ผีจัดระเบียบ


ผีก็เหมือนครู ชาวบ้านก็เหมือนนักเรียน ถ้าครูสอนดี สอนถูก ก็เป็นผลดีกับนักเรียน ถ้าครูสอนไม่ดี ไม่ถูก ก็เป็นอันตรายกับนักเรียน

      เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา  ผมไปพักที่ปิฑารมณ์รีสอร์ท  เกาะพีพี จังหวัดกระบี่  รีสอร์ทแห่งนี้สร้างอยู่บนเนินเขาประมาณ 56 หลังมีบันไดเชื่อมให้เดินขึ้นเขาติดต่อถึงกันทุกหลัง  แต่ละหลังสร้างได้น่าอยู่มาก  มองจากข้างล่างเวลาค่ำคืนจะเห็นแสงไฟที่บ้านแต่ละหลังดูสวยงามมากทีเดียว และรีสอร์ทแห่งนี้โชคดีมากที่ไม่ได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิที่ผ่านมา
      ดังนั้นแม้ว่าที่นี่ราคาค่อนข้างสูง  แต่ก็มีแขกจากต่างประเทศมาพักกันไม่ขาด  เวลาเราเดินบนเส้นทางตามซอยในเกาะพีพีที่ค่อนข้างคับแคบ  จะเห็นป้ายปักเป็นแนวตรงไป บอกว่า "เส้นทางหนีคลื่นยักษ์สึนามิ" ตรงดิ่งไปที่รีสอร์ท แห่งนี้  และบริเวณใกล้ๆกันก็มีหอเตือนภัยตั้งไว้ถึง 4 จุด   ...ด้วยหลักประกันความปลอดภัยอย่างนี้กระมังจึงทำให้รีสอร์ทแห่งนี้มีชาวต่างประเทศไปพักกันมิได้ขาด  ตอนผมไปพักไม่เห็นคนไทยเลย   ผมเองคงไม่มีปัญญาจ่ายค่าที่พักเหมือนกัน  ก็อาศัยบารมีจากความเป็นครูที่ลูกศิษย์ซึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ทเขารบเร้าอยากให้ครูไปเยี่ยมและไปพักผ่อนด้วย  พอดีเราจัดสรรเวลากันได้ในครอบครัวจึงได้ไปกัน
       วันแรกที่ไปได้ดูภาพถ่าย  เห็นร่องรอยจริง  และฟังเรื่องเล่าจากเจ้าของรีสอร์ทถึงเหตุการณ์วันนั้น  โดยเฉพาะการเสียชีวิตของผู้คนบนเกาะเป็นจำนวนมาก  จนเป็นภาพติดตามาถึงตอนกลางคืน  ผมนั่งมองออกไปจากระเบียงที่พักบนเนินเขาลงมาบนพื้นเกาะ  ทำให้เกิดความรู้สึกในอนิจจัง และเกิดความหดหู่ใจ  จึงนั่งสวดมนต์พร้อมทั้งอุทิศส่วนกุศลไปให้ดวงวิญญาณทุกดวง ณ ที่แห่งนั้น  ฉับพลันขนก็ลุกซู่ทั้งตัว  ซึ่งคล้ายกับรับรู้ได้ว่าเขาได้รับผลบุญที่เราอุทิศให้แล้ว  ผมจึงทำเยี่ยงนี้ทั้งสองคืนที่ไปพัก
       กลับมาถึงบ้านยังนึกถึงภาพเหล่านั้นติดตา    แล้วก็นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่เป็นบรรยากาศใกล้เคียงกัน  จึงขอนำมาเล่าให้เป็นเรื่องตลกและให้แง่คิดไปด้วย 
     
