วันนี้ (11 เมษายน 2550) ผมมีโอกาสได้พูดคุยเรื่องการประชุมเชียร์ของมหาวิทยาลัยร่วมกับองค์การนิสิตและผู้บริหารบางท่าน ชวนให้อดคิดคำนึงถึงเรื่องราวของกิจกรรมนี้เมื่อนานมาแล้วทั้งในฐานะที่ตนเองเคยเป็นนิสิต , สต๊าฟเชียร์และในฐานะของการเป็นผู้กำกับดูแล...
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จะมีกิจกรรมที่ว่าด้วยทำนอง “รับน้อง” อยู่สองกิจกรรมหลัก ๆ นั่นก็คือ (1) การจัดประชุมเชียร์ (นิสิตมาร่วมร้องเพลงและร่วมกิจกรรมนันทนาการเพื่อการเรียนรู้) (2) และการลอดซุ้ม ซึ่งยังไม่นับรวมกิจกรรมอย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กีฬาน้องใหม่ พิธีบายศรีสู่ขวัญ เป็นต้น แต่เฉพาะกิจกรรมประชุมเชียร์นั้น มมส จะมี 2 ลักษณะ คือ ประชุมเชียร์ระดับมหาวิทยาลัย (คลาสกลาง) และประชุมเชียร์ระดับคณะ (คลาสคณะ) โดยกิจกรรมประชุมเชียร์จะเริ่มจากประชุมเชียร์ระดับมหาวิทยาลัยเสียก่อนจากนั้นจึงลงสู่การปฏิบัติหรือจัดกิจกรรมในระดับคณะ....
นั่นคือภาพลักษณ์อันสำคัญที่เกิดขึ้นและดำเนินอยู่มายาวนานไม่น้อยกว่า 20 ปี
การได้พบคุยในห้วงสั้น ๆ ของวันนี้ ผมเลยมีความตั้งใจที่จะเขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้บ้าง หลังจากรับบทเป็นวิทยากรบรรยายมาหลายครั้งหลายหน ... แต่เบื้องต้น (ครั้งนี้) ขออนุญาตเริ่มต้นจากการคัดตัดตอนบางส่วนของข้อเขียนที่เขียนไว้นานแล้วมานำเสนอ จากนั้นจึงจะนำเข้าสู่ข้อมูลเชิงพัฒนาการของกิจกรรมประชุมเชียร์และรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จากอดีตมาสู่ปัจจุบันในโอกาสต่อไป
การประชุมเชียร์ หรือ “คลาสเชียร์” เป็นกลไกด้านกิจกรรมกลไกแรกที่สำคัญที่สุดในการช่วยหล่อหลอมและกล่อมเกลาให้นิสิตใหม่เกิดความรักและศรัทธาต่อมหาวิทยาลัย นำพานิสิตใหม่มาร่วมทำกิจกรรมบนพื้นฐานของมิตรภาพ โดยปราศจากการแบ่งแยกวิชาและคณะ ช่วยให้นิสิตใหม่มีเจตคติที่ดีในการอยู่ร่วมกันในนามสถาบัน ความรักและความผูกพันจะถูกถ่ายโยงจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ เพลงสถาบัน เกมและกีฬา ฯลฯ ก่อนจะเชื่อมโยงไปสู่ “กิจกรรมประเพณี” ที่ยึดปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน อันเป็นตำนานเล่าขานความเป็น “รุ่น” อาทิ การเลือกประธานรุ่น กีฬาน้องใหม่ (ลอดซุ้ม - รับน้ององค์การ) คัดเลือกฮีโร่ ดาวมหาวิทยาลัย ถอดไทด์ใส่คัทชู ตามลำดับ ก่อนจะปิดท้ายปลายปีการศึกษาด้วยประเพณี “มอบรุ่น” ซึ่งจะปฏิบัติกันเมื่อรุ่นพี่เดินทางกลับมารับพระราชทานปริญญาบัตร
ด้วยเหตุนี้การประชุมเชียร์จึงเป็นด่านแรกที่ทำหน้าที่เป็นเบ้าหลอมคอยหลอมรวมให้นิสิตใหม่รักและผูกพันกันเป็นหนึ่งเดียวทั้งชั้นปีก่อนจะย่างกรายสู่วิถีอื่น ๆ ที่มีอยู่อย่างหลากล้นในมหาวิทยาลัย ประสบการณ์ชีวิตอันเต็มไปด้วยสีสันจะถูกบ่มเพาะขึ้นบนพื้นฐานประวัติศาสตร์การประชุมเชียร์ เสียงเพลงและเสียงทักทาย ประกอบด้วยเสียงหัวเราะและคราบน้ำตาที่ก่อเกิดในห้วงระยะเวลา 1 เดือน คือประจักษ์พยานสำคัญที่สุดของการรวมเป็นหนึ่งเดียว ทั้งยังจะเป็นสิ่งการันตีได้ว่าอย่างน้อยที่สุดในห้วงเวลา 4 ปีในมหาวิทยาลัย “คุณจะไม่มี วันเดียวดาย” อย่างแน่นอน...!
สำหรับนิสิตที่พลาดโอกาสเข้าร่วมประชุมการประชุมเชียร์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะรู้สึกและสัมผัสได้อยู่ตลอดเวลาว่าในก้าวแรกของการเป็นนิสิตนั้นมีบางสิ่งบางอย่างหล่นหายไปและเมื่อย่างกรายเข้าสู่กิจกรรมประเพณีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “น้องใหม่” ก็ย่อมตกอยู่ในฐานะคนแปลกหน้า เช่นเดียวกับเมื่อเติบใหญ่มาเป็น “รุ่นพี่” ก็ยากยิ่งต่อการเป็นแบบอย่างของน้อง ท้ายที่สุดยิ่งยากต่อการเป็น “ผู้นำนิสิต” ทั้งมหาวิทยาลัย...
อย่างไรก็ดี การประชุมเชียร์ก็ใช่ว่าจะเป็นเพียงตำนานที่เลอล้นด้วยสายใยความรักความผูกพันเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นปฐมบทแห่งการจุดประกายไฟกิจกรรมให้นิสิตใหม่มีแรงใจไฟฝันที่จะเรียนรู้คุณค่าและความหมายอันแท้จริงของความเป็น “ปัญญาชน” โดยในวิถีของการประชุมเชียร์นิสิตใหม่จะมีโอกาสพบพานกับบรรดาผู้นำกิจกรรมจากองค์กรต่าง ๆ สัมผัสจริงกับกลิ่นอายและบรรยากาศของกิจกรรมอันหลากหลายรสชาติ ประกอบกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในการประชุมเชียร์จะช่วยเสริมสร้างให้นิสิตใหม่สามารถพัฒนาบุคลิกภาพตนเองได้เป็นอย่างดี เป็นต้นว่า การฝึกให้นิสิตใหม่มีความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อตนเอง กล้าคิด กล้าทำ รู้รักสามัคคีในผองเพื่อน อันเป็นรากฐานสำคัญก่อนเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาตนเป็น “ปัญญาชน” ดังปรัชญาของสถาบันที่กล่าวอ้างไว้อย่างชัดเจนว่า “ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน”
เหนือสิ่งอื่นใด แม้การประชุมเชียร์จะไม่ใช่กิจกรรมชี้วัดคุณค่าความเป็นนิสิตได้ทั้งหมด แต่ประวัติศาสตร์สามสิบสองปีก็ยืนยันชัดเจนแล้วว่า การประชุมเชียร์มีอานุภาพอย่างยิ่งในการหลอมรวมคนเข้าเป็น “หนึ่งเดียว” ทั้งในนามของ “รุ่น” และในนาม “มหาวิทยาลัย”
ทั้งหมดทั้งปวงนี้...เป็นแต่เพียงบันทึกเรื่องราวของกิจกรรมประชุมเชียร์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว...เกิดขึ้นในยุคสมัยที่รูปแบบและเนื้อหายังไม่คลาดเคลื่อนไปจากรากเหง้าอันแท้จริง...
เพราะทุกวันนี้กิจกรรมประชุมเชียร์เปลี่ยนไปจากอดีตทั้งทางเนื้อหาและรูปแบบอย่างมหาศาล...มีทั้งที่ดีขึ้นและมีทั้งที่อ่อนด้อยไปกว่าเดิม
แต่เดี๋ยวค่อยว่ากันในยกต่อไป - นะครับ
ความเชื่อมั่น ความรัก ความศรัทธา ความสามัคคีเกิดขึ้นพร้อมกับวัฒนธรรมไทยด้วย
แต่เป็นไง.....การประชุมเชียร์...ยังเปลี่ยนไป
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
คิดฮอด..มื้อประซุมเซียร์มื้อแรกๆแท้..น่วมเลย อิ อิ
ความเป็นหนึ่งเดียวเป็นดาบสองคมก็จริง...แต่คลาสเชียร์ก็ยังมีวิถีงดงามอยู่ เช่น การมีชมรมรุ่นสัมพันธ์เกิดขึ้นจากการประชุมเชียร์และจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องในมหาวิทยาลัย กวาดรางวัล...ช่อราชพฤกษ์ไปทั้งประเภทองคืกรและบุคคล...ยังไม่ได้รวมกลุ่มไปขับไล่ใครเลย...(ยิ้ม ๆ)
ขอบคุณครับ....สุขสันต์วันสงกรานต์ - ปีใหม่ของเรามาก ๆ นะครับ
โดยเนื้อแท้อันเป็นปรัชญา ผมก็ยังเชื่อและศรัทธาอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงว่า "ประชุมเชียร์" เป็นกิจกรรมที่ดี - สร้างสรรค์และมีประโยชน์ แต่รูปแบบที่เปลี่ยนไปเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและเป็นวิธีคิดที่ไม่สมบูรณ์ของผู้จัดกิจกรรม
กระนั้น...ก็ไม่เคยสิ้นหวังที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่เนื้อแท้และปรัชญาอันแท้จริงของการประชุมเชียร์
ขอบพระคุณครับ
ตั้งแต่รับงานมา ผมย้ำกับผู้เกี่ยวข้องเสมอว่าต้องการให้ปีนี้เป็นปีแรกที่มีกระบวนการWorkshop เรื่องเชียร์และรับน้องใหม่..ซึ่งเบื้องต้นได้รับการขานรับที่ดีจากนิสิตแล้ว...ต้นเดือนพฤษภาคมจะมีการดำเนินการอีกครั้ง
ผมอยากเริ่มต้นเช่นนี้มาก นิสิตจะได้สังเคราะห์ที่มาที่ไปให้เข้าใจและวิเคราะห์จัดการกับทิศทางและรูปแบบที่เป็นมาอย่างจริงจัง ซึ่งผ่านมาไม่เคยมีใครทำเช่นนี้เลย...
ผมอยากทำ และอยากเริ่มต้นมาก....
ขอบคุณครับ...
ได้อ่านบันทึก...ทำให้นึกถึงวันคืนเก่า ๆ ของตนเองเช่นกัน ยังมีความรู้สึกเหมือนกลิ่นอายยังกรุ่น ๆ อยู่เลยนะคะ
เหรียญยังมี 2 ด้าน ดามยังมี 2 คม ดังนั้นทุกเรื่องราวมีทั้งดี และร้าย แล้วแต่เราจะเลือกเอาค่ะ
แผ่นดิน: คนนึงอาจจะเป็นเพราะไม่ไล่ใครนี่หละครับ lol
ผมเคยเข้ากิจกรรมแบบนี้ มาไม่กี่ที่ ไม่กี่ครั้ง แต่เท่าที่เคยผ่านมา ก็พบว่าปลูกฝังเรื่อง การเชื่อฟัง ความเป็นหนึ่งเดียว สามัคคี ซึ่งก็มีประโยชน์เหมือนกัน
่หลายครั้งก็สามัคคี โดยไม่ได้มีหลักคิดอื่นๆ ก็พากันไปทำอะไรที่ไม่ค่อยดีได้เหมือนกัน
คงจะดีถ้าระบบสมดุลมากขึ้น ผมอ่านคำขวัญของเยอรมนีมาก็ คิดว่าอาจจะเข้าท่าเหมือนกัน "ความสามัคคี ความถูกต้อง และเสรีภาพ" สามัคคีแล้วก็มีหลักคิดอื่นๆด้วย :-)
เห็นในรูป ก็เหมาะสมที่คุณแผ่นดินจะดูแลในเรื่องกิจกรรมนิสิต มาดเท่มาก
นึกถึงผู้จัการฝ่ายผลิต ลูกน้องเก่า เป็นชาวพัทลุง จบจากม.เกษตร บางเขน เขาเล่าว่า ตอนเขาเป็นน้องใหม่ ประทับใจกับผู้นำนักศึกษาที่ขึ้นstand กล่าวปลุกใจน้องปีหนึ่งมาก และพูดกับตัวเองและเพื่อนสนิทว่า วันหนึ่ง เขาจะเป็นอย่างนั้นบ้าง แปลกจริง เขาได้เป็นหัวหน้านักศึกษาจริงๆ ไม่มีใครไม่รู้จักเขาในช่วงที่เรียนอยู่และออกมาแล้วด้วย เคยไปคุยกับอ.จ.เกษตร และเอ่ยถึงเขา อ.จ.ก็รู้จักเขาดี ในด้านดีค่ะ แต่เสริมว่า เขาเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน
แต่ที่น่าแปลก เขาเป็นคนอ่อนไหว ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง จะมาปรึกษาบ่อย ว่าเขาจะทำยังไงกับชีวิตตอนนี้ดี บางทีก็โทร มา เขาจะสับสนกับชีวิตในบางครั้ง คนเรานี่ซับซ้อนจริงๆค่ะคุณแผ่นดิน
มาเยี่ยม...
น่าจะคิดทำในมุมใหม่ให้ดีกว่าเดิมได้แล้วเกี่ยวกับการประชุมเชียร์นะครับ
เพราะโลกนับวันจัหมุนไปไกลแสนไกล ฮา ๆ เอิก ๆ
สวัสดีครับ สวัสดีตอนดึก ๆ ที่ไม่รู้ว่าหลับหรือยัง..
ผมเพิ่งกลับมาจากการลงพื้นที่...ถึงที่พักตอน 5 ทุ่ม..เหนื่อยแต่ก็มีความสุข...
ผมเชื่อว่าเราต่างก็มีความทรงจำที่ดีในเรื่องประชุมเชียร์และรับน้องใหม่กันทั้งนั้น ขณะเดียวกันก็คงมีบ้างที่ฝังจำกับเรื่องไม่ควรจำที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมดังกล่าว...
กระนั้น...เราก็เลือกที่จะเติบโตจากมุมชีวิตอันดีงามเหล่านั้นเช่นกัน...
มีความสุขกับสงกรานต์และวันขึ้นปีใหม่แบบไทย ๆ ของเรานะครับ...
วันนี้รดน้ำขอพรกันแล้วนะ...แต่ขออวยพรย้ำอีกครั้ง...
"แต่งงานเร็ว ๆ นะ"....อยู่ดีมีแฮง ๆ เด้อ อีหล่า
ผมดีใจมากที่บันทึกนี้ชวนให้หลายท่านคิดคำนึงถึงห้วงวัยและวันคืนในกิจกรรมประชุมเชียร์และรับน้องใหม่...และผมก็เชื่อเช่นเดียวกัน คือ ...เราสามารถเลือกสิ่งอันดีงามจากกิจกรรมนั้น ๆ มาประดับไว้กับตัวเอง..
ขอบพระคุณคำคมความคิดนี้นะครับ
เหรียญยังมี 2 ด้าน ดามยังมี 2 คม ดังนั้นทุกเรื่องราวมีทั้งดี และร้าย แล้วแต่เราจะเลือกเอา
ขอบคุณครับ
ผมเห็นพลังความคิดอันล้นหลายของคุณชอลิ้วเฮียงเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับนิสิตนักศึกษา...นั่นคือตัวตนอย่างหนึ่งของคุณเองที่ควรค่าต่อการยกย่องนับถือ...
ผมยังมีความหวังเสมอที่จะร่วมคิดและร่วมเปลี่ยนแปลงกิจกรรมประชุมเชียร์ของนิสิตไปสู่วิถีอันดีงามและสอดรับกับยุคสมัย
ขอบคุณครับ
ไม่ว่ายุคสมัยใด สังคมยังต้องการ "ความสามัคคีที่ดีดี" ซึ่งหมายถึงหล่อหลอมด้วยวิถีคิดที่ดี และนำไปสู่การทำประโยชน์ที่ดีต่อตัวเอง, และสังคม ...กิจกรรมนิสิตคือกลไกของการปลูกสร้างสิ่งเหล่านี้แก่นิสิตอย่างไม่สิ้นหวัง
ขอบคุณครับ...
ผมมีความสุขที่ชีวิตเติบโตมาจากกิจกรรมของนิสิตและยังวนเวียนอยู่กับเรื่องเหล่านี้อย่างไม่รู้จบ...ไม่เคยรู้สึกซ้ำซากจำเจ ถึงแม้เป็นเรื่องเดิมและเทศกาลเดิมก็ยังมีความตื่นเต้นกับมันเสมอ
อันที่จริง...ผมก็เป็นคน "แข็งนอกอ่อนใน" เหมือนกัน..ซึ่งเชื่อว่าตนเองก็มีไม่น้อยที่คล้ายคลึงกับคนที่อาจารย์ได้กล่าวถึง โดยทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ขอบพระคุณครับ
สัปดาห์ที่แล้วผมถามนิสิตว่าจำเป็นมากไหมที่จะต้องมีกิจกรรมประชุมเชียร์..นิสิตบอกว่า "จำเป็น" ...ผมเลยทิ้งคำถามไว้ว่า "แล้วอะไรล่ะที่จำเป็นบ้างในกิจกรรมประชุมเชียร์" ..โดยมีข้อแม้ว่า ...วันที่ 19 เมษายนต้องมาให้คำตอบกับผม..อีกครั้ง
ขอบคุณครับ
โดยส่วนตัวผมยังมองว่าการประชุมเชียร์ยังมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอยู่เหมือนเคย เพียงแต่รูปแบบเท่านั้นที่ดูจะไม่สอดรับกับวัตถุประสงค์เท่าที่ควรนัก...
ที่ มมส ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น...รัดกุม และมีสาระชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ...
ขอบพระคุณครับ