การร่วมกันทำวิจัย ตลอดจนการทำงานแบบข้ามกรอบสหสาขา ทั้งสาขาวิชาการ ประสบการณ์ การดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ มีจุดแข็งในแง่ของการระดมพลังการปฏิบัติในปัญหาและความจำเป็นที่หลากหลายซับซ้อน ทว่า มีความยุ่งยากมากในอันที่จะบริหารการวิจัยตรงที่จะใช้กรอบปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งมากำกับได้ยาก หรืออาจจะเรียกว่าไม่ได้เลย
การทำงานเป็นทีมและเครือข่ายของคนที่มีความแตกต่างกันหลากหลาย จึงมิได้เกิดจากการมีกรอบบังคับ แต่จะเกิดจากการที่ทีม เห็นแจ้งแก่ตนเอง สามารถสั่งตนเองและเลือกที่จะกำหนดตนเองในสถานการณ์ต่างๆ ออกมาจากข้างใน (Self determinated) ตามกรอบของแต่ละคนได้ แบบที่มักได้ยินชาวบ้านพูดว่า ทำด้วยใจ หรือ การมีสปิริตร่วมกัน ซึ่งลึกซึ้งมากกว่าการใช้ความรู้ การใช้เหตุผลบางชุด หรือการมีข้อมูลเพียงบางส่วน...เป็นการเห็นความเป็นทั้งหมดได้ดีกว่า
การฝึกตนเองในอันที่จะเห็น รับรู้สิ่งที่พ้นความผิวเผินและการสัมผัสถึงความเป็นชีวิตจิตใจได้ จึงจำเป็นมาก หากทำสิ่งนี้ไม่ได้ ก็ยากที่จะทำงานแบบเดินออกไปจากตนเอง ข้ามกรอบจำเพาะด้านที่ตนเองรู้ ทำให้ประเด็นส่วนรวมและความจำเป็นร่วมกันต่างๆจัดการได้ยากเพราะคนมากมายเดินเข้าหากันเพื่อคิดและทำอะไรด้วยกันไม่เป็น
วันหนึ่ง ผมจัดเวทีวิจัยซึ่งขับเคลื่อนผ่านกลุ่มประชาคม ให้คนหลากหลายจากชุมชนมาค้นหาประเด็น สร้างความรู้ และใช้ความรู้ สร้างยุทธศาสตร์จัดการเรื่องชีวิตและความเป็นอยู่ของตนเองร่วมกัน เป็นการทำงานเชิงพื้นที่ระดับอำเภอ อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ส่วนหนึ่งในเครือข่ายนี้ เป็นชาวนาบัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมใช้ขับเคลื่อนการเรียนรู้วิธีจัดการโดยวิธีการทางความรู้ หรือวิถีการวิจัย
ก่อนหน้านั้น เราสร้างความรู้จักซึ่งกันและกันโดยการเรียนรู้เรื่องต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง การเดินเข้าสู่เวทีของประชาชนและทุกคน จึงมิใช่การออกจดหมายเชิญโดยการหาข้อมูลรายชื่อและขอความร่วมมือแต่ไม่มีพื้นฐานการเรียนรู้ต่อกันเลย
กลุ่มคนที่เข้าร่วมเวที ผ่าน การเรียนรู้ทางสังคม (Social learning) มาก่อน เป็นต้นว่าได้รู้จักคนอื่น รู้จักเรื่องการทำมาหากิน รู้จักเรื่องส่วนรวมของสังคม รู้จักตนเองและท้องถิ่นของตนลึกซึ้งมากขึ้น รู้กติกา รู้จักภาษาของการเคารพกัน รู้ภาษาของความแตกต่าง รู้ละเว้นการละเมิดผู้อื่น รู้ภาษาคุณธรรมปัจเจกและส่วนรวม และอีกมากมาย แม้นไม่ดีมากนักเนื่องจากอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ค่อยเป็นค่อยไปแต่ก็เป็นพื้นฐานให้การสร้างสังคมร่วมกันเกิดขึ้นในพื้นที่การจัดการทางปัญญาได้ดีพอสมควร หลายความแตกต่างในพื้นที่ซึ่งไม่เคยเดินเข้าหาและหารือกัน สามารถละวางตัวตนและมาเป็นหนึ่งเดียวกันได้หลายเรื่องหลังจากเราปฏิบัติอย่างนี้
ชาวนาบัวเจ้าหนึ่ง มาร่วมเวทีด้วยสภาพเหมือนปรกติที่อยู่บ้านและลงนาบัว ผมไหว้แกและดีใจที่เห็นแกมาร่วมเวทีได้ เพราะเป็นชาวนาบัวที่ผมไปคลุกคลีมาก อีกทั้งตัวแกและลูกๆ หรือทั้งครอบครัวก็ว่าได้ เป็นนักวิจัยในความหมายของการวิจัยอย่างนี้ ช่วงหนึ่ง แกบอกว่า......
