สงกรานต์ปิดตัวลงนานมากแล้ว แต่บันทึกการเดินทางในเทศกาลน้ำของผม กลับเดินทางอยู่อย่างอ้อยอิ่ง... และกว่าจะยุติการเดินทางในบล็อกได้ก็ล่วงเข้าถึง 10 ตอนเลยทีเดียว ...
ผมเคยได้กล่าวอ้างไว้อย่างต่อเนื่องว่า- ผมไม่ใคร่ได้มีโอกาสอันดีได้หยุดงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์มาร่วม 4 - 5 ปี เพราะมีราชการต้องตั้งจุดบริการริมทางให้แก่ผู้สัญจรไปมา ... หรือไม่ก็ออกประเมินการปฏิบัติหน้าที่ของนิสิตในโครงการต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ
ในช่วงที่เคยต้องตั้งเต็นท์บริการในเทศกาลสงกรานต์นั้น มีครั้งหนึ่งที่บังเอิญได้ให้บริการต่อชาวบ้านที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งพวกเขาได้เช่าเหมารถเดินทางมาจากชลบุรี - พวกเขาทักทายและชักชวนผมให้กลับบ้านพร้อมกับพวกเขา
ผมได้แต่ตอบว่ามีภาระหน้าที่ที่ต้องทำและทิ้งไปไม่ได้ แต่ก็ฝากบอกกล่าวต่อพ่อกับแม่ของผมว่า...ผมยังอยู่ที่นี่...และทำหน้าที่เพื่อคนอื่นอยู่อย่างไม่ลดละ
และครั้งนั้น ผมก็ได้รับเชิญจากรายการทีวีรายการหนึ่งให้ไปออกรายการสดที่เกี่ยวกับกิจกรรมดังกล่าว ผมตื่นเต้นมาก และเชื่อว่าการที่ผมไม่กลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ พ่อกับแม่จะเข้าใจ - รัก และภาคภูมิใจต่อสิ่งที่ผมได้กระทำลงไปอย่างที่สุด
เสียดายที่บางสิ่งถูกกำหนดไว้บ้างแล้ว ผมไม่มีโอกาสได้เอ่ยถึงความในใจที่มีต่อ "คนที่บ้าน" ซึ่งเป็นเบื้องหลังที่ช่วยให้ผมทำงานได้อย่างไม่รู้สึกกังวลต่อวัฒนธรรมของครอบครัวในเทศกาลสงกรานต์ที่คนในครอบครัวควรต้องกลับไปร่วมกิจกรรมกันอย่างพร้อมหน้า...และพร้อมใจ
ครันปีนี้ได้มีโอกาสหยุดยาวโดยไม่มีราชการใดมาข้องแวะ เลยสบโอกาสได้ผลิกตนเองเป็นคนครอบครัวกลางถนน สัญจรไปโน่นมานี่ในแบบชนิด "วันต่อเว้น" หรือไม่ก็ "วันเว้นวัน" จากจังหวัดหนึ่ง วกไปวนมาสู่อีกจังหวัดหนึ่ง - ซ้ำไปซ้ำมา อย่างว่าเล่น!
ด้วยความที่ผมมีอันต้องเดินทางอยู่เช่นนั้น จึงส่งผลให้ไม่สามารถอยู่รดน้ำขอพร "พ่อกับแม่" ได้พร้อม ๆ กับผองญาติคนอื่น ๆ
โดยปกติพ่อกับแม่จะมีญาติ ๆ และชาวบ้านมารดน้ำดำหัวอยู่เป็นจำนวนมาก และแม่ก็จะเล่าให้ฟังอยู่บ่อยครั้งว่าหลายคนต่างถามถึงผมเสมอในทำนองที่ว่า "ปีนี้ผมไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอ..?"
ในวัยเด็ก ๆ ผมยังจำภาพแห่งชีวิตที่บ้านเกิดได้อย่างแจ่มชัด...แม่บอกว่าเทศกาลสงกรานต์ให้อยู่กับบ้าน ทำความสะอาดห้องหับให้เรียบร้อย , ซักผ้าซักแพรให้สะอาด ฯลฯ ขณะที่หลายต่อหลายคนในหมู่บ้านจะเข็นน้ำจากบ่อน้ำ หรือไม่ก็จากบ่อบาดาลมาเทไว้ในตุ่มที่บ้านของผมอยู่อย่างต่อเนื่อง
ปีนี้..น้องแผ่นดินไม่ยอมรดน้ำดำหัว "พ่อปู่และแม่ย่า" ร่วมกับญาติคนอื่น ๆ แต่เจ้าตัวยืนยันว่าจะรอรดน้ำดำหัวพร้อมกับผม...
