MBA ม.นานาชาติแสตมฟอร์ด (Campus:หัวหิน) /Leadership (2)


อะไรคือความแตกต่างระหว่างคำว่าผู้นำกับผู้จัดการ?

สวัสดีครับลูกศิย์ทุกคนและชาว Blog

         เนื่องจาก Blog เดิมนั้นเริ่มมีข้อมูลมาก ซึ่งอาจจะทำให้ส่งข้อมูลไม่สะดวก ผมจึงขอเปิด Blog นี้ขึ้นเป็น Blog ที่ 2 สำหรับพวกเราครับ

                                               จีระ  หงส์ลดารมภ์

คำสำคัญ (Tags): #hua hin (2)
หมายเลขบันทึก: 83717เขียนเมื่อ 13 มีนาคม 2007 14:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 15:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (70)

เรียน ศ.ดร.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ดิฉัน นางสาวหยาดอรุณ  อาสาสำเร็จ ID: 106142012 ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด  จากหัวข้อที่ได้รับมอบหมายคือให้หาจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง เมื่อมองดูภาพรวมของตนเองก็มีดังนี้

  S จุดแข็ง·        มีความอดทน·        อ่อนน้อม ถ่อมตน ·        เรียบร้อย และเรียบง่าย

  W จุดอ่อน·        ขี้น้อยใจ·        ชอบคิดมาก·        คิดช้า ไม่ค่อยทันการณ์ ·        ไม่ฉลาด·        เชื่อผู้อื่นง่ายเกินไป

·        คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง

 

 

อย่างไรก็ตาม มนุษย์เรามักจะไม่ค่อยมองเห็นความเป็นจริงของตนเองสักเท่าไหร่  หากเพื่อนๆ ท่านใด มองเห็นจุดดี และจุดบกพร่องของดิฉัน รบกวนเสนอแนะกลับด้วยค่ะ    
นางสาวหยาดอรุณ อาสาสำเร็จ
เรียน ศ.ดร.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ดิฉัน นางสาวหยาดอรุณ  อาสาสำเร็จ ID: 106142012 ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด (หัวหิน) 

ขอเพิ่มเติมค่ะ

จากหัวข้อที่ได้รับมอบหมายคือให้หาจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง และประวัติบุคคลที่ชื่นชอบเมื่อมองดูภาพรวมของตนเองก็มีดังนี้

  S จุดแข็ง
·        มีความอดทน
·        อ่อนน้อม ถ่อมตน
·        เรียบร้อย และเรียบง่าย
·       ชอบช่วยเหลือบุคคลอื่น
 W จุดอ่อน
·        ชอบคิดมาก
·        คิดช้า ไม่ค่อยทันการณ์ ไม่ฉลาด
·   เชื่อผู้อื่นง่ายเกินไป
·        คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง

 

 

อย่างไรก็ตาม มนุษย์เรามักจะไม่ค่อยมองเห็นความเป็นจริงของตนเองสักเท่าไหร่  หากเพื่อนๆ ท่านใด มองเห็นจุดดี และจุดบกพร่องของดิฉัน รบกวนเสนอแนะกลับด้วยค่ะ
นอกจากนี้แล้วจากงานที่ได้รับมอบหมายให้หาประวัติของผู้นำที่ดิฉันชื่นชอบ ดิฉันเห็นว่ามีพระมหากษัตริย์ไทยที่ในอดีตหลายๆพระองค์ และเป็นผู้ซึ่งมีพระปรีชาสามารถในหลายๆด้าน และบางครั้งอาจมีบ้างที่หลายๆท่านคงจะลืม ดิฉันจึงได้ค้นหาประวัติบางส่วนของสมเด็จพระนารายณ์มหารามาให้เพื่อน ได้ลองอ่านดูนะคะ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ  ประวัติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช            สมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรืออีกพระนามหนึ่งว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๓ หรือสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชญ์ เป็นพระราชโอรส ในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มีพระเชษฐาคือ สมเด็จเจ้าฟ้าไชย มีพระอนุชาคือ เจ้าฟ้าอภัยทศ พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ พระองค์ทอง และพระอินทราชา  
           พระองค์ได้ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ.๒๑๙๙ เมื่อพระชนมายุได้ ๒๕ พรรษา พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงพระปรึชาสามารถมาก ทำให้กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของพระองค์ มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในทุกด้าน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ
การต่างประเทศ การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม วรรณคดีที่สำคัญหลายเรื่องเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ จนได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของวรรณคดีในสมัยกรุงศรีอยุธยา
 
           ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีชาวตะวันตกเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย เผยแพร่ศาสนาตลอดจนเข้ารับราชการ ทำให้ชาวตะวันตกยอมรับนับถือกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก
 
           ในด้านการค้าขาย ได้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากยิ่งกว่าในรัชสมัยอื่น ๆ ทรงปรับปรุงกรมพระคลังสินค้า โปรดเกล้า ฯ ให้ต่อเรือกำปั่นหลวง เพื่อทำการค้ากับต่างประเทศ จึงทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้ากับชาวต่างประเทศ และต่อมาเมื่อเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ผู้เป็นชาวกรีกได้ช่วยปรับปรุงงานของกรมพระคลังสินค้าอีก ทำให้การค้าขายกับต่างประเทศเจริญรุ่งเรืองสูงสุด มีพ่อค้าชาวฝรั่งเศสบันทึกไว้ว่า "ในชมพูทวีปไม่มีเมืองใดที่จะแลกเปลี่ยนสินค้ามากเท่ากับในสยาม สินค้าขายได้ดีมากในสยามและการซื้อขายใช้เงินสด สำหรับเมืองท่าของไทยในเวลานั้น มีอยู่หลายเมืองด้วยกัน ได้แก่ มะริด ตะนาวศรี ภูเก็ต ปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช เพชรบุรี และบางกอก
 
           พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส ได้ส่งบาทหลวงสามคนเดินทางมากรุงศรีอยุธยา เมื่อทั้งสามคนมาถึงแล้วก็ได้มีใบบอกไปยัง พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ และพระสันตปาปา ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่าจะใช้กรุงศรีอยุธยา เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่คริสตศาสนา พระบาทหลวงได้ตั้งโรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่า เป็นการนำความเจริญมาให้กรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้พระราชทานที่ดินให้สร้างวัดทางคริสตศาสนาด้วย
 
           ในปี พ.ศ.๒๒๒๔ สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงจัดคณะทูตนำพระราชสาสน์ไปเจริญทางพระราชไมตรี ณ ประเทศฝรั่งเศส แต่คณะราชทูตสูญหายไประหว่างทาง ต่อมาในปี พ.ศ.๒๒๒๖ พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดคณะทูตเดินทางไปฝรั่งเศสอีกครั้ง เพื่อสอบสวนความเป็นไปของทูตคณะแรก พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงทราบก็เข้าใจว่าสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงเลื่อมใสจะเข้ารีต จึงได้จัดคณะราชทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา โดยมีเชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ เป็นหัวหน้าคณะทูต เมื่อปี พ.ศ.๒๒๒๘ ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทูลขอให้ทรงเข้ารีต แต่พระองค์ทรงปฏิเสธด้วยพระปรีชาสามารถว่า
          "การที่ผู้ใดจะนับถือศาสนาใดนั้น ย่อมแล้วแต่พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์จะบันดาลให้เป็นไป  ถ้าคริสตศาสนาเป็นศาสนาดีจริงแล้ว
และเห็นว่าพระองค์สมควรที่จะเข้าเป็นคริสตศาสนิกแล้ว สักวันหนึ่งพระองค์จะถูกดลใจให้เข้ารีตจนได้"
           พระองค์ได้ให้เสรีภาพแก่ราษฎรทั่วไปที่จะนับถือคริสตศาสนาได้ตามความเลื่อมใสของตน ทำให้เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ พอใจ
 
           ต่อมาในปี พ.ศ.๒๒๒๘ เมื่อคณะราชทูตฝรั่งเศสเดินทางกลับ พระองค์ก็ได้จัดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นหัวหน้าคณะราชทูตเดินทางไปฝรั่งเศส นำพระราชสาส์นของพระองค์ไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ และได้ส่งกุลบุตร ๑๒ คน ไปศึกษาวิชาที่ประเทศฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงโปรดปรานเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นอย่างมาก ได้ให้เหรียญที่ระลึก และเขียนรูปภาพเหตุการณ์ไว้ด้วย เมื่อคณะราชทูตเดินทางกลับ พระองค์ได้โปรดให้มองสิเออร์ เดอลาลูแบร์ เป็นราชทูตเข้ามากรุงศรีอยุธยา พร้อมกับเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) และได้นำทหารฝรั่งเศสจำนวน ๖๓๖ นาย เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาด้วย สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ทหารฝรั่งเศสจำนวนดังกล่าว ไปรักษาป้อมที่เมืองธนบุรีส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งมีกำลังสองกองร้อยให้ไปรักษาเมืองมะริด ซึ่งมีอังกฤษเป็นภัยคุกคามอยู่
 
           ในปี พ.ศ.๒๒๓๐ สมเด็จพระนารายณ์ทรงประกาศสงครามกับอังกฤษ เนื่องจากมีเหตุบาดหมางกันในเรื่องการค้าขายกับอินเดีย รัฐบาลอังกฤษให้บริษัทอังกฤษ เรียกตัวคนอังกฤษทั้งหมดที่รับราชการอยู่ ณ กรุงศรีอยุธยา ให้กลับประเทศอังกฤษ ต่อมาชาวอังกฤษได้มาก่อความวุ่นวายในเมืองมะริดและรุกรานไทยก่อน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไทยได้  เนื่องจากขณะนั้นมีทหารฝรั่งเศสรักษาเมืองมะริดอยู่
 
           ในรัชสมัยของพระองค์ แม้ว่าจะมีการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศ ที่เจริญรุ่งเรืองแล้วก็ตาม แต่ก็ได้มีการทำสงครามหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญได้แก่ การยกกองทัพออกไปตีพม่าที่กรุงอังวะ ตามแบบอย่างที่สมเด็จพระนเรศวร ฯ ได้ทรงกระทำมาแล้วในอดีต และได้มีการยกกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่สองครั้งจนได้ชัยชนะ
          
 ชาวไทยทุกคนจึงพรอ้มใจกันถวายพระสมัญญานาม    "มหาราช"แด่พระองค์ สมเด็จพระนารายณ์ ฯ เสด็จสวรรคต เมื่อ วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๒๓๑ เมื่อพระชนมายุได้ ๕๖ พรรษา ครองราชย์ได้ ๓๒ ปี   ชาวจังหวัดลพบุรีได้ร่วมการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์  สมเด็จพระนารายณ์มหาราชขนาดเท่าครึ่งพระองค์จริง  ประดิษฐานไว้กลางวงเวียนเทพสตรี ซึ่งในทุกปีจังหวัดลพบุรีได้จัดการแสดง แสง สี เสียง พร้อมนิทรรศการเทิดพระเกียรติ พระองค์ท่านในงาน    "แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช"     ที่บริเวณพระนารายณ์ราชนิเวศน์ นางสาวหยาดอรุณ  อาสาสำเร็จ รหัส 106142012    
นางสาวพนาวัลย์ คุ้มสุด ID:

เรียน ศ.ดร.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆนักศึกษาMBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด (หัวหิน) 

จากที่ดิฉันได้เรียนวิชาภาวะผู้นำและการเปลี่ยนแปลงในองค์กรที่ผ่านมา โดยสัปดาห์นี้ได้รับมอบหมายให้ศึกษาผู้นำที่ชื่นชอบ โดยดิฉันขออนุญาติเลือกศึกษาประวัติท่าน ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ มีประวัติดังนี้

P ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์
เกิดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2488
การศึกษา
  • ปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ ม.วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
  • ปริญญาโททางนโยบายรัฐ ม.
    วิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา
  • ปริญญาโททางเศรษฐศาสตร์ ม.วิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา
  • ปริญญาตรีทางเศรษฐสตร์ ม.วิคตอเรีย นิวซีแลนด์

สถานะครอบครัว

บิดา     ฯพณฯ  สุนทร   หงส์ลดารมภ์(อดีตรองนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

มารดา     ท่านผู้หญิงลำเจียก  หงส์ลดารมภ์

ภรรยา     คุณหญิงกัญญา  หงส์ลดารมภ์

ที่อยู่ปัจจุบัน

เลขที่ 71/39 ถ.บรมราชชนนี แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700  โทรศัพท์  0-2884-9420-2  โทรสาร 0-2884-9422

www.chiraacademy.com e-mail:[email protected]

ตำแหน่งปัจจุบัน

  • ประธานคณะทำงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เอเปค
  • เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ
  • ประธาน Chira Academy ในนาม บริษัท เอเชีย แปซิฟิค คอนซัลแตนท์ จำกัด

ประสบการณ์ในอดีต

  • ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ ม.ธรรมศาสตร์(เป็นผู้ก่อตั้งและอยู่ในตำแหน่งนาน 15 ปี)
  • รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการทางวิชาการแก่สังคม ม.ธรรมศาสตร์
  • ประธานสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ
  • กรรมการค่าจ้าง
  • กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานประกันสังคม
  • คณะกรรมการการดำเนินงานช่วยคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในด้านสังคม
  • คณะกรรมการจัดทำแผนอุดมศึกษาระยะยาว ทบวงมหาวิทยาลัย
  • คณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
  • ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านแรงงาน
  • คณะกรรมการจัดทำแผนหลักวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลย ด้านการพัฒนากำลังคน
  • รองประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในรัฐวิสาหกิจ
  • ที่ปรึกษาประจำของธนาคารโลก, UNDP, ESCAP
  • ประธานที่ปรึกษาผู้ว่าราชการหรุงเทพฯ ฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
  • อนุกรรมการวางแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคมในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่ 8

บทบาทและกิจกรรมที่สำคัญในปัจจุบัน

  • ประธานคณะทำงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เอเปค
  • เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ
  • ประธาน Chira Academy และบริษัท เอเชียแปซิฟิค คอนซัลแตนท์ จำกัด
  • นายกสภาวิทยาลัยวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด
  • กรรมการสภา ม.ขอนแก่น
  • กรรมการสภา ม.อุบลราชธานี
  • นายกสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ในพระบรมราชูปถัมภ์

งานด้านที่ปรึกษา

  • โครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์กร มบจ.มีเดีย อ็อฟ มีเดียส์
  • โครงการสัมมนาเพื่อหาวิสัยทัศน์ของกระทรวงแรงงาน
  • โครงการศึกษาและจัดทำโครงสร้างเงินเดือนสำหรับการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดีให้การไฟฟ้านครหลวง
  • โครงการดำเนินการปรับปรุงองค์กรของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
  • โครงการสัมมนา เพื่อหาวิสัยทัศน์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
  • การวิจัยสำรวจบรรยากาศในการทำงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
  • โครงการวางแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสำนักงาน ประกันสังคม
  • โครงการศึกษาโครงสร้างการเกษตรและสินค้ายุทธศาสตร์เกษตรในกิจกรรมด้านการจัดสรรทรัพยากรเกษตรให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • โครงการปรับปรุงกระบวนการการทำงาน บริษัท Tn-NIXDORF COMPUTER (THAILAND) CO.,LTD

เกียรติประวัติทางวิชาการ

  • ปริญญาตรีทุน Columbo
  • ปริญญาโทและปริญญาเอก ทุน Fockefeller
  • ได้รางวัลศิษย์เก่าดีเด่นของ University of Washington 2545
  • เป็นนายกสมาคมศิษย์เก่าของ Universit of Washington
  • เป็นนายกสภา Schiller International University of Stamford
  • เป็นศาสตราจารย์ประจำ Schiller International University of Stamford
  • ได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จาก Schiller International University of Stamford 
  •  Award for Professional Excellence "In Rceognition of Superior Achievement in Agricultral Economice as Exemplified by Quality of Research discovery" By The American Agricultural Economics Association.

กิจกรรมด้านสื่อ

  • ที่ปรึกษาและพิธีกรรายการโทรทัศน์ "มองไปข้างหน้า" ของหนังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจ ออกอากาศทางช่อง 9 อสมท. (2532-2533)
  • ควบคุมและเขียนบทความนำในคอลัมน์ "มันสมอง" หนังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจ(2532-2533)
  • ควบคุมและเขียนบทความนำในคอลัมน์"Towards The 21st Century" หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์(2537-2538)
  • ผู้ผลิตรายการและพิธีกรรายการ "คนนำหน้า" ออกอากาศทางสทท.11(2538-2539)
  • ผู้ผลิตรายการและพิธีกรรายการ "แสงทองของคนกรุงเทพฯ"ให้กรุงเทพมหานคร ออกอากาศทาง สทท.11(2539-2541)
  • ผู้ผลิตรายการและดำเนินรายการ "สู้ศตวรรษใหม่"(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น "บทเรียนจากความจริงกับ ดร.จีระ") ออกอากาศทางช่อง สทท.11(2536-ปัจจุบัน)
  • ผู้ผลิตรายการและดำเนินรายการสนทนากับสาธารณชน คิดเป็น...ก้าวเป็น กับ ดร.จีระ ออกอากาศทางช่อง UBC 07(UBC News)(2541-ปัจจุบัน)
  • ควบคุมและเขียนบทความในคอลัมน์ "สู่ศตวรรษใหม่"(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น"บทเรียนจากความจริงกับ ดร.จีระ") หนังสือพิมพ์แนวหน้า (2542-ปัจจุบัน)
  • ผู้ผลิตรายการวิทยุ "Knowledge for People" ทางสถานีวิทยุอ.ส.ม.ท. FM.96.5 MHz.(ออกอากาศทุกวันนอาทิตย์ เวลา 6.00 น. - 7.00 น.)
  • เจ้าของเว็บไซต์ www.chaiacademy.com
  • เจ้าของ Blog:ทุนมนุษย์(www.gotoknow.org/chirakm)

***การบ้านที่ให้อ่านหนังสือ 2 เล่ม คือ "2 พลังความคิด ชิวิตและงาน" กับ "ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้"  ดิฉันขอส่งใน Blog ต่อไปนะค่ะ***

นางสาวพนาวัลย์  คุ้มสุด ID: 106142010

นางสาวสุพรรษา อาลี MBA 7

สวัสดีค่ะ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์   .ยม นาคสุข ที่เคารพ  และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ทุกท่าน

     จากการที่ได้เรียนวิชาภาวะผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่ 3 (วันที่ 9 - 10 มีนาคม)  ดร.จีระได้สอนเกี่ยวกับเรื่องผู้นำ  และได้ให้ทำงานลง Blog ดังต่อไปนี้

ส่วนที่ 1   คำถามที่ 1  อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้แล้วได้อะไรบ้างและเกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำอย่างไร จากการที่ได้อ่านหนังสือแล้วทำให้ได้รู้ว่า คนเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร  เมื่อก่อนนั้นจะมีความเชื่อเก่าๆว่า คน เป็นเพียงต้นทุนการผลิต ซึ่งไม่ใช่เลย คนต่างหาก คือ ผลกำไร ที่แท้จริงขององค์กร หากได้รับการดูแลเอาใจใส่ เพิ่มศักยภาพ โดยการพัฒนาอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ และเป็นระบบ หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ในเรื่องของการพัฒนาคน ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะมีอายุที่แตกต่างกัน มีการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่ท่านทั้งสองมีเป้าหมายเดียวกันคือ การมุ่งมั่นในเรื่อง คน คุณพารณฯ ได้เข้าไปทำงานใน เครือซิเมนต์ไทย เริ่มแรกในงานด้านวิศวกรรมคือเป็นวิศวกร เพราะท่านจบการศึกษามาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่เมื่อกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้เห็นบางอย่างในตัวของท่าน จึงให้ท่านไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการบุคคล ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เคยทำงานเกี่ยวกับการบริหารคนมาเลย แต่เมื่อได้รับมอบหมายท่านก็จำเป็นต้องทำ และทำได้ดีเสียด้วย คุณพารณฯ ได้ดูแลนโยบายเรื่องคนของปูนซีเมนต์ ตั้งแต่เขาเดินเข้ามาทำงานกับบริษัท และเขาจะได้รับการฝึกอบรม เอาใจใส่ดูแลจนถึงวันที่เขาเกษียณอายุออกไป เพราะคุณพารณฯ เชื่อว่าองค์กรจะดีเพราะมีคนเก่งและดี 

        และจากการที่ก่อนหน้านี้คุณพารณฯ ได้เคยทำงานในบริษัท เชลล์ ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติมาก่อน ทำให้ท่านได้รู้ว่า เหนือสิ่งอื่นใดคือ มีการดูแล คน อย่างดี เพราะมีแนวคิดว่าคนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดขององค์กร งานจะสำเร็จได้ด้วยคน จึงมีแผนในการพัฒนาพนักงานให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

        และเมื่อคุณพารณฯ ได้เข้ามาอยู่ที่ปูนซิเมนต์ไทย ท่านก็ได้นำเอาวิธีการบริหารงานแบบบริษัทข้ามชาติอย่างที่เคยได้เรียนรู้มาปรับใช้เริ่มตั้งแต่การจัดโครงสร้างและระเบียบการบริหารองค์กร การทำงานที่เป็นระบบ

หลักการบริหารคนของคุณพารณฯ ที่เป็นปัจจัยให้ประสบความสำเร็จมีดังนี้

  1. เน้นความมีส่วนร่วมของพนักงานให้เกิดความผูกพันกับบริษัท
  2. ถ้ามีปัญหาต้องคุยกับพนักงานให้รู้เรื่องก่อน
  3. คุณพารณฯ จะเปิดประตูอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ลูกน้องได้พบปะปรึกษาหารือเสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
  4. มีการเอาใจใส่ดูแลและให้เพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้พนักงานตลอดเวลา
  5. มีการสนับสนุนด้านการศึกษา
  6.  

