วันแรก


ถึงสิงคโปร์แล้ว

วันแรกของการเดินทาง               

ฤกษ์เดินทางของผมคือวันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2550 คุณแม่ยายบอกว่าปีนี้วันดีคือวันจันทร์กับวันอาทิตย์ มันก็เลยเป็นความบังเอิญของผมอีกที่เลือกวันนี้ (แบบว่าปกติก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องฤกษ์ยามกับเขาเลย แต่ไหนๆก็ไหนเถอะ จะไปไกลบ้านเสียที มีคนทักว่าดีก็ขอน้อมรับ ยิ่งเป็นคุณแม่ยายด้วยแล้ว เชื่อไว้เถอะแล้วจะเจริญ) ตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 กว่า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จน้องจ้าลูกคนเล็กก็ตื่นพอดี ตอนที่อุ้มลงจากบนบ้านก็บอกกับลูกว่า พ่อจะไปสิงคโปร์นะ คราวนี้เธอส่ายหน้า (ไม่เหมือนกับทุกวันที่จะพนักหน้ารับ) สงสัยเธอจะรู้ว่าพ่อจะไปไกลก็เลยติดผมแจเลย สักพักก็ปลุกพี่แป้ง ลูกสาวคนโต คนนี้ท่าจะเศร้ามากหน่อย เพราะเธอติดผมมากกว่าแม่                

รถคณะมารับผมเวลา 7.00 น. หลังจากขนของขึ้นรถเรียบร้อย ก็จูบลูกสาวทั้งสองและจิ๋ม คราวนี้เจ้าแป้งก็วิ่งเข้าบ้าน ไอ้เราก็ตกใจนึกว่าวิ่งไปร้องไห้ ที่ไหนได้ แม่เธอบอกว่าเธอวิ่งเข้าไปดูการ์ตูนต่อ ผมเลยโล่งใจไป ส่วนน้องจ้าดูเศร้าไปอย่างเห็นได้ชัดเชียว เสียดายที่เธอยังพูดจาสื่อสารได้ไม่เก่ง เลยได้แต่ให้คุณยายอุ้มแล้วมองรถที่มารับพ่อขับออกไปจากบ้าน               

ปัญหาเรื่องน้ำหนักกระเป๋าหมดไปตั้งแต่ชั่งน้ำหนักได้ 27 กิโลกรัม และคุณเจ้าหน้าที่บอกว่า สถานะบัตรเงิน (ROP) ของผมสามารถ load ได้ถึง 30 กิโลกรัม ขึ้นเครื่องเช้านี้ได้ไปพร้อมกับพี่อ้อย (ภรรยาของ อ.รักชาย) ซึ่งจะไปเยี่ยมพ่อที่เชียงใหม่ คุยกันเรื่องที่พี่ดิ๊กไปเรียนตอนที่มีลูกแล้ว 3 คน เจ้าต้นน้ำยังมีอายุไม่ครบขวบปี และเล่าถึงความยากลำบากของคุณแม่ลูกสามที่คล้ายกับว่าต้องดูแลลูกคนเดียวทั้งที่จริงก็มีพี่เลี้ยงช่วย ฟังดูแล้วผมว่าลูกสาวและภรรยาของผมน่าจะโชคดีกว่าเสียอีก มาถึงตอนนี้ผมก็ต้องคิดอีกครั้งหนึ่งว่า ชีวิตคนเรานี้เกิดมาเพื่ออะไรและเพื่อใคร ผมไปเรียนเพื่ออะไร เพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ เพื่อชื่อเสียงคือคำตอบ แต่ก็ถามตัวเองอีกว่า มีความก้าวหน้ามีชื่อเสียงแล้วลูกจะได้อะไร ทุกวันนี้ก็ยังตอบไม่ได้ สงสัยว่าเราน่าจะคิดถึงตัวเองมากกว่า               

ปิ่น น้องสาวคนสุดท้องของผมมารับที่สนามบินดอนเมือง เพื่อที่จะพาไปพักที่คอนโดเพื่อรอเวลาต่อเครื่อง ถึงตอนนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ว่าทำไม่ไม่มีเครื่องจากการบินไทยบินจากหาดใหญ่ไปลงสุวรรณภูมิบ้าง มันทำให้คนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศลำบากมากขึ้นโขเลย                

