2.ด้านสังคม
2.1.ปัจเจกชนนิยม(Individualism)จะต้องสมดุลกับส่วนรวมนิยม(Collectivism) อิสลามใช้ให้เริ่มต้นจากตัวเองแล้วขยายสู่สังคมส่วนรวมให้สนอง ความต้องการของตัวเองแต่ต้องไม่ลืมความจำเป็นหรือความต้องการของ สังคมให้แสวงหากำไรสู่ตัวเองแต่ต้องไม่ทำให้สังคมต้องขาดทุน(เสียหาย) อิสลามยอมรับสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์แต่ในด้านการปฏิบัติจะต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น การใช้ให้กระทำดีละเว้นความชั่วจะต้องเริ่มจากตัวเองสู่ครอบครัวและเพื่อนบ้านแล้วขยายสู่สังคม ในการสร้างประโยชน์แก่ตัวเองก็อย่าทำให้ประโยชน์ของผู้อื่นเสียหาย การละหมาดเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าแต่ต้องทำเป็นญามาอะฮฺ (เป็นหมู่คณะ)“ผู้ใดแยกตัวเองจากญามาอะฮฺแน่แท้เขาจะได้รับนรก” (หะดิษ)สิทธิและหน้าที่รับผิดชอบของปัจเจกชนต่อสังคมจะสมดุลกับสิทธิและหน้าที่ของสังคมต่อปัจเจกชน
2.2.อนุญาตให้มีภรรยามากกว่าหนึ่งได้แต่มีเงื่อนไขมากจนกระทั่งว่าธาตุแท้ (หัวใจ)ของกฎของอิสลามคือการมีภรรยาคนเดียวอายะฮฺหรือโองการ 4:3จะสมดุลกับอายะฮฺ123ซูเราะฮฺหรือบทเดียวกันให้มีความผูกพันทางการแต่งงานอย่างยืนนาน (ถาวร)แต่ก็เปิดประตูแห่งการหย่าร้างไว้ถ้าหากความผูกพันแห่งการแต่งงานนั้นจะนำความเสียหาย ก็อนุญาตให้หย่าร้างได้แต่ควรจำไว้ว่า“สิ่งที่เป็นที่อนุมัติแต่อัลลอฮฺทรงเกลียดมากที่สุดคือ การหย่าร้าง” (หะดิษ)
2.3.ฟัรฎูอีนจะสมดุลกับฟัรฎูกิฟายะฮฺฟัรฎูอีนเป็นหน้าที่ของแต่ละบุคคล ส่วนฟัรฎูกิฟะฮฺเป็นหน้าที่ของสังคมหน้าที่ต่อตนเองจะสมดุลกับหน้าที่ต่อสังคม
2.4.ในการสมาคมควรจะมีจิตใจที่ถ่อมตนแต่มิใช่หมายความว่าจะต้องลดเกียรติของตน มุสลิมต้องมีศักดิ์ศรี มีเอกลักษณ์ของตนเอง แต่ไม่เย่อหยิ่งหรือโอ้อวด
2.5.สังคมอิสลามประกอบด้วยผู้ร่วมศรัทธาแต่ก็ยอมรับหรือประกันชนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่มุสลิมในสังคมมุสลิมปฏิเสธการประนีประนอม(Compromise)ในเรื่องศาสนาแต่ยอมรับการประนีประนอมด้านสังคม ในเรื่องที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์กับพระเจ้าห้ามมิให้มุสลิมมีการประนีประนอมโอนอ่อน แต่ในกฎเกณฑ์แห่งความสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันให้มุสลิมมีการประนีประนอมได้
2.6.การอิอฺติกาฟในมัสยิดหมายถึงการปลีกตัวออกจากสังคมแต่ก็ยังอยู่ท่ามกลางสังคม (เพราะมัสยิดสร้างอยู่กลางสังคม)อิอฺติกาฟคือการอิบาดะฮฺ(การเคารพภักดีพระเจ้า) ชนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป็นการแยกตัวออกจากสังคม
ไม่มีความเห็น