    จะเห็นได้ว่าหลักการบริหารคนของคุณพารณฯ นั้น ได้แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นำของคุณพารณฯ หลายๆด้านดังนี้

    • ในตอนที่คุณพารณฯ ได้เปลี่ยนจากการเป็นวิศวกรมาเป็นนักพัฒนาคน ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แต่ท่านก็ทำได้อย่างดีมาก ซึ่งผู้นำที่ดีนั้นต้องมีความสามารถ และมีความเป็นมืออาชีพ
    • การที่คุณพารณฯ จะเปิดประตูอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ลูกน้องได้พบปะปรึกษาหารือ ถือเป็นการกระทำของผู้นำที่ดี คือ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีเมตตา มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
    • การเอาใจใส่ดูแลและให้เพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้พนักงานและการสนับสนุน ถือเป็นบุคลิกของผู้นำที่ต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ตลอดเวลา

       

      ส่วน ดร.จีระ นั้น ด้วยความที่เป็นคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีความกล้าที่จะทำงานทำให้ท่านได้รับเลือกให้เป็นผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยวัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และยังเป็นผู้วางพื้นฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทย และจนถึงปัจจุบันนี้ หลายๆคนก็ยังคงนึกถึง ดร.จีระ ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์เหมือนเคย         ด้วยความที่ ดร.จีระ เป็นคนที่มีฝีมือและความสามารถ จึงได้รับมอบหมายให้ทำวิจัยเกี่ยวกับแรงงานสัมพันธ์ และการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศอย่าง ILO – International Labor Organization         จากการที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานดังกล่าวแล้ว ทำให้ ดร.จีระ ได้พบกับ คุณพารณฯ เป็นครั้งแรก เพราะ ดร.จีระ ไม่มีความรู้เรื่องนี้ เขาจึงต้องการที่จะได้เรียนรู้จากผู้รู้นั่นก็คือคุณพารณฯ ซึ่งในตอนนั้น ปูนซิเมนต์โดดเด่นมากในเรื่องการพัฒนาคน และหลังจากนั้นมา ดร.จีระ ก็ได้ยึดคุณพารณฯ เป็นต้นแบบอยู่เสมอ 

              ดร.จีระ ได้เกษียณตัวเองออกจากการสอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวัยเพียง 55 ปี บนพื้นฐานแนวคิดที่ว่า เขาสามารถเป็นอาจารย์ได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ทำให้เขาสามารถขยายฐานสังคมแห่งการเรียนรู้ได้กว้างขวางกว่าเดิม

      ภาวะผู้นำของ ดร.จีระ มีดังนี้

      1. ดร.จีระ เป็นคนที่แสวงหาการเรียนรู้ตลอดเวลา
      2. สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
      3. เป็นคนที่ขวนขวายและใฝ่รู้
      4. การมีเครือข่ายตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นทุนทางสังคมของผู้นำ
      5. มีครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งเป็น ทุนมนุษย์ที่ผู้นำต้องมี
      6. มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล
      7.  

        คำถามที่ 2  คุณพารณฯ และ ดร.จีระ มีภาวะผู้นำที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

        ท่านทั้งสองมีภาวะผู้นำที่เหมือนๆกัน หลายอย่าง สรุปได้ดังนี้

         

        • ท่านทั้งสองเกิดมาในชนชั้นปกครองของสังคมเหมือนกัน มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดี และได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี ซึ่งถือเป็น ทุนมนุษย์
        • มีเป้าหมายเดียวกันคือการที่องค์กรจะสำเร็จได้ต้องให้ความสำคัญกับคน
        • ใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลาและให้ความสำคัญกับการศึกษา
        • มีทัศนคติที่ดี มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล
        • มีคุณธรรมสูงมีความเป็นธรรม
        • เน้นการทำงานเป็นทีม

         

        ส่วนที่ 2  เลือกผู้นำมา 1 คน แล้วให้เขียนประวัติ + วิเคราะห์ตามทฤษฎี

        ข้าพเจ้าได้เลือก คุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ประวัติ เกิด 3 สิงหาคม 2507 บิดา ศ.น.พ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ มารดา ศ.พ.ญ.สดใส เวชชาชีวะ ภรรยา ดร. พิมพ์เพ็ญ (ศกุนตาภัย) เวชชาชีวะ อาจารย์ประจำ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บุตร - ธิดา น.ส.ปราง เวชชาชีวะ ด.ช.ปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ  การศึกษา โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์
        โรงเรียนอีตัน ประเทศอังกฤษ
        ปริญญาตรีสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 1) มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
        ปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
        ปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัย
        อ๊อกซฟอร์ดประเทศอังกฤษ
        ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
         ประสบการณ์การทำงาน 

        ปี 2535 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 6 (สาธร, ยานนาวา, บางคอแหลม พ.ศ.2535/1, 2535/2) กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์
        ปี 2538 และปี 2539 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 5 (ดินแดน, ห้วยขวาง, พระโขนง, คลองตัน)กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์
        ปี 2544 และ ปี 2548 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์
        ปี 2535-2537 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
        ปี 2537-2538 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
        ปี 2538-2539 ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร
        ปี 2538-2540 โฆษกพรรคประชาธิปัตย์
        ปี 2540-2544 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบ
        - กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
        - กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ
        - กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
        - กำกับสำนักงานคณะกรรมการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
        ปี 2541 ประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
        ปี 2542 รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
        ปี 2548 – ปัจจุบัน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
        ปี 2548 – 23 กุมภาพันธ์ 2549 ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

                เนื่องจากข้าพเจ้าชื่นชมและชื่นชอบ คุณอภิสิทธิ์ มานานแล้ว เพราะท่านเป็นคนที่มีบุคลิกดีและดึงดูดใจ และได้ติดตามผลงานของท่านมาบ้าง และเมื่อได้ศึกษาประวัติของคุณอภิสิทธิ์เกี่ยวกับด้านครอบครัว การศึกษา อาชีพการงาน และผลงานของท่าน ก็ยิ่งทำให้รู้ว่าคุณอภิสิทธิ์นั้นเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถมากมาย ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นบุคคลหนึ่งที่มีความเป็นผู้นำ

        ซึ่งสามารถวิเคราะห์ตามหลักทฤษฎี  8H’S และ 8K’S ได้ดังนี้

        • Heritage (รากฐานของชีวิต) @ Sustainable Capital (ทุนแห่งความยั่งยืน)

             คุณอภิสิทธิ์ ได้ถูกส่งไปเรียนที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ 13 ปี ซึ่งเป็นช่วงมัธยมจนถึงระดับปริญญา แต่ถึงแม้ว่าท่านจะเติบโตมาจากต่างประเทศ แต่ท่านก็รู้รากฐานของตัวเองว่าเป็นคนไทย หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วท่านจึงกลับมาที่ประเทศไทย และเริ่มอาชีพด้วยการเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

                คุณอภิสิทธิ์ สนใจการเมืองมาตั้งแต่อายุ 9 ปี เนื่องจากระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา และท่านได้เห็นคนนับหมื่นนับแสนออกมาชุมนุมกันตามท้องถนนและต่อสู้เพื่อเอาชีวิตเข้าแลก และคุณพ่อของท่านได้อธิบายว่าผู้คนเหล่านั้นออกมาเรียกร้องสิทธิ ทำให้คุณอภิสิทธิ์รู้สึกว่าทุกคนเป็นเจ้าของประเทศไทยเหมือนกัน ท่านจึงตัดสินใจตั้งแต่ครั้งนั้นว่าจะเป็นนักการเมือง

               จะเห็นได้ว่า การที่คุณอภิสิทธิ์ ตัดสินใจจะเป็นนักการเมืองนั้น เหตุผลก็คือ ท่านรู้รากเหง้าของตนเองว่าท่านเป็นคนไทยและเป็นเจ้าของประเทศไทยซึ่งเป็นแผ่นดินเกิด ท่านมีความคิดที่จะทำให้ประเทศไทยสงบสุข และนั่นก็ถือเป็นทุนแห่งความยั่งยืนทางสังคม

        • Head (สมอง : คิดเป็น คิดดี)  @  Intellectual Capital (ทุนทางปัญญา)
                คำว่า Head ในที่นี้หมายถึง การใช้สมอง การมีความคิด มีความรู้ และยังต้องมีสติ เมื่อคิดเป็นแล้วต้องคิดดีด้วย        จากการที่คุณอภิสิทธิ์มีผลงานที่โดดเด่นในหลายๆเรื่อง ทำให้ได้รับโอกาสเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายก ตอนสมัยนายกชวน หลีกภัย ทำให้คุณอภิสิทธิ์ได้แสดงความรู้ความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ และในช่วงที่ประเทศไทยประสบกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ คุณอภิสิทธิ์ก็ได้มีส่วนช่วยคิดและช่วยผลักดันมาตรการต่างๆเพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้        และอีกประการหนึ่งคือคุณอภิสิทธิ์นั้นถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาที่สูงอยู่แล้ว แต่ท่านก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอด จะเห็นได้จากการที่ท่านกลับมาศึกษาต่อเพิ่มที่ประเทศไทย

          

        • Hand (ทำงานด้วยฝีมือตนเอง)  @  Talent Capital (ทุนทางความรู้ ทักษะ และทัศนคติ)
                 จากการใฝ่ฝันที่จะเป็นนักการเมืองในวัยเด็กของคุณอภิสิทธิ์นั้น ทำให้เห็นว่าท่านได้ลงมือทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงได้ โดยการศึกษาเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง มาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และยังมาศึกษาวิชาทางกฎหมายต่อที่ประเทศไทย ท่านจึงเป็นนักการเมืองที่มีความรู้ และได้นำความรู้ที่มีอยู่นั้นมาใช้ในการพัฒนาประเทศ และท่านยังได้มีการฝึกทักษะให้พัฒนาอยู่เสมอด้วยการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งท่านก็ได้เป็นคนคิดและลงมือทำด้วยตัวเอง และสิ่งสำคัญท่านยังเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน แม้ว่าจะมีผู้ไม่เห็นด้วยก็ตาม 
        • Heart (จิตใจที่ดี)  @  Ethical Capital (ทุนทางจริยธรรม)
                        คุณอภิสิทธิ์เป็นคนที่มีจิตใจที่ดีและใจกว้าง จะเห็นได้ว่าเมื่อประชาชนเดือนร้อน ท่านจะยื่นมือเข้าไปช่วยเสมอ เห็นได้จาก การรับบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมปี 2548 และยังเป็นผู้แทนของประชนทุกกลุ่ม        และเมื่อปี 2546 คุณอภิสิทธิ์ได้เสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคแต่ไม่ได้เป็น เพราะคุณบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้เสียงข้างมากกว่า แต่ในการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ท่านได้ยอมรับมันและยังได้แสดงสปิริตในการให้ความร่วมมือและช่วยเหลือพรรคต่อไป ซึ่งถือเป็นทุนทางจริยธรรม  
        • Health (สุขภาพ พลานามัยที่สมบูรณ์)  @  Digital Capital (ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ)
                 จากการที่มาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดี ทำให้คุณอภิสิทธิ์ มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง เมื่อท่านมีเวลาว่างท่านก็จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และท่านยังให้ความสำคัญกับกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างมากเพราะเป็นกีฬาที่ชื่นชอบ        ส่วนทุนทางเทคโนโลยีและสารสนเทศนั้น คุณอภิสิทธิ์ก็ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงได้จัดทำเวบไซต์ของตนเองขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนเข้ามาดูประวัติและผลงานของท่านได้ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นการพัฒนาทาง IT อย่างหนึ่ง  
        • Home (บ้านและครอบครัว)  @  Human Capital (ทุนมนุษย์)
                 คุณอภิสิทธิ์ มีทุนที่เป็นทุนขั้นพื้นฐานนั่นก็คือ ทุนมนุษย์ คือตั้งแต่เด็กได้รับการอบรมและเลี้ยงดูที่ดีจากบิดามารดา ท่านมีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดีคือคุณพ่อและคุณแม่เป็นแพทย์ทั้งคู่ และท่านยังมีพื้นฐานการศึกษาที่ดีอีกด้วย จะเห็นได้ว่าคุณอภิสิทธิ์ได้เรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชื่อดังทั้งในและต่างประเทศ        และเมื่อคุณอภิสิทธิ์ได้มามีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว เพราะได้คู่สมรสที่ดีและเก่ง และยังมีลูกๆที่น่ารักอีก 2 คน  
        • Happiness (ความสุข)  @  Happiness Capital (ทุนแห่งความสุข)
                        ถึงแม้ว่าคุณอภิสิทธิ์ จะต้องเจอกับปัญหามากมายเนื่องจากเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ท่านก็ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข จะเห็นได้จากใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา และท่านมีความพึงพอใจในตนเอง มีความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จะเห็นได้จากเมื่อเวลาที่ประชาชนเกิดปัญหา ท่านจะช่วยแก้ไขด้วยตัวของท่านเอง ซึ่งถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งแล้วที่ได้ช่วยประชาชน  
        • Harmony (ความปรองดองสมานฉันท์)  @  Social Capital (ทุนทางสังคม)
         

                แม้ว่าในปัจจุบันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้มีบทบาททางการเมืองน้อยลง แต่คุณอภิสิทธิ์ก็ยังคงรักษาพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงดูแลคนภายในพรรค และยังสร้างความสามัคคีภายในพรรค เพื่อให้อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ดำรงอยู่ต่อไป แม้ว่าระยะนี้จะมีปัญหาทางการเมือง แต่ท่านก็ยังมีเครือข่ายมากมายคือพรรคประชาธิปัตย์ตามภูมิภาคต่างๆ และท่านยังหวังอีกว่าเครือข่ายเหล่านั้นจะช่วยกันสร้างพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาอีกครั้ง

         

        ส่วนที่ 3  เขียนจุดอ่อน และ จุดแข็ง ของตัวเอง

        จุดแข็ง
        • มองโลกในแง่ดีเสมอ
        • เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
        • ร่าเริง สนุกสนาน
        • พูดจริง ทำจริง
        • ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ
        • สามารถเรียนรู้ได้เร็ว
         จุดอ่อน
        • เชื่อคนง่าย
        • ขี้น้อยใจ
        • เอาแต่ใจตัวเอง
        • ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
        • ไม่มีเหตุผล

         

        นางสาวสุพรรษา  อาลี

        ID 106242002    MBA 7

        มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด

นางสาวปณิธาน เชื้อชาติ ID: 106142013

เรียน ศ.ดร.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆนักศึกษา MBA  ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด (หัวหิน) 

งานที่ได้รับมอบหมายประการแรกคือให้หาจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง จากการที่ดิฉันได้พิจารณาตัวเองพบว่า

จุดแข็ง

  1. เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ผูกมิตรเข้ากับผู้อื่นได้โดยง่าย
  2. มีทุนทาง IT โดยที่ดิฉันเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ ศึกษาด้าน IT และชอบลองผิดลองถูก ด้วยตัวเองหรือสอบถามจากผู้รู้ ซึ่งทำให้เข้าได้โดยไม่ต้องจำ
  3. ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

จุดอ่อน

  1. เป็นคนมีความรู้รอบตัวน้อย  ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
  2. เชื่อคนง่าย มองคนในแง่ดีเกินไป
  3. เป็นคนอารมณ์ร้อน หงุดหงิดบ่อย แต่หายเร็ว

 ***อย่างไรก็ตามคนทุกคนย่อมมีจุดอ่อนและจุดแข็งแตกต่างกันออกไป   ถ้าได้รับการพัฒนาก็จะทำให้คนคนนั้นอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นคนดีและเป็นคนเก่ง***

จากการศึกษาผู้นำ ดิฉันขอเลือกนายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

พระประวัติเสด็จในกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นับลำดับราชสกุลวงศ์เป็นองค์ที่ ๒๘ มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์

 

ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๒๓ เวลา ๑๕.๕๗ น. ตรงกับแรม ๓ ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง จุลศักราช ๑๒๔๒ เป็นพระลูกยาเธอองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ( วร  บุญนาค) สมุหพระกลาโหมในรัชกาลที่ ๕

 

 พระองค์ทรงมีพระกนิษฐาและพระอนุชา ร่วมพระมารดา ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา ( สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ ) และพระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธุ์ ( ต่อมาได้ดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส - ต้นราชสกุล สุริยง )

 

สมรสพระราชทาน

รัชกาลที่ ๕ ทรงสู่ขอพระราชธิดาองค์โต - หม่องเจ้าหญิงทิพยสัมพันธุ์ ของ สมเด็พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภานุรังษีสว่างวงค์ ในอภิเษกสมรสกับเสด็จในกรมฯ เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๓ พระองค์ทรงมีโอรส และพระธิดา ๓ พระองค์คือ

๑. มจ. เกียรติ อาภากร ประสูติและสิ้นชีพิตักษัยในวันเดียวกัน
๒. (พล.ท. , พล.ร.ท., พล.อ.ท) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา
๓. พล.อ.ท. มจ.รังษิยากร อาภากร

บรรดาหม่อมของเสด็จในกรม

๑. หม่อมกิม
๒. หม่อมแฉล้ม
๓. หม่อมเมี้ยน
๔. หม่อมช้อย
๕. หม่อมแจ่ม ( น้องร่วมมารดาเดียวกับหม่อมเมี้ยน)

การออกจากราชการ

 พระองค์ได้ออกจากราชการเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๕๔ เนื่องจากกรณีที่ถูกคิดว่า พระองค์จะคิดล้มราชบังลังค์ ร. ๖ ซึ่งพระองค์ก็ยิงยอมเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ตั้งแต่นั้นพระองค์ก็ศึกษาและเขียนตำรายา จึงได้สมญาว่า "หมอพร" พระองค์ได้เสด็จไปรักษาคนไข้ทั่วไป โดยมีตำรวจสะกดรอยตามไปดูด้วย แต่พระองค์ก็หายตัวทุกครั้งเมื่อรักษาเสร็จ

แม้การออกจากราชการมิได้ทำให้อำนาจของพระองค์หมดไป เมื่อครั้งพระองค์เสด็จไปตรวจตราปืนที่ป้อมพระจุลฯ พบว่า มีจุดที่ต้องแก้ไขทั้ง ๖กระบอก จึงรับสั่งให้คนดูแลเอากระดาษมา แล้วเขียนบันทึกถึงกรมพระนครสวรรค์ เสนาบดีทหารเรือ กรมพระนครสวรรค์ได้ปฏิบัติตามข้อแนะนำอย่าเคร่งครัด และทำบันทึกการแก้ไขไว้เพื่อป้องกันการเข้าถึงพระเนตรพระกรรณ์ของ ในหลวง ร. ๖ แล้วเกิดความเดือดร้อนกันเสด็จเตี่ยในภายหลัง

 

กลับเข้ารับราชการ

 ในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ แล้วพระราชทานยศให้เป็นพลเรือโทตามลำดับ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ พระองค์ได้จับเรือเชลยได้ ๖ ลำ หลังจากนั้นก็ทรงทูลขอที่ดินสร้างฐานทัพเรือสัตหีบ และทรงซื้อเรือรบหลวงพระร่วง ซึ่งพระองค์เดินทางไปรับเรือด้วยพระองค์เอง และขับเรือกลับมายังแผ่นดินสยาม นับเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถบังคับเรือได้ไกล

อาทิตย์ดับที่หาดทรายรี

 เสด็จในกรมฯ ทรงรับตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงทหารเรือไม่กี่วัน ได้กราบบังคมลาราชการออกไป เพราะมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ และประชวรโรคภายใน ทางกระทรวงทหารเรือได้ถวายเรือหลวงเจนทะเลเป็นพาหนะ พร้อมนายแพทย์ประจำพระองค์ตามเสด็จไปที่ด้านใต้ปากน้ำเมืองชุมพร ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์จองไว้เพื่อทำสวน ขณะประทับอยู่ก็เป็นไข้หวัดใหญ่เนื่องจากตากฝน ประชวรอยู่ได้ ๓ วันก็ชิ้นพระชนม์ที่ตำบลหาดทรายรี ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๖๖ สิริพระชนมายุ ๔๔ พรรษา   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๔๖๖
***การบ้านที่อ่านหนังสือขอสรุปส่งใน Blog ต่อไปนะค่ะ*** นางสาวปณิธาน  เชื้อชาติ  ID: 106142013
นายประเสริฐ ชัยยะศิริสุวรรณ MBA 7

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์   .ยม นาคสุข ที่เคารพ  และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ทุกท่าน 

จากการที่ได้ค้นหาตัวเองทำให้ได้รู้ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ดังนี้ 

จุดแข็ง

  1. มีความรู้รอบตัวมากพอสมควร
  2. มีบุคลิกดี
  3. หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา
  4. มีมนุษยสัมพันธ์ดี
  5. รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเสมอ
  6. มีน้ำใจกับผู้อื่น
  7. มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง
 จุดอ่อน
  1. ไม่ค่อยตรงต่อเวลา
  2. มองโลกในแง่ดีเกินไป
  3. เชื่อคนง่าย มักจะถูกคนอื่นหลอกเสมอ

  อ่านหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ แล้วได้อะไรบ้างและเกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำอย่างไร 

คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา นั้นท่านเป็นต้นแบบที่ดีถ้าพูดถึงเรื่อง คนท่านเป็นต้นแบบใน 4 เรื่องดังนี้ 

เรื่องแรก เรื่องของคนเก่ง-คนดี ท่านมีความเชื่อว่าคนที่สามารถพาองค์กรให้ประสบความสำเร็จจะต้องทั้งเก่ง ทั้งดี ไม่ใช่เก่งอย่างเดียว ท่านได้ค้นพบหลัก เก่ง 4 ดี 4” เก่ง 4 ได้แก่ เก่งงาน  เก่งคน  เก่งคิด  และเก่งเรียน ดี 4 ได้แก่ ประพฤติดี  มีน้ำใจ  ใฝ่ความรู้  คู่คุณธรรม ท่านจะแปะสูตรนี้ไว้ที่ข้างฝาเลยว่า นี่เป็นคนเก่งที่ท่านต้องการให้เกิดขึ้นในปูนซิเมนต์ไทย และก็จะเริ่มสร้างคนด้วยการทำเป็น ตัวอย่าง 

เรื่องที่สอง  ความเชื่อในเรื่องคุณค่าของคน การที่คุณพารณฯเป็นนักพัฒนาที่ยอดเยี่ยมมากๆ ก็เพราะความคิดนี้ท่านเชื่อว่าทุกคน เป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินอื่นใดในองค์กร  เราต้องพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ต้องขัดมันอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด 

เรื่องที่สาม  การที่คุณพารณฯ ดูแลทุกข์สุขของคนอย่างใกล้ชิด โดยมีความเชื่อว่า คนไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่เป็นเงินทองอย่างเดียว แต่ยังต้องการผลตอบแทนทางใจด้วย 

เรื่องที่สี่  การทำงานเป็นทีม ท่านมีความเชื่อว่า สองหัวดีกว่าหัวเดียว การทำงานเป็นทีมจะเกิดจิตสำนึกในการเป็นเจ้าของมากๆ เพราะเราได้มีส่วนร่วมที่จะตัดสินใจในการดำเนินการของบริษัท 

ส่วน ดร.จีระ นั้น ด้วยความที่เป็นคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีความกล้าที่จะทำงานทำให้ท่านได้รับเลือกให้เป็นผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยวัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  

ด้วยความที่ ดร.จีระ เป็นคนที่มีฝีมือและความสามารถ จึงได้รับมอบหมายให้ทำวิจัยเกี่ยวกับแรงงานสัมพันธ์ และการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศอย่าง ILO – International Labor Organization        

จากการที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานดังกล่าวแล้ว ทำให้ ดร.จีระ ได้พบกับ คุณพารณฯ เป็นครั้งแรก เพราะ ดร.จีระ ไม่มีความรู้เรื่องนี้ เขาจึงต้องการที่จะได้เรียนรู้จากผู้รู้นั่นก็คือคุณพารณฯ ซึ่งในตอนนั้น ปูนซิเมนต์โดดเด่นมากในเรื่องการพัฒนาคน และหลังจากนั้นมา ดร.จีระ ก็ได้ยึดคุณพารณฯ เป็นต้นแบบอยู่เสมอ 

 

ภาวะผู้นำของ ดร.จีระ มีดังนี้

  1. แสวงหาการเรียนรู้ตลอดเวลา
  2. สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
  3. เป็นคนที่ขวนขวายและใฝ่รู้
  4. การมีเครือข่ายตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นทุนทางสังคมของผู้นำ
  5. มีครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งเป็น ทุนมนุษย์ที่ผู้นำต้องมี
สิ่งที่เหมือนกัน
    1. มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดี และได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี ซึ่งถือเป็น ทุนมนุษย์
    2. มีเป้าหมายเดียวกันคือการที่องค์กรจะสำเร็จได้ต้องให้ความสำคัญกับคน
    3. ใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา
    4. ให้ความสำคัญกับการศึกษา
    5. มีทัศนคติที่ดี 
    6. มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล

สิ่งที่ต่างกัน

    1. จบการศึกษามาคนละแขนงวิชา
    2. คุณวุฒิและวัยวุฒิ
    3. ประสบการณ์

++อาจารย์ให้เลือกผู้นำมา 1 คน++ 

นายชาตรี โสภณพนิช
ประธานกรรมการ
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
 

นายชาตรีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพตั้งแต่ปี 2542 

ประวัติ

นายชาตรี เกิดในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2476 เป็นบุตรชายคนที่สองของนายชิน โสภณพนิช  

การศึกษา

สำเร็จการศึกษาด้านการบัญชีชั้นสูงจาก Kwang Tai High Accountancy College ที่ฮ่องกง และได้ไปศึกษาเพิ่มเติมด้านการธนาคารจากประเทศอังกฤษที่ The Regent Street Polytechnic of London และ The Institute of Bankers รวมทั้งได้ฝึกงานที่ The Royal Bank of Scotland กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ชีวิตการทำงาน

เริ่มชีวิตการทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการบัญชีที่ บริษัท เอเชียทรัสต์ จำกัด เมื่อปี 2501 และมาร่วมงานกับธนาคารกรุงเทพในตำแหน่งเดียวกัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2502 ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ในปี 2523 นายชาตรี เป็นผู้สร้างความเจริญก้าวหน้าให้ธนาคารอย่างมากในช่วง 12 ปีทองของการดำรงตำแหน่ง ผลประกอบการทุกด้านของธนาคารกรุงเทพขยายตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยนโยบายธนาคารแห่งคุณภาพและความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยี ที่รวมถึงการเป็นผู้นำในการใช้ระบบเครือข่ายออนไลน์แห่งแรกในประเทศไทย

นายชาตรียังได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เช่น ประธานสมาคมธนาคารไทย 3 สมัย ประธานสภาธนาคารอาเซียน กรรมการกลางสภาที่ปรึกษาผู้นำทางธุรกิจระหว่างประเทศของผู้ว่าการนครเซี่ยงไฮ้ และเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น ได้รับปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัย De La Salle ประเทศฟิลิปปินส์ ปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัย Peperdine ประเทศสหรัฐอเมริกา และรางวัลเกียรติยศ ‘Lifetime Achievement Award’ จาก Asia Pacific Bankers Congress (APBC) ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์โดยอุทิศตนเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงภาคธุรกิจการธนาคาร ทำให้ธนาคารกรุงเทพเติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืน และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในภูมิภาคเอเชีย

จะเห็นได้ว่าจากการที่ท่านได้เข้ามาบริหาร ทำให้ธนาคารกรุงเทพฯ มีความก้าวหน้าจากเดิมเป็นอย่างมาก 

ท่านเป็นผู้นำที่ใช้หลักการต่างๆได้อย่างดี และตัวของท่านเองก็มี ทุนตามทฤษฎี 8K'S ทุกอย่าง 

 

นายประเสริฐ  ชัยยะศิริสุวรรณ

ID : 106242007

ม.นานาชาติแสตมฟอร์ดหัวหิน

 

 

 

 

นางสาวสุกัญญา เพ็ญสุข

สวัสดีค่ะ ศ ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์  ท่านอาจารย์ยม นาคสุข และเพื่อนๆทุกท่าน

อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้แล้วได้อะไรบ้างและเกี่ยวกับผู้นำอย่างไร 

จากการที่ได้อ่านหนังสือแล้วทำให้ได้รู้ว่า คนเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร  เมื่อก่อนนั้นจะมีความเชื่อเก่าๆว่า คน เป็นเพียงต้นทุนการผลิต ซึ่งไม่ใช่เลย คนต่างหาก คือ ผลกำไร ที่แท้จริงขององค์กร หากได้รับการดูแลเอาใจใส่ เพิ่มศักยภาพ โดยการพัฒนาอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ และเป็นระบบ หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ในเรื่องของการพัฒนาคน ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะมีอายุที่แตกต่างกัน มีการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่ท่านทั้งสองมีเป้าหมายเดียวกันคือ การมุ่งมั่นในเรื่อง คน คุณพารณฯ ได้เข้าไปทำงานใน เครือซิเมนต์ไทย เริ่มแรกในงานด้านวิศวกรรมคือเป็นวิศวกร เพราะท่านจบการศึกษามาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่เมื่อกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้เห็นบางอย่างในตัวของท่าน จึงให้ท่านไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการบุคคล ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เคยทำงานเกี่ยวกับการบริหารคนมาเลย แต่เมื่อได้รับมอบหมายท่านก็จำเป็นต้องทำ และทำได้ดีเสียด้วย คุณพารณฯ ได้ดูแลนโยบายเรื่องคนของปูนซีเมนต์ ตั้งแต่เขาเดินเข้ามาทำงานกับบริษัท และเขาจะได้รับการฝึกอบรม เอาใจใส่ดูแลจนถึงวันที่เขาเกษียณอายุออกไป เพราะคุณพารณฯ เชื่อว่าองค์กรจะดีเพราะมีคนเก่งและดี 

คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา นั้นท่านเป็นต้นแบบที่ดีถ้าพูดถึงเรื่อง คนท่านเป็นต้นแบบใน 4 เรื่องดังนี้ 

1. เรื่องของคนเก่ง-คนดี ท่านมีความเชื่อว่าคนที่สามารถพาองค์กรให้ประสบความสำเร็จจะต้องทั้งเก่ง ทั้งดี ไม่ใช่เก่งอย่างเดียว ท่านได้ค้นพบหลัก เก่ง 4 ดี 4” เก่ง 4 ได้แก่ เก่งงาน  เก่งคน  เก่งคิด  และเก่งเรียน ดี 4 ได้แก่ ประพฤติดี  มีน้ำใจ  ใฝ่ความรู้  คู่คุณธรรม ท่านจะแปะสูตรนี้ไว้ที่ข้างฝาเลยว่า นี่เป็นคนเก่งที่ท่านต้องการให้เกิดขึ้นในปูนซิเมนต์ไทย และก็จะเริ่มสร้างคนด้วยการทำเป็น ตัวอย่าง 

2.  ความเชื่อในเรื่องคุณค่าของคน การที่คุณพารณฯเป็นนักพัฒนาที่ยอดเยี่ยมมากๆ ก็เพราะความคิดนี้ท่านเชื่อว่าทุกคน เป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินอื่นใดในองค์กร  เราต้องพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ต้องขัดมันอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด 

3. ดูแลทุกข์สุขของคนอย่างใกล้ชิด โดยมีความเชื่อว่า คนไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่เป็นเงินทองอย่างเดียว แต่ยังต้องการผลตอบแทนทางใจด้วย 

4. การทำงานเป็นทีม ท่านมีความเชื่อว่า สองหัวดีกว่าหัวเดียว การทำงานเป็นทีมจะเกิดจิตสำนึกในการเป็นเจ้าของมากๆ เพราะเราได้มีส่วนร่วมที่จะตัดสินใจในการดำเนินการของบริษัท 

ส่วน ดร.จีระ นั้น ด้วยความที่เป็นคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีความกล้าที่จะทำงานทำให้ท่านได้รับเลือกให้เป็นผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยวัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  

 ส่วนที่เหมือนกัน
  1. มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
  2. พัฒนาตนเองใฝ่เรียนใฝ่รู้อยู่เสมอ
  3. มีเป้าหมายในการทำงานที่แน่นอน
  4. ให้ความสำคัญเรื่อง "คน" เป็นอันดับแรก
  5. สร้างความผูกพันต่อเพื่อนร่วมงาน

 ข้อแตกต่าง

  1. คุณพารณทำงานด้านเอกชนส่วนอาจารย์จีระเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นราชการ
  2. มีอายุที่แตกต่างกัน
  3. คุณพารณจบวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนอาจารย์จีระจบด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นคนละสาขาวิชากันเลย

 

จุดแข็ง

  1. มีความเมตตา
  2. มองโลกในแง่ดี
  3. มีเหตุผลเพียงพอ
  4. ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
  5. มีวิสัยทัศน์

จุดอ่อน

  1. ขี้น้อยใจ
  2. ใจอ่อน
  3. ดื้อรั้น ไม่ค่อยเชื่อพ่อแม่
  4. ไม่ค่อยมีความรู้รอบตัว
  5. ขาดความกระตือรือร้น     

 

++ สำหรับเรื่องผู้นำที่อาจารย์ให้ทำจะส่งใน Blog ต่อไปนะคะ ++

 

นางสาวสุกัญญา  เพ็ญสุข

MBA 7

นาย สราวุฒิ ฉายแสง
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์   อ.ยม นาคสุขและเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน            จากการที่ได้อ่านหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์นั้น เนื้อหาภายในนั้นเน้นหนักไปที่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นหลัก โดยการที่แสดงให้เห็นความสำคัญของบุคลากรภายในองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากการส่งพนักงานไปฝึกอบรมให้มีความรู้ ความชำนาญในลักษณะงานที่ทำอยู่ การที่ส่งไปพนักงานอบรมนั้นก็เพื่อกลับมาพัฒนาองค์กร กล่าวคือการที่เราใช้เครื่องจักรนับวันมีแต่จะเสื่อมลง แต่กับคนยิ่งใช้ไปก็ยิ่งจะเกิดความรู้ ความชำนาญ ความสามารถที่มากขึ้น ดังนั้นก็คือการฝึกคนให้เก่ง เพียงแต่เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องดีด้วย ความเก่งที่กล่าวถึงคือ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด และเก่งเรียน ส่วนเรื่องดีนั้นก็คือ ประพฤติดี มีน้ำใจ ใฝ่ความรู้ คู่คุณธรรม เพราะถ้าเก่งอย่างเดียวก็อาจจะโกงบริษัท จึงจำเป็นต้องดีด้วย            จากทฤษฎีต่างๆที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ให้ความสำคัญกับความรู้ และการศึกษา ความรู้นั้นหมายถึงการใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจากการอ่าน การดูข้อมูลจากอินเตอร์เน็ท เพื่อที่เราจะได้ทันสมัยตลอดเวลา ส่วนการศึกษานั้นเมื่อเราเรียนจบจากสถาบันนั้นๆแล้ว ก็ไม่ควรจะศึกษาแต่ภายในรั้วของสถาบันนั้นๆ เราสามารถศึกษาได้จากทุกที่ ทุกเวลา เพื่อจะได้มีแนวความคิดใหม่ๆ  อีกอย่างที่สำคัญคือ ต้องมีการกำหนดเป้าหมายขององค์กรที่ชัดเจนและบุคลากรทุกคนต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นให้ได้ กล่าวคือต้องมีเป้าหมายเดียวกันทั้งองค์กร ซึ่งเรื่องที่จะทำให้คนทั้งองค์กรดำเนินการตามเป้าหมายนั้น ต้องมีความรัก ความผูกพันกับองค์กร โดยการปลูกฝังค่านิยมต่างๆขององค์กรให้กับทุกคนนั้นต้องใช้เวลาและความสามารถมากโดยส่าวนตัวผมแล้วถือว่าการศึกษาหาความรู้นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนแต่ในห้องเท่านั้นเราสามารถเรียนรู้จากสิ่งต่างๆรอบตัวเรา เช่นจากงานที่เราทำก่อน ศึกษาว่าทำอย่างไรให้งานออกมาดี มีคุณภาพ และประหยัดเวลา ซึ่งมันก็จำเป็นที่ทำให้เราต้องค้นหาวิธีเพื่อจะให้ได้ตามเป้าหมายที่หวังไว้                การพิจารณาจุแข็งและจุดอ่อนของตัวเองจุดแข็ง·       เป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบใคร·       จริงจังกับงานที่ทำ·       จริงใจ ตรงไป ตรงมา กับทุกคนจุดอ่อน·       อารมณ์ไม่มั่นคง·       บางครั้งไม่รับฟังความเห็นของผู้อื่น·       สังคมน้อย  ผู้นำที่ชื่นของ ได้แก่ ประธาน เหมา  ( เหมา เจ๋อ ตุง )
เหมาเจ๋อตุง
อดีตประธานาธิบดี ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ท่านประธานเหมา เจ๋อ
ตุง เกิดวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2436 ในครอบครัวชาวนา อาศัยอยู่ในเขตชนบทชานเมืองสาวซาน มณฑลหูหนาน อายุ 8 ขวบ เข้าโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน ร่ำเรียนคำสอนหลักลัทธิขงจื้อ ปลูกฝังความคิดตามจารีตโบราณ ต่อมาถูกคลุมถุงชนให้แต่งงานกับหญิงสาวที่อายุมากกว่า ด้วยวัยเยาว์ทำให้ไม่ประสากับชีวิตครอบครัว อีกทั้งต้องการก้าวสู่โลกกว้างมากกว่ามีชีวิตปลูกพืชเลี้ยงสัตว์อยู่กับบ้านไปวันๆ

ตัดสินใจขัดใจพ่อแล้วเดินทางออกจากบ้านเกิดเข้าตัวอำเภอฉางชา
เรียนหนังสือในโรงเรียนตามหลักสูตรรัฐบาล เป็นนักเรียนโค่งร่วมชั้นกับเด็กเล็กๆ ต่อมาสอบเข้าเรียนต่อวิทยาลัยครูหูหนาน จากนั้นมุ่งหน้าเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง เรียนไปทำงานหน้าที่ผู้ช่วยบรรณารักษ์ห้องสมุดมหาวิทยาลัยไปด้วย

และห้องสมุดนั่นเองที่เป็นคลังความรู้ให้สะสมภูมิปัญญา ทั้งแตกฉานทางอักษรศาสตร์ยอดเยี่ยม ว่ากันว่าความรู้ที่ได้จากห้องสมุดมหาวิทยาลัยปักกิ่งคือต้นทุนที่ทำให้เขาปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนได้สำเร็จ

เหมาทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนหนังสืออย่างจริงจัง
เวลาว่างเขาเขียนบทความลงหนังสือของวิทยาลัยครู ใช้นามแฝง "เอ้อสือปาวาเซิง" หรือ "นายยี่สิบแปดขีด" ตามชื่อของเขาที่เมื่อเขียนเป็นภาษาจีนแบบตัวเต็มรุ่นเก่า จะมีทั้งหมด 28 ขีด งานเขียนส่วนใหญ่ของเหมาแสดงทัศนะวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของราชสำนักชิงซึ่งเป็นชาวแมนจู

นักศึกษาหนุ่มหัวก้าวหน้าจึงเป็นที่จับตาของสายลับรัฐบาล
นั่นไม่เป็นผลอะไร เพราะที่สุดเหมารวมพลคนใจเดียวกัน ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในพ.ศ.2464 และปีเดียวกัน เขาเป็นแกนนำหยุดงานประท้วงของคนงานเหมืองแร่ที่อันหยวน เขียนหนังสือ "พลังปฏิวัติเบ่งบานออกมาจากปากกระบอกปืน" แล้วก่อตั้งกองทัพแดงกรรมกรและชาวนา ตามด้วยกองทัพปลดแอกประชาชน ปฏิบัติการ "ป่าล้อมเมือง" จนมีชัยเหนือเจียง ไค เช็ก

เหมา เจ๋อ ตุง กุมอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เขาสถาปนา
"สาธารณรัฐประชาชนจีน" ดำรงตำแหน่งประธานสาธารณรัฐจนถึงพ.ศ.2512


ชีวิตครอบครัวเขามีภรรยา 3 คน 1.นางหยาง ไค อุย เสียชีวิตในการทำสงครามเพื่อชาติ พ.ศ.2464 2.นางเอ ชิ เจิ้น นายพลหญิงแห่งกองทัพแดง และ 3.เชียง ชิง ผู้นำการปฏิวัติกองทัพแดง หรือเรด การ์ด อันนองเลือดลือลั่นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนใหม่ นางฆ่าตัวตายปี 2534

เหมา เจ๋อ ตุง ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2519นาย สราวุฒิ ฉายแสงรหัส 106142011มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด(หัวหิน)
นางสาวหยาดอรุณ อาสาสำเร็จ

เรียน ศ.ดร.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด 

ขอเพิ่มเติมพระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชดังนี้ค่ะ



สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 27 ของกรุงศรีอยุธยา ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2199 - พ.ศ. 2231
  

สมเด็จพระนารายณ์มีพระขนิษฐาร่วมพระมารดาเดียวกัน นามว่า พระราชกัลยาณี มีพระราชอนุชานามว่า เจ้าฟ้าอภัยทศ พระอัยกาของสมเด็จพระนารายณ์ก็คือ สามเด็จพระเอกาทศรถ ขณะมีพระชนม์ได้ 5 พรรษา เสด็จออกไปเล่นที่เกย ขณะนั้นฝนกำลังตก พระนมพี่เลี้ยงห้ามไม่ฟัง ให้กรดกางก็ห้ามเสีย ขณะยืนอยู่ที่เสาหลักชัย ฟ้าฝ่าลงมาต้องหลักชัยแตก แต่พระนารายณ์กุมารมิได้เป็นอันตราย


พระขนิษฐาพระราชกัลยาณี ต่อมาภายหลังจึงได้มีการสถาปนาเป็นกรมหลวงโยธาทิพ ส่วนพระราชธิดาเป็นกรมหลวงโยธาเทพ พระเจ้าหลุยซ์ที่ 14 เคยส่งของมีค่ามาถวายกรมหลวงโยธาเทพอีกด้วย


สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญแตกต่างจากวีรกษัตริย์พระองค์อื่น พระองค์ทรงมีความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ พระปรีชาสามารถแผ่ไปไกลถึงต่างประเทศ แม้แต่ปืนใหญ่ซึ่งพระองค์ถวายเป็นของขวัญแก่พระเจ้าหลุยซ์ที่ 14 ปืนกระบอกนั้น นักต่อต้านชาวฝรั่งเศสเคยใช้ยิงทำลายคุกบาสติลมาแล้ว


สมเด็จพระนารายณ์ ทรงทำนุบำรุงให้บ้านเมืองรุ่งเรืองยิ่งกว่าสมัยใดในกรุงศรีอยุธยา มีความสามารถพิเศษในการปกครอง มีข้าราชการและเหล่าทหารหาญตามคัมภีร์พิชัยสงครามคือ หัวศึก ได้แก่เจ้าพระยาโกษาเหล็ก มือศึก ได้แก่พระยาเดโชชัย ตีนศึก ได้แก่พลช้างม้าครบถ้วน ตาศึก ได้แก่พระพิมลธรรม หูศึก ได้แก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ปากศึก ได้แก่พระวิสุตรสุนทร (โกษาปาน) กำลังศึก ก็คือผู้คนช้างม้า เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ในรัชสมัยของพระองค์


สำหรับ พระราชกัลยาณี พระขนิษฐาของพระนารายณ์ ทรงเป็นราชธิดาที่มีพระรูปสิริวิลาสเลิศนารีเป็นที่ยิ่ง พระศรีสุธรรมาซึ่งเป็นพระเจ้าอาของพระนารายณ์และพระราชกัลยาณีครองกรุงศรีอยุธยามาได้สองเดือนกับอีก 20 วัน และถูกสำเร็จโทษ ณ วัดโคกพระยา
   ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยย้อนอดีตไปได้ประมาณกว่า 300 ปี สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีคณะราชทูตจากฝรั่งเศส อัญเชิญพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มาถวายแด่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในปีพุทธศักราช 2228 ในระหว่างปีพุทธศักราช 2228 - 2230 รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชคณะบาทหลวงเจชูอิตชาวฝรั่งเศส ได้มาเผยแพร่ดาราศาสตร์ไทยในประเทศไทย มีสิ่งก่อสร้าง เช่น หอดูดาววัดสันเปาโล เป็นหอดูดาวแห่งแรกในประเทศไทย

 

 

 พระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์ ดังนี้ 1. พระราชนิพนธ์โคลง  เรื่องทศรถสอนพระราม
 2. พระราชนิพนธ์โคลง  เรื่องพาลีสอนน้อง
 3. พระราชนิพนธ์โคลง  เรื่องราชสวัสดิ์
 4. สมุทรโฆษคำฉันท์   (ตอนกลาง)
 5. คำฉันท์กล่อมช้าง    (ของเก่า)
 6.  บทพระราชนิพนธ์โคลงโต้ตอบกับศรีปราชญ์และกวีมีชื่ออื่นๆ
  อนุสรณ์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ที่แท่นฐานมีแผ่นป้ายประดิษฐานคำจารึกว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง
ทรงพระราชสมภพ ณ กรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2175
สวรรคต ณ เมืองลพบุรี เมื่อ พ.ศ. 2231
พระองค์ทรงมีพระบรมราชกฤษดาภินิหารเป็นอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระองค์
วรรณคดีและศิลปของไทยได้เจริญถึงขีดสูงสุด
มีสัมพันธไมตรีแผ่ไพศาลเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ประชาชนชาวไทย
 นอกจากอนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว อนุสรณ์ที่สำคัญของสมเด็จพระนารายณ์ ได้มีผู้แต่งเพลงเทอดพระเกียรติคุณอันสูงส่งของพระองค์ คำร้องเพลงนี้ไม่ทราบนามผู้แต่ง เป็นเพลงทำนองโยสลัม    วิเคราะห์ภาวะผู้นำสมเด็จพระนารายณ์มหาราช1.    เป็นผู้คิดและมองการณ์ไกล เช่นมีการค้าและการติดต่อกับชาวต่างประเทศ ได้แก่ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย มลายู ชวา อังกฤษ ฮอลันดา โปรตุเกส และฝรั่งเศส2.    เป็นผู้รอบรู้ เป็นยอดนักปราชญ์ทางด้านการปกครองทั้งทางการทางทหาร ต่างประเทศ รวมถึงวรรณกรรมต่างๆ3.    มีการเรียนรู้ตลอดเวลา และมีการนำสิ่งใหม่ๆมาดัดแปลงใช้ให้กับสังคมไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด4.    มีการวางแผน และคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้5.    มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว6.     พระองค์ทรงมีความคิดรอบคอบใช้พระสติตริตรองปัญหาที่เผชิญหน้าอย่างดีที่สุด7.    มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ สร้างความสามัคคี 8.    เป็นผู้มีจรรยาบรรณ 9.    เป็นผู้ที่มีความเสียสละ 