เครื่องบินผมออกเวลา 14.20 น. รอบนี้โดยสารด้วย Boeing 747 เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต แต่สงสัยว่าเครื่องจะเก่าไปหน่อย ดังนั้นเวลาที่เครื่อง take off นั้น ช่วงที่เก็บล้อเป็นช่วงที่มีเสียดังและเครื่องสั้นอย่างมาก ไอ้เราก็คิดไปไกลว่า มันเหยียบเข้ากับอะไรหรือเปล่า ล้อแตกหรือเปล่า มันจะเกิดไฟไหม้แบบคองคอร์ดหรือไม่ ดูซิ คิดไปได้ไกลมาก แต่สังเกตดูว่า ไม่มีใครตกใจ บรรดาคุณแอร์โฮเตททั้งหลายก็ดูเฉยๆ เลยได้วางใจ จากนั้นก็ได้เวลาอิ่มกับครัวเอื้องหลวง มื้อนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวทะเล ดูก้ำกึ่งราดหน้า คือว่าจะมีน้ำเหนียวๆปนเล็กน้อย จะแห้งสนิทก็ไม่ใช่ ขนมหวานดูคล้ายๆ  ทีรามิสสึ ตบท้ายด้วยไวน์แดงอีก 1 แก้ว จริงๆแล้วไม่อยากกิน (ทั้งๆที่ชอบมากๆ) แต่ขอสักแก้วเพื่อลดความตื่นเต้นและเพิ่มความกล้าหาญ ผ่านไปได้ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว สิงคโปร์ คราวนี้เวลาลงผมก็เริ่มตื่นเต้นอีกครั้ง เพราะมันค้างมาจากตอนเครื่องขึ้นว่าล้อเจ๊งหรือเปล่า เมื่อเครื่องเริ่มกางล้อ มันก็มีเสียงดังและตัวเครื่องสั่นอีกรอบ และเครื่องก็ landing กระแทกพื้นอย่างแรง มันไม่เหมือนกับที่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เครื่องยิ่งใหญ่ จะยิ่งมีแรงต้านเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น หมายความว่า มันจะลงได้นิ่มกว่าเครื่องที่เล็กกว่า แต่รอบนี้ไม่ประทับใจเลย               

จากนั้นก็เดินไปตามทาง เมื่อเข้าสู่ตัวสนามบินนั้น จะพบด่านอรหันต์ตรวจอาวุธก่อนเข้าในอาคาร อะไรมันจะเข้มงวดปานนั้น เพราะก่อนขึ้นเครื่องมาก็ตรวจกันไปครั้งหนึ่งแล้วนี่นา จากนั้นก็เดินตามคนอื่นออกไป ตอนแรกกะว่าจะหาแผนที่สักหน่อย แต่อารามตื่นเต้นจึงไม่ได้หาอะไรเลย นอกจากเดินไปเรื่อยๆจนถึงด่านอรหันต์ที่ 2 คือ immigration นั่นเอง งานนี้ตอนอยู่บนเครื่องผมได้กรอกใบ immigration ไปแล้ว มันสะดุดตรงที่ว่า เราจะต้องเขียนว่า จะอยู่ในสิงคโปร์กี่วัน ยังไงดีล่ะ ก็ไปเรียน 6 เดือนนี่นา เลขที่ให้กรอกก็มี 2 หลักเท่านั้น เลยเขียนไปว่า 30 วัน (เพราะกะว่าจะกลับทุก 2-3 สัปดาห์อยู่แล้ว) คุณเจ้าหน้าที่ก็เลยถามว่า มาทำอะไรตั้ง 30 วัน เลยบอกไปว่ามาเรียนที่ KKH และกลับบ้านบ่อย เธอเลยขอดูเอกสาร ผมจึงยื่นจดหมายทั้งหมดรวมทั้งตั๋วขากลับให้ดูด้วย เธอจึงเข้าใจและจดหมายเลขการจ้างงานของกระทรวงแรงงานไว้ในใบ immigration ด้วย ผมจึงได้ผ่านเข้าโดยไม่มีปัญหาอะไรอีก และก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ดูป้ายที่บอกว่ากระเป๋าเราจะไปออกที่ไหน ก็ได้ยินเสียงประกาศว่า เที่ยวบินของเราได้กระเป๋าช้า เนื่องจากมีปัญหาจากที่การเอาออกจากเครื่อง ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่กับการที่มันมีอาการอย่างที่ผมได้เล่าไว้ในตอนต้น รออยู่นานประมาณ 30 นาที (เฉพาะที่ต้องยืนรอเท่านั้น) ก็ได้กระเป๋า ถึงตอนนี้ก็ราวๆ 20.30 น. เมื่อลากกระเป๋าออกมาก็พบว่ามีคนมายืนรอรับอยู่แล้ว เลยขอโทษเล็กน้อยในความล่าช้า ไม่ถึง 5 นาที Jessica ก็โทรมาหาคนขับรถ และทักทายกับผม ตอนนี้ก็เลยทราบว่ายังไม่ได้ที่พัก ผมเลยตัดสินใจให้คนขับรถไปส่งที่โรงแรม Keong Saik เลย ตอนแรกก็ต้องโทรไปหาอ.เต็มศักดิ์ก่อน แต่ทำอย่างไรดี กดโทรศัพท์ไม่ถูก เริ่มจากกด 66 แล้วตามด้วยเบอร์โทร ปรากฏว่าโทรไม่ได้ เลยลองใหม่โดยกด +66 ปรากฏว่าใช้ได้ เลยนึกในใจว่าเราหนาโง่เสียจริง เมื่อแจ้งความประสงค์กับอาจารย์แล้วก็รอเวลาที่รถพาไป รู้ไหมว่าเขาเอารถอะไรมารับผม Mercedes Benz สีครีมรุ่นใหม่เอี่ยมครับผม  ระหว่างทาง Jessica โทรมาหผมอีกเพื่อถามรายละเอียดเล็กน้อย ผมก็ถามเธอว่าในวันจันทร์ผมต้องทำอะไรบ้าง เธอก็อธิบายว่าต้องไปหา Judy ก่อน Judy เป็นเลขาของ Dr Han ให้ผมไปที่ Women’s wing ของ KKH แล้วหาทางไปภาควิชา Urogynaecology แล้ว Judy จะแนะนำผมต่อไป และ Jessica ถามผมว่าไปได้ไหม เพราะในช่วงเช้าเธอไม่ว่าง เธอจะให้คนขับรถมารับ แต่ผมคิดว่าผมพอจะไปเองได้ เพราะก่อนมาได้ดูเส้นทางต่างๆจาก google map จนชำนาญแล้ว (คาดว่าจะไปได้เท่านั้นเอง) ผมเดาว่าควรจะไปกับรถไฟฟ้า (MRT) ลงที่สถานี Little India แล้วลุย                   เมื่อรถมาส่งถึงโรงแรม ผมก็รวบรวมความกล้าถามเขาไปว่า ไอ้ไฟที่เห็นบนหลังคาน่ะ เป็นมิเตอร์หรือเปล่า เขาก็บอกว่า ผมไม่ต้องจ่ายเลย (เลยไม่กล้าถามต่ออีกว่า ทิปล่ะ)

เมื่อลงจากรถ อ.เต็มศักดิ์ก็ออกมารับทันที โรงแรม Keong Siak เป็นโรงแรมเล็กที่เขาบอกว่าเป็น Boutique hotel มันเล็กมาก ดูภายนอกเหมือนบ้านห้องแถวของคนจีน แต่เชื่อไหมว่าแถบนี้ทั้งแถบเป็นโรงแรมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น A traveler rest stop ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือ Royal peacock, Chinatown hotel อีกทั้งร้านอาหารมากมาย อ.เต็มศักดิ์ได้แนะนำผมให้รู้จัก Genes ซึ่งเป็น Family physician ที่มาเรียนอยู่ที่สิงคโปร์เกือบปีแล้ว เขาได้แนะนำผมว่า การไป KKH ให้ง่ายที่สุดคือ ไปลงรถไฟฟ้าที่สถานี Bugis ที่นี่จะมี shuttle bus มารับไป KKH เลยโดยไม่ต้องเสียเงิน เมื่อได้เข้ามาในห้องพักหมายเลย 203 ก็พบว่า ห้องพักที่นี่มีขนาดประมาณ 25 ตารางเมตรจากการประมาณด้วยตา มีเตียง 2 เตียง ห้องน้ำในตัว มีตู้เสื้อผ้าเล็กๆ และมีกาต้มน้ำ กาแฟและชาซองไว้บริการ หลังจากวางข้าวของเครื่องใช้เสร็จแล้วก็อาบน้ำ โทรศัพท์กลับไปหาลูกและเมียที่บ้าน บอกว่าพ่อบายดี แล้วก็ล้มตัวลงนอน แต่กว่าจะหลับลงได้ก็ล่วงเข้าไปกว่าสองยามตามเวลาท้องถิ่น

หมายเลขบันทึก: 95477เขียนเมื่อ 10 พฤษภาคม 2007 23:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 03:32 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
ตามมาอ่านค่ะ ชอบสำนวนของอ.ธนพันธ์ ที่เป็นกันเองและเก็บรายละเอียดได้ดีเยี่ยม รวมทั้งถ่ายทอดความรู้สึกได้สื่อสารเหมือนเราคนอ่านไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลย จะรออ่านตอนต่อๆไปนะคะ
เหมือนอ่านนิยายเลยค่ะ  มองเห็นภาพเลย...อยากมีโอกาสที่ดีแบบนี้จังค่ะ

แป๊ะ

ผมกลับมานอนช่วงบ่าย เพราะรู้สึกมึนๆ ตื่นขึ้นมาไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยลองเข้า wireless ที่โรงแรม  ได้พิมพ์ภาษาไทยผ่าน Gotoknow จากเครื่องของตัวเองจนได้ แต่มาสำเร็จเอาวันสุดท้ายแล้ว

ผมกลับพรุ่งนี้แล้วครับ คงไปสนามบินตั้งแต่บ่ายสาม

โชคดีนะครับ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท