วันที่ ๘ พ.ค. ๕๐ สภามหาวิทยาลัยมหิดลไปเยี่ยมชื่นชมสถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ สรุปภาพรวมของสถาบันอ่านได้ที่นี่ และที่ website : www.il.mahidol.ac.th
ชื่อสถาบันอาจบอกไม่ค่อยชัดว่าทำอะไร แต่ถ้าดูชื่อภาษาอังกฤษว่า Institute for Innovation and Development of Learning Process ก็ชัดเจนว่าเป็นสถาบันพัฒนากระบวนการเรียนรู้
รศ.ดร.ภิญโญ พานิชพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันเล่าว่า กำเนิดของสถาบันมาจากข้อตกลงระหว่าง สสวท. กับ มหาวิทยาลัยหลายแห่งในการจัดหลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา ซึ่ง มก. เริ่มดำเนินการเป็นมหาวิทยาลัยแรกในปี ๒๕๔๔ ตามด้วย มศว. ในปี ๒๕๔๕ และม.มหิดลในปี ๒๕๔๖ แต่ในปี ๒๕๔๙ ม.มหิดลรับนักศึกษามากที่สุด
ในปัจจุบันสถาบันฯ ทำงานด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ แต่กำลังมีแผนที่จะขยายไปสู่ด้านภาษาและศาสนา
ข้อที่ผมชื่นชมสถาบันนวัตกรรมฯ เป็นพิเศษ ได้แก่
๑. เป็นจุดเริ่มต้นของการที่มหาวิทยาลัยมหิดลจะเข้าไปรับใช้ประเทศ ในด้านการสร้างนวัตกรรมของกระบวนการเรียนรู้ โดยเริ่มต้นจากสาขาที่ ม.มหิดลมีความเข้มแข็งก่อน คือ ด้านวิทยาศาสตร์ แล้วจึงค่อยๆ ขยายไปสู่การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ในสาขาอื่นๆ ต่อไป เป็นการสร้างหน่วยงานระดับคณะ ด้าน "การศึกษา" ในรูปแบบที่ฉีกแนวไปจากเดิม และเข้าใจว่าสถาบันนวัตกรรมฯ จะเป็นฐานของการก่อตั้งคณะด้านการศึกษาในแนวใหม่ต่อไป
๒. ผมชื่นชมความเล็กของสถาบันฯ และมองว่าเป็นจุดแข็งและสถาบันควรเน้นดำรงจุดแข็งนี้ ไม่ควรใช้วัฒนธรรมขยายปริมาณหรือขนาด
๓. ผมชื่นชมวิธีการจัดการเรียนรู้ของ นศ. ป.เอก-โท ในแนวใหม่ที่ผมเรียกว่าเป็น action learning และ team learning เพื่อสร้างวัตถุหรือแบบจำลอง สำหรับช่วยความเข้าใจปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ จากปัญหาที่นักเรียนเรียนบางเรื่องแบบไม่เข้าใจจริง ครูเองก็ไม่เข้าใจจริง นศ.ป.เอก-โท จับประเด็นปัญหาแบบนี้เอามาคิดทำแบบจำลองให้หยิบจับได้ มีรายละเอียดใช้อธิบายให้เข้าใจสิ่งที่ซับซ้อนได้ แล้วเอามาใช้อธิบายให้เพื่อนนักเรียนฟัง ได้รับคำถามหรือข้อคิดเห็น ก็กลับไปปรับปรุงใหม่ จนในที่สุดได้แบบจำลอง หรืออุปกรณ์ช่วยการเรียนรู้ที่มีรายละเอียด ราคาถูก และคุณภาพสูง เท่ากับนักศึกษาทำหน้าที่เรียนไปผลิตไป สอนเพื่อนไป ซึ่งเป็นวิธีการเรียนรู้ที่วิเศษที่สุดตามหลักของการเรียนรู้ที่เรียกว่า Learning Triangle
๔. ผลงานจากการเรียนรู้ตามข้อ ๓ ได้เป็นแบบจำลองเสริมการเรียนรู้อุปกรณ์ และสื่อมัลติมีเดีย ที่เป็นที่นิยมมาก โรงเรียนต่างๆ สั่งซื้อเข้ามาทุกวัน ถือเป็นงานบริการวิชาการรูปแบบหนึ่ง ตัวอย่างเช่น แบบจำลองดีเอ็นเอ แบบจำลองโครงสร้างโปรตีน แบบจำลองหน่วยการทำงานของกล้ามเนื้อ เป็นต้น
๕. ในกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของนักศึกษา (และอาจารย์) ตามข้อ ๓ มีการประยุกต์ใช้ KM ไปในตัว เพราะนักศึกษามาจากหลายสาขาของวิทยาศาสตร์ เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตศาสตร์ เมื่อมาเรียนร่วมกัน ก็เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยอัตโนมัติ เป็นการใช้กระบวนการ KM ในการสร้างความรู้ใหม่ขึ้นมา ที่เป็นความรู้ว่าด้วยการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์
๖. ชื่นชม "ความมีน้ำใจ" ในการให้บริการวิชาการแก่สังคม โดยการไปเป็นวิทยากรฝึกอบรมครูในที่ห่างไกล ในเรื่องเทคนิคการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และสถาบันฯ ไปพบสถานการณ์ที่ผู้มาฟังเรียกร้องค่ารถและค่าอาหารฟรีจากวิทยากรเสียอีก แต่ทางสถาบันก็ไม่เข็ด
๗. ศาสตร์ว่าด้วยการเรียนรู้ เป็นศาสตร์ชั้นสูง เป็นศาสตร์ที่ท้าทายและมีทั้งส่วนที่เป็น "ศาสตร์" และ "ศิลป์" อยู่ด้วยกัน การพัฒนาองค์ความรู้ด้านนี้ จึงต้องมีพลังขับเคลื่อนความท้าทายนี้ ที่ผมเรียกว่า passion หรือความคลั่งไคล้ จึงเป็นโชคดีที่สถาบันฯ ได้ ผู้อำนวยการ (รศ.ดร.ภิญโญ พานิชพันธ์) และรองผู้อำนวยการ (รศ.ดร.พิณทิพ รื่นวงษา) ที่คลั่งไคล้คนละแบบ แต่เสริมพลังกันได้พอดี ทำให้บรรยากาศของสถาบันเป็นบรรยากาศที่เอาจริงเอาจังแบบสนุกและมีวิญญาณของการเล่น (playful) ให้เราสัมผัสได้ ในบรรยากาศเช่นนี้พลังสร้างสรรค์จะหลั่งไหลออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ
ในบรรยากาศเช่นนี้ นวัตกรรมจะเกิดขึ้นเองโดยที่ไม่ต้องเครียด เพราะมันมากับความสนุกและขี้เล่น (แต่ทำจริงคิดจริง) ของสมาชิก
วิจารณ์ พานิช
๙ พ.ค. ๕๐
ไม่มีความเห็น