เป็นนิทานที่ ดร.พนม พงษ์ไพบูลย์ อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เล่าให้ฟัง สรุปความได้ว่า
      ที่วัดแห่งหนึ่งมี
ผีอยู่หลายตน ผีตนหนึ่งเป็นผีที่ซุกซน ชอบมาเล่นกับคนที่มาวัดและอยู่วัดตอนกลางคืน วันหนึ่งที่วัดแห่งนี้มีงานประจำปี มีการละเล่นการแสดงต่าง ๆ หลายอย่าง มีคนมาช่วยงานวัดกันมากมาย พอตกดึกคนมาช่วยงานก็เริ่มอ่อนเพลีย จึงขึ้นไปนอนเรียงรายกันบนศาลาวัด
     พอทุกคนหลับไป ผีซุกซนก็ออกมา เห็นคนนอนกันมากมาย ก็รู้สึกสนุก อยากเล่นกับคน เห็นแต่ละคนนอนกันไม่เป็นระเบียบ ก็รู้สึกขัดตา จึงเข้าไปจับโยกย้ายให้นอนเป็นแถวเป็นแนว แล้วก็ถอยออกมาดูผลงานของตนว่าเป็นระเบียบพอใจหรือยัง
     พอดูสักครู่ ก็ยังไม่พอใจ เพราะเห็นเท้าไม่เป็นระเบียบ จึงเข้าไปดึงเท้าของทุกคนให้เสมอกัน แล้วมายืนดูผลงาน ก็ยังไม่พอใจเพราะหัวคนไม่เสมอกัน จึงเข้าไปจัดหัวใหม่ให้เสมอกัน แล้วมาดูผลงาน ก็ยังไม่พอใจอีก เพราะเท้าไม่เสมอกัน จึงเข้าไปจัดเท้าใหม่
      จัดเท้า จัดหัวอย่างนี้หลายครั้ง จนใกล้สว่าง ก็ยังไม่เสมอกัน จนผีรู้สึกอ่อนใจ และเริ่มเกิดโมโห จึงเข้าไปจัดใหม่ คราวนี้ ถ้าใครหัวหรือเท้ายาวไป ผีก็กดหัวกดเท้า บีบให้หดสั้นเข้า ใครสั้นไปก็จับหัว เท้าดึงยืดออก คราวนี้ผีทำได้สำเร็จ แต่ทำได้ 5 คน ก็พอดีสว่าง ผีจำเป็นต้องไป จึงจัดระเบียบแถวไม่เสร็จทุกคน
     
ผลการจัดแถวของผี ทำให้คน 5 คน ที่ถูกผีจับยืด จับหด กลายเป็นคนผิดปกติพิกลพิการไป โชคดีที่ผีจัดระเบียบแถวไปได้ไม่กี่คน เพราะสว่างเสียก่อน มิเช่นนั้นคนทั้งศาลาวัดร่วม 100 คน คงต้องกลายเป็นคนพิการหมด...

คำสำคัญ (Tags): #จี้ใจได้สาระ
หมายเลขบันทึก: 95663เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2007 16:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

จี้ใจและได้สาระจริง ๆ ครับ ท่าน ศน. ขอบคุณครับและจะติดตามเรื่องต่อไปครับ

หวังว่าหอเตือนภัย หรือทางหนี คงจะไม่ได้ใช้ตามเจตนารมณ์ของการสร้าง

เพราะอย่าเกิดขึ้นอีกเลยครับ

ก็หวังเช่นนั้นเหมือนกันครับ  แต่คงจะประมาทไม่ได้ เพราะภัยธรรมชาติระยะนี้เกิดค่อนข้างถี่  ดังที่เคยอ่านพบบทกลอนที่ว่า...
          "ใครจะไว้ใจอะไรตามใจเถิด 
            แต่อย่าเกิดไว้ใจในสิ่งห้า  
            หนึ่งอย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา 
            สองสัตว์เขี้ยวเล็บงาอย่าวางใจ  
            สามผู้ถืออาวุธสุดจักรร้าย  
           สี่ผู้หญิงทั้งหลายอย่ากรายใกล้ 
          ห้าพระมหากษัตริย์ทรงฉัตรชัย 
          หากไว้ใจหรือประมาทอาจตายเอย"
     ...ใครจำได้ว่าอยู่ในวรรณคดีเรื่องใดเอ่ย?

สวัสดีค่ะอาจารย์

บรรยากาศ น่ากลัวจังเลยค่ะ 

ขออย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย สาธุ

ตามมาอ่านค่ะอาจารย์ น่ากลัวจริง ๆเลยค่ะ  ขนลุกตามไปด้วยเลยค่ะ
   หลวงพ่อเคยบอกว่า  ไปพักค้างคืนที่ไหน ควรสวดมนต์ไหว้พระ และอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณต่างๆที่สิงสถิตย์ ณ ที่นั้นๆ  รวมทั้งสัมภะเวสี หรืออสุรกาย ที่ยังล่องลอยเพื่อรอรับผลบุญจากบุคคลต่างๆที่ผ่านไปมา  เวลาอุทิศส่วนกุศล เราอาจไม่มีพลังพอที่จะส่งผลบุญให้เขาได้  ก็ต้องอาศัยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นสื่อนำผลบุญจากเราไปให้  ถ้าเราสามารถจูนกันได้เหมือนคลื่นวิทยุเขาก็จะได้รับผลบุญไปด้วย  ใครจะว่าคร่ำครึก็ช่าง  แต่อย่างน้อยเราก็สบายใจที่เป็นผู้ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน (ไม่ได้ให้มาบอกหวยให้)  เท่ากับลดละกิเลสในจิตใจเราด้วย ... ไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก  เขาน่าสงสารออกจะตายไป
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท