ่าตัด และใบสั่งยา มันทำให้ง่ายต่อการเปิดดูย้อนหลังได้เป็นอย่างดี ย้อนมาดูระบบของม.อ.บ้าง เรากำลังพยายามใช้ระบบที่ไม่มีกระดาษ โดยจะเอาทุกอย่างใส่ลงไปในคอมพิวเตอร์ ปัญหาที่สำคัญของระบบนี้ก็คือการค้นประวัติเก่ายาก จากเดิมที่แค่เปิดกระดาษก็ได้ข้อมูล เดี๋ยวนี้ต้องเปิดจากคอมพิวเตอร์ทีละหน้าจอ มันไม่สนุกเลย คนไข้บางคนเราเคยวาดรูปการตรวจบางอย่างไว้ ซึ่งมันไม่มีในคอมพิวเตอร์ จริงอยู่ที่มีความพยายามสร้างรูปด้วยโปรแกรม แต่มันจะไปเหมือนกับการวาดด้วยมือได้อย่างไร เครื่องที่บ้านเราไม่ใช่ tablet เสียหน่อย                

คลินิกที่ผมอยู่เป็นคลินิกเฉพาะ ฉะนั้นจึงมีคนไม่พลุกพล่านนัก ทุกคนจะได้คิวแล้วเข้ามานั่งรอ ไม่มีการเรียกชื่อเพราะเขาจะดูที่หน้าจอเอาเอง และในห้องตรวจจะมีพยาบาลหลายคน ลักษณะที่เด่นคือเขาสามรถพูดได้หลายภาษา อย่าลืมว่าคนตั้งหลายเชื้อชาติมาอยู่ที่สิงคโปร์ ดังนั้นคนไข้บางคนพูดภาษาจีนกลาง ภาษามาเลย์ และภาษาอังกฤษ ในห้องตรวจยังมีเครื่อง bladder scan เครื่อง ultrasound และข้างๆห้องเป็นเครื่องตรวจ urodynamic เตียงตรวจจะไม่ใช่เตียงตรวจภายในเหมือนบ้านเรา แต่เป็นเตียงนอนราบปรับให้สูงต่ำด้วยไฮโดรลิก การตรวจร่างกายจะทำ 2 ท่าคือท่านอนตะแคงและนอนหงาย มีการตรวจข้างเตียงง่ายๆคือ ให้คนไข้ไอ 10 ครั้ง แล้วดูว่ามีปัสสาวะเล็ดราดออกมาหรือไม่ หากมีก็เอาแผ่นรองไปชั่งน้ำหนักก็แค่นี้เอง Shukiman ตรวจไปสักพัก Dr Han ก็จะเข้ามาดูเป็นระยะแต่ดูทุกราย ถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าปัญหาเรื่องภาษาเริ่มมีแล้วสิ เพราะ Dr Han พูดภาษาอังกฤษสำเนียงจีน ผมฝังรู้เรื่องประมาณ 70-80 % (ทำใจได้ตั้งแต่ฟังเขาบรรยายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแล้ว)               

เวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงแล้วล่วงเข้ามาบ่าย หิวก็หิวเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกลงไปในท้องเลย กาแฟก็ไม่ได้กิน (เป็นไปได้เหรอเนี่ย) จนเวลา 13.15 Dr Han ก็บอกให้ผมตาม Shukiman ขึ้นไปยังห้องผ่าตัด ห้องผ่าตัดของที่นี่อยู่ชั้น 2 คุณพี่ Shukiman เดินพาผมไปเรื่อยๆ ในใจผมก็นึกว่า จะไม่กินข้าวกันหรืออย่างไร ไม่นานก็ได้ทราบความจริงว่า ที่นี่จะมีอาหารเที่ยงเลี้ยงทุกคน ผมเดาว่าหน่วยใครหน่วยมันนะ เขาจะเขียนติดแยกเอาไว้ กล่องของผมเป็นก๋วยเตี๋ยวราดน้ำแกงกะหรี่ ผมก็นั่งกินด้วยอารามหิวสุดๆ หาช้อนไม่เจอก็กินกับส้อมก็แล้วกัน คุณป้าแก่ท่านหนึ่งเห็นแล้วคงรู้ว่ามีกะเหรี่ยงมาใหม่ จึงเดินไปหยิบช้อนพลาสติกมาให้ หลังจากอิ่มแบบจุก (คุณพี่ Shukiman กินเร็วกว่ารถด่วนเสียอีก) ก็เดินออกมาหาห้องผ่าตัดหมายเลข 6 ปรากฏว่าวันนี้การผ่าตัดเสร็จหมดแล้ว เราจึงแยกย้ายกัน เขาไปห้องสมุด (อุตส่าห์พาผมเดินไปดูอีก) ส่วนผมต้องลงไปที่คลินิก เพราะวันนี้ช่วงบ่ายผมต้องนั่งกับ Dr Roy Ng อาจารย์ท่านนี้เคยเป็นหมออยู่ที่  KKH นี่แหละ เพียงแต่ตอนนี้ลาออกไปทำ private practice (ไม่ทราบเหมือนกันว่าเปิดคลินิก หรือไปอยู่โรงพยาบาลเอกชน) ที่ KKH เชิญท่านมาช่วยตรวจสัปดาห์ละครั้ง สังเกตได้ว่า ที่คลินิกจะมีหมอนั่งตรวจอยู่ทั้งวัน เช้าจรดเย็น ดังนั้นที่ KKH จึงต้องเชิญ (จ้าง) หมอจากที่อื่นมาช่วยตรวจ วิธีนี้ทำให้คนไข้ทุกคนได้รับการตรวจแน่ๆ (แต่ผมยังไม่รู้ระบบการนัดของเขาเลยนะ)                

ระหว่างนั้นผมก็โทรศัพท์ไปหาคุณอุ๊ คนไทยที่ทำงานอยู่ที่นี่ (เมื่อคืนเปิด mail พบว่า มาเรีย เพื่อสมัยอยู่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี ได้แนะนำผมไว้กับเขา และบอกว่าน่าจะมีบ้านให้พัก จึงให้เบอร์ไว้ติดต่อ) ก็แนะนำตัวและแจ้งความประสงค์ คุณอุ๊บอกว่ามีคนรู้จักมีบ้านหลังหนึ่งว่างอยู่หลายห้อง วันอาทิตย์จะไปดูด้วยกัน อีกที่หนึ่งคือบริเวณถนน Orchard เป็นห้องที่มีนักเรียนไทยอาศัยอยู่ ผมอาจจะขออยู่ร่วมจ่ายค่าห้องได้ ทั้งสองที่นี่อยู่ใกล้ KKH มากกว่า SIC มากDr Roy Ng เข้ามาที่คลินิกราวสองโมง ท่านเป็นคนใจดีมากๆ ยิ้มเสมอ และเก่ง ท่านพยายามสอนผมตั้งหลายเรื่อง การตรวจคนไข้ก็ทำอย่างละเอียด มีการแนะนำตัวเองและผมกับคนไข้และญาติเสมอ ขออนุญาตก่อนตรวจ ขณะตรวจก็จะขอโทษคนไข้หากทำให้เจ็บ เรียกลูกเข้ามาดูเวลาตรวจพบความผิดปกติใดๆ ผมประทับใจมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ผมง่วงจริงๆ ไหนเมื่อคืนจะไม่ค่อยได้นอน ตื่นเช้าก็ยังไม่ได้กินกาแฟ อาการปวดหัวก็เริ่มมาหน่อยๆ แต่ไม่หลับนะครับ (แค่เกือบ) เราเลิกงานประมาณ 17.20 น. เห็นไหมครับง่าเขาทำงานกันหามรุ่งหามค่ำเลย ออกจากคลินิกก็เดินไปศูนย์อาหาร Kopitiam ผมเติมเงิน 20 เหรียญ แล้วเลือกกินราเมนเนื้อในราคา 3 เหรียญ ลดอีก 20 เซ็นต์ ได้มาชามโต พยายามกินจนหมด เนื่องจากจะไม่กินอีกหลังจากนี้ เสร็จแล้วหาน้ำเปล่ากินไม่ได้เลย จึงไป 7-11 ซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่ในราคา 1.6 เหรียญแล้วจึงขึ้นรถกลับหอพัก ระหว่างนั้น Jessica ก็ส่ง SMS  มาบอกว่า พรุ่งนี้เที่ยงจะมีนัดเลี้ยงหมอไทยที่มาเรียนที่นี่กัน ให้ผมไปเจอเขาเวลา 12.30 น.ที่ City MRTวันนี้ของผมสามารถผ่านไปได้อย่างดีตามประสาคนบ้านนอก ได้อาศัยความช่วยเหลือเกื้อกูลจากคนหลายๆคน  นอนอ่านหนังสืออีกสักพักก็หลับไป

