เรื่องเล่าจากหนังสือแห่งการต่อสู้


อ่านแล้วอาจทำให้คุณน้ำตาซึมได้ครับ
บะหมี่น้ำหนึ่งชาม

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
วันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ที่ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" บนถนนซัปโปโร
การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี

"
ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน
ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง
โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่
แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน
ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ

เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ
และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่านี้ พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป ในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน
ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน
คนหนึ่งอายุประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งอายุประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน
เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ

"
เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา
หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า "ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ"
เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก "ได้ค่ะ
ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ เชิญนั่งก่อนค่ะ"
เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง
แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน
เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม
ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง
"
ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด "แม่ทานหน่อยสิครับ"
ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม
จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า "ขอบคุณมากค่ะ (ครับ) "
บะหมี่อร่อยมากค่ะ (ครับ)" พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
"
ขอบคุณมากค่ะ (ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ครับ)"
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ

ทำงานไปวันแล้ววันเล่า ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น
และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง
ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ "ฮอกไก"
ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา
สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
22.00
น. กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น
ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน
พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่าและเชย
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง

"
ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั้ยคะ"
"
ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"
เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง
ตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง
"
ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
"
นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"
"
ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั้ย"
สามีตอบพลางแล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า
"
เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"
ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก

สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง
เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
"
หอมจังเลย... ยอดไปเลย... อร่อยจริง ๆ"
"
ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"
"
ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีน่ะสิ"
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
"
ขอบคุณค่ะ (ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ครับ)"
มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป
สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง
ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00 น. ไปแล้ว
สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00 น.
พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป
พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียน ไว้ว่า
"
บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง
แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน"
30
นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ

22.30
น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น
พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเกตที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อน ดูหลวมและไม่พอดีตัว
เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม

"
เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ
มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย
ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ ว่า
"
รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมคะ"
"
ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"
เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง
แล้วรีบเอาป้าย "จองแล้ว" ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า
"
บะหมี่น้ำสองชาม"
"
ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"
เถ้าแก่พลางตอบพลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน
สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน
ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย

"
ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"
"
ขอบคุณ?"
"
ทำไมครับ"
"
เรื่องเป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป
ได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น
ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"
"
เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร
"
แต่เดิมนั้น เราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม
แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
"
จริง ๆ หรือครับแม่"
"
จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์
ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่
ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่น ๆ อีก
จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"

"
ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ
แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"
"
ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชาย
เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"
"
ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ"
"
แม่ครับ ผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือ
ในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน
โรงเรียนของน้องได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง
คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า
เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด
เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อนๆของน้องนะครับ
ผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"
"
จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"

"
หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ 'ความปรารถนาของข้าพเจ้า'
น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ
แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"

"
เรียงความเขียนว่า... หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว
ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้
คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน
แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย..."

"
ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม
พวกเราสามแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำอร่อยมาก...
สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว
คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก
แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก
เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป
พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด..."
"
ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่
แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย
แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน... ขอให้มีความสุขครับ... ขอบคุณครับ..."

สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป
พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลย เพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ
ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง
พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ

"
พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า
วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่
ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ"
"
จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรล่ะ"
"
ก็มันกะทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ผมจึงพูดว่า... ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี
น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน
ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็น
ก็มักจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน
เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร
เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก
แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดัง นั้นจนจบ
ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริง ๆ"

"
หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกินกันสามคนนั้น
ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน
และดูแลแม่เป็นอย่างดี
คำสำคัญ (Tags): #โอบอ้อมอารี
หมายเลขบันทึก: 95482เขียนเมื่อ 10 พฤษภาคม 2007 23:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:33 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)
  • ยังไม่จบครับ  เชิญสำราญกับอารมณ์และความรูสึกต่อได้เลยครับ
"หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกินกันสามคนนั้น
ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน
และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"
สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่
กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุกๆปี
จ่ายเงินไปสามร้อยเยน กล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป
มองตามหลังสามแม่ลูกไป
เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ
พร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณค่ะ (ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ครับ)"

และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง พอถึงเวลา 21.00 น.
ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย "โต๊ะจอง"
ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอยการมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย
แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฎตัวที่ร้านเลย ปีที่สอง ปีที่สาม
โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม
สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว
ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่
จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม

"
นี่มันเรื่องอะไรกัน"
ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา
เถ้าแก้เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง
โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง
และก็ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก
พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข"

ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป
มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมา
กินบะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้ ผ่านวันที่ 31 ธันวาคมไปอีกหลาย ๆ ปี
เจ้าของร้านค้าในละแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก
พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้วก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก
กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง
แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว ในวันนี้พอเลย 21.30 น. ไปแล้ว เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาชิมิมาด้วย
ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อย ๆ เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา
ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก
ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง
ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า วันนี้
"
โต๊ะจอง" ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง
มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม

พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ ออก ๆ เพื่อเตรียมกับข้าวกับแกล้ม
ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้
แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา
คุยมันทุก ๆ เรื่อง จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

เวลาผ่านไปจนถึง 22.30 น.
ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน
ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน
พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใคร ทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง
และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก

ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า "ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"
เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น
ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า "เอ้อ...
รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้วภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ
กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า
เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่
ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก "พวกคุณ... พวกคุณ"
เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ

ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า
"
พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มาสั่ง
บะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ
และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น
พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"
"
หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ
ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว
ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต
ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"

"
วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว
แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ
และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น
ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต
ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า
พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร
และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"


สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู
พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ
แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า "อ้าว... เถ้าแก่... เป็นอะไรไปล่ะ
อุตส่าห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ 'โต๊ะจอง'
ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง
รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"

ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่เจ้าของร้านขายผัก
แล้วพูดว่า "ยินดีต้อนรับค่ะ... เชิญนั่งข้างในค่ะ... นี่ตาเฒ่า...บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า "ครับ... บะหมี่น้ำสามชาม"

หากดูกันตามจริงแล้ว
สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย
มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน
คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ
รวมทั้งคำอวยพรว่า "ขอบคุณค่ะ (ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ครับ)" ก็เท่านั้นเอง
แต่มันกลับทำให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขันได้
สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า --- อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง
ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้
บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้
ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเราเพื่อนพ้องทั้งหลาย
อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลย

หวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
พวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตา
ที่เราอัดเก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ
จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น
แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว
มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริง ๆ ไง...  

 

  • เหรอ...ยาวปานนี้เลย...
  • อ่านไม่จบ...
  • บันทึกมีปัญหาอีกครั้ง...เดี๋ยวพี่แวะมาใหม่นะ...
  • อุ๊ย.  ชะงักอีกแล้ว

^-^ประทับใจกะเด็กสองคนที่รู้จักชนะอุปสรรคต่างๆๆมาได้ถ้านู๋ทำเหมือนเด็กสองคนนั้นคงจะดีนะค่ะเพราะต้อนนี้ชีวิตเริ่มแย่แต่คงไม่เท่าเด็กสองคนนั้นเพราะนู๋ยังมีพี่ๆๆเพื่อนๆๆที่คอยให้กำลังใจอยู่นะค่ะยังไงก้อจะเก็บไว้เป็นเรื่องอุทาหรสอนใจให้แก่ตัวเองนะค่ะ^-^

เธอทำฉันร้องไห้.........แล้วก็ยิ้มออก

P

          สวัสดีครับพี่

          อยากให้อ่านครับ แล้วความรู้สึกดีดีจะไม่ห่างหายไปจากหัวใจครับ
          ผมร้องไห้กับเรื่องนี้มาแล้วจริง ๆ ครับ

 

P
          สวัสดีครับพี่องุ่น
          ความรู้สึกอย่างน้อยสองอย่างจริง ๆ ครับ ร้องไห้น้ำตาซึม กับอิ่มใจในความรู้สึกครับ
ซึ้งจังเลยครับ อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าความอดทน ความลำบากที่เป็นอยู่นั้นแค่นิดเดียวเอง..สู้ ๆ

ขอบคุณครับ

ต้นของความอดทนแม้มันจะขมขื่น แต่ผลของมันหวานชื่นเหลือหลาย.....ครับ

บันทึกนี้ถึงจะยาวแต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งดีดีค่ะ อ่านไปน้ำตาไหลไป ..อิอิ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท