การอบรมที่สวนสายน้ำครั้งนี้เป็นวาระพิเศษ..นอกรอบ สำหรับโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ จึงมีแต่คุณพยาบาล คุณหมอ เข้าเท่านั้น ทั้งหมดจึงเป็นผู้เข้าอบรม เพื่อไปดูแลให้ความช่วยเหลือผู้อื่น ในฐานะบุคลากรสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับความตายในวิชาชีพ
สำหรับกรณีผู้เข้าอบรมเป็นบุคลากรสุขภาพ ผมตั้งข้อสังเกตโดยเปรียบเทียบกับการอบรมครั้งที่แล้วเมื่อ ๒-๓ ปีก่อนที่สวนสายน้ำเช่นกัน คือ
คราวที่แล้วพยาบาลที่เข้าร่วมจะสูงวัยกว่า เป็นหัวหน้าหอผู้ป่วย เป็นพยาบาลเฉพาะทาง มีประสบการณ์ทำงานสัมผัสผู้ป่วยกลุ่มนี้มาอย่างโชกโชน มองเห็นปัญหา ข้อจำกัดของตนเอง พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนและเรียนรู้จากการอบรม
การอบรมครั้งนี้ ถ้าไม่นับพี่กา..กรรณิกา อังกูร หัวหน้าหอผู้ป่วยอายุรกรรม จากโรงพยาบาลหาดใหญ่แล้ว ส่วนใหญ่พยาบาลที่เข้าร่วมจะเป็นพยาบาลรุ่นใหม่ไฟแรง มีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยโดยตรงทุกคน แต่บางคนทำงานยังไม่ครบปี ก็มาเข้าอบรมแล้วทั้งด้วยสมัครใจหรือทางหอผู้ป่วยมอบหมายมา ความพร้อมในการเรียนรู้มีเต็มร้อย แต่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์มีน้อยไปหน่อยครับ
ทางทีมวิทยากรจึงต้องปรับรูปแบบการอบรมวันต่อวัน พอเห็นว่าหลายคนไม่กล้าพูดในกลุ่มใหญ่ ก็ซอยย่อยเป็นกลุ่มเล็กก่อน ให้ทุกคนมีโอกาสพูดในกลุ่มเล็ก แล้วจึงมารวมกลุ่มใหญ่กันอีกหน บางกิจกรรมที่ไม่เคยมีประสบการณ์ตรง เช่น การภาวนามรณสติ ซึ่งบทภาวนากล่าวถึงการลาจากคนที่เรารัก บางคนยังไม่มีลูก บางคนไม่เคยมีการสูญเสียคนในครอบครัวเลยในช่วงก่อนหน้านี้ ๕ ปี จึงไม่สามารถ "อิน" เข้าไปในบทได้
สำหรับในการอบรมครั้งก่อนๆ นอกจากบุคลากรสุขภาพที่เป็นกลุ่มหลักแล้ว จะมีอาสาสมัคร ผู้ดูแลผู้ป่วยและผู้ป่วยเองเข้าร่วมอบรมด้วย การมีผู้เข้าอบรมหลากหลายกลุ่ม ทำให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้กว้างขวางกว่ามีเฉพาะกลุ่มบุคลากรสุขภาพอย่างเดียว มุมมองจากผู้ป่วยและผู้ดูแลที่ไม่ใช่หมอ พยาบาล มีคุณค่าทั้งในแง่การเติมส่วนที่ขาดพร่องไป เป็นกระจกสะท้อนระบบบริการต่างๆได้เป็นอย่างดี
บุคคลอีกกกลุ่มหนึ่งที่มาเข้าอบรม คือ สื่อสารมวลชน ทั้งนักเขียน นักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งสามารถนำความรู้ประสบการณ์จากการอบรมไปเผยแพร่ในวงกว้างต่อไป สำหรับในการอบรมครั้งนี้ มีนักเขียนและช่างภาพจากนิตยสารสารคดี คือ คุณวีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง และคุณบันสิทธ์ิ บุญญรัตเวช ได้ติดตามมาบันทึกข้อมูล สัมภาษณ์บุคคล และเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆด้วย ทำให้เราได้มีรูปสวยๆแบบมืออาชีพของการอบรมเป็นจำนวนมาก ต้องขอขอบคุณน้องทั้งสองคนด้วยครับ
<< อบรม-เผชิญความตายอย่างสงบ ๒: ทำไมต้อง..สวนสายน้ำ
อบรม-เผชิญความตายอย่างสงบ ๔: แนะนำตัว ถอดหมวก-เปิดเสาอากาศ-แบ่งปัน >>
ทางโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ก็เคยจัดการอบรมนอกรอบไปเหมือนกันเมื่อปีก่อนนะครับ โดยพี่มด..อาจารย์ศรีเวียง และทีมวิทยากรชุดเดียวกัน ยกเว้นผม
คุณอุบลได้เข้าร่วมหรือเปล่าครับ
ถ้าไม่ได้เข้า อ่านบันทึกของอาจารย์สกล หรือ รออ่านบันทึกของผมก็ได้นะครับ ถ้ารอไหว
คุณ โอ๋ ครับ
ตอนจัดครั้งนี้ก็สองจิตสองใจครับ มันเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณด้วยครับ
เคยได้ยินเพื่อนๆ ที่เข้าร่วมอบรม ลักษณะนี้
ดีจังนะคะ อบรมกับสมาชิกที่หลากหลายและเกี่ยวข้องกับผู้ป่วย
สวัสดีค่ะอาจารย์
ดูชื่อการอบรมของอาจารย์แล้วคิดว่า ตัวเองน่าจะต้องไปเข้ารับการอบรมเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะตลอดเวลาที่ทำงานเจอแต่คนเกิด มีบ้างที่แท้งบุตรแต่น้อย...กลัวใจตัวเองเหมือนกันว่าถ้าต้องเผชิญกับสภาพที่ต้องทำหน้าที่ช่วยผู้ป่วยให้เผชิญอย่างสงบนั้นจะทำได้ไหม...หรือแม้แต่ตัวเองจะสงบได้แค่ไหน...
ตอนนี้ใช้การเจริญสติ และใช้พรหมวิหารสี่กับความเจ็บ ความป่วย ของบุคคลที่ใกล้ชิดและที่รู้จัก และกับความต้องทนกับความเจ็บในบางช่วงบางทีของตัวเอง (เช่นไปทำฟัน) ไม่มีหลักการอะไรเลย..ทำด้วยใจล้วนๆ ค่ะ..
อาจารย์จะกรุณาเล่า สิ่งที่อบรมได้บ้างหรือเปล่าคะ...เพื่อจะได้ติดตามเรียนรู้ด้วย..ขอบคุณค่ะ
ตัวผมเองคิดว่า คนเราทุกคนมีการ "คัดกรองการรับรู้" และมี "การเลือกการแสดงออก" อยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนไปเรื่อยๆตามบริบท
ดังนั้น responses ในแต่ละบริบทนั้น จะมี "คุณค่า" ในตัวมันเอง ที่ไม่สามารถจะ copy หรือแค่ "เพิ่มเติม" อะไรแล้วจะเป็น "สมการบวก" แต่มันจะกลายเป็น multidimensional matrix equation เสมอ
ดังนั้นเวลาที่ "บุคลากรสุขภาพ" มี responses อย่างหนึ่ง ถ้าเพิ่ม "คนไข้" หรือ "อาสาสมัคร" ลงไป ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่ responses แรก บวกกับ responses ของสองกลุ่มที่เหลือ เพราะผลกระทบจากการมีอีกสองกลุ่ม จะทำให้กลุ่มแรกเปลี่ยนการรับรู้ และเปลี่ยนพฤติกรรมไป ไม่มากก็น้อย
ยกเว้นก็แต่ทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญการฟังระดับ 4 ของสุนทรียสนทนา คือ ระดับสุดยอด การคิด ฟัง พูด ไม่มีผลกระทบจากการเปลี่ยนกลุ่ม
แต่กระนั้นไม่ได้แปลว่าเมื่อมีความชำนาญในการทำสุนทรียสนทนาจะไม่ถูกกระทบจากผู้ฟังที่หลากหลายเลยทีเดียว ถ้าเราเข้าใจใน collective thought แล้ว เราจะพบว่า collective thought จะเปลี่ยนไปกับสมาชิกเสมอเช่นกัน
โดยสรุป ผมไม่เห็นด้วยเล็กน้อย ที่ว่าการที่เรามีแต่น้องพยาบาล และบุคลากรสุขภาพอย่างเดียว จะเป็นการ ขาด เท่านั้น แต่น่าจะเป็น อีกแบบหนึ่ง ที่เราอาจจะไม่ได้จากการมีทุกกลุ่มรวมกันมากกว่า
เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ (แต่เอามา share กัน)
ครับ
ครับ
ครับ
อาจารย์ จันทรรัตน์ครับ
เคยแอบอ่าน แล้วลืมสมัครเป้นสมาชิก
วันนี้ขออนุญาติ สมัครเลย
ชอบ การเขียนที่เป็นกันเองให้ความรู้สึกเต็มที่เหมือนรอยยิ้มของรูปผู้เขียน ค่ะ
อาจารย์ขจิตครับ
อาจารย์รวิวรรณ ครับ
อืม มีหลายกลุ่มอาชีพมาเข้าร่วมก็ดีนะคะ จะได้มุมมองหลากหลายดี
ดิฉันมีประสบการณ์ตรงจากตอนที่คุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งปอดยังรู้สึกว่ารับมือกับการสูญเสียคนที่รักได้ไม่ดีเลยและเมื่อนึกย้อนว่าหากเป็นตัวเราเผชิญกับความตายเอง ยังไม่รู้ว่าจะทำได้ดีหรือเปล่าเลยค่ะ
หมอนิด ครับ