หมายเลขบันทึก: 95773เขียนเมื่อ 12 พฤษภาคม 2007 10:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน 2012 13:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

ที่ Singapore General Hospital  กับ KKH อยู่ใกล้กันไหมครับ    แล้วหาคนไทยที่ทำงานอยู่เจอยัง      คนสิงคโปร์ทำงานหนักจริงเห็นด้วย   ไว้ค่อยแวะเข้ามาเยียมใหม่อย่าลืมเขียนเล่าละ

SGH อยู่ที่ใกล้ๆกับ Chinatown บริเวณ Outram MRT

KKH อยู่แถว Little India MRT ฉะนั้นหากมีเงินก็ขึ้นรถไฟฟ้า 7 นาทีก็ถึงแล้วครับ

วันนี้เจอหมอไทยแล้ว มีอีก 4 คน เลยฉลองด้วยการเดินคุยกันตั้งแต่ 2 โมงยัน 3 ทุ่มเลยครับ เขารับน้องใหม่ด้วยการพาเดินเที่ยวหลายที่ครับ เดี๋ยวจะลงบันทึกให้อ่านอีกครับ

อ่านแล้วพลอยรู้สึกเหนื่อยไปด้วยเลยค่ะ ภาษาอังกฤษแบบสิงคโปร์นี่ ชาวออสซี่เค้ายอมรับกันแล้วนะคะ (แบบมีล่ะ..ล่า..ต่อท้ายด้วยน่ะค่ะ)

ผมไม่ได้รังเกียจคนไทยหรอกนะครับ แต่อยากแนะนำเหมือนเดิมว่า ถ้าเป็นไปได้ และไม่ได้เสียมารยาทจนเกินไป หาที่อยู่ไกลๆกันหน่อย ไม่งั้น ความเป็นคนไทยด้วยกัน จะทำให้เราต้องหาเรื่องมาเจอกัน บ่อยจนลืมไป ทำตัวเหมือนอยู่เมืองไทย คือ พูดไทย กินอาหารไทย ดูหนังไทย

เรื่องนั้นกลับมาทำบ้านเราก็ได้ครับ 

 

สวัสดีค่ะคุณ..ธนพันธ์ ชูบุญ

  • ครูอ้อยค่ะ..คุณหมอเต็ม..แนะนำให้ครูอ้อยพูดคุยได้เรื่องเมืองสิงคโปร์
  • เมื่อปี 254 ครูอ้อยก็ได้เดินลุยในสิงคโปร์..อยากคุยเพื่อเป็นประสบการณ์  แต่เกรงใจ..จะมีคนว่า..คุยโอ่  ครูอ้อยเห็นคุณหมอเต็มไปสิงคโปร์  จึงพูดคุยด้วยค่ะ
  • จากนั้นคุณหมอเต็ม..ก็แนะนำให้ครูอ้อยคุยกับคุณค่ะ

ยินดีนะคะ

  • ครูอ้อยขอมาเติม พ.ศ.2548 ค่ะ อิอิ  เผลอไปนิดนึงค่ะ
  • ไปเที่ยว...มุสตาฟา  หรือยังคะ  อิอิ  ครูอ้อยชอบชอคโกแลต  ถูกมากค่ะ  มีให้เลือกหลายอย่างค่ะ 

อย่าถือนะคะ..ครูอ้อยเป็นผู้หญิงค่ะ

แค่เดินผ่านครับ

ปลายเดือนหน้าผมจะย้ายไปอยู่แฟลตแถวนั้นครับ ราคาถูกกว่ากันมาก แถมใกล้ที่ทำงานอีกต่างหาก ไม่ต้องเสียค่ารถเมลครับ

  • ครูอ้อยชอบเดินแถวนั้นค่ะ  ไม่นั่งรถเมล์ล่ะค่ะ  
  • ที่พักของครูอ้อยอยู่คนละฝั่งทีเดียวค่ะ...เคยไปเดินแถวถนน Orchard  หรือเปล่าคะ  ครูอ้อยเขียนชื่อถนนผิดแน่เลยค่ะ...ชื่อที่พัก SEAMEO RELC ค่ะ
  • คุณหมอพูดน้อยนะคะ

คุณหมอพูดน้อยนะคะ

หมอคนนั้นคงไม่ใช่ผมครับ เพราะหมอธนพันธ์พูดน้ำไหลไฟดับได้ครับ ที่คณะจึงจับมาให้เป็นพิธีกรและพูดจำอวดบ่อย ผมได้ไปเป็นวิทยากรตามโรงเรียนหลายแห่งในหาดใหญ่ด้วยนะครับ ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ว่าผมพูดน้อยครับ

ว่าแต่ว่าครูอ้อยไปทำอะไรที่เมืองลอดช่องล่ะครับ อยู่นานเท่าไหร่ ค่าเช่าบ้านแพงไหมครับ ตอนนี้เล่นเอาผมจนไปเลย

  • นั่นไง...พูดเยอะขึ้นค่ะ...หลังจากถูกต่อว่าก่อน..อิอิ  ครูอ้อยมีอุบายค่ะ
  • อ๋อ..ครูอ้อยเป็นนักเรียนทุน...อูย..ไม่ใช่ค่ะ...เป็นครูทุนค่ะ...ไปเรียน  อบรม  ศึกษาดูงาน  หลายๆอย่าง 3 สัปดาห์ค่ะ  
  • พักที่พักที่ทางราชการจัดให้...เรื่องของครูทุนค่ะที่ SEAMEO RELC ไงล่ะคะ
  • แต่ก็เที่ยวเก่ง  เดินจนปรุเมืองไปเลยค่ะ  ร้านอาหารไม่เคยได้เงินครูอ้อยค่ะ...กินมาม่าทุกวันค่ะ  สลับกับโจ๊ก   ครูอ้อยผอมหุ่นดีเลยค่ะ

สวัสดีครับพี่ๆ

ผมขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นน้องชายอีกคน

ผมเรียนวิศวะ กำลังจะจบ วิศวะโยธา ป.โท

ที่กรุงเทพฯ

สนใจจะไปทำงานที่สิงคโปร์ครับ

อยากไปทำงานแบบอินเตอร์หน่อยหนะครับ

ว่างๆจะแวะเข้ามาใหม่ครับ

 

น้องต้า

สวัสดีครับน้อง วิษณุพงศ์
ยินดีที่ได้รู้จักครับ

ที่นี่น่าจะมีงานทำที่ดี รายได้งาม แต่ค่าครองชีพสูงพอใช้เลยทีเดียวครับ

ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง สนิทกันมากตั้งแต่มัธยม จบ doctor จาก Ohio มาสมัครงานที่นี่ ปรากฏว่าเขาไม่รับครับ ตอนนี้เลยทำงานอยู่ที่ USA รวยไปเลย 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท