มารู้จักวัณโรคกันก่อน
วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เล็กมาก ซึ่งสามารถทำให้เกิดวัณโรคได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย เช่น ปอด กระดูก ต่อมน้ำเหลือง แต่ที่เป็นปัญหามากในปัจจุบัน คือ “ วัณโรคปอด ”
สาเหตุ
วัณโรคเกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis เป็นส่วนใหญ่บางส่วนเกิดจากเชื้อ M. africanum and M. bovis.
อาการที่น่าสงสัยว่า “วัณโรคปอด”
การบรรเทาอาการไอ
อาการไอ คือ สภาวะที่ร่างกายกำลังทำให้ปอดและทางเดินหายใจโล่ง โดยอาจไอแบบแห้ง ๆ ( ไม่มีเสมหะ ) หรือไอแบบมีเสมหะ อาการไออาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย บางครั้งอาจเกิดจากภาวะภูมิแพ้ หรือสิ่งระคายเคืองโดยเฉพาะบุหรี่ อาการไออาจเป็นผลจากการระคายเคืองโดยตรงต่อปอดหรือจากน้ำมูกที่ไหลลงในหลอดลม ซึ่งเกิดจากอาการคั่งของน้ำมูกในทางเดินหายใจ ถ้าสาเหตุเกิดจากหวัด อาการไออาจเป็นอยู่อีกเป็นเวลานานหลายสัปดาห์หลังอาการอื่น ๆ หายหมดแล้วก็ได้
การดูแลรักษาตนเองเพื่อบรรเทาอาการไอ
1.
ถ้าสูบบุหรี่อยู่ นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะ
เลิกบุหรี่
เพราะการสูบบุหรี่จะขัดขวางการทำงานของสิ่งที่มีลักษณะคล้ายขนเล็ก ๆ
ที่ผิวของเยื่อบุทางเดินหายใจ
ซึ่งจะทำหน้าที่พัดโบกไปมาคล้ายไม้กวาดขนาดจิ๋วที่กวาดเอา มูก
เชื้อโรค และฝุ่น ไม่ให้เข้าไปในปอดและหลอดลม
ผู้ที่สูบบุหรี่อวัยวะดังกล่าวจะมีการทำงานเสียไป
ไม่สามารถพัดโบกได้ดังเดิม
ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจดังนั้นการหยุดสูบบุหรี่จึงเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด
2.
ดื่มน้ำมาก ๆ หรือสูดไอน้ำร้อนจากการต้มน้ำ
เพื่อช่วยลดการคั่ง และทำไห้น้ำมูกเหลวขึ้น
ควรดื่มน้ำอุ่นอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว
3.
จิบยาแก้ไอหรือยาอมชนิดแก้ไอที่ชุ่มคอ
เพื่อช่วยให้ลำคอที่แห้งและระคายอยู่ชุ่มชื้นและสบายขึ้น
4.
ใช้ยาละลายเสมหะ เพื่อช่วยให้เสมหะเหลวใสขึ้น
แต่ถ้าเป็นการไอแบบแห้ง ๆ ควรใช้ยาระงับอาการไอ
5.
ควรปรึกษาแพทย์ เมื่อมีอาการไอติดต่อกันเกิน 2
สัปดาห์ หรือมีอาการผิดปกติ เช่น
- เสมหะปนเลือดมีสีน้ำตาล หรือเขียว
- มีอาการหอบหืด หายใจลำบาก
- เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง
หมั่นออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอและช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคได้
จะรู้ว่าเป็นวัณโรคปอดได้ต่อเมื่อ
-
ตรวจเสมหะ ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบเชื้อวัณโรค
-
เอกซเรย์ปอด พบแผลวัณโรคที่เนื้อปอด
เมื่อตรวจพบว่าเป็นวัณโรคปอด อย่าท้อแท้และหมดกำลังใจ… “เพราะวัณโรคเป็นโรคที่รักษาให้หายได้” ปัจจุบันมียารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถรักษาให้หายได้ภายใน 6 เดือนเท่านั้น โดยผู้ป่วยต้องกินยาตามชนิด และขนาดที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอจนครบกำหนดเรียกว่า การรักษาวัณโรคแบบมีพี่เลี้ยง คือ
การแพร่เชื้อ
ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคในระยะแพร่กระจายเมื่อผู้ป่วย จาม ไอ หัวเราะร้องเพลงหรือแม้กระทั้งพูดก็สามารถแพร่เชื้อออกทางน้ำลาย dropletnuclei กระจายไปในอากาศและสามารถอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนหายใจจะได้รับเชื้อนั้นเข้าในถุงลมในปอด(alveoli)หากร่างกายแข็งแรงภูมิคุ้มกัน immune ปกติร่างกายก็สามารถกำจัดเชื้อนั้นได้โดยการทำลายของ macrophages ผู้ป่วยเด็กหรือเป็นเอดส์เชื้อจะแพร่กระจายไประบบอื่น เช่น เยื่อหุ้มสมองและเกิดโรค หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2-8 สัปดาห์หากร่างกายแข็งแรงสามารถทำลายเชื้อได้หมด เราทดสอบผิวหนัง PPD skin test จะให้ผลบวก หมายถึงผู้ป่วยติดเชื้อแต่ไม่เกิดโรคเรียก Latent infection ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่ติดต่อ วัณโรคไม่ติดต่อทางสัมผัส ไม่ติดต่อทางเสื้อผ้า หรือเครื่องใช้ จะมีเชื้อบางส่วนอาศัยอยู่ในเม็ดเลือดขาว จนกระทั้งร่างกายอ่อนแอ หรือมีโรคเช่นภูมิคุ้มกันบกพร่องเชื้อจะเจริญเติบโตและเกิดโรคได้
อัตราการติดเชื้อ
อัตราการติดเชื้อจะมากหรือน้อยขึ้นกับปัจจัยหลายประการไก้แก่
- ผู้ป่วยวัณโรคปอดโดยเฉพาะมีโพรงหนอง
และวัณโรคกล่องเสียงจะมีเชื้อปริมาณมากดังนั้นจึงติดต่อได้ง่าย
- ระยะเวลาที่สัมผัส
กล่าวคือหากอยู่กับผู้ป่วยวันละ 8 ชั่วโมง(เวลาทำงานนั้นเอง) เป็นเวลา
6 เดือน จะมีโอกาสติดเชื้อ 50% หากต้องอยู่กับผู้ป่วย 24
ชั่วโมงเป็นเวลา 2 เดือนก็มีโอกาสติดเชื้อ 50%
- ผู้ป่วยไอมาก
- ผู้ป่วยมีเชื้อเป็นปริมาณมากในเสมหะ
ท่านผู้อ่านจะทราบว่ามีเชื้อมากหรือน้อยจากการตรวจเสมหะหากให้ผล+2ขึ้นไปแสดงว่ามีเชื้อมาก
- ผู้ป่วยที่รักษาไม่ครบ
-
ห้องที่อยู่แคบและถ่ายเทอากาศไม่ดี
-
ระบบระบายอาการเป็นระบบปิดไม่มีการเปลี่ยนอากาศใหม่เพื่อเจือจางอากาศ
การติดเชื้อ
ผู้ที่ได้รับเชื้อ [Latent infection]
ทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นวัณโรคทุกคน
ประมาณว่าร้อยละ10จะเป็นวัณโรคโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเหล่านี้
- ผู้ป่วยโรคเอดส์
- ผู้ป่วยเบาหวาน
- ผู้ป่วยที่ได้รับยา prednisolone
หรือยากดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานาน หรือเปลี่ยนไต
- ผู้ป่วยที่ไตวายเรื้อรัง
- ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
- ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวน้อย
- ผู้ป่วยที่เป็น silicosis
- ผู้ป่วยที่ตัดกระเพาะ หรือตักต่อลำไส้
เมื่อร่างกายอ่อนแอเชื่อที่อยู่ในปอดจะเจริญและแพร่กระจายเข้ากระแสเลือดและต่อมน้ำเหลืองไปตามอวัยวะต่างๆ
เช่น ผิวหนัง ไต กระดูก และอวัยวะสืบพันธ์
ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคจะมีอาการ ไข้ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ไอเรื้อรัง
บางรายไอจนเสมหะมีเลือดปน
หากเป็นมากขึ้นจะมีการทำลายเนื้อปอดทำให้หอบเหนื่อย
ติดต่อได้อย่างไร
วัณโรคจะติดต่อจากคนสู่คน การติดต่อของวัณโรคจะเหมือนกับการติดต่อของไข้หวัด เชื้อวัณโรคจะแพร่กระจายทางอากาศ และนานๆครั้งจะพบว่า มีการติดต่อโดยการสัมผัส ผู้ที่ป่วยจากวัณโรคปอดเท่านั้นที่จะเป็นผู้แพร่เชื้อ เมื่อคนเหล่านี้ ไอ จาม พูดคุย หรือถ่มน้ำลาย ขากเสมหะ เชื้อวัณโรคในปอดจะถูกขับฟุ้งกระจายสู่อากาศและสามารถล่องลอยอยู่ได้นานหลายชั่วโมง
การปฏิบัติตัว เมื่อป่วยเป็นวัณโรคปอด
* วัณโรครักษาให้หายขาดได้ ภายใน 6 เดือน *
หลักการปฏิบัติตัว 5 ต. ต่อต้านวัณโรค
ต.
ที่หนึ่ง…..ต้อง กินยาต่อหน้า |
การวินิจฉัย
เมื่อมีอาการไอ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อาจมีไข้ต่ำๆ บางครั้งเสมหะมีเลือดปน หากเป็นเรื้อรังเกิน 3 สัปดาห์ขึ้นไป ต้องรีบปรึกษาแพทย์
การวินิจฉัยสามารถทำได้หลายวิธีได้แก่
1. การทดสอบหาภูมิต่อเชื้อวัณโรคทางผิวหนัง tuberculin skin test โดยการฉีด purified protein derivative (PPD) เข้าใต้ผิวหนังแล้วอ่านผลใน 24-48 ชั่วโมง ถ้าพบบริเวณที่ฉีดบวมและแดงเกิน 10 มม.แสดงว่าผู้นั้นได้รับเชื้อ
|
แพทย์จะให้ทำ X-RAY ปอด
แพทย์จะนำเสมหะไปตรวจหาเชื้อ และการเพาะเชื้อ เนื่องจากเชื้อในเสมหะมีไม่มาก แพทย์อาจให้ตรวจเสมหะ 2-3 ครั้ง
เชื้อวัณโรคที่ตรวจจากเสมหะพบลักษณะตัวแดงเล็กๆ |
การรักษา
ผู้ป่วยวัณโรคที่ไม่ได้รักษาจะมีอัตราการตาย ร้อยละ 40-60 ปัจจุบันมีวิธีการรักษาวัณโรคระยะสั้น โดยการให้ยารักษาควบคู่กันไปหลายขนาน หากรักษาครบกำหนดจะมีอัตราหายร้อยละ 90 การรักษาจะใช้ร่วมกันหลายชนิดโดยให้ INH,Rifampicine 6 เดือน และให้ Ethambutal,pyracinamide 2 เดือนแรก ผู้ป่วยที่มีรายได้น้อยก็สามารถไปรักษาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยของรัฐเมื่อรักษาไป 2-3 สัปดาห์ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่าตัดสินใจหยุดยาเองเป็นอันขาด การกินยาไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดยาก่อนกำหนดจะทำให้เชื้อโรคดื้อยา การรักษาวัณโรคที่ดื้อยา ผู้ป่วยจะแพร่เชื้อดื้อยาไปสู่ผู้อื่น จะต้องใช้ยา 18-24 เดือนโดยใช้ยาที่เชื้อไม่ดื้อยาอย่างน้อย3 ชนิด
วัณโรคเป็นโรคที่รักษาให้หายได้แน่นอน ใช้ระยะเวลาเพียง 6 – 8 เดือนเท่านั้น แต่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด ดังนี้
* วัณโรครักษาด้วยยาได้ แต่การให้กำลังใจไม่ทอดทิ้ง สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด *
จะไปรับการตรวจรักษาวัณโรคได้ที่ใด?
ตามพรบ.ประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท รักษาทุกโรค ท่านสามารถนำบัตร 30 บาทรักษาทุกโรคไปรับบริการตรวจหาวัณโรคได้ที่สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งใกล้บ้านท่าน
ใส่ใจตนเองสักนิด ไอเกิน 3 อาทิตย์ มีสิทธิ์เป็นวัณโรคปอด
ผู้ที่ป่วยด้วยวัณโรคปอดจะได้รับยาต้านวัณโรค ซึ่งมักจะประกอบด้วยตัวยาดังนี้
ไรแฟมพิซิน
ไอโซไนอะซิด
อีแธมบูธอล
ไพราซินาไมด์
นอกจากนั้นอาจได้รับไพริด๊อกซิน หรือวิตามิน บี 6 หรือวิตามิน บี 1 – 6 –12 ร่วมกับยาดังกล่าว เพราะผู้ที่ป่วยด้วยเชื้อวัณโรคจะขาดวิตามินดังกล่าว ซึ่งต้องใช้ร่วมกันกับยารักษาวัณโรค ตามที่ได้รับคำแนะนำ
วัณโรคปอด หรือ ทีบี เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ต้องได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง ยารักษาวัณโรคจะออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ หรือป้องกันการแบ่งตัวของเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรคมีการแบ่งตัวช้า และระยะฟักตัวของเชื้อในร่างกายกินเวลานาน ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้จะได้รับยาเป็นระยะเวลา ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 24 เดือน แล้วแต่สูตรยา
ผลของยารักษาวัณโรคปอดต่อร่างกาย
ผู้ป่วยส่วนมากจะสามารถใช้ยาต้านวัณโรคได้โดยไม่มีปัญหา บางรายอาจไม่รู้สึกสบายในท้อง จากผลข้างเคียงของยาบางชนิด อาการข้างเคียงที่มักจะพบได้บ่อยในยาต้านวัณโรค คือ
ยา |
อาการข้างเคียง |
วิธีรับประทานที่ถูกต้อง |
ไรแฟมพิซิน ( Rifampicin ) |
ปัสสาวะ น้ำตา เหงื่อ และ อุจจาระอาจเป็นสีส้ม – แดง โดยไม่มีอันตรายใด ๆ |
รับประทานก่อนอาหาร 30 นาที ยกเว้นเมื่อมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ให้รับประทานร่วมกับอาหาร |
ไอโซไนอะซิด ( Isoniazid , INH ) |
- ผื่นไข้ หรืออาการแพ้อื่น ๆ - อาจทำให้ระดับวิตามิน บี 6 ลดลง ถ้าเกิดขึ้นจะทำให้รู้สึก ชา ปวดแสบปวดร้อน รู้สึกเหมือนผิวไหม้ที่บริเวณมือเท้า ( * ควรแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบ ) |
รับประทานก่อนอาหาร 30 นาที ยกเว้นเมื่อรู้สึกไม่สบายในท้อง |
อีแธมบูธอล ( Ethambutol ) |
หากรับประทานขนาดสูงเป็นเวลานานจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน มึน มองภาพเห็นซ้อน ผื่น ปวดตา ( * ควรแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบ ) |
รับประทานร่วมกับอาหาร |
ไพราซินาไมด์ ( Pyrazinamide ) |
เป็นไข้ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน |
รับประทานร่วมกับอาหาร |
สเตร็บโตมัยซิน ( Streptomycin ) |
ผื่น |
ฉีดเข้ากล้าม |
ข้อควรจำเกี่ยวกับยารักษาวัณโรค
- ยาที่ได้รับจะอยู่ในรูปยาเม็ด แคปซูล
แม้ว่ายาสามารถต่อต้านเชื้อวัณโรคภายในเวลาไม่กี่วัน
แต่ก็ไม่สามารถเห็นผลการรักษาในเวลาเพียง 2 – 3 สัปดาห์
โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยสามารถรับประทานยาเพียงวันละครั้งในตอนเช้า
นอกจากแพทย์จะสั่งเป็นอย่างอื่น
- เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
ผู้ป่วยควรรักษาให้ครบระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
- ควรเก็บยาในที่แห้งและเย็น ไม่ถูกแสงแดด
และเก็บให้พ้นจากมือเด็ก
-
เมื่อผู้ป่วยมีปัญหาข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยาต้านวัณโรคปอดควรปรึกษาแพทย์
หรือเภสัชกร
จะทำอย่างไรดี ถ้าลืมกินยา
เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ๆ เนื่องจากต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้นให้รีบกินยาครั้งที่ลืมทันทีที่นึกได้ และกินต่อตามกำหนดเดิม แต่ถ้าหากเวลาที่ท่านนึกได้ว่าลืมครั้งก่อน ใกล้ถึงเวลาการกินยาครั้งต่อไปไม่ควรกินยาครั้งที่ลืม ให้กินยาครั้งต่อไปตามปกติได้เลย มิฉะนั้นผู้ป่วยอาจได้รับยาสูงเกินขนาด
การปฏิบัติตัวขณะที่ใช้ยาต้านวัณโรคปอด
1.
แจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบ ถ้าท่านกำลัง ตั้งครรภ์
หรือ ให้นมบุตร
2.
แจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบว่า กำลังใช้ยา
อะไรอยู่บ้าง
3.
แจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบว่ามีประวัติแพ้ยาตัวใด
โรคประจำตัวที่เป็นอยู่ เช่น โรคตับ ไต เบา หวาน เก๊าท์ ติดสุรา
หรือมีอาการผิดปกติทางตา
4.
ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดควรเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิดเป็นวิธีอื่น
เพราะยานี้จะทำให้ประสิทธิภาพของยาเม็ด คุมกำเนิดลดลง
5.
ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ชนิดอ่อนควรระวัง
เพราะยานี้จะทำให้คอนแทคเลนส์ติดสีอย่างถาวรได้
6.
หลีกเลี่ยงการขับรถ
หรือทำงานกับเครื่องจักรกลที่อันตรายเพราะยานี้อาจทำให้ผู้ป่วยบางคนง่วงนอนได้
7.
มาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อประเมินผลการรักษา และตรวจตาทุก 3 – 6
เดือน และอาจตรวจเลือด การทำงานของตับ ไต ด้วย
ข้อปฏิบัติ เพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นวัณโรคปอด
การป้องกัน
วัณโรคเป็นโรคที่ป้องกันได้โดยการให้ความรู้แก่ญาติและตัวผู้ป่วย เกี่ยวกับวิธีการติดต่อ ใช้ทิสชู่ปิดปากเวลาไอ เวลาไอให้ไอกลางแจ้ง จัดห้องให้แสงแดดส่องถึง อากาศถ่ายเทอย่างดีผู้ป่วยระยะแพร่เชื้อควรหยุดงานจนกระทั้งได้ยารักษาแล้ว 2 สัปดาห์ และที่สำคัญที่สุดต้องรับประทานยาให้ครบตามแพทย์สั่ง นอกจากนั้นควรจะให้ยารักษาวัณโรคเพื่อป้องกันในผู้ป่วยต่อไปนี้
-
ผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยและให้ผลทดสอบผิวหนังเป็นบวก
- ผู้ที่ทดสอบผิวหนังเป็นบวกและ
X-RAYปอดพบรอยโรค
-
ผู้ที่ทดสอบผิวหนังเป็นบวกและเป็นเอดส์
-
ผู้ที่ทดสอบผิวหนังเป็นบวกและมีโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
-
ผู้ที่ทดสอบผิวหนังเป็นบวกจากที่ทดสอบครั้งก่อนเป็นลบ
-
ผู้ที่ทดสอบผิวหนังเป็นบวกและติดยาเสพติด
ยาที่แพทย์ให้คือ INH หรือ Rifampicin โดยให้ยา 6-12 เดือน
จะป้องกันตัวเองมิให้เป็นวัณโรคได้อย่างไร
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
ออกกำลังกายบ่อยๆ รับประทานอาหารให้ครบหมู่
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดวัณโรค เช่น
ห้ามสำส่อนทางเพศ ห้ามติดยาเสพติด
- ดูแลผู้ป่วยวัณโรคให้กินยาอย่างสม่ำเสมอ
- แนะนำให้ผู้ป่วยวัณโรคปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง
- ตรวจภาพรังสีปอดปีละครั้ง
วัณโรคสามารถป้องกันได้โดย
ความสัมพันธ์ของวัณโรคกับเอดส์
เอดส์กับวัณโรค |
ผู้ที่เคยได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นวัณโรคทุกคน เพราะร่างกายมีกลไกหลายอย่างที่จะต่อสู้ป้องกันวัณโรค แต่เมื่อได้รับเชื้อเอดส์ร่วมด้วย จะทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายเสื่อมลง มีโอกาสป่วยเป็นวัณโรคง่ายขึ้น และอาจเป็นวัณโรคชนิดรุนแรงได้ทุกอวัยวะของร่างกาย
แนวทางการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีวัณโรคร่วมด้วย |
1. กรณีตรวจพบว่าเป็นวัณโรคก่อนจะเริ่มยาต้านไวรัสเอดส์
สูตรยาที่แนะนำให้ใช้ คือ d4T + 3TC + EFV หรือ AZT + 3TC + EFV
สูตรยาอื่นที่ใช้ได้
คือ
(1) GPO-Vir
(2) d4T + 3TC + SQV / RTV หรือ AZT + 3TC + SQV /
RTV
หมายเหตุ
:
(ก) Rifampin ทำให้ลดระดับยา NNRTI ลงแต่ระดับ EFV
ที่เหลือก็ยังเพียงพอที่จะยับยั้งเชื้อไวรัสเอดส์ จึงไม่จำต้องเพิ่ม
EFV ซึ่งเป็น 800 mg OD ตามที่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำ
(ข) Rifampin จะทำให้ระดับของยา NVP
ลดลงมากกว่าจนอาจไม่สามารถกดเชื้อได้
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงไม่แนะนำให้ใช้ NVP ควบคู่กับ Rifampin
แต่ในกรณีที่ไม่สามารถใช้ EFV ได้ อาจพิจารณาให้ NVP ( GPO-Vir ) ได้
แต่ควรมีการตรวจหาระดับยา NVP ในกระแสเลือดร่วมด้วย
(ค) Boosted PI สามารถให้ร่วมกับ Rifampin ได้แต่ก็มีเพียงสูตร SQV /
RTV ( 400:400 BID ) ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้
แต่ราคาแพงและมีผลข้างเคียงจาก RTV มาก ส่วน booted PI สูตรอื่น
ต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมแม้จะมีผู้เชี่ยวชาญบางท่านใช้อยู่
2. กรณีตรวจพบว่าเป็นวัณโรคขณะที่กำลังรับประทานยาต้านไวรัสเอดส์อยู่
ไม่จำเป็นต้องหยุดยาต้านไวรัสเอดส์ แต่ให้พิจารณาดังนี้
1. ถ้าเป็น EFV containing regimens
ให้คงสูตรเดิมต่อ
2. ถ้าเป็น NVP containing regimens ให้พิจารณาเปลี่ยนเป็น
EFV
3. ถ้าเป็น unboosted PI regimen ให้พิจารณาเปลี่ยนเป็น EFV
หรือให้ใช้ boosted PI เช่น IDV / RTV ( 800:200 BID )
โดยต้องติดตามผลข้างเคียง ของ PI ที่ถูก booted ขึ้นมาก ๆ ด้วย RTV
ขนาด 200 mg BID ถ้าทนไม่ได้อาจลด RTV ลงเหลือ 100 mg
BID
ข้อกำหนดขององค์กรนามัยโลก สำหรับการรักษาวัณโรคดื้อยา ( Multidrug Resistance Tuberculosis ) |
วัณโรคที่ดื้อยาหมายถึงเชื้อที่ดื้อต่อยารักษาตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ผู้ที่ติดเชื้อชนิดนี้จะรักษายากและมีอัตราการตายสูง สาเหตุที่พบวัณโรคดื้อยาเพิ่มขึ้นได้แก่
* ผู้ป่วยวัณโรคได้รับยาน้อยกว่า 6-12 เดือน
ผู้ป่วยมักหยุดยาหลังจากได้ยา 2-4
สัปดาห์เนื่องจากสบายตัวขึ้นหรืออาจเกิดผลข้างเคียงของยา
* ผู้ป่วยได้รับยาน้อยเกินไป
* ขนาดยาที่ได้รับไม่พอ
* ผู้ป่วย เอดส์พบมากขึ้นทำให้มีวัณโรคมากขึ้น
หากผู้ที่เป็นวัณโรคต้องรักษาตามแพทย์สั่งโดยเคร่งครัด หากเกิดผลข้างเคียงจากยาควรปรึกษาแพทย์ไม่ควรหยุดยาด้วยตังเอง
ทดลองทำข้อสอบวัณโรคผ่านระบบ E - learning | ||
สถานการณ์วัณโรคประเทศไทย | ||
สถานการณ์วัณโรคภาคเหนือตอนล่าง | ||
วัณโรคคืออะไร [ Click Here ] | ||
|
เอดส์กับวัณโรค |
ปัจจัยที่ทำให้เกิดวัณโรคอีกครั้งมีอะไรบ้างคะ
คือดิฉันเพิ่งตรวจพบว่าตัวเองเป็นวัณโรคคะ เมื่อวันที่26คะ ไม่มีอาการใดๆมาก่อนเลย พอวันที่27มาเริ่มทานยา ก็เริ่มมีอาการไอคะ ควรทำไงดีคะ
ผมตรวจพบเชื้อเอดส์มาตั้งแต่ปี 51 ในขนะที่ cD4 500 กว่าๆ อาการผมแย่มากๆ เชื้อราในปาก ลิ้น เจ็บคอ มีไข้ ตลอดเวลา น้ำหนักลด ต้องแอดมิดนอนโรงบาลให้น้ำเกลือ 2 วัน 2 คืน หลังจากนั้น CD4 ลดลงเหลือ 250 ในเวลาไม่นานนัก กินยาต้านไวรัส เปลี่ยนยาถึง 4 ครั้ง กว่าจะลงตัว ก่อนน่านั้นเอ๊กซเรย์ปอดหมอบอกไม่เป็นวัณโรค แต่มีอาการไอช่วงระยะสั้นๆ เอ๊กซเรย์ปอดตอนป 51 ปัจจุบันกินยาต้านมา 2 ปีแล้ว แต่ภูมิไม่ขึ้นเลยยังอยู่ที่ 390 เมื่อวันที่ 8 ที่ผ่านมามีอาการไอก็ไปตรวจคุณหมอเอาฟิมล์เอ๊กซเรย์ปี 51 มาเช็คดูผล ผมเป็นวัณโรคตั้งแต่ปี 51 หมอไม่บอกผมซักคำ ภูมิผมไม่ขึ้นก็ไม่เปลี่ยนยาให้ตอนนี้ เพิ่งได้ยามาใหม่พร้อมกับยาวัณโรคผมเสียใจมากที่หมอทำงานได้แย่มากๆ แต่หมอ 2 ท่านนี้ลาออกไปแล้ว ตอนนี้ได้หมอคนใหม่มาแทนอายุปะมาน 50กว่าๆ เขาบอกผมว่าผมเป็นวัณโรคมาตั้งแต่ปี 51 แล้ว ตอนนี้ผมเครียดมากๆ ผมอยากถามว่า ทานยาต้านไวรัสพร้อมกับยาวัณโรคผมจะตัวดำมั้ย...ผมกลัวตัวดำ ทุกวันนี้ไม่ได้ทำมาหากินอะไรเลยแฟนผมเอามาติดโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย เอาแต่ทำงานกลับบ้านดึกทุกวัน มารุ้อีกทีก็ติดเชื้อไปแล้วเครียดครับ ทางบ้านผมก็รับไม่ได้พ่อแม่ผมเสียก่อนผมติดเชื้อแล้ว แต่พี่น้องผมไล่ผมออกจากบ้านทุกวันนี้อยู่กับแฟนที่ติดเชื้อเหมือนกัน แต่อาการยังไม่ออก ผมจะตัวดำมั้ย...แล้วมีมูลนิธิไหนให้ทุนทำอาชีพบ้าง ผมลำบากมากตอนนี้ ช่วยตอบผมด้วยคับ ทุกวันนี้ำได้แต่สวดมนต์ภาวนามา 2 ปีกว่าแล้วทุกวันไม่เคยได้หยุดเลยซักวัน ขอให้มีใครช่วยเหลือให้ผมมีอาชีพมีทุนทำกินซักก้อนเล็กๆก็ยังดี ผมอยากกลับมาค้าขายเหมือนเดิม...ช่วยตอบผมด้วยนะครับ 086-5900728 ทีเจ ครับ
ผมกินยามาได้สัปดาห์ที่ 3 แล้วผมสามารถกินข้าว หรือพูดคุย กับ ครอบครัวโดยไม่ต้องปิดปากได้หรือเปล่าครับ