"...วันนี้ ได้รับออร์เดอร์จากต่างประเทศ แต่เขาเพิ่งมาสั่ง แล้วก็ติดประชุมที่นี่ เลยไม่ได้ลงเก็บบัวไปส่ง มานี่เลย มาทั้งสองคนพ่อลูก...."
"..ก็อยู่จนเลิกแหละ..." แกบอกหลังผมถามกลับว่าแล้วจะอยู่ได้นานไหม
นี่เป็นตัวอย่างของวิถีสังคมไทยและสังคมที่ยังอยู่กันด้วยการมีพื้นที่ทางจิตใจให้กันด้วย หากเราไม่มีโอกาสเรียนรู้บริบททางสังคมและวัฒนธรรม วิถีชีวิต วิถีทำมาหากิน และอื่นๆที่เป็นเนื้อหาการดำเนินชีวิตของผู้อื่น ก็ยากที่จะสามารถเข้าใจ หรือเห็นภาษาของหัวใจ และเห็นความหมายระดับร่วมความคิดและร่วมความรู้สึก เพราะสิ่งที่เป็นความหมายเหนือความเป็นถ้อยคำนั้น เป็นการบอกว่า ให้ใจกับเวทีนี้และทำด้วยใจ ต้องเคารพและเห็นคุณค่าทางจิตใจต่อกัน
การเก็บบัวของชาวนาบัวในช่วงที่เราเรียนรู้ด้วยกันนั้น วันหนึ่งๆและการส่งบัวคราวหนึ่ง จะมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายอย่างอื่นแล้ว 700-1,500 บาทต่อวัน แต่สำหรับเจ้าที่ผมกล่าวถึงนี้แล้ว จะเฉลี่ย 1,500-2,000 บาทต่อวัน
นอกจากรายได้แล้ว การงดเก็บและส่งบัวให้กับคนที่เขามาออร์เดอร์นั้น สำหรับชาวนาบัวแล้ว ถือว่าเป็นการทำให้เสียความสัมพันธ์ ซึ่งในสถานการณ์ปรกติแล้ว บางทีชาวนาบัวจะยอมขาดทุนและยอมโดนเบี้ยว มากกว่าจะยอมเว้นส่งบัว เพราะในระยะยาวแล้ว เป็นทุนทางสังคมที่จะต้องพึ่งพาอาศัยกันเหมือนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์สุขกันไป
เวลาหนึ่งวันของชาวนาบัวจึงมีค่าและมีคุณค่ามาก ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ ครอบครัว เครือข่ายทางสังคม การสร้างทุนทางสังคม และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ความมีจิตอาสาของเขาจึงมากมายนัก ซึ่งด้วยแนวทางเช่นนี้ จึงทำให้ผมและนักวิจัย สามารถทำงานกับชาวบ้านด้วยการให้ใจกันและกันในลักษณะนี้ได้ หลายกรณี
บทเรียนและข้อเสนอแนะจากตัวอย่างเล็กๆนี้ มีคุณค่าต่อผมและการสร้างศักยภาพให้แก่ทีมมาก ทำให้แต่ละคนสามารถหยั่งเห็นความเป็นจริงต่างๆด้วยตนเองและจัดการตนเองได้อย่างเหมาะสม ไม่ตายตัว ไม่ต้องรอคำสั่งที่เบ็ดเสร็จ เป็นทีมที่มีพลังจัดการที่หลากหลายและซับซ้อนทว่ามีความเชื่อมโยงกันในทางวิธีคิดและเห็นแนวทางร่วมกันแบบกว้างๆ ทุกคน หรือทั้งกลุ่ม สามารถที่จะร่วมกันเป็นผู้นำในสถานการณ์ที่หลากหลายและเงื่อนไขการปฏิบัติที่จะต้องช่วยกันของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน
ทำให้ได้แง่คิดว่า การต้องหมั่นฝึกดูให้เห็น ฟังให้ได้ยิน อ่านให้เกิดภาพ เหล่านี้ จัดว่าเป็นศิลปะของการวิจัยและเป็นทักษะหนึ่งของนักวิจัย ตลอดจนคนทำงานแบบสหสาขา ซึ่งจำเป็นมากในสภาพสังคมปัจจุบัน.
ไม่มีความเห็น