เรื่องเล่าจากดงหลวง 79 นักพัฒนาชุมชนปลอม


มีคำถามเกิดขึ้นว่า ? ทำไมต้องปลอม? ปลอมทำไม ?

 อันเนื่องมาจากบันทึกนี้ http://gotoknow.org/blog/higher-edu/90395ของอาจารย์ ดร.กมลวัลย์ จึงมีบันทึกนี้ขึ้นครับ 

ประมาณปี พ.ศ. 2536-2538 ผู้บันทึกทำงานกับกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาจากประชาคมยุโรป ในงานพัฒนาพื้นที่ชลประทานภาคอีสาน จำนวน 10 อ่างเก็บน้ำ รับผิดชอบการจัดกระบวนการฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ชลประทานผู้นำชาวบ้านและชาวบ้านที่เกี่ยวข้อง  เนื่องจากพื้นที่รับผิดชอบกว้างขวาง ต้องมีเจ้าหน้าที่มาช่วยงาน ต้องสอบคัดเลือกคนที่จบปริญญาตรีเข้ามาทำงานโดยใช้ระบบราชการดำเนินการ ของหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการจัดการน้ำนี้    

เราได้เจ้าหน้าที่สนามครบตามจำนวนที่ต้องการ มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงได้ส่งกระจายไปประจำอยู่ตามอ่างเก็บน้ำต่างๆในพื้นที่  เรามีประชุมทุกเดือน มีการออกไปเยี่ยมเยือนทุกสัปดาห์  เนื่องจากปริมาณมากจึงต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานส่วนกลาง 3 คน ช่วยทำหน้าที่เป็น coaching ให้แก่น้องๆในสนาม จึงต้องการคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว  

หนึ่งปีผ่านไปเรื่องก็เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน  คือ สายวันหนึ่งเมื่อทุกคนเข้าทำงานตามปกติเรียบร้อยแล้ว ต่างก็ก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองที่โต๊ะใครโต๊ะมัน แล้วเพื่อนข้างโต๊ะก็กระซิบว่า พี่ พี่ มีญาติเป็นตำรวจหรือเปล่า เขามาหาโน่นแน่ะ เพื่อนพูดกึ่งแซวเล่น ผมมองตามไปพบว่าตำรวจ 3 คนแต่งเครื่องแบบเต็มยศมาเข้าพบผู้จัดการโครงการ  สักพักก็เรียกผู้ประสานงานโครงการน้องผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปพบ  สักพักใหญ่ๆทั้งหมดก็ออกมานอกห้องผู้จัดการแล้วตำรวจก็ควบคุมน้องผู้ชายคนนั้นออกไป 

เรื่องแบบนี้เพียงไม่ถึง 2 นาทีข่าวก็แซดออกมาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับตัวเจ้าหน้าที่ประสานงานของเราไปสอบสวนในฐานะ ปลอมแปลงเอกสารทางราชการ ซึ่งทางราชการมีความสงสัยเอกสารที่น้องมายื่นสมัครงานจะเป็นของปลอม จึงดำเนินการตรวจสอบและพบว่า น้องไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยตามที่แจ้งในเอกสารการสอบเข้าทำงาน และเอกสาร Transcript หรือใบรับรองการเรียนจบหลักสูตรมหาวิทยาลัยนั้นเขาปลอมแปลงขึ้นมา โดยเอาของเพื่อนแล้วเอารูปตัวเองใส่แทน เอาไปทำสำเนามาสมัครงาน แต่ทางราชการก็ตรวจสอบพบจนได้     

มีคำถามเกิดขึ้นว่า ทำไมต้องปลอม ?  ปลอมทำไม ?   

ตำตอบคือ น้องคนนี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจริงแต่เรียนไม่จบ เพราะเกเร เอาแต่ดึ่มเหล้า เที่ยว และไม่สนใจการเรียน จึงไม่มีสิทธิสอบและเพื่อนๆก็จบไปกันหมดสิ้นแล้ว เหลือแต่เขา จึงจำเป็นต้องปลอม Transcript ขึ้น แล้วมาหลอกพ่อแม่ว่าเรียนจบแล้ว   

เมื่อแจ้งพ่อแม่ว่าจบมาแล้วก็ไม่สนใจทำงาน เอาแต่เที่ยวเตร่ ดึ่มเหล้าไปวัน วัน พ่อแม่จึงคะยั้นคะยอให้ทำงาน หางานทำ  เนื่องจากเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงพอสมควรจึงฝากเข้าทำงานที่โครงการนี้ และได้มาทำงานกับผู้เขียน

เท่าที่สังเกต เป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยปกติเหมือนคนอื่นๆ  ที่ต่างร่าเริง สนุกสนาน น้องคนนี้เงียบๆ  เป็นไอ้เสือยิ้มยาก เฉิ่มๆ ไม่กระปรี้กระเปร่า  และหลายครั้งก็ออกอาการว่า เด็กจบปริญญาตรีไม่น่าที่จะคิดอ่าน และแสดงความคิดเห็นแบบนี้เลย...  

หลังจากนั้นไม่นานข้อมูลเขาก็ออกมาหมดสิ้นว่า น้องคนนี้เรียนแค่ปีสองก็ถูกรีไทร์ และปกปิดทางบ้านมาตลอด  หลอกพ่อแม่พี่น้องว่าเรียนอยู่ ขอเงินไปเดือนๆหนึ่ง แล้วที่สุดก็ ตัดสินใจปลอมเอกสารขึ้นมาดังกล่าว  

นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ผู้เขียนประสบด้วยตัวเองมา  จริงๆในสังคมวันนี้มีกรณีนี้จำนวนเท่าไหร่ ??  และจะมีอีกเท่าไหร่ ?? จะไม่เกิดขึ้นอีกได้ไหม ??

คำสำคัญ (Tags): #transcript
หมายเลขบันทึก: 92278เขียนเมื่อ 24 เมษายน 2007 21:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)
  • สวัสดีค่ะพี่บางทราย 
  • น่าเสียดายอนาคตนะคะ คิดสั้นไปนิดค่ะ
  • คนเราโกหกครั้งแรก ก็ต้องโกหกไม่มีที่สิ้นสุด เพราะต้องปกปิดข้อความที่ตนโกหกคนอื่นไปเรื่อย ๆ
  • ไม่ต้องบอกหรอกค่ะ มีทุกวงการเลย เคยได้ยินจากดร.กมลวัลย์  บอกว่าวงการ การศึกษาก็มีค่ะ ไม่รู้จะปกปิดกันทำไม
  • จริง ๆแล้วสังคมเดี๋ยวนี้มันวัดกันที่กระดาษใบเดียวนี่เอง คนเก่ง ๆ ที่ไม่จบระดับที่มีประกาศนียบัตรพวกนี้ มีเยอะแยะที่ประสบความสำเร็จในชีวิต  หรือคนที่จบระดับปริญญาไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็เยอะ
  • ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ

สวัสดีค่ะพี่บางทราย

คำถามนี้ยากนะคะ..คิดว่ามีอีกมาก..แต่ที่น่าสนใจคือ เพราะอะไร..เพราะถ้าเราหาสาเหตุของมันได้ก็น่าจะตัดไฟได้ง่ายเข้า

อย่างกรณีของน้องคนนี้ที่โกหกเพราะ ? ..กลัวเสียหน้า กลัวถูกดุ  กลัว...ฯลฯ แล้วพ่อแม่เล่าคะ ไม่ทราบเลยหรือว่าลูกไม่ได้เรียน  แม้แต่ตัวผู้จ้างงานเองก็ต้องมองย้อนกลับเช่นเดียวกัน..วุฒิการศึกษา ปริญญา เกรดสำคัญกับการว่าจ้างในปัจจุบันมากแค่ไหน ? ( ซึ่งเบิร์ดก็ยอมรับนะคะว่าสำคัญมาก )..แล้วเมื่อเงื่อนไขมันเป็นอย่างนี้กับคนที่เค้าไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขของสังคม เค้าจะทำอย่างไร..มีหลายคนที่ก้าวเดินไปในเส้นทางที่น้องเค้าก้าว และผิดพลาด..!

การเยียวยาหลังการผิดพลาดก็น่าสนใจค่ะพี่บางทราย..น้องควรจะได้เดินใหม่อีกครั้งบนเส้นทางที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ยังมีตัวอย่างให้คนที่เดินบนเส้นทางนี้ได้ดู

ขอบคุณมากค่ะที่พี่เอาเรื่องนี้มาให้สมองได้ออกกำลัง ^ ^

  • สวัสดีครับน้องRanee
  • คนเราโกหกครั้งแรก ก็ต้องโกหกไม่มีที่สิ้นสุด เพราะต้องปกปิดข้อความที่ตนโกหกคนอื่นไปเรื่อย ๆ
  • ใช่แล้วมิเช่นนั้นก็จะถูกเปิดเผยออกมาในสิ่งที่บกพร่อง
  • พี่ก็เห็นเช่นกันว่า คนที่ไม่ได้จบปริญญาอะไรเลยที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตก็มีมาก ตัวอย่างก็มีให้เห็นทางสื่อบ่อยๆครับ
  • ขอบคุณครับน้องครับ
  • สวัสดีน้องเบิร์ด
  • ความจริงพี่มีอีกตัวอย่างหนึ่งที่ Contrast กับเรื่องนี้ครับ ก็เป็นเพื่อนร่วมงานเช่นเดียวกัน  แต่เขาไม่จบปริญญาตรี  เรียน แต่ไม่จบ และมาทำงานกับพี่ (แบบชั่วคราว) ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเขาไม่จบ ถามทีไรก็บอกว่าจบ แต่ขอหลักฐานก็ไม่มีให้ บ่ายเบี่ยงมาตลอด จนลาออกไปเอง  แต่เราก็คบกันมาตลอด พี่ต้องสอบถามเขาเรื่องหลักฐานเพราะเราทำงานภายใต้ระบบราชการ แม้ว่าเราไม่ใช่ราชการ
  • แต่ผลงานของเขานี่ยอดเยี่ยมจริงๆ พี่ต้องยกนิ้วให้เลย เขาเป็น Trainer ที่ดีมากๆคนหนึ่ง ชาวบ้านชอบมาก การวางตัวของเขากับชาวบ้าน สุดยอด และเขาก็ประสบผลสำเร็จในชีวิตระดับหนึ่งที่อยู่ได้ สังคมยอมรับใน "ฝีมือ" จริงๆ
  • มีแต่สังคม องค์กรพัฒนาเอกชนเท่านั้นมั๊ง ที่ยอมรับคนทำงานจริงๆ ที่ไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาเลยก็ได้  แต่ทำงานได้ เข้าใจชุมชน มีฝีมือ  ตรงข้ามกับราชการที่ต้องมีระเบียบ ข้อบังคับ กฏเกณฑ์ "ทำให้คนกลุ่มนี้ถูกคัดออก" ทั้งที่มีฝีมือและทำได้ดีกว่าคนในระบบอีกด้วยซ้ำไป
  • พี่จึงสนใจคนกลุ่มนี้ ว่า "สังคมควรที่จะมีทางออกให้เขา"  มิเช่นนั้นเขาจะไปทำอะไร  โชคดีที่สังคมนี้มี องค์กรพัฒนาเอกชน และบางหน่วยงานที่ไม่เอาระเบียบราชการมากำกับมากนัก น้องคนนี้จึงยังสามารถใช้ความถนัดของตัวเองทำงานที่ชอบและหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างพอสมควร
  • การเยียวยาหลังการผิดพลาดก็น่าสนใจค่ะพี่บางทราย..น้องควรจะได้เดินใหม่อีกครั้งบนเส้นทางที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ยังมีตัวอย่างให้คนที่เดินบนเส้นทางนี้ได้ดู
  • ประเด็นดังกล่าวข้างบนสำคัญมาก พี่เห็นด้วย พี่เห็นองค์การทางศสานาเขาทำอยู่บ้าง แต่ยังน้อยอยู่ครับ
  • ความซับซ้อยของสังคมมีมากขึ้น ประเด็นปัญหาก็มากมายปลีกย่อยลงไปมากขึ้น ทำให้เรามีเรื่องหยิบมาถกกันมากขึ้น เน๊าะ..

การปลอมแปลงเอกสารทางการศึกษามีให้เห็นในระดับคนมีชื่อเสียงในสังคมก็มีให้เห็น ...

จริงอย่างพี่บางทรายว่า สังคมซับซ้อน การจัดฟันธงลงไปเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็คงพูดยากเหมือนกัน ... คิดๆ ...ว่าเขาทำไปทำไม แล้วทำอย่างไรเขาถึงจะไม่ทำ ...

  • สวัสดีอาจารย์แป๋วของพวกเรา
  • ใช่ แล้วครับ มันซับซ้อนเสียจน เรารับเรื่องราวทั้งหมดมาอยู่ในมือไม่ไหว ก็คนมันมีข้อจำกัด ถึงโบราณว่า ช่วยกันคนละมือละไม้ ใครถนัดอะไรก็ทำอย่างนั้นไป ใครช่วยแก้ปัญหาอย่างนี้ได้ก็แก้กันไป
  • หากใน G2K เอาปัญหามารวบรวมกันคงจะมหาศาลแล้วนะ เอามา group ก็ยังมากอยู่นะ
  • เอ้าหยิบเอามาบอกกล่าวกัน ว่าเออ พี่เจอะแบบนี้มานะ  น้องเจอะแบบโน้นมานะ เข้าทางใครก็เอาไปช่วยกัน หยิบเอาไปคิดต่อ ทำต่อ นะครับ
  • ขอบคุณอาจารย์แป๋วครับ

ค่ะ เรื่องนี้ไม่ควรเกิดจริงๆ

แต่จริงๆก็ได้ข่าวมาตลอดนะคะ จากที่อื่นๆน่ะคะ ไม่ค่อยแปลก แต่ทำไม ยังเกิดได้ตลอดเวลา อมตะจริงๆ แสดงว่า ไม่เข้าวัดเลย โกหกหน้าตาย

กับตัวดิฉันเองก็เคยโดนค่ะ เป็นโรคจิตแบบดูยากค่ะ

  • สวัสดีครับท่านsasinanda
  • พบเห็นบ่อยๆอยู่นะครับ แสดงว่าสังคมมีสิ่งผิดปกติซ่อนอยู่พอสมควรทีเดียวในเรื่องนี้  แม้ว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่ก็ทำให้วงการวุ่นไปด้วย หากเป็นบางวงการที่ไม่สนใจก็แล้วไป
  • ขอคุณครับ

สวัสดีค่ะพี่บางทราย...ความตั้งใจในการเขียนครั้งนี้ คือ เข้ามาขอบคุณพี่บางทราย ที่ได้ติดตามบทความของผู้เขียนหลาย ๆ บทความค่ะ

และจากบันทึกครั้งนี้...ผู้เขียนมีมุมมองที่แตกต่างออกไปอีกมุมหนึ่ง นั่นคือ การมองเหตุของปัญหา ผู้เขียนเห็นว่าต้องมองสิ่งแวดล้อม และคนรอบข้างของเด็กคนนั้นด้วย โดยเฉพาะครอบครัว เพื่อนฝูง... การตั้งความหวังของคนในบ้านทีมีต่อเขา  การให้ความไว้วางใจ การพูดคุย การเชื่อใจกัน และที่สำคัญ คือการให้โอกาสกันและกันค่ะ... 

มีวัยรุ่นหลายต่อหลายคนนะคะ ที่เวลาอยู่นอกบ้านจะเกเร เป็นนักเลง เป็นหัวโจก  และพอกลับเข้าบ้าน จะเป็นลูกที่ดี มีความกตัญญู ทำทุก ๆ อย่างที่ลูกพึงจะทำ ไม่มีเกี่ยง ไม่มีบ่น...

คนเราถ้าทำผิด ไม่ประสบผลสำเร็จ... หากครอบครัวไม่ซ้ำเติม และพยายามฉุดกันขึ้นมาจากปมปัญหา ชี้แนะและเสนอแนวทางใหม่ๆ ให้เลือก ตัวเด็กเองอาจมีกำลังใจสู้ต่อไป และไม่จมอยู่กับสิ่งที่ล้มเหลวนั้นต่อไปก็ได้ค่ะ

 

ขอเสนอประเด็นให้คิดแค่นี้ล่ะค่ะ จะตามมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อย ๆ นะคะ

นี่ซิเขาเรียกว่า Positive approach ซึ่งมีผลดีต่อจิตใจเด็กที่ต้องการการประคับประคองจิตใจ พี่เห็นด้วยครับน้อง Phiangruthai เพราะในทางโลกเป็นจริง พ่อแม่นั้นตัดลูกไม่ขาดหรอก จะอย่างไรเขาก็เป็นลูกเรา เอาน้ำเย็นเข้าลูกก่อนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากเขาคุยกับพ่อแม่ไม่ได้ สังคมก็อย่าไปหวังคนข้างนอกมากนัก ขอบคุณน้องที่มาแวะแลกเปลี่ยนกันครับ
  • นี่น่าจะเป็นกรณีศึกษาได้ดีนะครับ ว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนี้
  • เพราะใครๆ (อาจเป็นคนใหญ่คนโต) เขาก็ทำกัน
  • ภาวะบีบคั้นทั้งครอบครัว และสังคม
  • ระบบการศึกษา
  • ฯลฯ
  • อย่าว่าแต่พวกเรียนไม่จบเลยครับ  พวกที่จบหลายคนก็แทบไม่ต่างกัน
  • เอาตัวอย่างจริงที่ใกล้ตัวผมแล้วกัน
  • มีหนุ่มคนหนึ่งเรียนไม่จบปริญญาตรี  แต่ก็อยากเรียนเพราะอายคนที่บ้าน  ก็คนอื่นเขาจบกันหมด
  • จึงไปสมัครสอบเข้าสถาบันแห่งหนึ่ง เป็นภาค กศ.บป. แต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่เขาไม่สามารถไปสอบสัมภาษณ์ได้ ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของเขาเอง
  • เขาเกือบจะไม่ได้เรียนอยู่แล้ว  อยู่มาวันหนึ่งสถาบันแห่งนั้นก็โทรมาหาเขาว่ายังสนใจจะเรียนอีกหรือไม่  เขาก็ต้องตอบตกลงซิครับ
  • แล้วเขาก็ไปรายงานตัว  และได้เรียนจนถึงปัจจุบัน
  • วันแรกที่ได้รับการบ้าน เขาก็วานให้เพื่อนทำให้อีก
  • และเหตุผลสำคัญที่สถาบันแห่งนั้นต้องการตัวเขาก็เพราะคนไม่พอที่จะเปิดสอนได้ครับ
  • แล้ว อ.บางทราย คิดว่าปัญหามันอยู่ตรงไหนกันแน่ครับ

