งานที่ไปดูและลปรร.เป็นเรื่องเทคโนโลยีแหล่งสร้างพลังงานทางเลือกต่างๆ เช่นการใช้น้ำทะเลมาทำระบบระบายความร้อนในเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
ระหว่างการเยี่ยมเยือนกรุงปักกิ่ง ทางฝ่ายเจ้าภาพก็มีการพาแขกไปเที่ยว พาไปทานข้่าว ก็มีรูปถ่ายร่วมกันที่กำแพงเมืองจีนตามปกติ
ข่าวก็เอารูปนี้มาประกอบการเสนอข่าว
--------------------------------------------------------------------------
ปัญหามันอยู่ที่ว่า ไอ้บริษัทเนี่ยะมีออฟฟิศอยู่ที่แวนคูเวอร์นี้ด้วย ถึงแม้ยังไม่ได้มีโครงการที่ไป pitch กับทางการใดๆก็ตามก็เถอะ
เพราะมีกฎเขียนไว้เป็นเรื่องเป็นราวในกฎบัตรชุมชนว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐห้ามตอบรับเอา เงิน ของขวัญ หรือ ผลประโยชน์ใดๆที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับงานในหน้าที่ได้
นอกจากนี้ในการเดินทางครั้งนี้มีี CEO ของบริษัทเอกชนที่ก่อสร้างคอนโดฯรายใหญ่ของแคนาดาไปด้วย อะไรๆเลยยิ่งทะแม่งๆมากขึ้น
--------------------------------------------------------------------------
ถ้ามองดูที่การกระทำของบริษัทคนจีน
แล้วคนไทยหล่ะ?
ยอมรับตามตรงว่าตอนแรกแปลกใจมากที่เป็นข่าวใหญ่โต และไม่คิดมาก่อนว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆเป็นปกติ
--------------------------------------------------------------------------
อ่านแล้วนึกถึงคนทำงานราชการในบ้านเรา...ที่จริงมันเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้องนะ...ผลประโยชน์มันก็คงมีซ่อนอยู่แน่ๆ...แค่การที่รับของที่บริษัทให้มาเป็นของส่วนตัวก็แย่แล้ว...นี้พาไปเที่ยวด้วย...
โอชกร
เห็นด้วยกับประโยคสุดท้ายของคุณหมอมัทนาว่า "ที่โดนกระทบมากที่สุดคือบ.เอกชนในข่าวกลายเป็น black list ของรัฐไปแล้วค่ะ เอาวัฒนธรรมมาใช้ไม่ถูกที่เองนี่นา" นะครับ
ธุรกิจระดับโลกนี่ก็บ้านใครบ้านใครครับ กฏหมายบ้านเรา ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด การให้ของเจ้าหน้าที่ด้วยสเน่หาถือว่าทำได้ เช่นปลัดอำเภอ จัดการแก้ไขปัญหาขัดแย้งให้ผู้ใหญ่บ้านได้ ผู้ใหญ่บ้านชอบใจยกที่ดินให้หนึ่งผืน อันนี้ทำไ้ด้ครับ
ฝรั่งเองถ้าจะมาทำธุรกิจในจีน ก็ต้องยอมให้วัฒนธรรมจีนเหมือนกัน อย่างกรณีที่รัฐบาลจีนกรองข้อมูลใน wikipedia คือปิดข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ไม่ต้องการให้ประชาชนรับรู้ ก็ทำได้ ฝรั่งในจีนไม่เห็นจะโวยวาย ถ้าจะบอกว่าไม่โวยวายเพราะไปอยู่บ้านเขา คงไม่ถูกทั้งหมด เพราะเหตุสำคัญคือผลประโยชน์การค้าครับ
อีกประเด็นที่น่าสนใจสำหรับกรณีนี้ อย่างที่คุณหมอกล่าวชื่นชมชาวเมือง ที่ร่วมกันตรวจสอบ ชาวบ้านที่คุณหมออ้างถึงเป็นคนชั้นกลางหรือชั้นล่าง ระดับการเข้าถึงข้อมูลมีมากแค่ไหน อย่างไร ที่สำคัญ การตรวจสอบนี้ สื่อมีส่วนร่วมและมีอิทธิพลแค่ไหน
ที่ผมตั้งคำถามแบบนี้เพราะเห็นว่าในบ้านเราคนชั้นกลางไม่รวมตัวกัน ยังมีความเชื่อเรื่องโชคชะตาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก และที่สำคัญไม่ค่อยจะตั้งคำถามกับสื่อ คือวุ่นวายกับการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
ขอบคุณคุณหมอสำหรับข้อมูลนะครับ
สังคมที่นั่นก็คงพัฒนาระบบการเมืองการปกครองไปมาก และจริยธรรมของผู้ทำงานการเมืองนี่ก็คงรวมอยู่ในนั้นไปแล้ว ครับ
ทั้งนี้ความรู้ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ของผู้คนที่นั่นคงจะเข้มแข็งมากด้วย การตรวจสอบจึงเข้มแข็งตามมา
ส่วนในเรื่องวัฒนธรรมนั้น หรือว่าธรรมเนียมปฏิบัติ ก็ตาม คงจะใช้ไม่ถูกที่จริง ๆ ครับ แต่ที่ซ่อนไว้ในผู้คนทุกสังคมแล้ว วิธีการแบบที่เพื่อนบ้านตะวันออกตัวใหญ่ของเราใช้นั้นก็พิสูจน์นักการเมืองทางประเทศพัฒนาได้เหมือนกันนะครับ
ขอบคุณครับที่นำเรื่องที่แคนาดามาให้อ่านเปิดความรู้ผมได้อีกมากครับ
พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้เมื่อ 2500+ ปี ก่อนแล้วเรื่อง สัปปุริสธรรม 7 ธรรมะของสัปปบุรุษ ทำให้ดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น
รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้บุคคล รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน
มองกลางกลาง บริษัทจีนอาจมีธรรมเนียมตามปรกติของคนจีน ที่เอื้ออำนวยกัน มองเห็นการให้ก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที เพราะคนจีนเค้าค้าขายมานานหลายพันปี เค้าก็มองเป็นสิ่งปรกติของการค้าขาย
เทศมนตรีที่บอกว่าบริสุทธิ์ใจ ก็อาจจะมอง จะคิดอย่างนั้นจริง ๆ
เนี่ย บริษัทจีน คงไม่รู้จักชุมชน คิดว่าเหมือนกันไปหมด
เทศมนตรีก็คงไม่รู้จักตน ว่าควรวางตัวในฐานะอะไร แล้วก็ไม่รู้จักบุคคลด้วย ว่าบริษัทจีนเขามาทำนองไหน เป็นอย่างไร
เรื่องทำนองนี้ทำให้คนทะเลาะกันบ่อย ๆ
หรือทั้งหมดอาจคิดในทางมิดี (มิร้าย ) ก็ได้ เรื่องนี้ยังไม่รู้เหมือนกัน ต้องค่อย ๆดูกันไป
ขอบคุณมากค่ะ อ. โอชกร, คุณแว้บ, mr. สุมิตรชัย, หมอจิ้น
คุณหมอจิ้น สรุปไว้ได้ดีมากเลยค่ะ
รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้บุคคล รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน
นักการเมืองที่แคนาดานี้ก็มีทั้งดีและไม่ดีค่ะ แต่ระบบตรวจสอบเค้าใช้ได้ผลจริงๆ
ส่วนเรื่องระดับการเข้าถึงข้อมูลก็มีมากแต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนอ่านหรือดูแต่สื่อดีๆนะคะ
แน่นอนค่ะ หนังสือที่ลงข่าวมั่วๆชอบแฉข่าวฉาวดาราก็มี นสพ.ก็แบ่งเป็นหลายระดับ เหมือนบ้านเรา แต่ที่สำคัญคือ ใครอยากเขียนอะไรก็ไม่โดนปิดกั้น
แหล่งข้อมูลมีให้เลือกมากมาย
แต่ถ้าถามว่าทำไมเค้าทำได้
ความคิดเห็นส่วนตัวคือ แคนาดา เป็นประเทศใหม่ วิวัฒนาการของระบอบการเมืองการปกครองไม่ได้มีประวัติซับซ้อนเหมือนทีอื่นๆ
ทางเอเชีย หรือ อังกฤษ ยุโรป นี่ การขีดเส้นแบ่งเรื่อง networking กับ สินบน นี่ไม่ง่ายนักค่ะ ทำกันมาแบบนี้มานานแสนนาน
มีเพื่อนเล่าให้ฟังว่า อเมริกาไป pitch งานแข่งกับพวกนี้มักจะแพ้
แต่เพื่อนก็บอกอย่างที่มัทคิดค่ะ ตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่า
มุมมองที่แตกต่างกันระหว่างสถานะการณ์ของบุคคลในเรื่อง Conflict of interest
ทั้งหมด ทั้งปวงน่าจะเป็นเรื่องการจัดการผลประโยชน์ ระหว่างสัดส่วนของผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม
ส่วนตัว เท่ากับผลประโยชน์ที่ได้หารด้วย 1
ส่วนรวม เท่ากับผลประโยชน์ที่ได้หารด้วยจำนวนผู้รับประโยชน์
เรา(บุคคลที่ 3)จะรู้สึกแย่เมื่อรู้สึกว่า บุคคลที่หนึ่งและที่สองได้ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่า ที่เรา(บุคคลที่ 3 ประเมินไว้) เพราะเรา(บุคคลที่ 3)มีต้นทุนและหวังรับประโยชน์ส่วนรวม จากการที่บุคคลที่1 และที่ 2 ตกลงกัน
ดังนั้นเพื่อให้เป็น Win-Win-Win Situation จึงต้องบริหารผลประโยชน์โดยพิจารณาสมการนี้
ผลประโยชน์ทั้งหมด = ผลประโยชน์บุคคลที่ 1 + ผลประโยชน์บุคคลที่ 2 + ผลประโยชน์รวม*จำนวนผู้รับผลประโยชน์1/จำนวนผู้รับผลประโยชน์2
เพราะว่า ผลประโยชน์บุคคลที่ 1 และบุคคลที่ 2 โดนประเมินโดยบุคคลที่ 3 ดังนั้นจึงตัดตัวแปล บุคคลที่1 และบุคคลที่ 2 ออกไปได้ สมการใหม่จึงเป็น
ผลประโยชน์ทั้งหมด = K1(ผลประโยชน์รวม*1/จำนวนผู้รับผลประโยชน์2)+ K2(ผลประโยชน์รวม*1/จำนวนผู้รับผลประโยชน์2) + ผลประโยชน์รวม*จำนวนผู้รับผลประโยชน์1/จำนวนผู้รับผลประโยชน์2
ดังนั้นถ้าเราสามารถกำหนดค่า K1 และ K2 ได้เราก็จะกำหนด การแบ่งผลประโยชน์ที่ทุกคนพอใจได้ แล้วเราจะหาค่า K1 และ K2 อย่างไร เดี๋ยวไปคิดแล้วจะมาเล่า