นางสาวหยาดอรุณ  อาสาสำเร็จ

ID: 106142012 

นางสาวหยาดอรุณ อาสาสำเร็จ
เรียน ศ.ดร.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ดทุกท่าน  ก่อนอื่นต้องขออภัยทุกท่านที่ดิฉันต้องทยอยส่ง Blog  เนื่องจากทางหมู่บ้านของดิฉันมีปัญหาเรื่องไฟฟ้า ซึ่งดับวันละหลายๆครั้ง (จนกลายเป็นเรื่องปกติ) และการขาดแคลนทางด้านเทคโนโลยี  ฉบับนี้จึงขอส่งงานจากการที่ได้อ่าน "ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้" ค่ะหนังสือเล่มนี้ ได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ช่วงความรู้ ได้แก่ เรื่องของสองแชมป์, คัมภีร์คนพันธุ์แท้, จักรวาลแห่งการเรียนรู้ และ สู่การเพิ่มผลผลิต   โดยในช่วงแรก เรื่องของสองแชมป์ ได้มีการกล่าวถึง ประวัติ และประสบการณ์ทำงานของบุคคลที่น่าสนใจคือ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งได้มีเป้าหมายที่เหมือนกัน  คือมีการมุ่งเน้นและให้ความสำคัญในเรื่องของ พัฒนาคน  ถึงแม้นว่าทั้ง 2 ท่านจะมีประวัติชีวิต ประวัติการทำงาน และมีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน    ช่วงที่สอง คัมภีร์คนพันธุ์แท้ ได้มีการกล่าวถึงปรัชญา ความเชื่อและความศรัทธา  ·   ปรัชญา ในส่วนของ HR จะมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้ คือคุณภาพด้านการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะมีส่วนต่อคุณภาพทรัพยากรมนุษย์โดยตรง ·   ความเชื่อ และความศรัทธา  ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จะต้องมีความเชื่อในระบบการเรียนรู้ และในสิ่งที่จะทำก่อน เพราะถ้ามีความเชื่อ หรือศรัทธาว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ ก็จะทำให้เกิดมีพลังความมุ่งมั่น และก่อให้เกิดกำลังใจ ที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จ     ช่วงที่สามจักรวาลแห่งการเรียนรู้  ได้มีการกล่าวถึงคุณสมบัติ 3 ประการสำหรับคนไทยเพื่อก้าวสู่ระดับโลก ได้แก่ 1.    ความกล่องแคล่วทางด้านภาษา ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ2.    เทคโนโลยี3.    คุณธรรมนอกจากนี้แล้วยังมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนาบุคคลทางด้านการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยการปฏิบัติจริง รู้จริง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ แยกแยะปัญหา และมีการคิดอย่างมีระบบ รวมทั้งสามารถพึ่งพาอาศัยตนเองได้ ซึ่งจะทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้แล้วจะต้องมีการเรียนอยู่อยู่ตลอดชีวิต   ช่วงที่สี่ สู่การเพิ่มผลผลิตบอกถึงการพัฒนาทรัพยากรเพื่อให้สามารถก้าวไปสู่ระดับประเทศได้นั้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากภาคต่างๆ เช่น ภาคเอกชน ภาครัฐบาล ภาควิชาการ และพนักงานหรือแรงงานโดยมีความเชื่อที่ว่า วิธีที่จะส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การสร้างความร่วมมือในกลุ่มพันธมิตรกับหน่วงงานราชการ และการเผยแพร่แนวความคิดการเพิ่มผลผลิต ตลอดจนเทคนิคต่างๆไปยังเครือข่ายระหว่างมหาวิทยาลัยต่างๆ และนักธุรกิจทั่วไป นอกจากนี้แล้วการเพิ่มผลผลิตจะประสบความสำเร็จได้นั้น องค์กรจะต้องมีวัฒนธรรม และคนในองค์กรจะต้องมีระเบียบวินัย ซึ่งผู้นำจะต้องมีความสามารถในการตัดสินใจสูง และจะต้องลงมือทำควบคู่ไปด้วย ไปใช่เพียงแต่สั่ง แล้วไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนี้แล้วการสนับสนุนด้านงบประมาณและคน เช่นการให้กำลังใจแก่พนักงาน การหาผู้ที่มีความรู้มาให้ความรู้ และมีการส่งพนักงานไปฝึกงาน    นอกจากนี้แล้วตอนท้ายของเล่ม ได้มีบทวิเคราะห์ถึงความคล้ายคลึงกันขงบุคคลทั้งสอง ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 6 ข้อคือ1.    การเดินเข้าสู่สนามของงานสร้างทรัพยากรมนุษย์ด้วยความบังเอิญ2.    มุ่งมั่น และยืนหยัดในการพัฒนาทรัพยากรบนปรัชญาแห่งความยั่งยืน3.    การเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดต่อสังคม4.    การมีบุคลิกแบบ  “Global Man” 5.    มีความเป็นผู้ใหญ่ ที่พร้อมไปด้วยการเป็นผู้ให้ ทั้งความรู้และความรัก กับคนใกล้ชิด6.    มีความสุขกับการเป็นผู้ให้ โดยไม่สนใจ และไม่หวังสิ่งใดตอบแทน    ทฤษฎี 4 L’s  คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ·        Village that Learn    : หมู่บ้านแห่งการเรียนรู้·        School that Learn    : โรงเรียนแห่งการเรียนรู้·        Industry that Learn  : อุตสาหกรรมแห่งการเรียนรู้·        Nation that Learn    : ชาติแห่งการเรียนรู้ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์·        Learning Methodology   : เข้าใจวิธีการเรียนรู้·        Learning Environment   : สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้·        Learning Opportunity    : สร้างโอกาสในการเรียนรู้·        Learning Community     : สร้างชุมชนการเรียนรู้   สิ่งที่ได้รับจากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ ·        วิธี และแนวทางในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ·        ต้องรู้จักคิดเป็น และต้องสามารถลงมือปฏิบัติได้ ไม่ใช่เพียงแต่พูดเท่านั้น·        คนคือผลกำไร และเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร·        องค์กรจะต้องมีการหมั่นพัฒนาทำอยู่สม่ำเสมอ ·        ต้องหมั่นเป็นผู้ใฝ่รู้·        การที่จะเป็นผู้นำที่ดีขององค์กร จะต้องเป็นผู้รู้จักให้ และเสียสละ   ความเหมือนและความแตกต่าง ระหว่าง คุณพารณและ ศ.ดร.จีระ·        ความเหมือน1.    มุ่งเน้น และความสำคัญในเรื่อง คน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร2.    การเป็นผู้ใฝ่รู้ที่ไม่มีวันหมดสิ้น 3.    เป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน4.    รู้จักคิดอย่างมีเหตุ มีผล และรอบคอบ5.    การมีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดี และมีการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก6.    เป็นผู้นำทางด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  ·        ความต่าง1.    วัยวุฒิ2.    การศึกษา

3.  ตำแหน่งในหน้าที่การงานแลทางสังคม โดยศ.ดร. จีระเป็นนักวิชาการทำงานให้กับภาครัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคุณพารณเป็นนักบริหารองค์กรเอกชน

 

นางสาวหยาดอรุณ  อาสาสำเร็จ ID: 106142012  
นางสาวนภาพร พิพัฒน์ MBA 6 ม.นานาชาติ สแตมฟอร์ด หัวหิน

เรียน ศ.ดร.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด 

จากการอ่านหนังสือพลังความคิดชีวิตและงานของคุณหญิงทิพาวดีเมฆสวรรค์ และ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมในช่วงของบทนำคุณหญิงทิพาวดีได้กล่าวที่มาของทฤษฎี 8 H มาจากได้อ่านหนังสือ 7 ้habit และเพื่อให้จดจำง่ายและเป็นสากลจึงได้มีทฤษฎี 8้ ้H เกิดขึ้น และได้นำเอาวัฒนธรรมไปเชื่อมโยงเพื่อให้จับต้องได้เช่นสินค้า OTOP ท่านได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งเกี่ยวกับคนโดยกล่าวว่าองค์กรณ์จะประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับคน ไม่ใช่อุปกรณ์หรือเทคโนโลยี

 

8 H ประกอบด้วย กับ Heritage ซึ่งตรงK ของศ.ดร.คือ

Sustainable Capitalทุนแห่งความยั่งยืน เมื่อเราเกิดมาต้องรู้จักรากเหง้าของตนเองก่อนและต้องมีculture ด้วย เพื่อให้คนไทยได้ลึกซึ้งทราบถึง วัฒนธรรมของตน เมื่อเรารู้ความเป็นตัวของตัวเองแล้วจะรู้ว่าเรามีอะไรที่พอเพียง อะไรเกิน และอะไรที่ขาดอยู่ อะไรที่ต้องพัฒนาต่อไป

Head ตรงกับK ของศ.ดร.จีระคือ Intellctual Capital ทุนทางปัญญา    จากการที่ กิจ.ดร.กับคุณหญิงทิพาวดีได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันทำให้ทราบว่าปัจจุบันสังคมเศรษฐกิจใช้ความรู้เป็นพื้นฐาน เมื่อรู้แล้วรวยจะตามมาเอง ในแวดวงสุขภาพจะพูดว่าคุณกินอะไรสำหรับคุณหญิงทิพาวดีคุณคิดอะไร คุณหญิงเชื่อว่าทรัพยากรมนุษย์นั้นสามารถเพิ่มมูลค่าและพัฒนาไปได้ตลอดไม่มีจบสิ้น ซึ่งต่างจากทรัพยากรอื่นที่จะลดมูลค่าลงเรื่อยๆ ในยุคโลกาภิวัฒน์ ความรู้และปัญญาคืออำนาจ การเป็นผู้นำนั้นต้องรู้มาก รู้็้้กว้าง และรู้ลึก ตามทฤษฎี 4 L

 

Hand ตรงกับKของ ศ.ดร.จีระคือTalent Capitalทุนทางความรู้ ทักษะ และทัศนะคติ   ความเป็นมืออาชีพนั้นงานที่ทำไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร ก็สามารถทำให้เป็นมืออาชีพได้ ก็เท่ากับประสบผลสำเร็จในส่วนนั้นแล้ว ความคิดใหม่เกิดขึ้นทุกวันแต่คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่นำความคิดนั้นไปทำให้เกิดผล ศ.ดร.จีระกล่าว่าผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ควรเร่งสร้าง

ทุนความรู้ในมนุษย์ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้องค์กร

 

Heart ตรงกับทฤษฎีของศ.ดร.จีระคือEthical Capital ทุนทางจริยธรรม   ถ้าผู้นำขาดคุณธรรมก็ไม่สามารถพัฒนาองค์กรหรือประเทศได้ ก็จะสร้างปัญหาให้กับสังคมมากยิ่งขึ้น

 

 Health ตรงกับK ของศ.ดร.จีระDigital Capital ทุนทางITซึ่งเป็นข้อเดียวที่ความหมายต่างกันทางทฤษฎีของ ศ.ดร.จีระกับคุณหญิงทิพาวดี คุณหญิงทิพาวดีกล่าวว่าการจะมีสุขดีต้องดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตเด็กรุ่นใหม่หมกมุ่นกับIT จนลุ่มหลง จะต้องเรียนรู้อย่างมีสติจะต้องรู้ว่าเราเป็นนายหรือทาสของIT   

 

HomeตรงกับKของศ.ดร.จีระคือHuman Capital ทุนมนุษย์ทุนมนุษย์เริ่มมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และเกิดมาต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากพ่อ-แม่ การศึกษาและเมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้วจะสามารถต่อยอดทุนมนุษย์สร้างมูลค่าเพิ่มให้ตนเอง สังคม องค์กรและประเทศชาติได้เป็นอย่างดี

 

 

Happiness ตรงกับKของศ.ดร.จีระคือHappiness Capital ทุนแห่งความสุข  การมีทัศนะคติเชิงบวกทำให้มีความสุขทุกสถานการณ์ถ้ามนุษย์มีทุนทางความรู้   ทุนทางปัญญาและทุนทางจริยธรรมแล้วย่อมมีความสุขได้ง่ายกับทุกสถานการณ์ เพราะมีความรู้ความสามารถ มีสติปัญญาที่จะประสบความสำเร็จโดยไม่เบียดเบียนใคร

 

 

HarmonyตรงกับKของ ศ.ดร.จีระคือSocial Capital ทุนทางสังคม  คนที่จะประสบวามสำเร็จได้ต้องรู้จักการวางตัวที่เหมาะสม และรู้จักการเข้าสังคมได้เหมาะสมกับหน้าที่และบทบาทของตัวเองต่อสังคม

 

 

จากการอ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ทำให้ทราบถึงแนวทางในการดำเนินชีวิตให้ประสบผลสำเร็จทั้งทางด้านชีวิตการงานและชีวิตครอบครัว และยังทราบอีกว่าได้เกิดปีเดียวกันกับ ศ.ดร.จีระได้รับรู้ถึงการเอาชนะกับปัญหาทุกสิ่งอย่างด้วยวิธีการคิดอย่างมีแบบแผนการหลักแหลมในการวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ นอกจากหนังสือเล่มนี้จะให้แนวทางมากมายในการประสบผลสำเร็จด้วยการนำไปประยุกต์ใช้แล้ว ยังได้รับรู้ถึงอรรถรสของอารมณ์ต่างๆ ตามการสนทนา  ข้อแตกต่างระหว่างคุณพารณกับ ศ.ดร.จีระคือ วัยวุฒิ พื้นฐานการเลี้ยงดูของครอบครัว จบการศึกษาต่างวิชาชีพกัน  ข้อเหมือนกันคือ เป้าหมายที่ต้องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพราะมีความเชื่อเดียวกันคือมนุษย์มีแต่มูลค่าเพิ่มซึ่งต่างจากสิ่งอื่นใดในโลก

 

 

ข้อดีของตนเอง1.  อดทน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก2.  ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีในทุกๆสถานการณ์3.  ให้กำลังใจตัวเองทุกครั้งเมื่อเหนื่อยล้าข้อเสียของตนเอง1.  ขาดความมั่นใจเมื่อต้องพบเจอคนมาก2.  มีโลกส่วนตัวสูง3. พูดตรงเกินไป

 

 

.ส นภาพร พิพัฒน์   MBA 6   

ID  106142007

น.ส.ปภาวี นาคสุข ID 106142008 MBA 6

เรียน ท่านศ.ดร.จีระ , ท่าน อ.ยม และสวัสดีเพื่อน MBA 6 และ 7 ทุกท่าน

จากการที่ดิฉันได้ทำการสำรวจ และวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนของตนเองแล้ว พบว่า

จุดแข็ง
  1. เป็นคนมองโลกในแง่ดี
  2. มีความกตัญญูรู้คุณ
  3. เก่งวิชาคำนวณ
  4. เรียนรู้เร็ว
  5. เป็นคนดี
จุดอ่อน1.        รักการนอน มากกว่าการอ่าน2.        ความรู้รอบตัวมีน้อย3.        ไม่ชอบวิชาบรรยาย เพราะอ่านหนังสือมากๆ แล้วมักจะง่วงนอน4.        ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน 

จากที่ได้อ่านหนังสือเรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้ว สิ่งที่ได้จากการอ่านคือ ได้ทราบถึงประวัติ และแนวความคิดต่างๆในการบริหารองค์กร และบริหารคนอันน่าชื่นชมของท่านอาจารย์ที่มากด้วยประสบการณ์และเป็นปูชนียบุคคลที่ทรงคุณค่าทั้ง 2 ท่านคือ ท่านพารณ  อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์  โดยเนื้อหาสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ทั้ง 2 ท่านมีจุดประสงค์หลักคือนำเสนอแนวทางในการบริหาร โดยการมุ่งมั่นในเรื่อง คนเน้นเรื่องวัดผล เรื่องความยั่งยืนระยะยาว และแสวงหาความคิดใหม่ๆ อยู่เสมอ

หนังสือเล่มนี้ มีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จมากมาย ซึ่งดิฉันจะขอสรุปแนวคิดที่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรเป็นข้อๆ ดังนี้ 1)       คนเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กร เพราะองค์กรจะดีเพราะมีคนเก่งและดี องค์กรจะแย่เพราะมีคนไม่เห่งและคนไม่ดี2)       ท่านพารณฯ ได้นำระบบ TQM มาใช้เป็นนโยบายหลักของทุกบริษัทในเครือซิเมนต์ไทย โดยเน้นการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพควบคู่ไปกับการพัฒนาคน ในขณะที่นักบริหารของไทยส่วนใหญ่จะมุ่งให้ความสำคัญกับปัญหาทางด้านการเงิน และผลกำไรมากกว่าความสำคัญของพนักงาน3)       ต้องหมั่นเรียนรู้และเข้ารับการฝึกอบรมปีละหลายๆ เรื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์4)       เน้นความมีส่วนร่วมของพนักงานให้เกิดความผูกพันกับบริษัท5)       การพัฒนาบุคลากรเป็นการลงทุนของบริษัทที่ไม่ใช่ต้นทุน เพราะคนเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญสูงสุดที่ต้องมีการเอาใจใส่ดูแล หมั่นพัฒนาให้เพิ่มพูนความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา ดังเช่นที่ท่านพารณฯ ได้ให้ทุนการศึกษาแก่พนักงานบริหารทุกระดับชั้นที่มีความสามรถไปศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัยชั้นนำ TOP 106)       ผู้บริหารต้องเป็นผู้ที่ขับพลังและอัจฉริยภาพของบุคลากรในทุกระดับองค์กร7)       ผู้บริหารควรมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีความกล้าที่จะทำงานแหวกวงล้อมเพื่อเดินไปสู่เป้าหมายให้สำเร็จ8)       บุคลิกที่ท่านพารณฯ มีและผู้นำทุกคนควรมี คือ การอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านจะไม่ยึดติดกับคำยกย่องสรรเสริญทั้งปวง

9)       ท่าน ศ.ดร.จีระ มีความกล้าที่จะกระโดดออกมาจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยฯ ซึ่งกลับทำให้ท่านสามารถขยายฐานสังคมแห่งการเรียนรู้ได้อย่างกว้างขวาง และสามารถเป็นอาจารย์ได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย นั่นก็แสดงถึงการจะเป็นผู้นำที่ดีได้ ต้องกล้าที่จะคิด กล้าที่จะตัดสินใจ และต้องเชื่อในสิ่งที่จะกระทำ  และที่สำคัญก็กล้าที่จะคิดนอกกรอบ บ่งบอกถึงการมีความคิดสร้างสรรค์

10)    แนวคิดของท่าน ศ.ดร.จีระ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับตนเองได้มีดังนี้10.1)      การทำงานที่ดีคือการทำงานที่เอาความสามารถของคน แต่ละคนมารวมกัน และสามารถปรับตัวได้ดี โดยมีทุนที่ 4 คือ ทุนแห่งความสุขและความสมดุล มากกว่าคนอื่น10.2)      ไม่ควรหลงยึดติดกับความเก่งของตัวเอง10.3)      ชีวิตของอาจารย์ทุกวันนี้มีแต่คำว่าไม่รู้ และพร้อมที่จะเรียนรู้ และรับฟังชีวิต มองตัวเองให้            น้อยลง มองคนอื่นมากขึ้น10.4)      ข้อดี 4 ประการจากวัยเยาว์ที่ช่วยส่งเสริมให้ ศ.ดร.จีระ ประสบความสำเร็จได้คือ 1. การเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน ในตำแหน่งกองหน้า เป็นการฝึกฝนให้ท่านเป็นคนแสวงหาการเรียนรู้ตลอดเวลา สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้  2. เป็นคนเกิดปีลิง ทำให้ท่านเป็นคนขวนขวายและใฝ่รู้ ดูได้จากการที่ท่านเคยสอบซ่อมวืชา English 1 ยังผลให้ท่านขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมในห้องสมุดจนไม่พลาดเรื่องสอบอีก  3. มีเครือข่ายตั้งแต่วัยเยาว์ และมาจากครอบครัวที่อบอุ่น บ่งบอกถึงการมีทุนมนุษย์ที่ดี  4. อาชีพอาจารย์ สามารถทำงานได้ภายใต้แรงกดดัน และทำงานได้หลากหลายแบบ11)     ทฤษฎี 4 L’s ของท่านพารณฯ ·        Village that Learn  หมู่บ้านแห่งการเรียนรู้·        School that Learn  โรงเรียนแห่งการเรียนรู้·        Industry that Learn  อุตสาหกรรมแห่งการเรียนรู้·        Nation that Learn   ชาติแห่งการเรียนรู้12)    ทฤษฎี 4 L’s ของท่าน ศ.ดร.จีระ ฯ·        Learning Methodology  เข้าใจวิธีการเรียนรู้·        Learning Environment  สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้·        Learning Opportunity  สร้างโอกาสในการเรียนรู้·        Learning Community  สร้างชุมชนการเรียนรู้13)    ท่านพารณฯ นิยมชมชื่นในสิ่งที่ลูกน้องทำ และเวลาชมก็จะชมต่อหน้าคนอื่นๆ จึงทำให้ลูกน้องเกิดความตั้งใจในการทำงานอย่างมาก14)    คนที่มีความสุขคือคนที่อดทนคนอื่นได้เก่ง15)    ไม่ว่าจะทำอะไรต้องมีความเชื่อก่อน เชื่อว่าสิ่งนี้แล้วจึงทำ ไม่ใช่ทำเพราะเขาว่ากันมา16)    เรื่อง เก่ง 4 ดี 4 , เก่ง 4 ได้แก่ เก่งงาน เก่งคน  เก่งคิด  และเก่งเรียน , ดี 4 ได้แก่ ประพฤติดี  มีน้ำใจ ใฝ่ความรู้  คู่คุณธรรม ตั้งเพื่อให้พนักงานมีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน17)    การฝึกอบรมควรจัดให้พนักงานทุกระดับ ทั้งระดับล่าง และระดับบน เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจตรงกัน18)    คนไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่เป็นเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการผลตอบแทนทางใจด้วย  คือให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น ร่วมทานอาหารกลางวันกับพนักงานเป็นประจำ เพื่อให้พนักงานเกิดความรู้สึกที่ดีต่อผู้บริหาร ในความเป็นกันเอง และยังช่วยในเรื่องการรับรู้ข่าวสาร และบางปัญหาที่เกิดกับพนักงานระดับล่างได้อีกด้วย19)    สภาพแวดล้อมในการทำงาน ควรเป็นบรรยากาศของความเป็นมิตรเป็นทีมเวิร์ค การทำงานเป็นทีมจะเกิดจิตสำนึกในการเป็นเจ้าของมากๆ เพราะพนักงานได้มีส่วนร่วมที่จะตัดสินใจในการดำเนินการของบริษัท20)    เรื่องการมีส่วนร่วม เวลาที่มีการออกความเห็น พนักงานทุกคนจะมีแต้มเท่ากับผู้บริหาร โดยที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดว่าประธานที่ประชุมจะต้องเป็นเสียงใหญ่สุด21)    เราควรคิดเสมอว่า เราทำงานเพื่องาน เพื่อความสุขจากการทำงาน แล้วเงินคือสิ่งที่จะตามมา

และประโยคที่ดิฉันประทับใจมากจากหนังสือเล่มนี้ คือ จักรยานนานไปก็เสื่อม แต่คนถ้าทะนุบำรุง พัฒนา ยิ่งนานยิ่งเก่งกล้า แต่ในทำนองเดียวกัน คนถ้าไม่ดูแลพัฒนาก็เสื่อม หรือเสื่อมเร็วกว่าวัตถุด้วย” ทำให้รู้ซึ้งเลยว่าคนเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง หากองค์กรใดมีคนเก่ง และดี องค์กรก็จะไปได้ดี และการที่คนจะดีและเก่งได้ ต้องได้รับการดูแล บำรุงรักษา อย่างถูกวิธี เปรียบเสมือนกับการปลูกต้นไม้ในบ้าน ต้นไม้เปรียบได้กับคนในองค์กร บ้านเปรียบเป็นองค์กร  ส่วนผู้บริหารก็เป็นคนรดน้ำ ใส่ปุ๋ย เมื่อเรานำต้นไม้มาปลูกเราก็ต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ย หากมีส่วนใดที่ดูแล้วไม่สวยงาม หรือไม่เป็นประโยชน์ ก็ทำการตัดและตกแต่งเสียใหม่ เพื่อให้ต้นไม้ต้นนี้เติบโต ให้ผลผลิต และเมื่อเติบโตเป็นไม้ใหญ่ก็จะสามารถให้ร่มเงาแก่บ้านของเราได้ องค์กรก็เช่นกัน ผู้บริหารมีหน้าที่ดูแล และพัฒนาคนในองค์กรให้เติบโตเป็นเหมือนต้นไม่ใหญ่ จึงจะทำให้องค์กรนั้น เป็นองค์กรแห่งความสำเร็จได้

 ประวัติของผู้นำที่เลือกเพื่อทำการศึกษา และวิเคราะห์แนวความคิด ได้แก่ชื่อ  : คุณวิกรม กรมดิษฐ์
วันเกิด : 15 เมษายน 2496
ที่อยู่  : 2126 อาคารกรมดิษฐ์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
E-mail : [email protected], [email protected]
Website : www.amata.com, www.vikrom.net
การศึกษา 
Bachelor’s Degree : วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ไต้หวัน
PHD’s Degree  : ปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการบริหารทั่วไป มหาวิทยาลัยราม           
 ตำแหน่งปัจจุบัน
1975 :  ประธานกรรมการ บริษัทอมตะ โฮลดิ้ง จำกัด
1989 : ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอมตะคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
         : กรรมการบริษัท บี ไอ พี ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด
1994 : ประธานกรรมการบริหารบริษัท อมตะเวียดนาม จำกัด
1995 : กรรมการบริษัท อมตะพาวเวอร์ จำกัด
         : กรรมการบริษัท อมตะเอ็กโก้ พาวเวอร์ จำกัด
1996 : ประธานกรรมการบริหารบริษัท อมตะ พาวเวอร์ เบียนหัว จำกัด
         : ประธานมูลนิธิอมตะ
2001 : ประธานบริษัท อมตะ เนชั่นแนลแกส ดิสตริบิวชั่น จำกัด กรรมการบริษัท อมตะเอ็กโก้ พาวเวอร์ จำกัด
2002 : ประธานกรรมการที่ปรึกษา บริษัท อมตะเวียดนาม จำกัด
Simple Life
ที่พักของเศรษฐีที่รวยเป็นอันดับที่ 29 ของเมืองไทย คุณคิดว่าจะโอ่โถงเพียงไหน... บ้านหินอ่อน โซฟาหลุยส์ แชนเดอเลียหรูจากอิตาลี โฮมเธียเตอร์ครบชุด ชุดเฟอร์นิเจอร์ไม้สักทองโบราณ จากุซซี่ขนาดยักษ์ ห้องฟิตเนสครบวงจร...ที่กล่าวมาไม่มีสักอย่าง ณ บ้านพักของวิกรมที่เขาใหญ่
Profit Organization
วันที่ 17 มีนาคม 2550 หลังรับการบริจาคเงินก้อนมหาศาลจากวิกรม มูลนิธิอมตะจะมีทุนหนาเกือบหมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะขึ้นแท่นเป็นมูลนิธิระดับบุคคลอุปถัมภ์ที่มีเงินมากมายที่สุดอีกแห่ง แต่นั่นไม่เพียงพอที่จะทำให้มูลนิธินี้เป็น "อมตะ" สมความตั้งใจของผู้ก่อตั้งวิกรมจึงต้องนำโมเดลธุรกิจมาจัดการอย่างเข้มข้น
Great Image Creator
จากลูกที่เคยเกือบจะยิงพ่อ จากเพลย์บอยหาตัวจับยาก วันนี้ภาพลักษณ์ใหม่ในสังคมของวิกรมคือ นักบริหารผู้มีวิสัยทัศน์ที่มักได้รับเชิญให้แสดง "วิชั่น" ผ่านสื่อหลายแขนง และนักบุญผู้คอยสนับสนุนผู้ด้อยโอกาส
I’m a Dreamer!!
"ผมเป็นคนชอบหลอกตัวเองด้วยการสร้างความรู้สึกในแง่ดีบ่อยๆ กระทำจนเป็นนิสัยในการล่อหลอกตัวเองให้ทำในสิ่งที่ "ฝัน" ไว้ เพราะความฝันคือเข็มทิศ เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต เป็นน้ำหล่อเลี้ยงมนุษย์ และที่สำคัญ ความฝันไม่เสียสตางค์" วิกรมเขียนไว้ในหนังสือ "มองโลกแบบวิกรม"
วิกรม กรมดิษฐ์ Think Tank ที่ไม่ทำงาน?
ไม่บ่อยครั้งนักที่อันดับต้นๆ ของผลโหวต 50 "ผู้จัดการ" Role Model จะปรากฏชื่อบุคคลที่ "ผู้จัดการ" ไม่เคยนำเสนอเรื่องราวของเขามาก่อน การที่ "วิกรม กรมดิษฐ์" ได้รับคะแนนการยอมรับจากผู้อ่านสูงถึงอันดับ 5 ในปีนี้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องหาคำตอบ
   
เรียน ท่านอาจารย์ จิระ และ ท่านอาจารย์ ยม  1.    คุณได้อะไรจากการเรียนในสัปดาห์นี้·        สิ่งแรกที่จะกล่าวนั้นก็คือ ได้เจออาจารย์จิระ ซึ่งถือว่าเป็นเกียติอย่างยิ่งอีกครั้ง หลังจากที่เคยเจออาจารย์เมื่อตอนที่ได้เรียน Mini-MBA ซึ่งตอนนั้นกล่าวได้ว่ายังไม่เข้าใจ แต่ครั้งนี้ที่ได้เรียนเกี่ยวกับภาวะผู้นำ ทำให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้กับ ร้านอาหารชาวเล ของผมได้เป็นอย่างดี 2.    วิเคราะห์ข้อดี- ข้อเสีย ของตัวเอง 
ข้อดี ข้อเสีย
1.    จริงใจ 1.    ใจอ่อนในการทำงาน
2.    มุ่งมั่น 2.    อารมณ์ร้าย
3.    กล้าคิด กล้าทำ 3.    ด้าน IT
  3.    อ่านและจับประเด็น ในหนังสือ HR Champions ·        ผมได้ทราบถึงความเป็นมาของทั้ง 2 ผู้รู้ ในด้านบุคคลที่มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนษย์·        ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารงานของคุณพารณ ในขณะที่ท่านบริหารงานอยู่ที่ ปูนซีเมนต์ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจร้านอาหารได้·        ได้รู้เกี่ยวกับการบริหารงานอย่างมีคุณธรรม·        ได้ทราบถึงทฤษฏี 4L’s ของคุณพารณ และ อาจารย์จิระ·        ได้รู้เกี่ยวกับการบริหารคน การส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับพนักงาน เพื่อเพิ่มค่าให้พนักงาน ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าการจ่ายเงินเดือนพนักงาน เพื่อส่วนหนึ่งของต้นทุน แต่เมื่อได้เรียนและได้อ่านหนังสือแล้ว ทำให้ทราบว่า พนักงานนั้นถือว่าเป็นส่วนสำคัญของร้านอาหาร เพื่อส่วนในการสร้างรายได้ให้กับร้านถ้าไม่มีพนักงานที้งหมด 60 คนในร้าน ด้วยตัวผมเองก็ไม่สามารถทำงานทั้งหมดได้ด้วยคนเดียว
1.    ประวัติผู้นำที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว http://kmitnb05.kmitnb.ac.th/~at36318/king.htmlพระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเซสท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๘๙ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ มีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (พระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ซึ่งภายหลังทั้งสองพระองค์ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธย เป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระเชษฐภคินีและพระเชษฐา

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นิวัติประเทศไทยเป็นครั้งแรก ในพุทธศักราช ๒๔๘๑ โดยประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เป็นการชั่วคราว แล้วเสด็จกลับไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนถึงพุทธศักราช ๒๔๘๘ จึงโดยเสด็จพระราชดำเนิน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นิวัติประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตโดยกระทันหัน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช จึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ในวันเดียวกันนั้น แต่เนื่องจากยังทรงมีพระราชภารกิจด้านการศึกษา จึงต้องทรงอำลาประชาชนชาวไทย

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร พร้อมทั้งพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

สรุป

คงจะไม่มีเหตุผลใดๆ มาบรรยายได้พอเพียงว่าทำไมผมถึงชื่นชอบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ในหลวง)

สำหรับหลักการภาวะผู้นำของในหลวง นั้นเมื่อเทียบกับทฤษฎี 8K’s ของอาจารย์จิระแล้วนั้น ผมสามารถตอบได้เลยว่า พระองค์ทรงมี ครบทุกหลักการ โดยมุ่นเน้นด้านจริยธรรม

สำหรับการวิเคราะห์เชิงบริหาร วิศัยทัศน์ของในหลวง อาจจะไม่ได้มุ่งเน้นให้ประเทศไทยต้องเป็นที่ หนึ่งด้านการค้าโลก หรือว่าจะต้องมีชื่อเสียง ด้านการค้ากับนานาชาติแต่วิศัยทัศน์ของพระองค์มุ่งเน้นความอยู่รอดของประชาชน ทุกระดับชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในกลุ่ม เกษตรกร และประชาชนราดหญ้า พระองค์ทรงสนับสนุนการส่งเสริมการเกษตร อย่างต่อเนื่อง

และนี้เองคือสาเหตุว่าทำไมคนไทยถึงรัก ในหลวง รวมทั้งผม
เรียน ท่านอาจารย์ จิระ และ ท่านอาจารย์ ยม และผู้อ่านทุกท่าน สำหรับการบ้านในสัปดาห์นี้ประกอบไปด้วย1.    คุณได้อะไรจากการเรียนในสัปดาห์นี้2.    วิเคราะห์ข้อดี- ข้อเสีย ของตัวเอง

3.    อ่านและจับประเด็น ในหนังสือ HR Champions พร้อมทั้งวิเคราะห์หาความเหมือนและแตกต่างระหว่าง อาจารย์พารณ และ อาจารย์จิระ

 1 คุณได้อะไรบ้างจากการเรียนในสัปดาห์นี้วันศุกร์ สำหรับสิ่งที่ดิฉันได้โดยภาพรวม จะเป็นเกี่ยวกับการเปิดกรอบแนวความคิดสำหรับการเป็นผู้นำ ให้คิดเป็น ทำเป็น พร้อมทั้งควรมีการคิดต่อยอด เพื่อเป็นการป้องกันปัญหา ตลอดจน แนวคิดเกี่ยวกับการวางแผนแบบยั่งยืน วันเสาร์ สิ่งที่ได้รับในการเรียนวันนี้จะเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎี 8k, 8H และทฤษฏี 3 วงกลม ซึ่งเป็นทฤษฏีที่สามารถนำไปใช้ในการบริหารการเป็นผู้นำของตนเองได้ ตลอดจนการมุ่งเน้นถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อย่างต่อเนื่องรวมถึงการวัดผลอย่างมีประสิทธิภาพ

ในช่วงบ่ายได้มีการเปิด VDO สัมภาษณ์ อาจารย์พารณ เมื่อ 13 ปีที่แล้วทำให้ได้เข้าใจถึงหลักการบริหารบุคลากรมากขึ้น ซึ่งสามารถจับประเด็นได้ว่า

 

·        ทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์

 

·        เน้นเรื่องการดูแลรักษาบุคคลภายในและภายนอก หมายถึง ความเป็นอยู่ของพนักงาน และ สนองตอบถึงความต้องการของลูกค้า

 

·        หลักการบริหารงาองค์กร คือ การกระจายอำนาจ empowerment

 ·        เรียนรู้เกี่ยวกับการยกตัวอยางการบริหารงานของอาจารย์ พารณ เมื่อสมัยท่านบริหารงานที่ปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งสามารถนำปรับใช้กับการบริหารงานในองค์ของตัวเองได้ สรุป         นอกเหนือจากการได้เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฏีต่างๆ ข้างต้นแล้ว ในรูปแบบการเรียนการสอนของอาจารย์จิระ เป็นรูปแบบ Work Shop ทำให้มีการระดมความคิด แลกเปลี่ยนความคิดกับพี่ๆ และเพื่อนในกลุ่ม ซึ่งถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน

ข้อเสนอ สำหรับการเรียนครั้งต่อไป อยากให้มีการสลับที่นั้งเพื่อจะมีเห็นมุมมองของพี่ๆ และเพื่อนในชั้นเรียนกันอย่างทั่วถึง

 2. วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ของตัวเอง         ก่อนจะทำการวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ของตัวเองนั้นของแนะนำตัวเล่าประวัติส่วนตัวเล็กน้อยเพื่อช่วยในการวิเคราะห์พิจารณา        ดิฉัน นางสาวอัสมา  แวโน๊ะ อายุ 22 ปี 8 เดือน จบการศึกษาปริญญาตรี บริหารธุรกิจสาขาการบัญชีต้นทุน หลังจบการศึกษาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้สอบบัญชี และปัจจุบันได้ตัดสินในออกมาเปิดบริษัท เกี่ยวกับการอบรมและพัฒนาบุคลากร โดยเน้นด้านสายงานโรงแรมและธุรกิจบริการ ข้อดี ·        มีความเชื่อมั่นในตัวเอง·        มีเหตุผล·        เป็นคนสนุกสนาน เป็นกันเอง ข้อเสีย·        เป็นคนใจร้อน·        ไม่ตรงต่อเวลา·        ไม่ดูแลสุขภาพ
เรียน ท่านอาจารย์ จิระ และ ท่านอาจารย์ ยม และผู้อ่านทุกท่าน สำหรับการบ้านในสัปดาห์นี้ประกอบไปด้วย

1.    คุณได้อะไรจากการเรียนในสัปดาห์นี้

 

2.    วิเคราะห์ข้อดี- ข้อเสีย ของตัวเอง

 

3.    อ่านและจับประเด็น ในหนังสือ HR Champions พร้อมทั้งวิเคราะห์หาความเหมือนและแตกต่างระหว่าง อาจารย์พารณ และ อาจารย์จิระ

 4.    ประวัติผู้นำที่เลือก พร้อมทั้งวิเคราะห์ ทักษิณ 

1 คุณได้อะไรบ้างจากการเรียนในสัปดาห์นี้

 วันศุกร์ สำหรับสิ่งที่ดิฉันได้โดยภาพรวม จะเป็นเกี่ยวกับการเปิดกรอบแนวความคิดสำหรับการเป็นผู้นำ ให้คิดเป็น ทำเป็น พร้อมทั้งควรมีการคิดต่อยอด เพื่อเป็นการป้องกันปัญหา ตลอดจน แนวคิดเกี่ยวกับการวางแผนแบบยั่งยืน วันเสาร์ สิ่งที่ได้รับในการเรียนวันนี้จะเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎี 8k, 8H และทฤษฏี 3 วงกลม ซึ่งเป็นทฤษฏีที่สามารถนำไปใช้ในการบริหารการเป็นผู้นำของตนเองได้ ตลอดจนการมุ่งเน้นถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อย่างต่อเนื่องรวมถึงการวัดผลอย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงบ่ายได้มีการเปิด VDO สัมภาษณ์ อาจารย์พารณ เมื่อ 13 ปีที่แล้วทำให้ได้เข้าใจถึงหลักการบริหารบุคลากรมากขึ้น ซึ่งสามารถจับประเด็นได้ว่า

·        ทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์

 

 

·        เน้นเรื่องการดูแลรักษาบุคคลภายในและภายนอก หมายถึง ความเป็นอยู่ของพนักงาน และ สนองตอบถึงความต้องการของลูกค้า

 

 

·        หลักการบริหารงาองค์กร คือ การกระจายอำนาจ empowerment

 

 ·        เรียนรู้เกี่ยวกับการยกตัวอยางการบริหารงานของอาจารย์ พารณ เมื่อสมัยท่านบริหารงานที่ปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งสามารถนำปรับใช้กับการบริหารงานในองค์ของตัวเองได้ สรุป         นอกเหนือจากการได้เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฏีต่างๆ ข้างต้นแล้ว ในรูปแบบการเรียนการสอนของอาจารย์จิระ เป็นรูปแบบ Work Shop ทำให้มีการระดมความคิด แลกเปลี่ยนความคิดกับพี่ๆ และเพื่อนในกลุ่ม ซึ่งถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน

ข้อเสนอ สำหรับการเรียนครั้งต่อไป อยากให้มีการสลับที่นั้งเพื่อจะมีเห็นมุมมองของพี่ๆ และเพื่อนในชั้นเรียนกันอย่างทั่วถึง

 

 2. วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ของตัวเอง         ก่อนจะทำการวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ของตัวเองนั้นของแนะนำตัวเล่าประวัติส่วนตัวเล็กน้อยเพื่อช่วยในการวิเคราะห์พิจารณา        ดิฉัน นางสาวอัสมา  แวโน๊ะ อายุ 22 ปี 8 เดือน จบการศึกษาปริญญาตรี บริหารธุรกิจสาขาการบัญชีต้นทุน หลังจบการศึกษาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้สอบบัญชี และปัจจุบันได้ตัดสินในออกมาเปิดบริษัท เกี่ยวกับการอบรมและพัฒนาบุคลากร โดยเน้นด้านสายงานโรงแรมและธุรกิจบริการ  ข้อดี ·        มีความเชื่อมั่นในตัวเอง·        มีเหตุผล·        เป็นคนสนุกสนาน เป็นกันเอง  ข้อเสีย·        เป็นคนใจร้อน·        ไม่ตรงต่อเวลา·        ไม่ดูแลสุขภาพ
3. อ่านและจับประเด็น ในหนังสือ HR Champions พร้อมทั้งวิเคราะห์หาความเหมือนและแตกต่างระหว่าง อาจารย์พารณ และ อาจารย์จิระ  จากการได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือ HR Champions นั้นสามารถสรุปได้ตามประเด็นของหัวข้อในรายการตาม สารบัญ ได้ดังนี้  เรื่องของสองแชมป์
  1. ทางชีวิตสองแชมป์
  2. พารณฯ : ช่างใหญ่ ธงชัยปูน
  3. จิระ : จารึกไว้บนรายทาง
สรุป

          จากการได้อ่านในบทที่ 1-3 ทำให้ทราบถึงประวัติของคุณพารณ และอาจารย์จิระ โดยเริ่มจากการกล่าวถึงความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ท่าน มาเจอกันได้อยางไร ได้ร่วมงานอะไรกันมาบ้าง และมีแนวคิดที่เหมือนกันคือ การส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนษย์ของไทย

 

          ในส่วนบทต่อมาเป็นการเล่าถึงประวัติความเป็นมาของคุณพารณ เกี่ยวกับการทำงานที่เชล และต่อมาทำที่ ปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งได้มีการสัมภาษณ์ คุณยุพา บัวธรา และ คุณอุทัย คันธเสวี ซึ่งเป็นบุคคที่เคยทำงานร่วมกับคุณพารณ ได้เล่าเกี่ยวกับแนวการบริหารงาน บริหารคน ของคุณพารณ ซึ่งสามารถนำมาปรับกับองค์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ซึ่งคุณพารณได้บริหารงานด้วยความมีจริยธรรม

           สำหรับในส่วนของบทที่ 3 เป็นการพูดถึงอาจารย์จิระ จากหลายๆบุคคลที่เคยทำงานร่วมกับอาจารย์จิระ ซึ่งทำให้ทราพถึงแนวทางการทำงานตลาดจนการที่มุ่งมั่นในการสร้าง สถาบันทรัพยากรมนุษย์ที่มหวิทยาลัยธรรมศาสาตร์

 

 คัมภีร์คนพันธุ์แท้
  1. ปรัชญาที่ปลายนวม 
  2. ความเชื่อและศรัทธา
  3. บันไดแห่งความเป็นเลิศ
  4. ให้ความรักถึงจะภักดี
  5. มหัสจรรย์แรงจูงใจ
สรุปเป็นการกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาซึ่งได้เน้นเรื่องการศึกษาและการฝึกอบรม เพื่อส่งผลให้มีการเพิ่มผลผลิตมากขึ้น โดยได้เรียนรู้หลักการของอาจารย์จิระ สำหรับทฤษฏี 8 K’s          ตลอดจนมีการยกตัวอย่างการทำงาน การมีคุณธรรมกับลูกน้องและพนักงานเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับพนักงาน

 

 

จักรวาลแห่งการเรียนรู้
  1. สานสร้าง Global Citizen
สรุป      เป็นเสมือนตั๋วเดินทางสำหรับคนไทยก้าวสู่ระดับโลก
    1. ความคล่องแคล่วในภาษาไทยและ อังกฤษ
    2. เทคโนโลยี
    3. คุณธรรม
 สู่การเพิ่มพลผลิต
  1. ปลายทางไทยสู่ชัยชนะ คือนิยาม ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์ใหม่
  2. บทบันทึก พารณ จีระณ สู่ศตวรรษใหม่
  3. ส่งท้าย..คนพันธุ์แท้ !
  4. จีระพบ Guru 
สรุป

     เป็นการกล่าวให้เห็นว่า เมื่อ คู่รู้ ทั้งอาจารย์พารณ และ อาจารย์จิระ หลังจากที่มานะพยายาม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคคลกรแล้ว ควรที่จะมีการปรับองค์กร มาเป็นองค์แห่งการเรียนรู้ ซึ่งหมายความถึง นอกเหนือจากการกระตุ้นให้พนักงานรักที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว องค์กร หรือ หน่วนงานก็ต้องช่วยกันพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิด ทรัพยากรมนุษย์พันธ์ใหม่ ในองค์กร

      ซึ่งจากบทสนทนา นอกเหนือจาก ลูกค้า ที่องค์กรจะให้ความสนใจแล้ว ยังรวมถึง พนักงาน ซึ่งเป็นกลุ่มคนในที่สำคัญอันดับหนึ่ง นั้นหมายถึง ขวัญ และกำลังใจในการทำงาน  

สวัสดีค่ะ ศ ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์  ท่านอาจารย์ยม นาคสุข และเพื่อนๆทุกท่าน

จากการที่ได้เรียนวิชาภาวะผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่ 3 (วันที่ 9 - 10 มีนาคม 2550)  ขอนำเสนองานที่ได้รับมอบหมายดังต่อไปนี้ ตอนที่1 เขียนจุดแข็ง-จุดอ่อน ของตนเอง และจากการที่ได้ค้นหาตัวเองทำให้ได้รู้ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ดังนี้ 

จุดแข็ง

  

  1. มองโลกในแง่ดี    
  2. มีความจริงใจกับผู้อื่น
  3. สามารถเรียนรู้และปรับตัวยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้
  4. มีมนุษยสัมพันธ์ดีเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
  5. รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเสมอ
  6. มีน้ำใจกับผู้อื่น

จุดอ่อน

  

  1. ไม่ค่อยตรงต่อเวลา
  2. ไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์
  3. ขาดประสบการณ์
  4. ขี้น้อยใจ
  5. เชื่อคนง่าย
 ตอนที่ 2   คำถามที่ 1  อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้แล้วได้อะไรบ้างและเกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำอย่างไร จากการที่ได้อ่านหนังสือแล้วทำให้ได้รู้ว่าคนเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร  เมื่อก่อนนั้นจะมีความเชื่อเก่าๆว่าคนเป็นเพียงต้นทุนการผลิต ซึ่งไม่ใช่เลย คนต่างหาก คือผลกำไรที่แท้จริงขององค์กร หากได้รับการดูแลเอาใจใส่ เพิ่มศักยภาพ โดยการพัฒนาอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ และเป็นระบบ หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ในเรื่องของการพัฒนาคน ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะมีอายุที่แตกต่างกัน มีการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่ท่านทั้งสองมีเป้าหมายเดียวกันคือ การมุ่งมั่นในเรื่องคน” คุณพารณฯ ได้เข้าไปทำงานใน เครือซิเมนต์ไทย เริ่มแรกในงานด้านวิศวกรรมคือเป็นวิศวกร เพราะท่านจบการศึกษามาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่เมื่อกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้เห็นบางอย่างในตัวของท่าน จึงให้ท่านไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการบุคคล ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เคยทำงานเกี่ยวกับการบริหารคนมาเลย แต่เมื่อได้รับมอบหมายท่านก็จำเป็นต้องทำ และทำได้ดีเสียด้วย คุณพารณฯ ได้ดูแลนโยบายเรื่องคนของปูนซีเมนต์ ตั้งแต่เขาเดินเข้ามาทำงานกับบริษัท และเขาจะได้รับการฝึกอบรม เอาใจใส่ดูแลจนถึงวันที่เขาเกษียณอายุออกไป เพราะคุณพารณฯ เชื่อว่าองค์กรจะดีเพราะมีคนเก่งและดี          และจากการที่ก่อนหน้านี้คุณพารณฯ ได้เคยทำงานในบริษัท เชลล์ ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติมาก่อน ทำให้ท่านได้รู้ว่า เหนือสิ่งอื่นใดคือ มีการดูแลคนอย่างดี เพราะมีแนวคิดว่าคนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดขององค์กร งานจะสำเร็จได้ด้วยคน จึงมีแผนในการพัฒนาพนักงานให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ        และเมื่อคุณพารณฯ ได้เข้ามาอยู่ที่ปูนซิเมนต์ไทย ท่านก็ได้นำเอาวิธีการบริหารงานแบบบริษัทข้ามชาติอย่างที่เคยได้เรียนรู้มาปรับใช้เริ่มตั้งแต่การจัดโครงสร้างและระเบียบการบริหารองค์กร การทำงานที่เป็นระบบหลักการบริหารคนของคุณพารณฯ ที่เป็นปัจจัยให้ประสบความสำเร็จมีดังนี้1.    เน้นความมีส่วนร่วมของพนักงานให้เกิดความผูกพันกับบริษัท 2.    ถ้ามีปัญหาต้องคุยกับพนักงานให้รู้เรื่องก่อน 3.    คุณพารณฯ จะเปิดประตูอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ลูกน้องได้พบปะปรึกษาหารือเสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน 4.    มีการเอาใจใส่ดูแลและให้เพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้พนักงานตลอดเวลา 5.    มีการสนับสนุนด้านการศึกษา  จะเห็นได้ว่าหลักการบริหารคนของคุณพารณฯ นั้น ได้แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นำของคุณพารณฯ หลายๆด้านดังนี้o        ในตอนที่คุณพารณฯ ได้เปลี่ยนจากการเป็นวิศวกรมาเป็นนักพัฒนาคน ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แต่ท่านก็ทำได้อย่างดีมาก ซึ่งผู้นำที่ดีนั้นต้องมีความสามารถ และมีความเป็นมืออาชีพ o        การที่คุณพารณฯ จะเปิดประตูอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ลูกน้องได้พบปะปรึกษาหารือ ถือเป็นการกระทำของผู้นำที่ดี คือ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีเมตตา มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี o        การเอาใจใส่ดูแลและให้เพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้พนักงานและการสนับสนุน ถือเป็นบุคลิกของผู้นำที่ต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ตลอดเวลา  ส่วน ดร.จีระ นั้น ด้วยความที่เป็นคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีความกล้าที่จะทำงานทำให้ท่านได้รับเลือกให้เป็นผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยวัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และยังเป็นผู้วางพื้นฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทย และจนถึงปัจจุบันนี้ หลายๆคนก็ยังคงนึกถึง ดร.จีระ ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์เหมือนเคย         ด้วยความที่ ดร.จีระ เป็นคนที่มีฝีมือและความสามารถ จึงได้รับมอบหมายให้ทำวิจัยเกี่ยวกับแรงงานสัมพันธ์ และการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศอย่าง ILO – International Labor Organization         จากการที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานดังกล่าวแล้ว ทำให้ ดร.จีระ ได้พบกับ คุณพารณฯ เป็นครั้งแรก เพราะ ดร.จีระ ไม่มีความรู้เรื่องนี้ เขาจึงต้องการที่จะได้เรียนรู้จากผู้รู้นั่นก็คือคุณพารณฯ ซึ่งในตอนนั้น ปูนซิเมนต์โดดเด่นมากในเรื่องการพัฒนาคน และหลังจากนั้นมา ดร.จีระ ก็ได้ยึดคุณพารณฯ เป็นต้นแบบอยู่เสมอ          ดร.จีระ ได้เกษียณตัวเองออกจากการสอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวัยเพียง 55 ปี บนพื้นฐานแนวคิดที่ว่า เขาสามารถเป็นอาจารย์ได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ทำให้เขาสามารถขยายฐานสังคมแห่งการเรียนรู้ได้กว้างขวางกว่าเดิมภาวะผู้นำของ ดร.จีระ มีดังนี้1.    ดร.จีระ เป็นคนที่แสวงหาการเรียนรู้ตลอดเวลา 2.    สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ 3.    เป็นคนที่ขวนขวายและใฝ่รู้ 4.    การมีเครือข่ายตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นทุนทางสังคมของผู้นำ 5.    มีครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งเป็น ทุนมนุษย์ที่ผู้นำต้องมี 6.    มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล7.    คำถามที่ 2  คุณพารณฯ และ ดร.จีระ มีภาวะผู้นำที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไรท่านทั้งสองมีภาวะผู้นำที่เหมือนๆกัน หลายอย่าง สรุปได้ดังนี้ 1.    ท่านทั้งสองเกิดมาในชนชั้นปกครองของสังคมเหมือนกัน มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดี และได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี ซึ่งถือเป็น ทุนมนุษย์2.    มีเป้าหมายเดียวกันคือการที่องค์กรจะสำเร็จได้ต้องให้ความสำคัญกับคน3.    ใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลาและให้ความสำคัญกับการศึกษา4.    มีทัศนคติที่ดี มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล5.    มีคุณธรรมสูงมีความเป็นธรรม6.    เน้นการทำงานเป็นทีม ตอนที่ 3   เลือกผู้นำมา 1 คน แล้วให้เขียนประวัติ  ข้าพเจ้าได้เลือก     นายอานันท์ ปันยารชุน เกิดเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๗๕ ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน ๑๒ คนของ มหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน) และ คุณหญิงปรีชานุสาสน์ (ปฤกษ์ โชติกเสถียร)       ประวัติครอบครัว การทำงานและการอบรมบุตรธิดาของมหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์นั้นน่าสนใจ และมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อความเป็นนายอานันท์ (ประวัติโดยละเอียดดูได้จากหนังสือ อานันท์ ปันยารชุน : ชีวิต ความคิด และการงาน ของอดีตรัฐมนตรีสองสมัย โดย ประสาร มฤคพิทักษ์ และคณะ สำนักพิมพ์อมรินทร์)       พระยาปรีชานุสาสน์เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานหลายด้าน ทั้งภาคราชการและภาคเอกชน ในภาคราชการ ก่อนที่ท่านจะลาออกไปประกอบธุรกิจส่วนตัว ท่านเคยดำรงตำแหน่ง ปลัดทูลฉลอง กระทรวงธรรมการ อันเป็นตำแหน่งสูงสุดตำแหน่งหนึ่งของข้าราชการประจำ หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๔๗๕ ท่านกราบถวายบังคมลามาประกอบธุรกิจก่อตั้งบริษัทไทยพาณิชการ จำกัด และออกหนังสือ Siam Chronicle ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับแรกของคนไทย ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นนายกคนแรกของสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการพิเศษ ในตำแหน่งที่ปรึกษาทางวัฒนธรรม ประจำสถานทูตไทย ณ กรุงลอนดอน คนแรก       นายอานันท์เริ่มเข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนประถมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบนถนนสุรศักดิ์ที่เชื่อมต่อระหว่างถนนสีลมและถนนสาทร ในปี ๒๔๘๖ เข้ารับการศึกษาในระดับมัธยม (ประถมปีที่ ๕ ในปัจจุบัน) ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ จนจบมัธยมปีที่ ๓ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองย้ายเข้ารับการศึกษาในชั้นมัธยม ๔ (มัธยมศึกษาปีที่ ๑ ในปัจจุบัน) ที่โรงเรียนนันทศึกษาเป็นการชั่วคราว แล้วจึงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จนจบมัธยม ๗ (มัธยมศึกษาปีที่ ๕ ในปัจจุบัน) ต่อจากนั้นได้เดินทางไปศึกษา ณ โรงเรียนดัลลิช (Dulwich College) ประเทศอังกฤษในปี ๒๔๙๑ ก่อนเข้ารับการศึกษา ณ ตรินิตี้คอลเลจ (Trinity College) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge) ในปี ๒๔๙๕ จนสำเร็จการศึกษาวิชากฎหมายในระดับปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยม ในปี ๒๔๙๘      นายอานันท์เป็นผู้ที่ก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดในหน้าที่การงานหลายด้าน ทั้งในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะข้าราชการประจำ ในด้านการทูต ด้านธุรกิจ และด้านการเมือง นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งอื่นๆ อีกมากในด้านสังคมสงเคราะห์ การพัฒนาศึกษา เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น       ในการปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการประจำในกระทรวงการต่างประเทศ นายอานันท์เริ่มเข้ารับราชการในปี ๒๔๙๘ เป็นข้าราชการชั้นโท ต่อมาในปี ๒๕๐๒ ปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ แล้วมาเป็นเลขานุการเอกและที่ปรึกษา คณะทูตถาวรแห่งประเทศไทย ประจำสหประชาชาติ ในปี ๒๕๐๗       ในปี ๒๕๑๐ นายอานันท์เข้าดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต รักษาการผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ และเอกอัครราชทูตประจำประเทศแคนาดา แล้วในปี ๒๕๑๕ เข้าดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา และผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงนิวยอร์ค ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยในปี ๒๕๒๐ เพื่อเข้าดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และต่อมาในปี ๒๕๒๐ จึงเข้าดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตพิเศษประจำกระทรวงการต่างประเทศ และเอกอัครราชทูตประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน       ด้วยความผกผันอันสืบเนื่องมาจากสาเหตุด้านการเมือง ในปี ๒๕๒๒ นายอานันท์ลาออกจากราชการเข้าสู่วงการธุรกิจ โดยเข้ารับตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการบริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) แล้วขึ้นเป็นประธานกรรมการบริษัทฯ ในปี ๒๕๓๔ ปัจจุบันนายอานันท์เป็นประธานกรรมการของบริษัทต่างๆ รวม ๕ บริษัท และเป็นกรรมการบริษัท กรรมการที่ปรึกษา และที่ปรึกษาของบริษัทข้ามชาติต่างๆ อีก ๕ บริษัท ทั้งในอดีต นายอานันท์เคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญต่างๆ ในภาคธุรกิจอีกมากมาย เช่น ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น       ปัจจุบันนายอานันท์ดำรงตำแหน่งที่สำคัญขององค์กรต่าง ๆ ของประเทศและองค์กรนานาชาติหลายองค์กร เช่น ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูง ด้านภัยคุกคาม ความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลง องค์การสหประชาชาติ เป็นกรรมการ สถาบันอู ถั่น เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ เอเซีย แปซิฟิค ลีดเดอชิพ ฟอรัม ออน เอชไอวี/เอดส์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ (เอพีแอลเอฟ)       ในด้านสังคมสงเคราะห์ การพัฒนาการศึกษา เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันนายอานันท์ดำรงที่สำคัญ เช่น เป็นสมาชิกคณะที่ปรึกษาคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ เป็นประธานสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเอเซีย เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย เป็นประธานกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ประธานกรรมการสภาสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ฯลฯ ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญในอดีตอีกมากมาย       ในด้านการเมือง นายอานันท์เคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีถึง ๒ สมัย สมัยแรกตั้งแต่ ๒ มีนาคม ๒๕๓๔ ถึง ๒๑ เมษายน ๒๕๓๕ และสมัยที่สองตั้งแต่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ ถึง ๑ ตุลาคม ๒๕๓๕       ในยุคที่มีกระแสความต้องการให้มีการปฏิรูปการเมือง สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ก่อกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ อันเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ หรือที่เรัยกกันทั่วไปว่าเป็น รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่สภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยบุคคลต่าง ๆ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และประชาชนมีส่วนร่วม ในการออกความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์ นายอานันท์มีบทบาทสำคัญคือ ได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ ประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ      ด้วยผลงานด้านต่างๆ ที่นายอานันท์ได้ทำมา ทำให้นายอานันท์ได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาบริการรัฐกิจในปี ๒๕๔๐ ได้รับการประกาศเกียรติคุณต่างๆ รวมทั้งปริญญากิตติมศักดิ์จากสถาบันศึกษาหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม ๒๐ สถาบัน นายอานันท์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญรัตนาภรณ์ (ชั้น ๓) มหาวชิรมงกุฎ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก ทั้งได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากประเทศอิตาลี เกาหลี อินโดนีเซีย เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น และในกรณีของอังกฤษนั้น ได้รับ Honorary Knight Commander of the Civil Division of the Most Exellent Order of the British Empire (KBE) ซึ่งถ้าเป็นคนสัญชาติสหราชอาณาจักร ก็จะมีตำแหน่งเป็น Sir       นายอานันท์สมรสกับ ม.ร.ว. สดศรี จักรพันธุ์ มีบุตรี ๒ คนคือ นางนันดา ไกรฤกษ์ และนางดารณี เจริญรัชต์ภาคย์ มีหลาน ๓ คนคือ น.ส. ทิพนันท์ จากนางนันดา ซึ่งสมรสกับ นายไกรทิพย์ ไกรฤกษ์ และ ด.ญ. ศิริญดา และ ด.ช. ธนาวิน จากนางดารณี ซึ่งสมรสกับ ดร. ชัชวิน เจริญรัชต์ภาคย์   ข้อมูลชีวประวัติโดยละเอียด ประวัติ
นายอานันท์ปันยารชุน
อดีตนายกรัฐมนตรี

ประธานสภาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

(นับถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๙)


ธุรกิจ
๒๕๒๗ : กรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
๒๕๓๒ : ประธานกรรมการบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)
เมษายน ๒๕๓๕ : ประธานกรรมการบริษัท เชียงใหม่ ไนท์บาซาร์ จำกัด
เมษายน ๒๕๓๖ : กรรมการที่ปรึกษาบริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชเชอนัล กรุ๊ป (เอ.ไอ.จี.)
เมษายน ๒๕๔๙ : กรรมการที่ปรึกษา บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
พฤษภาคม ๒๕๔๙ : ที่ปรึกษา บริษัท เชฟรอน เอเซีย เซ้าท์ จำกัด
  อื่นๆ
๒๕๓๑ : กรรมการสภาที่ปรึกษา สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๒๕๓๓ : ประธานคณะกรรมการมูลนิธิเคมบริดจ์ (ไทย)
มิถุนายน ๒๕๓๕ : ประธานสภาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยและกรรมการบริหาร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
เมษายน ๒๕๓๖ : ประธานกรรมการสภาสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
ตุลาคม ๒๕๓๖ : ประธานคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย
สิงหาคม ๒๕๓๘ : ประธานกรรมการบริษัท อิมพีเรียล เทคโนโลยี แมเนจเม้นท์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
กันยายน ๒๕๓๘ : รองประธานกรรมการคนที่ ๒ มูลนิธิสวนหลวง ร. ๙
ตุลาคม ๒๕๓๘ : ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์กฏหมายภูมิภาคแม่น้ำโขง
มกราคม ๒๕๓๙ : ดิสติงกวิชด์ อินเตอร์แนชเชอนัล ไอซิส เฟลโลว์ (มาเลเซีย)
  : ทูตองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย
สิงหาคม ๒๕๓๙ : ประธานกรรมการที่ปรึกษา มูลนิธิคาร์ลอส พี. รอมูโล
ธันวาคม ๒๕๔๐ : ประธานสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเอเชียน
มกราคม ๒๕๔๑ : กรรมการที่ปรึกษา สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย
มีนาคม ๒๕๔๒ : ที่ปรึกษาปัญหาต่อต้านคอรัปชั่นภูมิภาคเอเซีย - แปซิฟิค ของธนาคารโลก
กรกฎาคม ๒๕๔๒ : กรรมการที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ดัลลิชคอลเลจ กรุงลอนดอน
มกราคม ๒๕๔๓  : กรรมการที่ปรึกษา องค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ
พฤศจิกายน ๒๕๔๖ : กรรมการ สถาบันอู ถั่น
  : เฟลโลว์ ของโรงเรียนดัลลิช กรุงลอนดอน
 สถานที่และวันเกิด  
กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๗๕
 การศึกษา 
๒๔๘๖ - ๒๔๘๘ : โรงเรียนอำนวยศิลป์
๒๔๘๘ - ๒๔๙๑ : โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
๒๔๙๑ - ๒๔๙๕ : ดัลลิชคอลเลจ กรุงลอนดอน
๒๔๙๕ - ๒๔๙๘ : มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ
 
สวัสดีค่ะอาจารย์  จีระ  หงส์ลดารมภ์  อาจารย์  ยม  นาคสุข และเพื่อนๆนักศึกษาทุกท่าน             จากที่ได้เรียนกับอาจารย์จีระในวันที่ 9-10 มีนาคมที่ผ่านมา อาจารย์ได้สอนให้ความรู้และแง่คิดที่มีประโยชน์มากๆ ซึ่งความรู้ที่อาจารย์สอนนั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน  และอาจารย์ได้ให้การบ้านไว้ดังนี้1.    - บอกถึงความแตกต่างและความเหมือนระหว่างอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์และ คุณพารณ  อิศรเสนา ณ อยุธยา จากการอ่านหนังสือเรื่องทรัพยามนุษย์พันธุ์แท้- สรุปแง่คิดจากการอ่านหนังสือเรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ความเหมือนระหว่างอาจารย์จีระ  หงส์ลดารมณ์ และ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา  คือ มีเป้าหมายในการทำงานที่เหมือนกันและมีรูปแบบการดำเนินชีวิตด้านการทำงานที่คล้ายๆกัน   ให้ความสำคัญกับเรื่องของทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก  มีความมุ่งมั่นและมีทัศนคติแนวทางในการทำงานที่เหมือนกัน ด้านความแตกต่างระหว่างอาจารย์จีระ  หงส์ลดารมณ์ และ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา  สำหรับดิฉันคิดว่าอายุและการศึกษาเท่านั้นที่แตกต่างกันเท่านั้น       และจากการที่ได้อ่านหนังสือเรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้นั้นทำให้เข้าใจถึงความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กรอย่างมาก  เพราะองค์กรจะก้าวไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวได้นั้นต้องมีการบริหารบุคลากรที่ดี และมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กรตลอดเวลา เหมือนในหนังสือที่กล่าวไว้ว่า  คนเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร  เพราะว่าเรื่องคุณภาพของคนกับการเพิ่มผลผลิตเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์ที่สุด 2.    - ประวัติของผู้นำที่ประทับใจ   NAME:  โชค  บูลกุล             BORN:   เกิด   24  สิงหาคม  2510            EDUCATION:   ประถมศึกษาปีที่ 1- 6 โรงเรียนสาธิตเกษตรมัธยมศึกษาปีที่ 1 5 St.Joesph’s College,Sydney,Australiaมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน Worcester Academy, Massachusetts,U.S.A.ปริญญาตรี ทางด้านการจัดการฝูงโคนมจาก Vermont Technical Collegeปริญญาตรี ทางด้านวิทยาศาสตร์ สาขาสัตวศาสตร์ จาก Vermont Technical CollegeCareer Highlight: 2535 ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  สายงานธุรกิจการเกษตร  ฟาร์มโชคชัย2537-2539 รองกรรมการผู้จัดการ2539-2544 กรรมการผู้อำนวยการ2544- ปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการ  กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัยFamily:   -บิดา นายโชคชัย  บูลกุล                -มารดา นางสุจริต บูลกุล                        -น้องสาว นางอร  วัฒนวรางกูล                          -น้องชาย นายชัย  บูลกุล      Positioning:   -   เป็นทายาทคนโตของ โชคชัย บูลกุล ผู้บุกเบิกฟาร์มโชคชัย  ต้นตำนานคาวบอยเมืองไทย-   พลิกธุรกิจที่เคยติดลบให้ทำกำไร  และเป็นที่รู้จักด้วยการเปลี่ยนฟาร์มโคนมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว-   เป็นผู้บริหารฟาร์มโคนมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เนื้อที่ 20,000 ไร่ วัว 5,000 ตัว)-        บุกเบิกการส่งออกแม่พันธุโคนม  จากเดิมที่ประเทศแถบเอเชียต้องสั่งวัวเข้ามาจากประเทศออสเตรเลียปัจจุบันไทยมีข้อตกลงทวิภาคีทำ FTA กับออสเตรเลีย  เกษตรกรได้รับผลกระโดยตรงจากการผ่อนปรนเงื่อนไขภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร  ดังนั้นการส่งออกวัวไปประเทศเพื่อนบ้าน  รวมทั้งสินค้าเกี่ยวเนื่องอย่างอาหารวัว  จึงเป็นการเผื่อทางรอดให้กับฟาร์มโชคชัย            ผู้บริหารยุคใหม่ต้องเข้าใจสถานการณ์โลก  และบริษัทให้ดี  รู้จักศักยภาพตัวเองให้ดี  ต้องเข้าใจตัวเอง  และกำหนดนโยบายของบริษัทให้สมบูรณ์ทั้งแนวรับและแนวรุกให้สัมพันธ์กัน            เรื่องแนวรุกคือ  การวางแผนการตลาด  การใช้เงินลงทุนๆ เป็นต้น ส่วนแนวรับคือ การสร้างความพร้อมขององค์กรทั้งเรื่องคน การวางแผน การวางระบบต่างๆ ไม่ใช่ว่าจะบริหารเชิงรุกอย่างเดียว            นักธุรกิจหรือผู้บริหารยุคใหม่ต้องเข้าใจการทำธุรกิจ  มีจุดยืนของตัวเองว่าควรทำอย่างไรให้ธุรกิจมีความยั่งยืน  ไม่ใช่ว่าเอาแจต่ทำตามคนอื่นที่ประสพความสำเร็จ  ซึ่งอาจจะได้  แต่เป็นระยะสั้นๆ ทำให้ธุรกิจไม่มีเสถียรภาพ  ดังนั้นควรรู้จักศักยภาพตัวเองทำในสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ              การทำงานควรเป็นระบบ  ซึ่งต้องเรียนรู้จากคนรุ่นเก่า  ต้องผสมผสานกัน คือ คนรุ่นก่อนโดยเฉพาะยุคบุกเบิกว่าเขามีความโดดเด่นต่อเรื่องความอดทนอย่างไร ขณะที่คนรุ่นเก่ามีน้อยแต่ก็ดีตรงที่มีความกล้าตัดสินใจ  มีวินัยการทำงาน  มองงานอย่างเป็นระบบ  ดังนั้นควรเอาทั้งสองรุ่นมาผสมผสานกัน            นี่คือวิสัยทัศน์และวิธีคิดของโชค บูลกุล  ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีแนวความคิดที่มีภาวะผู้นำครบถ้วนและสามารถนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้ในระยะยาว                                                                 3.    - วิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเอง 
จุดอ่อน จุดแข็ง
 -        ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก-        ใจอ่อน-        ขาดความกระตือรือร้น   -        ใจเย็น-        มีความพยายามและอดทน-        ช่วยเหลือตัวเองได้ดี
  นางสาว นริศรา  ทรัพย์ชโลธรมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมป์ฟอร์ด
นางสาวปณิธาน เชื้อชาติ ID 106142013 MBA 6

เรียน ศ.ดร.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด 

 

จากการที่ได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ทำให้ดิฉันได้ทราบประวัติของท่านพารณ  อิศรเสนา ณ อยุธยา  และท่าน ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์  ในด้านการทำงานในการนำความรู้ที่มีอยู่มาบริหารองค์กรให้ไปสู้เป้าหมาย 

 

คุณพารณ  อิศรเสนา ณ อยุธยา 

  •  มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
  • มุ่งเน้นการพัฒนาคนตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาจนถึงวันที่ปลดเกษียณอายุ 
  • สนับสนุนให้โอกาสทางการศึกษาให้แก่พนักงานทุกคน
  • มีการนำ 5 ส. มาใช้ให้เกิดประโยชน์
  • ให้ความสำคัญกับคนทุกคนทั้งภายในและภายนอกองค์กร
  • ปลูกฝังให้ทุกคนรักและทำงานกันเหมือนพี่น้อง เหมือนครอบครับเดียวกัน 
  •   เป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งเก่งคน เก่งงาน เก่งเรียนรู้ เก่งคิดแล้วยังมีคุณธรรมจริยธรรม  

 

ท่าน ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ 

  • เป็นผู้รู้จักใฝ่ศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา 
  • ทำงานมุ่งเน้นด้านการพัฒนาคนเป็นหลัก
  • คิดนอกกรอบในสิ่งใหม่ ๆ ทำแล้วต้องเกิดประโยชน์ได้จริง
  • มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
  •  มีการแชร์ความรู้กับทุกคนถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และนำมาใช้ 
  •  มีความตั้งใจในการทำงาน มีความเสียสละต่อส่วนรวม 

และสิ่งที่เหมือนกันและต่างกันดังนี้

 

สิ่งที่เหมือนกัน

สิ่งที่ต่างกัน
มีเป้าหมายที่แน่นอนเหมือนกันคือเรื่องคน วัยวุฒิต่างกัน
มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล จบการศึกษาต่างกัน
มีการใฝ่เรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดและมีความคิดสร้างสรร เติมโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน

 

นางสาวปณิธาน  เชื้อชาติ ID:106142013

นริศรา ทรัพย์ชโลธร
สวัสดีค่ะอาจารย์  จีระ  หงส์ลดารมภ์  อาจารย์  ยม  นาคสุข และเพื่อนๆนักศึกษาทุกท่าน             จากที่ได้เรียนกับอาจารย์จีระในวันที่ 9-10 มีนาคมที่ผ่านมา อาจารย์ได้สอนให้ความรู้และแง่คิดที่มีประโยชน์มากๆ ซึ่งความรู้ที่อาจารย์สอนนั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน  และอาจารย์ได้ให้การบ้านไว้ดังนี้1.    - บอกถึงความแตกต่างและความเหมือนระหว่างอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์และ คุณพารณ  อิศรเสนา ณ อยุธยา จากการอ่านหนังสือเรื่องทรัพยามนุษย์พันธุ์แท้- สรุปแง่คิดจากการอ่านหนังสือเรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ความเหมือนระหว่างอาจารย์จีระ  หงส์ลดารมณ์ และ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา  คือ มีเป้าหมายในการทำงานที่เหมือนกันและมีรูปแบบการดำเนินชีวิตด้านการทำงานที่คล้ายๆกัน   ให้ความสำคัญกับเรื่องของทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก  มีความมุ่งมั่นและมีทัศนคติแนวทางในการทำงานที่เหมือนกัน ด้านความแตกต่างระหว่างอาจารย์จีระ  หงส์ลดารมณ์ และ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา  สำหรับดิฉันคิดว่าอายุและการศึกษาเท่านั้นที่แตกต่างกันเท่านั้น       และจากการที่ได้อ่านหนังสือเรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้นั้นทำให้เข้าใจถึงความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กรอย่างมาก  เพราะองค์กรจะก้าวไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวได้นั้นต้องมีการบริหารบุคลากรที่ดี และมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กรตลอดเวลา เหมือนในหนังสือที่กล่าวไว้ว่า  คนเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร  เพราะว่าเรื่องคุณภาพของคนกับการเพิ่มผลผลิตเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์ที่สุด 2.    - ประวัติของผู้นำที่ประทับใจ   NAME:  โชค  บูลกุล             BORN:   เกิด   24  สิงหาคม  2510            EDUCATION:   ประถมศึกษาปีที่ 1- 6 โรงเรียนสาธิตเกษตรมัธยมศึกษาปีที่ 1 5 St.Joesph’s College,Sydney,Australiaมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน Worcester Academy, Massachusetts,U.S.A.ปริญญาตรี ทางด้านการจัดการฝูงโคนมจาก Vermont Technical Collegeปริญญาตรี ทางด้านวิทยาศาสตร์ สาขาสัตวศาสตร์ จาก Vermont Technical CollegeCareer Highlight: 2535 ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  สายงานธุรกิจการเกษตร  ฟาร์มโชคชัย2537-2539 รองกรรมการผู้จัดการ2539-2544 กรรมการผู้อำนวยการ2544- ปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการ  กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัยFamily:   -บิดา นายโชคชัย  บูลกุล                -มารดา นางสุจริต บูลกุล                        -น้องสาว นางอร  วัฒนวรางกูล                          -น้องชาย นายชัย  บูลกุล      Positioning:   -   เป็นทายาทคนโตของ โชคชัย บูลกุล ผู้บุกเบิกฟาร์มโชคชัย  ต้นตำนานคาวบอยเมืองไทย-   พลิกธุรกิจที่เคยติดลบให้ทำกำไร  และเป็นที่รู้จักด้วยการเปลี่ยนฟาร์มโคนมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว-   เป็นผู้บริหารฟาร์มโคนมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เนื้อที่ 20,000 ไร่ วัว 5,000 ตัว)-        บุกเบิกการส่งออกแม่พันธุโคนม  จากเดิมที่ประเทศแถบเอเชียต้องสั่งวัวเข้ามาจากประเทศออสเตรเลียปัจจุบันไทยมีข้อตกลงทวิภาคีทำ FTA กับออสเตรเลีย  เกษตรกรได้รับผลกระโดยตรงจากการผ่อนปรนเงื่อนไขภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร  ดังนั้นการส่งออกวัวไปประเทศเพื่อนบ้าน  รวมทั้งสินค้าเกี่ยวเนื่องอย่างอาหารวัว  จึงเป็นการเผื่อทางรอดให้กับฟาร์มโชคชัย            ผู้บริหารยุคใหม่ต้องเข้าใจสถานการณ์โลก  และบริษัทให้ดี  รู้จักศักยภาพตัวเองให้ดี  ต้องเข้าใจตัวเอง  และกำหนดนโยบายของบริษัทให้สมบูรณ์ทั้งแนวรับและแนวรุกให้สัมพันธ์กัน            เรื่องแนวรุกคือ  การวางแผนการตลาด  การใช้เงินลงทุนๆ เป็นต้น ส่วนแนวรับคือ การสร้างความพร้อมขององค์กรทั้งเรื่องคน การวางแผน การวางระบบต่างๆ ไม่ใช่ว่าจะบริหารเชิงรุกอย่างเดียว            นักธุรกิจหรือผู้บริหารยุคใหม่ต้องเข้าใจการทำธุรกิจ  มีจุดยืนของตัวเองว่าควรทำอย่างไรให้ธุรกิจมีความยั่งยืน  ไม่ใช่ว่าเอาแจต่ทำตามคนอื่นที่ประสพความสำเร็จ  ซึ่งอาจจะได้  แต่เป็นระยะสั้นๆ ทำให้ธุรกิจไม่มีเสถียรภาพ  ดังนั้นควรรู้จักศักยภาพตัวเองทำในสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ              การทำงานควรเป็นระบบ  ซึ่งต้องเรียนรู้จากคนรุ่นเก่า  ต้องผสมผสานกัน คือ คนรุ่นก่อนโดยเฉพาะยุคบุกเบิกว่าเขามีความโดดเด่นต่อเรื่องความอดทนอย่างไร ขณะที่คนรุ่นเก่ามีน้อยแต่ก็ดีตรงที่มีความกล้าตัดสินใจ  มีวินัยการทำงาน  มองงานอย่างเป็นระบบ  ดังนั้นควรเอาทั้งสองรุ่นมาผสมผสานกัน            นี่คือวิสัยทัศน์และวิธีคิดของโชค บูลกุล  ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีแนวความคิดที่มีภาวะผู้นำครบถ้วนและสามารถนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้ในระยะยาว                                                                 3.    - วิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเอง 
จุดอ่อน จุดแข็ง
 -        ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก-        ใจอ่อน-        ขาดความกระตือรือร้น   -        ใจเย็น-        มีความพยายามและอดทน-        สามารถช่วยเหลือตนเองได้ดี
  นางสาว นริศรา  ทรัพย์ชโลธรมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมป์ฟอร์ด
นางสาวพนาวัลย์ คุ้มสุด ID:106142010

เรียน ศ.ดร.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด

จากการที่ดิฉันได้อ่านหนังสือ "ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้" ทำให้ดิฉันได้ความรู้เพิ่มเติมมากมายเกี่ยวกับ ประวัติท่าน พารณ  อิศรเสนา ณ อยุธยา ในการบริหารงานในองค์กรให้สำเร็จบรรลุตามเป้าหมาย  ดังนี้

  • ให้ความสำคัญเรื่องคน
  • มีความจงรักภักดีต่อองค์กร
  • อ่อนน้อมถ่อมตน
  • รู้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ
  • มีความอดทนสูง ไม่ชอบคำเยิ่นยอ
  • สร้างแรงจูงใจให้กันพนักงาน

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

  • มีความคิดสร้างสรรค์
  • ชอบศึกษาสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา
  • มีทุนแห่งความสุข
  • เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ชอบมองบุคคลอื่นมากกว่ามองที่ตัวเอง
  • เป็นนักวิชาการที่ติดดิน มีงานค้นคว้าวิจัยอย่างลึกซึ้ง
  • มีโอกาสได้ศึกษาในต่างประเทศ
  • คิดนอกกรอบอยู่เสมอ

  ข้อแตกต่างระหว่างอาจารย์จีระและคุณพารณ

  • มีอายุที่ต่างกัน
  • จบการศึกษาคนละสาขาวิชา

อาจารย์จีระและคุณพารณมีส่วนที่เหมือนกัน

  • มีเป้าหมายที่เหมือนกันเรื่องคน
  • วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
  • มีความเชื่อมันในตัวบุคคล
  • สร้างการเรียนรู้อยู่เสมอ

นางสาวพนาวัลย์  คุ้มสุด  ID:106142010

นายเตชสิทธิ์ หอมฟุ้ง

        

เรียน ดร.จีระ , อ.ยม และเพื่อนๆ MBA6และ 7 ทุกๆ        ท่านจากการที่ได้เข้าเรียนในวันศุกร์และเสาร์ที่ผ่านมาซึ่งได้รับมอบหมายงานให้ศึกษากระผมขอตอบคำถามเป็นข้อๆดังนี้งานที่ได้รับมอบหมายประการแรกคือตอนที่ 1หาจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง จากการที่ผมได้พิจารณาตัวเองพบว่าจุดแข็ง1. มีความคิดสร้างสรรค์2. มีความรับผิดชอบ3. เป็นตัวของตัวเอง4. กล้าแสดงออก5. ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น6. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี7. มองโลกในแง่ดีจุดอ่อน1.ไม่ชอบอ่านหนังสือ2. เบื่อวิชาท่องจำ3. ขี้เกียจในเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบ4. ขาดประสบการณ์5. มองโลกในแง่ดีเกินไปจนบางครั้งไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน  ตอนที่ 2 คำถามที่ 1 อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้วได้อะไรบ้างและเกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำอย่างไร         ในโลกยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง โดยเฉพาะเทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศ ซึ่งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย จนถือกันว่าเป็นยุค "สังคมฐานความรู้" [Knowledge Base] ชี้ให้เห็นว่าโลกยุคใหม่ที่คนทั้งโลกติดต่อทำธุรกรรมต่างๆ ร่วมกันได้ภายในเครือข่ายไอที โดยเวลาและสถานที่ไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป ทำให้ปัจจัยด้าน "คน" กับ "ปัญญาความรู้" และทักษะความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ ถูกชูขึ้นเป็นหัวใจหลักของการสร้างประสิทธิภาพของการทำงาน และขับเคลื่อนองค์กรให้รุกเติบโตอย่างมั่นคงสภาพโลกาภิวัตน์ยังสะท้อนว่า "การจัดการทรัพยากรมนุษย์" ถึงเวลาต้องปรับตัว และต้องคิด วิเคราะห์ และวางแผน โดยคาดคะเนถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เท่าทัน และตรงเงื่อนไขใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหน้าที่หลักของการบริหารปัจจัยด้าน "คน" ยังคงเหมือนเดิม คือ ต้องจัดการสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับคน ทั้งการสรรหาคน จูงใจ รักษาคน แต่ที่ต้องดูเพิ่มมากขึ้นคือต้องพิถีพิถันเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูพนักงานให้อยู่ได้ รวมทั้งมุ่งเน้นพัฒนาความรู้ให้กับพนักงานมากขึ้นด้วยเหตุผลของการพัฒนาธุรกิจที่ก้าวข้ามประเทศทำให้ระดับการครองชีพและความเป็นอยู่ถูกกระทบสูง โดยเฉพาะ ความมั่นคงในการทำงานอันเนื่องจากการขาดความรู้ซึ่งกลายเป็นปัญหาของพนักงานโดยตรงต้องมีการพัฒนาความรู้ให้กับนักบริหารและผู้ทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ [HR Professionals] ให้มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเติบโตในสายงาน หรือเติบโตได้ในส่วนอื่นๆ ขององค์กรด้วยความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอิทธิพลด้านไอทีทำให้โครงสร้างองค์กรยืดหยุ่น และพึ่งพามากขึ้นในเรื่อง "คนกับระบบการทำงานบนไอที" ดังนั้นการสร้างความสามารถที่มี "คน" เป็นศูนย์กลางจึงมีความสำคัญมากขึ้นตอนที่ 3 ศึกษาประวัตบุคคลที่สนใจ        จากการได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณตัน ภาสกรนที ทำให้ได้รับข้อมูลความรู้หลายๆอย่างรวมทั้งการดำเนินชีวิต การฝ่าฟันอุปสรรค วิธีการคิด การเริ่มต้นในธุรกิจที่หลายๆคนมองข้าม จึงอยากจะนำบทสัมภาษณ์นี้ขึ้นมาแทนประวัติของคุณตัน ภาสกรนที ซึ่งคาดว่าน่าจะได้เป็นแนวทางและเข้ากับภาวะผู้นำที่ทุกท่านได้ศึกษากันอยู่ ณ ขณะนี้เป็นอย่างดีตัน ภาสกรนที หรือที่บรรดาสื่อมวลชนจะถนัดเขียนถึงเขาว่า ตัน โออิชิ
        เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน เริ่มต้นสร้างทุกอย่างจากจุดที่เรียกว่า...ศูนย์ ถึงแม้เส้นทางเดินบนถนนสายธุรกิจของเขาในวันนี้อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ระดับที่เรียกว่าเป็นตำนาน
        หากแต่ว่าเขาเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานขายของ แบกของ กินเงินเดือนไม่ถึงพันบาท สู่การบริหารงานธุรกิจระดับพันล้านในเครือโออิชิกรุ๊ป ไม่ว่าจะเป็น สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน, โออิชิ, โออิชิ กรีนที, ฯลฯ โดยกลยุทธ์ทางธุรกิจของเขาไม่ได้มีปริญญาด้านการตลาดจากสถาบันใดมาการันตี แต่เขาเป็นนักธุรกิจที่เป็นทั้งนักคิด นักถาม นักวางแผน นักการตลาด ที่ประสบความสำเร็จในถนนสายธุรกิจได้อย่างไม่เป็นรองใคร
        จากพนักงานกินเงินเดือนไม่กี่ร้อย จนมีอาณาจักรภายใต้แบรนด์โออิชิ สู่ความเป็นมหาชน ตัน ภาสกรนที บอกว่า...จุดเริ่มต้นของเขา คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้

ที่ผ่านมาเพิ่งมีกรณีข่าวเกี่ยวกับเครื่องดื่มโออิชิ กรีนทีที่ลูกค้าดื่มแล้วมีปัญหา
        เขาสรุปออกมาว่าชาเขียวที่มีปัญหาที่ลูกค้าซื้อไปเป็นกรดเกลือ ซึ่งเป็นกรดเกลือที่ในวงการอุตสาหกรรมอาหารไม่มีใครใช้ กระทรวงสาธารณสุขและ อย. เขาเข้าไป ตรวจแล้วไม่ได้อยู่ที่การผลิต แต่ทั้งหมดนี้เราคงไม่กล่าวโทษใคร เพราะเราไม่มีหลักฐาน และมันต้องใจเขาใจเรา
มีคำพูดว่าใน วิกฤตบางทีก็มี โอกาส
        ครับ ผมมองในแง่ดีว่าการมีวิกฤตทำให้เราได้เห็นว่าเรามีลูกค้าเยอะแค่ไหน มีคนเข้ามาให้กำลังใจเยอะ ผมรับโทรศัพท์แทบจะไม่ไหว รับทั้งต่างประเทศ ต่างจังหวัด มีเจ้าของสินค้าที่เคยเจอวิกฤตแบบนี้โทร.มาให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ เขาเคยเจอเหมือนกันนะเมื่อปีนี้ ๆ เขาโทร.มาว่า เคยเจอปัญหาคล้าย ๆ กัน แต่ผมหนักกว่าตรงที่สื่อสมัยนี้เร็ว หนังสือพิมพ์ลงแค่หนึ่งฉบับ ทีวี 3,5,7,9 อ่านครบทุกช่องเลย แล้วลงติดต่อกัน 3-4 วัน ถึงแม้อ่านหัวข่าวแล้วปรากฏว่าข้างในไม่มีอะไร บางทีอ่านแค่หัวข่าว ข้างในข่าวไม่ได้อ่าน แต่ทุกคนตกใจไปหมดแล้ว

 


กว่าที่คุณตันจะมาถึงจุดที่มีธุรกิจเป็นพันล้านแบบนี้ ชีวิตเริ่มจากศูนย์
        พอเรียนจบมศ.3 อายุ 17 ปี ผมตัดสินใจออกมาทำงานเลย ผมเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง และมีจิตใจอยากเป็นนักธุรกิจ ตอนเด็ก ๆ เห็นคนทำงานแล้วอยากไปทำ เวลาปิดเทอมผมจะไปทำงานช่วยเสิร์ฟบะหมี่ ไปช่วยเขาลวกบะหมี่ ไปขายเฉาก๊วย เลี้ยงไก่ยังเคยเลย มีญาติของเพื่อนเขาเลี้ยงไก่ เราก็ขอไปดูไปช่วย ชอบทำงาน มีความสุข ในการทำงาน ไม่เคยคิดว่าเหนื่อย ทำได้เรื่อย ๆ
ในวัย 17 ปี ก็ค่อนข้างคิดต่างจากวัยรุ่นทั่วไปแล้ว ซึ่งวัยเท่านี้ส่วนใหญ่กำลังเที่ยวเล่นเลยนะคะ
        ผมเป็นคนรูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย เรียนไม่เก่ง ถ้าผมยังทำตัวเที่ยวเล่น วันนี้ผมก็แย่สิ สิ่งเดียวที่ผมมีคือต้องตั้งใจทำงานให้ดีกว่าคนอื่น...ตอนผมอายุ 17 ปี ผมรู้สึกว่าสู้เพื่อนไม่ได้ แพ้เพื่อนเด็ดขาดเลย ผมบอกเพื่อนว่า ผมไม่เรียนแล้ว ผมจะออกไปทำธุรกิจ อีก 10 ปีข้างหน้า ผมจะมาพบเพื่อน ๆ ใหม่ 10 ปียังไม่สาย เหมือนหนังจีนไหม ดูหนังมากไปหน่อย (ยิ้ม) แต่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พออีก 10 ปี ผมกลับไปหาเพื่อน ๆ ที่สนิทกัน เพื่อนที่ผมรู้สึกว่าตอนนั้นเราสู้เขาไม่ได้ เราเป็นบ๊วยอยู่คนเดียวกลับไปก็ยังสู้เขาไม่ได้อยู่นะ (หัวเราะ) บางคนเขามีธุรกิจใหญ่กว่าผม แต่ว่าผมดีกว่าเดิมเยอะ วันที่ผมกลับไป ผมไม่ใช่ที่หนึ่งแต่ผมไม่ได้บ๊วยแล้ว ผมมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่อย่างน้อยถ้าวันนั้นผมไม่สู้ ผมไม่มีวันนี้
การที่ต้องทำมากกว่าคนอื่น ทำให้คุณตันผ่านการทำงานมาหลายอย่าง
        การที่ไม่มีความรู้ทำให้ผมต้องทำทุกอย่าง ช่วงแรก ๆ ผมใช้แรงงานเป็นหลัก เป็นพนักงานแบกของ ส่งของ ผมไม่ได้ทำเพื่อเงินอย่างเดียว ทำเพราะถือว่าทำมากได้ประสบการณ์มาก
        ผมเริ่มต้นการทำงานด้วยเงินเดือน 700 บาท ทำงานส่งของ แบกของมาเรื่อย ๆ จนมีโอกาสได้เป็นพนักงานขาย...พอผมออกจากการเป็นพนักงาน ธุรกิจแรกที่ผมเริ่มเอง คือแผงขายหนังสือพิมพ์ ช่วงแรก ๆ เหนื่อย เพราะเราแลกด้วยเหงื่อ เราไม่มีทุน พอออกมาเปิดแผงขายหนังสือ ผมนำเงินไปซื้อหนังสือรอบแรก หมดตัวตั้งแต่ 5 หมื่นแรกเลย เพราะฝนตกหนังสือเปียกน้ำทั้งหมด เจ๊งตั้งแต่วันที่ยังไม่เปิดร้าน แต่ผมไม่ยอมแพ้ เอาใหม่ ผมอยู่ได้ด้วยการทำงานมากกว่าคนอื่น ร้านขายหนังสือซ้ายขวาขายหนังสือน้อยกว่าผมเยอะ เขาขาย 8 ชั่วโมง ผมขาย 18 ชั่วโมง เขาตื่น 7 โมงเช้า แต่ตี 5 ผมตื่นมาขายแล้ว คุณปิด 2 ทุ่ม ผมปิดตี 2 ปิดแค่ 3 ชั่วโมง ลูกค้ามาผมก็ขาย ลูกค้าไม่มาผมเดินไปหาลูกค้า...หนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จผมต้องทำงานให้มากกว่าคนอื่น เพราะความสำเร็จไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้าแล้วเราออกไปเก็บได้
เพราะทำมากกว่าคนอื่น ทำให้เป็นเจ้าของธุรกิจได้เร็ว
        ผมเขยิบมาเปิดร้านกิ๊ฟช็อป ร้านกาแฟ ร้านอาหาร แล้วก็มาทำธุรกิจเรียลเอสเตท...กำลังจะมีเงิน 100-200 ล้านบาท พอรัฐบาลประกาศค่าเงินบาทลอยตัว กลายเป็นผมมีหนี้ร้อยกว่าล้าน ตายตอนปี 2539 แต่ผมพยายามแก้ปัญหา ผมมีทั้งหนี้ธนาคารและหนี้นอกระบบ ค่อย ๆ แก้วิกฤต เจรจาประนอมหนี้ ค่อย ๆ ใช้หนี้ไป ผมเริ่มต้นใหม่ ผมว่าทุก ๆ ช่วงของชีวิตเหมือนฟ้าทดสอบเรา หรือถ้าพูดอีกแบบชีวิตมันมีวิกฤตอยู่ ว่าแต่จะเจอตอนไหน แล้วคุณจะยอมแพ้หรือเปล่า

