อันเนื่องมาจากบันทึกนี้ http://gotoknow.org/blog/higher-edu/90395ของอาจารย์ ดร.กมลวัลย์ จึงมีบันทึกนี้ขึ้นครับ
ประมาณปี พ.ศ. 2536-2538 ผู้บันทึกทำงานกับกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาจากประชาคมยุโรป ในงานพัฒนาพื้นที่ชลประทานภาคอีสาน จำนวน 10 อ่างเก็บน้ำ รับผิดชอบการจัดกระบวนการฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ชลประทานผู้นำชาวบ้านและชาวบ้านที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากพื้นที่รับผิดชอบกว้างขวาง ต้องมีเจ้าหน้าที่มาช่วยงาน ต้องสอบคัดเลือกคนที่จบปริญญาตรีเข้ามาทำงานโดยใช้ระบบราชการดำเนินการ ของหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการจัดการน้ำนี้
เราได้เจ้าหน้าที่สนามครบตามจำนวนที่ต้องการ มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงได้ส่งกระจายไปประจำอยู่ตามอ่างเก็บน้ำต่างๆในพื้นที่ เรามีประชุมทุกเดือน มีการออกไปเยี่ยมเยือนทุกสัปดาห์ เนื่องจากปริมาณมากจึงต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานส่วนกลาง 3 คน ช่วยทำหน้าที่เป็น coaching ให้แก่น้องๆในสนาม จึงต้องการคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว
หนึ่งปีผ่านไปเรื่องก็เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน คือ สายวันหนึ่งเมื่อทุกคนเข้าทำงานตามปกติเรียบร้อยแล้ว ต่างก็ก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองที่โต๊ะใครโต๊ะมัน แล้วเพื่อนข้างโต๊ะก็กระซิบว่า พี่ พี่ มีญาติเป็นตำรวจหรือเปล่า เขามาหาโน่นแน่ะ เพื่อนพูดกึ่งแซวเล่น ผมมองตามไปพบว่าตำรวจ 3 คนแต่งเครื่องแบบเต็มยศมาเข้าพบผู้จัดการโครงการ สักพักก็เรียกผู้ประสานงานโครงการน้องผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปพบ สักพักใหญ่ๆทั้งหมดก็ออกมานอกห้องผู้จัดการแล้วตำรวจก็ควบคุมน้องผู้ชายคนนั้นออกไป
เรื่องแบบนี้เพียงไม่ถึง 2 นาทีข่าวก็แซดออกมาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับตัวเจ้าหน้าที่ประสานงานของเราไปสอบสวนในฐานะ “ปลอมแปลงเอกสารทางราชการ” ซึ่งทางราชการมีความสงสัยเอกสารที่น้องมายื่นสมัครงานจะเป็นของปลอม จึงดำเนินการตรวจสอบและพบว่า “น้องไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยตามที่แจ้งในเอกสารการสอบเข้าทำงาน” และเอกสาร Transcript หรือใบรับรองการเรียนจบหลักสูตรมหาวิทยาลัยนั้นเขาปลอมแปลงขึ้นมา โดยเอาของเพื่อนแล้วเอารูปตัวเองใส่แทน เอาไปทำสำเนามาสมัครงาน แต่ทางราชการก็ตรวจสอบพบจนได้
มีคำถามเกิดขึ้นว่า ทำไมต้องปลอม ? ปลอมทำไม ?
ตำตอบคือ น้องคนนี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจริงแต่เรียนไม่จบ เพราะเกเร เอาแต่ดึ่มเหล้า เที่ยว และไม่สนใจการเรียน จึงไม่มีสิทธิสอบและเพื่อนๆก็จบไปกันหมดสิ้นแล้ว เหลือแต่เขา จึงจำเป็นต้องปลอม Transcript ขึ้น แล้วมาหลอกพ่อแม่ว่าเรียนจบแล้ว
เมื่อแจ้งพ่อแม่ว่าจบมาแล้วก็ไม่สนใจทำงาน เอาแต่เที่ยวเตร่ ดึ่มเหล้าไปวัน วัน พ่อแม่จึงคะยั้นคะยอให้ทำงาน หางานทำ เนื่องจากเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงพอสมควรจึงฝากเข้าทำงานที่โครงการนี้ และได้มาทำงานกับผู้เขียน
เท่าที่สังเกต เป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยปกติเหมือนคนอื่นๆ ที่ต่างร่าเริง สนุกสนาน น้องคนนี้เงียบๆ เป็นไอ้เสือยิ้มยาก เฉิ่มๆ ไม่กระปรี้กระเปร่า และหลายครั้งก็ออกอาการว่า เด็กจบปริญญาตรีไม่น่าที่จะคิดอ่าน และแสดงความคิดเห็นแบบนี้เลย...