ธรรมะสวัสดีครับ

  • กรณีตัวอย่างที่ยกมานั้น เราไม่มีโอกาสเข้าไปคุยในระดับลึกๆ ว่าทำไม อย่างไร เพียงแค่หยิบปรากฏการณ์บางส่วนมาเล่าวู่กันฟัง  หากได้คุยกันลึกๆ อาจพบข้อเท็จจริงอีกหลายอย่างก็ได้ครับ ซึ่งการเจาะลึกเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ หรือผู้เกี่ยวข้องต้องทำ
  • กรณีที่น้องธรรมาวุธยกมานั้นปัญหาอาจมีหลายส่วยนะครับ โดยเฉพาะตัวหนุ่มคนนั้นเอง ที่เห็นระบบการศึกษาคือใบผ่านด่านอะไรสักอย่างที่ต้องได้มาไว้ผ่าน แต่ไม่ได้สนใจหาความรู้จริงๆ โดยให้เพื่อนทำการบ้านแทน เมื่อมองจากมุมที่มีข้อมูลเท่าที่บอกกล่าวมานะครับ  แต่เบื้องหลังของหนุ่มคนนี้อาจจะมีอะไรแฝงอีกมากมายที่ยังอาจจะไม่ได้เผยออกมา  เขาอาจจะเป็นอัจฉริยะซ่อนอยู่ก็ได้  หรือไม่ก็ไอ้หนุ่มขี้เกียจคนหนึ่งไปเลย ครับ
  • สำหรับวิทยาลัยนั้น มีหลายแห่งครับเป็นธุรกิจมากกว่าจะเป็นสถาบันการศึกษาทรงคุณภาพ  จึงต้องการคนเข้าเรียนให้มากที่สุดเพื่อทำกำไร  หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ขาดทุน โดยวิเคราะห์แล้วจะต้องมีนักศึกษาต่ำสุดเท่านั้นเท่านี้คนต่อชั้นเรียน
  • เป็นการมองเพียงเบื้องต้นเท่านั้นครับ
  • ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะคุณ P บางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)

ไม่ได้มีเวลาอ่านบันทึกของท่านอื่นๆ เสียหลายวัน เพิ่งได้มาเห็นบันทึกนี้เมื่อสักครู่ ขอบคุณที่เขียนแลกเปลี่ยนให้รับทราบกันนะคะ

ดิฉันคิดว่าเทคโนโลยีที่สูงขึ้น ค่านิยมของสังคม สภาวะของครอบครัว ความอบอุ่นในครอบครัวและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้คนโกหกมากขึ้น และเนียนขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ แล้วก็คงไม่ได้จำเพาะเจาะจงเรื่องของการปลอมเอกสารเท่านั้น ดิฉันมองเรื่องการโกหกทุกประเภทที่ไม่ใช่ white lies ค่ะ

ไว้ว่างๆ น่าจะเขียนบันทึกวิเคราะห์และขอความเห็นดูว่าทำไมคนเราจึงโกหก น่าจะดีเหมือนกันนะคะ สงสัยจะได้ข้อความเห็นชนิดตอบกันไม่หวัดไม่ไหวทีเดียว ; ) แต่จะมีทางแก้ได้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็คงต้องช่วยกันคนละไม้ คนละมือต่อไปล่ะค่ะ...

 สวัสดีครับอาจารย์  

P

อย่างว่าแหละครับอาจารย์ สังคมซับซ้อนขึ้น สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิด จะมี ก็เกิด ก็มีขึ้นได้ ไม่เว้นแต่ละวัน

การหลอก หรือโกหกพ่อแม่นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เขาก็ทำได้ลงคอ ไม่มีหลักธรรมอยู่ในใจ คือความละอายต่อบาป  พูดไปก็จะไปลงที่โรงเรียนอีก อย่าดีกว่านะ เอาใครดีล่ะ เอาครอบครัวเขาเองดีไหม  ครอบครัวเขาอบรมบกพร่องไปหน่อยหนึ่งซะ

แต่การโกหก ไปไม่ตลอด สักวันหนึ่งความจริงก็ต้องปรากฏ  แล้วก็ปรากฏจริงๆ  เห็นด้วยครับน่าที่จะเขียนเรื่องนี้ วิเคราะห์กันซักพักหนึ่งคงจะดี

ครับหยิบเอามาเล่าสู่กันฟัง แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตปกติ นำความคิดที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน โอ้ โฮ วัน วัน มีเรื่องใหม่ๆมาเยอะแยะเลยนะครับ เรื่องเก่าก็ยังติดอยู่ในหัวเลยนะ อิ อิ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท