เมื่อเริ่มต้นที่เราเรียนรู้ ที่จะทำความดี ที่จะพํมนาความคิดและจิตวิญญาณของเรา เรามักจะมีอัตตาของความคิดตนเอง เรื่องที่ว่าเรามักจะดีกว่าคนอื่นๆเสมอด้วย จนบางครั้งเรามองไม่ค่อยเห็นความดีของคนอื่น มักจะเห็นแต่ความไม่ดี และความด้วยกว่าทางความดี
เมื่อเราเริ่มคิดในทางบวก เรารู้จักชื่นชม ความแตกต่างที่เกิดขึ้นคือเราจะรูสึกสงบสุขมากกว่าที่เรามองแบบแรกมาก เกิดการยอมรับที่ง่ายกว่าเดิม แต่บางครั้งก็ยังสลัดความไม่ดีของคนอื่นออกไปไม่ได้ ยังติดอยู่ในความคิด ความเคยชินอยู่
ต่อมาเมื่อเราเริ่มเรียนรู้ว่าความไม่ดีของคนอื่น เป็นความไม่ดีในความเห็นของเรา เป็นสิ่งที่เราตัดสิน ถ้าเรามองสิ่งที่ปรากฏด้วยใจที่เป็นกลาง มองอย่างเข้าใจ และที่สำคัญลองคิดว่าถ้าเราทำแบบนี้บ้าง เขาก็คงไม่ชอบใจเหมือนที่เรารู้สึก และลองย้อนสำรวจตัวตนของเราในอดีตที่ผ่านมา เราก็อาจจะเคยกระทำเช่นนนี้ หรือแนวนี้บ้างเหมือนกัน
การมองทั้ง 3 ระดับของผมที่กล่าวเป็นความคิดที่ผมรู้สึกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เป็นตัวอย่างของการยกระดับ ทั้งเรื่องการมอง(paradigm) และลักษณะการตอบสนองหรือปฏิกิริยาของจิตใจเราต่อเรื่องราว ต่อสิ่งที่มากระทบ
สวัสดีค่ะคุณหมอสุพัฒน์ kmsabai
ชอบที่คุณหมอสรุปไว้ ๓ แบบค่ะ ชัดเจนดีค่ะ
แบบแรกสำหรับตัวเองแทบไม่เป็นแล้วค่ะ เพราะเห็นเป็น fault ของตัวเองเสียมากกว่า
แบบที่ ๒ ที่ยังสลัดความไม่ดีของคนอื่นออกไปไม่ได้ อันนี้ยังเป็นอยู่ค่ะ เป็นบางครั้งเวลาเขามาแสดงความไม่ดีให้เห็นอีกแล้ว ; )
สำหรับการตระหนักแบบที่ ๓ นั้น ก็เกิดบ้างเหมือนกันค่ะ อันนี้สำหรับตัวดิฉันจะเกิดประกอบกับการมองแบบ ๑ ค่ะ คือเห็นว่าเป็นความคิดที่ไม่ดีของเราเอง เป็น fault หรือจุดอ่อนของเราเองค่ะ..
ดีแล้วครับถ้าสามารถมองได้แบบ นั้นเราน่าจะ นิ่งได้กับทุกสถาณการณ์ ไม่หวั่นไหวไปตาม การแปรเปลี่ยนของคน ทุกวันนี้ก็พยายามฝึกอยู่ เหมือนกัน