หลังจากนั้นไม่นานข้อมูลเขาก็ออกมาหมดสิ้นว่า น้องคนนี้เรียนแค่ปีสองก็ถูกรีไทร์ และปกปิดทางบ้านมาตลอด หลอกพ่อแม่พี่น้องว่าเรียนอยู่ ขอเงินไปเดือนๆหนึ่ง แล้วที่สุดก็ ตัดสินใจปลอมเอกสารขึ้นมาดังกล่าว
นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ผู้เขียนประสบด้วยตัวเองมา จริงๆในสังคมวันนี้มีกรณีนี้จำนวนเท่าไหร่ ?? และจะมีอีกเท่าไหร่ ?? จะไม่เกิดขึ้นอีกได้ไหม ??
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
คำถามนี้ยากนะคะ..คิดว่ามีอีกมาก..แต่ที่น่าสนใจคือ เพราะอะไร..เพราะถ้าเราหาสาเหตุของมันได้ก็น่าจะตัดไฟได้ง่ายเข้า
อย่างกรณีของน้องคนนี้ที่โกหกเพราะ ? ..กลัวเสียหน้า กลัวถูกดุ กลัว...ฯลฯ แล้วพ่อแม่เล่าคะ ไม่ทราบเลยหรือว่าลูกไม่ได้เรียน แม้แต่ตัวผู้จ้างงานเองก็ต้องมองย้อนกลับเช่นเดียวกัน..วุฒิการศึกษา ปริญญา เกรดสำคัญกับการว่าจ้างในปัจจุบันมากแค่ไหน ? ( ซึ่งเบิร์ดก็ยอมรับนะคะว่าสำคัญมาก )..แล้วเมื่อเงื่อนไขมันเป็นอย่างนี้กับคนที่เค้าไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขของสังคม เค้าจะทำอย่างไร..มีหลายคนที่ก้าวเดินไปในเส้นทางที่น้องเค้าก้าว และผิดพลาด..!
การเยียวยาหลังการผิดพลาดก็น่าสนใจค่ะพี่บางทราย..น้องควรจะได้เดินใหม่อีกครั้งบนเส้นทางที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ยังมีตัวอย่างให้คนที่เดินบนเส้นทางนี้ได้ดู
ขอบคุณมากค่ะที่พี่เอาเรื่องนี้มาให้สมองได้ออกกำลัง ^ ^
การปลอมแปลงเอกสารทางการศึกษามีให้เห็นในระดับคนมีชื่อเสียงในสังคมก็มีให้เห็น ...
จริงอย่างพี่บางทรายว่า สังคมซับซ้อน การจัดฟันธงลงไปเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็คงพูดยากเหมือนกัน ... คิดๆ ...ว่าเขาทำไปทำไม แล้วทำอย่างไรเขาถึงจะไม่ทำ ...
ค่ะ เรื่องนี้ไม่ควรเกิดจริงๆ
แต่จริงๆก็ได้ข่าวมาตลอดนะคะ จากที่อื่นๆน่ะคะ ไม่ค่อยแปลก แต่ทำไม ยังเกิดได้ตลอดเวลา อมตะจริงๆ แสดงว่า ไม่เข้าวัดเลย โกหกหน้าตาย
กับตัวดิฉันเองก็เคยโดนค่ะ เป็นโรคจิตแบบดูยากค่ะ
สวัสดีค่ะพี่บางทราย...ความตั้งใจในการเขียนครั้งนี้ คือ เข้ามาขอบคุณพี่บางทราย ที่ได้ติดตามบทความของผู้เขียนหลาย ๆ บทความค่ะ
และจากบันทึกครั้งนี้...ผู้เขียนมีมุมมองที่แตกต่างออกไปอีกมุมหนึ่ง นั่นคือ การมองเหตุของปัญหา ผู้เขียนเห็นว่าต้องมองสิ่งแวดล้อม และคนรอบข้างของเด็กคนนั้นด้วย โดยเฉพาะครอบครัว เพื่อนฝูง... การตั้งความหวังของคนในบ้านทีมีต่อเขา การให้ความไว้วางใจ การพูดคุย การเชื่อใจกัน และที่สำคัญ คือการให้โอกาสกันและกันค่ะ...
มีวัยรุ่นหลายต่อหลายคนนะคะ ที่เวลาอยู่นอกบ้านจะเกเร เป็นนักเลง เป็นหัวโจก และพอกลับเข้าบ้าน จะเป็นลูกที่ดี มีความกตัญญู ทำทุก ๆ อย่างที่ลูกพึงจะทำ ไม่มีเกี่ยง ไม่มีบ่น...
คนเราถ้าทำผิด ไม่ประสบผลสำเร็จ... หากครอบครัวไม่ซ้ำเติม และพยายามฉุดกันขึ้นมาจากปมปัญหา ชี้แนะและเสนอแนวทางใหม่ๆ ให้เลือก ตัวเด็กเองอาจมีกำลังใจสู้ต่อไป และไม่จมอยู่กับสิ่งที่ล้มเหลวนั้นต่อไปก็ได้ค่ะ
ขอเสนอประเด็นให้คิดแค่นี้ล่ะค่ะ จะตามมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อย ๆ นะคะ
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีค่ะคุณ บางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)
ไม่ได้มีเวลาอ่านบันทึกของท่านอื่นๆ เสียหลายวัน เพิ่งได้มาเห็นบันทึกนี้เมื่อสักครู่ ขอบคุณที่เขียนแลกเปลี่ยนให้รับทราบกันนะคะ
ดิฉันคิดว่าเทคโนโลยีที่สูงขึ้น ค่านิยมของสังคม สภาวะของครอบครัว ความอบอุ่นในครอบครัวและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้คนโกหกมากขึ้น และเนียนขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ แล้วก็คงไม่ได้จำเพาะเจาะจงเรื่องของการปลอมเอกสารเท่านั้น ดิฉันมองเรื่องการโกหกทุกประเภทที่ไม่ใช่ white lies ค่ะ
ไว้ว่างๆ น่าจะเขียนบันทึกวิเคราะห์และขอความเห็นดูว่าทำไมคนเราจึงโกหก น่าจะดีเหมือนกันนะคะ สงสัยจะได้ข้อความเห็นชนิดตอบกันไม่หวัดไม่ไหวทีเดียว ; ) แต่จะมีทางแก้ได้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็คงต้องช่วยกันคนละไม้ คนละมือต่อไปล่ะค่ะ...
สวัสดีครับอาจารย์
อย่างว่าแหละครับอาจารย์ สังคมซับซ้อนขึ้น สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิด จะมี ก็เกิด ก็มีขึ้นได้ ไม่เว้นแต่ละวัน
การหลอก หรือโกหกพ่อแม่นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เขาก็ทำได้ลงคอ ไม่มีหลักธรรมอยู่ในใจ คือความละอายต่อบาป พูดไปก็จะไปลงที่โรงเรียนอีก อย่าดีกว่านะ เอาใครดีล่ะ เอาครอบครัวเขาเองดีไหม ครอบครัวเขาอบรมบกพร่องไปหน่อยหนึ่งซะ
แต่การโกหก ไปไม่ตลอด สักวันหนึ่งความจริงก็ต้องปรากฏ แล้วก็ปรากฏจริงๆ เห็นด้วยครับน่าที่จะเขียนเรื่องนี้ วิเคราะห์กันซักพักหนึ่งคงจะดี
ครับหยิบเอามาเล่าสู่กันฟัง แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตปกติ นำความคิดที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน โอ้ โฮ วัน วัน มีเรื่องใหม่ๆมาเยอะแยะเลยนะครับ เรื่องเก่าก็ยังติดอยู่ในหัวเลยนะ อิ อิ...