และวันที่ 17 เมษายน ... เป็นวันที่การเดินทางของ ครอบครัวกลางถนน ของผมได้สิ้นสุดลง ทั้งผม , เพื่อนชีวิต, น้องดินและน้องแดน ก็พร้อมใจกันรดน้ำดำหัวพ่อกับแม่อย่างง่าย ๆ ...ไม่มีพิธีรีตองอันใด นอกเสียจากหัวใจของผมที่สั่งการให้ผมได้ทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งควรต้องกระทำด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์
และการได้รดน้ำขอพรร่วมกับลูกและภรรยาเช่นนี้ ...ยิ่งนำพาความฉ่ำเย็นมาเยือนหัวใจของผมอย่างอุ่นสุข...
ถึงแม้การรดน้ำขอพรในวันนี้จะไม่เกิดขึ้นในห้วงวันที่ควรจะเป็น...แต่ความสุขที่เกิดขึ้นกับผม ก็ไม่แตกต่างไปจากการรดน้ำขอพรในเทศกาลสงกรานต์เลยแม้แต่น้อย
ปีนี้ฟ้าใหม่...ผมหวังใจอยู่ลึก ๆ ว่าคงมีโอกาสได้รดน้ำขอพรพ่อกับแม่ร่วมกับบรรดาญาติ ๆ ของผมสักครั้ง...
ผมเป็นคนรักของพวกเขาเสมอ.... และพวกเขาก็เป็นคนรักของผมเสมอ, เช่นกัน
สวัสดีอีกรอบค่ะ
ตามมาอ่านอีกค่ะ ถามว่าจบไหม ราณีว่ายังไม่จบเพราะมันเป็นความทรงจำที่ดี เป็นความสุขที่ซื้อหาไม่ได้ เมื่อเราคิดถึงสิ่งที่ดี ๆ ความทรงจำช่วงความสุขก็จะกลับมาตลอดค่ะ น่าประทับใจแทนจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่
ถ้อยคำการบันทึกเรื่องราวจบลงแล้ว...และกลายมาเป็นความทรงจำปัจจุบันที่มีชีวิตสำหรับผมเสมอไป.
ขอบคุณมากครับ...
สวัสดีครับ
เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่ได้พาลูก ๆ และคนในครอบครัวร่วมรดน้ำดำหัวพ่อกับแม่ ถึงแม้เวลาจะล่วงมาแล้ว แต่ก็คงไม่สำคัญนัก ...
การมีครอบครัว...ทำให้ชีวิตมีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนขึ้น ..ขอบพระคุณครับ
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
ชื่นใจนักที่เห็นครอบครัวที่ " รวยความสุข "..ครอบครัวนี้..การที่น้องดิน น้องแดนได้เห็นตัวอย่างความกตัญญู .." ต้นกตัญญู " ของน้องทั้งสองคนนี่คงงอกงามในสวนใจของเค้าตลอดไปนะคะ..เพราะตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอนมากมายนัก
ขอบคุณค่ะที่ทำให้วันนี้เบิร์ดได้ยิ้มชื่นอีกครั้ง ^ ^
โอย ! เบิร์ดไปโดนปุ่มเก็บ..เลยต้องเข้ามาอีกรอบ
ว่าจะถามว่าน้องแดนหายไข้แล้วหรือยังคะ ? ( เจ้าตัวเล็กนี่น้องคนไหนคะ ? เบิร์ดเดาว่าเป็นน้องแดน )
สวัสดีครับ คุณเบิร์ด
ถึงแม้บันทึกจะปิดตัวลง แต่ผมก็เชื่อว่าเรื่องราวของบันทึกจะยังก้องกระหึ่มอยู่ในหัวใจของผมตลอดไป และวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อลูก ๆ อ่านหนังสือได้ เรื่องราวเหล่านี้ก็จะยิ่งก้องกังวานขึ้นอีกเท่าตัว
ขอบคุณครับ