ตอนเปิดโออิชิสาขาแรกคุณตันก็ยังทำงานอยู่เบื้องหลัง
        ตอนเปิดโออิชิวันแรกผมซ่อมก๊อกน้ำอยู่ในห้องน้ำ จะเห็นว่า 2-3 ปีแรกผมไม่เคยออกข่าว เป็นคนที่ดูแลงานเบื้องหลังมากกว่า คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา เขาเล่าให้ฟังว่า เจอผมครั้งแรกเห็นผมใส่ขาสั้นเช็ดโต๊ะอยู่ในร้าน ตอนนี้ไม่มี เวลาไปทำแล้ว ถึงไปทำก็ไม่มีประโยชน์เพราะมีคนทำอยู่แล้ว แต่ผมต้องพร้อมที่จะทำได้ เราบอกว่าห้องน้ำเหม็นใช่ไหม เราชี้ให้คนอื่นทำ ถ้าเรายังรู้สึกรังเกียจ เราจะไปเรียกให้คนอื่นทำไม่ได้หรอก ถ้าเรากล้าที่จะล้างห้องน้ำ ไม่มีใครไม่กล้าไม่ทำหรอก สมัยก่อนผมจะทำบ่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องทำ แต่ผมพร้อมจะทำ ผมทำให้ได้

ทุกวันนี้ยังเสียเหงื่อกับการทำงานเหมือนเมื่อ 20 ปี ที่แล้วไหม
ต่างกันครับ สมัยก่อนผมทำเอง มีลูกน้องไม่กี่คนแต่เดี๋ยวนี้เป็นมหาชน มีการบริหารที่เป็นระบบ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน ผมยังต้องทำงานอยู่ แต่ว่าหน้าที่บางอย่างไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวนี้ทำงานเป็นทีมมากขึ้น ทำงานแบบมืออาชีพมากขึ้น...ถ้าเป็นเมื่อก่อนยังเป็นบริษัทเล็ก ๆ ถ้าทำแบบนี้ไม่ดี เพราะไม่คล่องตัวหรือถ้าเป็นบริษัทใหญ่แล้วผมยังทำแบบเดิมที่เคยทำ ก็ไม่ดี เพราะเรารู้คนเดียว และไม่มีแผนงานรองรับ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่ตอนนี้งานจะถูกวางแผนทั้งปี เงินจะเข้าบริษัทเท่าไหร่ แล้วเราจะใช้เท่าไหร่ จะมีกำไรเท่าไหร่ มีตัววัดผลทุก 1 เดือน ทุก 3 เดือน ทำตามแผนงาน ถ้าไม่ทำตามแผนก็แก้

ตัน ภาสกรนที คนเก่ากับคนปัจจุบัน ณ วันนี้ เปลี่ยน ไปมาก-น้อยแค่ไหน
        ตัวผมยังเหมือนเดิม แต่งานไม่เหมือนเดิม ถามว่าผมอยากเป็นคนเดิมไหม อยากครับ แต่มันเป็นไม่ได้แล้ว ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไหม คนเราจะมีชีวิตเหมือนเดิม ๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ชีวิตผมเปลี่ยนครับ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็นทุกอย่าง เพราะบางอย่างผมก็ไม่ได้อยากเป็น ผมไม่อยากเป็นคนดัง สมัยก่อนใส่ขาสั้น เดี๋ยวนี้ใส่ไม่ได้แล้ว ลูกน้องบอกว่าพี่ตันไม่ได้แล้วนะ เสื้อผ้าหยิบตัวไหนมาเถอะ มีแต่ลูกน้องซื้อให้ทั้งนั้น ผมชอบกินอาหารที่ขายริมถนน เดี๋ยวนี้พอไปกิน ลูกน้องก็จะบอกว่า... พี่ตัน อันตรายไปนั่งกินข้างถนนคนเดียว เดี๋ยวโดนเขาอุ้มหรอก หรือผมไปลาว ไปจัดงานอีเวนท์ จะไปเดินงานวัด แต่ลูกน้องไม่ให้ไปเดิน ก็ผมอยากไปน่ะ ผมบอกผมจะไป ปรากฏไปเรียกตำรวจมาเฝ้าผมเลยนะซ้ายขวา โอ๊ย...อะไรของมันวะ ในตัวไม่ได้มีอะไร กระเป๋าก็ไม่มี มีนาฬิกาเรือนเดียว คือเป็นคนเดิมไม่ได้ คนรอบข้างไม่อยากให้เป็น เขาคิดมากกัน (ยิ้ม) เพราะเรามีความรับผิดชอบเยอะ

มีคำแนะนำอย่างไร กับประโยคที่บอกว่า...จุดเริ่มต้นของคุณตัน คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้
        ผมเชื่อว่าคนเรามีโอกาสเหมือนกัน เพียงแต่มันจะมาหาเรา เมื่อไหร่ บางคนโชคดีตั้งแต่ปีแรก บางคนทำงานแป๊บเดียวก็ดี บางคนทำงาน 5 ปียังไม่ดี บางคนขยันและประหยัดมา 10 ปียังไม่เห็นผลเลย แต่มันอาจจะไปเห็นผลปีที่ 11 บางคนทำ 20 ปีจึงจะเห็นผล โอกาสจะมาหาเราเมื่อไหร่ ไม่รู้ แต่ถ้าวันหนึ่งโอกาสมาแล้วเราไม่พร้อม เราก็พลาดโอกาส หรือวันนี้อะไรก็ดี แต่คุณทำตัวเหลวไหล มันก็สายไปแล้ว ทุกคนต้องพร้อม ต้องมีความหวัง ความพยายามต้องใหญ่ ความทุ่มเทต้องเยอะ คิดแล้วต้องลงมือทำ มีคนทำแต่ไม่คิด อันนี้เจ๊งแหง ๆ หรือคิดแล้วไม่ได้ทำ แม้แต่คิดว่าจะประสบความสำเร็จมันยังไม่มีเลย ต้องคิดดีแล้วลงมือทำทันที ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน มีขึ้นมีลง แต่ได้ดีแล้วอย่าลืมตัว เวลาเจอปัญหาอย่าท้อแท้ ผมว่าทุกคนทำได้
        ผมเชื่อว่าไม่ว่าฟ้าจะผ่า ฟ้าจะร้อง สักวันหนึ่ง คุณก็ได้ดี เพราะหลาย ๆ ธุรกิจที่มีโอกาส ผมได้มาเพราะตรงนี้ ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดีนะ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เป็นคนชั่ว หลายธุรกิจที่เขาให้โอกาสผม เขาเห็นว่าผมเป็นคนขยัน เป็นคนไม่เที่ยว ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ก็เลยสนับสนุนผม ผมอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ว่าถึงคุณจะขยันมาก คุณจะเก่งมาก คุณจะพยายามมาก ที่สำคัญอย่าลืมเป็นคนดีด้วย เพราะคนดีวันหนึ่งจะมีความหมาย คนเราทุกคนถ้าคุณถึงจุดจุดหนึ่งคุณอยากจะทำอะไรดี ๆ ถามว่าแล้วคุณจะทำให้กับใคร ก็ต้องอยากทำให้กับคนดี ๆ ถามผมว่าผมอยากจะช่วยเหลือใคร ผมก็ต้องอยากช่วยเหลือ คนดี ๆ ใครจะไปอยากช่วยเหลือคนที่มันไม่ดี
        เราย้อนกลับไปเปิดหนังสือ ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน ที่ถือไปให้เจ้าของเรื่องราวได้เซ็นชื่อให้ เหนือลายเซ็นของเขา ข้อความ นั้นเขียนไว้ว่า...ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้

อย่างที่เขาเอ่ยกับเราว่า...แท้จริงแล้วทุกคนมีต้นทุน อยู่ในตัว ตัน ภาสกรนที จึงเป็นอีกหนึ่งชีวิตของคนสู้งาน ที่ยืนยันว่าความสำเร็จไม่ได้หล่นจากฟ้า แต่มาจากสมอง สองมือ และหนึ่งใจที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของตัวเราเอง...ที่เกิดกับใครก็ได้

นายเตชสิทธิ์   หอมฟุ้งรหัส 106142005MBA 6 มหาวิทยาลัยนานาชาติสแตมป์ฟอร์ด
ศรีสุดา วรรณสมบูรณ์ ID 106342002
สวัสดีค่ะ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์   .ยม นาคสุข ที่เคารพ  และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ทุกท่าน     จากการที่ได้เรียนวิชาภาวะผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่ 3 (วันที่ 9 - 10 มีนาคม)  ดร.จีระได้สอนเกี่ยวกับเรื่องภาวะผู้นำและการเปลี่ยนแปลงในองค์กร และได้ให้ทำงานลง Blog ดังต่อไปนี้   คำถามที่ 1  อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้วได้อะไรบ้างและเกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำอย่างไร            หลังจากได้ศึกษาบทสนทนาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของนักคิดและนักปฏิบัติแห่งยุคทั้งสองท่าน คือ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ คุณจีระ หงส์ลดารมภ์ แล้วนั้น ขณะที่ดิฉันอ่านนั้น ก็คิดและนึกภาพตามไปด้วย ว่าตลอดเวลานั้นท่านทั้งสองได้ทำประโยชน์ ให้กับสังคมและประเทศชาติอย่างไรบ้าง ดิฉันคิดว่าท่านทั้งสองเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่คนอื่นไม่ค่อยเห็นความสำคัญสักเท่าไหร่ และที่ท่านทั้งสองมีเหมือนกันก็คือ ท่านยังเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล  มีความอดทน  มีคุณธรรม มีความนอบน้อมถ่อมตน ให้โอกาสคน ที่สำคัญท่านทั้งสองเป็นผู้ใฝ่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และยังเล็งเห็นว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะเป็นตัวขับเคลื่อน ให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จ      แม้ว่าท่านทั้งสองจะต่างกำเนิดมาในชนชั้นปกครองของสังคมเหมือนกัน  แต่ท่านก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของชนชั้นธรรมดา หรือ ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา    ทั้งยังเห็นความสำคัญของการทำงานเป็นทีมเวิร์ค ให้การเอาใจใส่กับคนทุกคนเท่าเทียมกัน  ไม่ถือตัวว่าเป็นใคร สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้แบบติดดิน พร้อมทั้งให้โอกาสคนทุกคนเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งทางด้านความรู้ความสามารถและให้เป็นที่ยอมรับขององค์กร สังคม และในระดับประเทศ        ถึงท่านทั้งสองจะมีอุดมการณ์ และวิสัยทัศน์ เหมือนกันอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่ดิฉันเห็นว่า ท่านทั้งสองอาจมีโอกาสและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลสำเร็จนั้นอาจมีข้อแตกต่างกันก็คือ 1. ท่านพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา  ท่านไม่ได้มีความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับทางด้านทรัพยากรมนุษย์ เลย แต่กลับกันท่านเป็นนักวิศวกร ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเครื่องกล แต่ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ที่เห็นว่าท่านพารณ สามารถทำงานทางด้านทรัพยากรมนุษย์ได้  และท่านก็ทำได้ดีจนเป็นที่ยอมรับขององค์กร ตลอดจนถึงในวงการธุรกิจ ท่านก็ได้รับการยอมรับ โดยท่านลงไปสัมผัสคลุกคลีกับพนักงานเอง  จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่สร้างบรรยากาศความร่มเย็นให้กับองค์กรและท่านได้พัฒนาบริษัทในเครือให้เจริญก้าวหน้า จนเกษียณอายุงาน อาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคทองของการพัฒนาบุคลากร    เลยก็ว่าได้ที่มีผู้บริหารอย่าง คุณพารณ2. ท่านจีระ หงส์ลดารมภ์ ท่านเรียนจบการศึกษาทางด้านเศรษฐศาสตร์และทางด้านโยบายของรัฐ ซึ่งถ้าถามว่าเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยตรงไหม อาจกล่าวได้ว่าไม่เกี่ยวกันโดยตรง แต่อาจจะตรงก็ตรงที่ท่านจีระ ท่านได้เคยทำวิทยานิพนธ์ทางด้านประชากร เลยมีผู้ใหญ่เล็งเห็นว่าท่านจะทำหน้าที่ได้ดีจึงเสนอตำแหน่งที่ท้าทายให้กับท่าน ซึ่งท่านก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง เพราะท่านได้ทุ่มเท แรงกาย แรงใจเต็มที่เพื่อให้สถาบันเกิดขึ้นและสามารถทำประโยชน์ให้กับองค์กร และประเทศชาติ  และท่านได้กล้าที่จะเกษียณตัวเองเพื่อมุ่งทำงานในสิ่งที่ตนเองตั้งใจ และทุ่มเทเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ใช้แรงงานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย  และที่สำคัญท่านเป็นคนไม่หยุดนิ่ง แสวงหาสิ่งที่ทำให้เกิดช่องว่างในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน        ภาวะผู้นำที่ท่านพารณ และท่านจีระ มีให้กับองค์กร สังคม และประเทศชาตินั้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้กับงาน เพื่อนร่วมงาน ลูกค้าหรือผู้ที่เกี่ยวข้ององค์กร สังคม  และประเทศชาติได้คือ1. ให้โอกาสทุกๆ คนเท่าเทียมกัน และให้อภัย 2. ควรพัฒนาตนเองโดยนำความรู้ความสามารถที่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อส่วนรวม3. ควรสร้างบรรยากาศในที่ทำงาน หรือในองค์กรให้เกิดความอบอุ่น ร่มเย็น เพื่อให้ทุกคนในองค์กรมีความสุขที่จะอยู่ร่วมกันเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน4. รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ๆ แม้ว่าคน ๆนั้นจะอยู่ใต้บังคับบัญชา เพราะคนที่เป็นหัวหน้างานหรือเป็นผู้นำนั้นจะต้องคอยดูผู้ที่อยู่ข้างล่างเสมอว่า ยังมีความสุขในหน้าที่และมีปัญหาอะไรเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขให้เกิดแนวทางการปฏิบัติงานในทางเดียวกัน      คำถามที่ 2  เลือกผู้นำมา 1 คน แล้วให้เขียนประวัติและวิเคราะห์     นายชวน หลีกภัยเกิดวันที่ 28 กรกฎาคม 2481 ต.ท้ายพรุ อ.เมือง จ.ตรัง
ประวัติการศึกษา
ประถมศึกษา
โรงเรียนวัดควนวิเศษ
มัธยมศึกษาโรงเรียนมัธยมวัดควนวิเศษ และโรงเรียนตรังวิทยา
เตรียมอุดมศึกษา
โรงเรียนศิลปศึกษา แผนกจิตรกรรม และปฏิมากรรม

อุดมศึกษา
นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.
2505
เนติบัณฑิตไทย
สำนักอบรมศึกษาทางกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา สมัย 17
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ทางรัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2528
มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2530
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ทางกฎหมาย
มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ พ.ศ. 2536
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาจิตรกรรม
มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2537
นิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล พ.ศ. 2541
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
มหาวิทยาลัย San Marcos สาธารณรัฐเปรู พ.ศ. 2542 ตำแหน่งหน้าที่การงาน (ด้านการเมืองและอื่น ๆ)
ทนายความ

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยแรก) พ.ศ.
2512
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่สอง) พ.ศ.
2518
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่สาม) พ.ศ.
2519
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่สี่) พ.ศ.
2522
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่ห้า) พ.ศ.
2526
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่หก) พ.ศ.
2529
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่เจ็ด) พ.ศ.
2531
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่แปด) พ.ศ. 2535 (22 มี.ค.2535)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่เก้า) พ.ศ. 2535 (13 ก.ย.2535)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่สิบ) พ.ศ. 2538 (2 ก.ค.
2538)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่สิบเอ็ด) พ.ศ. 2539 (17 พ.ย.
2539)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมัยที่สิบสอง) พ.ศ. 2544 (6 ม.ค.
2544)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ศ.
2518
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.
2519
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ศ.
2519
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ศ.
2523
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ.
2524
รัฐมนตรว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2525-2526
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2526-2529
ประธานสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.
2529-2531
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.
2531-2532
รองนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2535 - 26 ส.ค.
2533
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2533 (ส.ค.-ธ.ค.
2533)
นายกรัฐมนตรี พ.ศ.2535 (23 ก.ย.2535 - 20 ก.ค.
2538)
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2538 (4 ส.ค.
2538)
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539 (21 ธ.ค.
2539)
นายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2540 (9 พ.ย.2540 - 18 ก.พ.
2544)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2540 (14 พ.ย.2540-18 ก.พ
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2544 (11 มี.ค.2544)
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (26 ม.ค.2534 - 4 พ.ค.
2546)
ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ.2546 - ปัจจุบัน)
 ศาสตราจารย์พันเอกพิเศษหญิง มาลี ภู่เรือหงษ์ ครูผู้หักเหเส้นทางชีวิตของนายชวน ได้กล่าวว่า "…นายกฯ ชวน เป็นคนเก่งมากๆ ในวิชาสามัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ สอบทีไรได้คะแนนสูงสุดทุกที มีความกระฉับกระเฉง เวลาครูสอนจะตั้งใจเรียนมาก และมีความจำเป็นเลิศ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีอารมณ์ทางศิลปะด้วย เวลาที่จะพูดกับครูอาจารย์ จะพูดด้วยความเคารพ จะออกความเห็นอะไร ก็พูดด้วยความเรียบร้อย"      นายชวนไต่เต้าขึ้นมาจากสมาชิกธรรมดาๆ คนหนึ่ง ใช้เวลาพิสูจน์ความเชื่อมั่นจากเพื่อนสมาชิกบนพื้นฐานของการทำงานหนัก แม้จะไม่มีเงินทุน และอำนาจอิทธิพลอื่นใดหนุนหลัง ปฏิเสธที่จะเป็นหัวหน้าพรรคด้วยการล้มล้างหัวหน้าพรรคคนเก่า ในที่สุดนายชวนซึ่งเป็น ส.ส. จากต่างจังหวัดคนแรกก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2534 ซึ่งใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองถึง 22 ปีโดยไม่มีทางลัด     พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย ได้จัดตั้งรัฐบาล เมื่อปี 2535 - 2538 นับเป็นรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีมากจากการเลือกตั้งที่อยู่ได้นานที่สุด และกลับไปเป็นฝ่ายค้านระหว่างปี 2538 -2540 แล้วหวนกลับมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2540 ด้วยภารกิจคือ นำเศรษฐกิจ สังคมไทย ฟันฝ่าวิกฤติที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์และการสานต่อการปฏิรูปทางการเมือง ภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ประกาศใช้ในเดือนตุลาคม 2540      สิ่งที่ทำให้ดิฉันชื่นชมและรู้สึกว่า คุณชวน หลีกภัย ท่านเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง เนื่องจากคุณชวน มีความสุภาพ โอบอ้อมอารี ซื่อสัตย์ และเป็นคนที่พอใจในสิ่งที่มี เสมอต้นเสมอปลายกับประชาชน และแม้ท่านจะไม่มีบทบาทในการเมืองเหมือนแต่ก่อนแต่ท่านก็ยังคงทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง เมื่อท่านมีโอกาส       คำถามที่ 3  ให้หาจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง อย่างละ 3 ข้อ จุดแข็ง 
  1. มีความคิดสร้างสรรค์ดี
  2. มี่ความตั้งใจและพยายาม
  3. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เอาเปรียบคนอื่น
 จุดอ่อน 1.     เป็นคนเบื่อง่าย2.     เก็บอารมณ์ไม่อยู่เมื่อเกิดความรู้สึกต่าง ๆ3.     สมาธิสั้น  น.ส.ศรีสุดา  วรรณสมบูรณ์ มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด หัวหิน        
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระนามเดิม     พระองค์ดำ
พระบรมชนกนาถ   พระมหาธรรมราชา
สถานที่พระราชสมภพ  เมืองพิษณุโลก
วันพระราชสมภพ  พ.ศ. ๒๐๙๘
วีรกรรมสำคัญ   ช่วยให้ประเทศไทยพ้นจากการปกครองของข้าศึก
กอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาได้เป็นผลสำเร็จ

     พระราชประวัติโดยย่อ

        "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ทรงเป็นพระโอรสใน "สมเด็จพระมหาธรรมราชา" (สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์) กับ "พระวิสุทธิกษัตริย์"พระราชบิดาสืบเชื้อสายราชสกุลมาจากราชวงศ์"พระร่วง"แห่งกรุงสุโขทัยส่วนพระราชมารดาเป็นพระธิดา  ใน"สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ"กับ "สมเด็จพระศรีสุริโยทัย" (วีรกษัตริย์ที่สิ้นประชนม์บนคอช้าง  เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๑ ) ราชวงศ์ "สุพรรณภูมิ"ทรงพระราชสมภพเมื่อปีเถะพ.ศ. ๒๐๙๘  ณ  พระราชวังสนามจันทร์เมืองพิษณุโลก  ขณะทรงพระเยาว์  มีพระนามสามัญว่า  "พระองค์ดำ" ทรงมีพระพี่นาง  ๑  องค์พระนามว่า  "พระสุพรรณเทวี" (สุวรรณกัลยานี) และพระอนุชา  ๑  องค์  พระนามว่า  "พระเอกาทศรถ" (พระองค์ขาว)  เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสด็จสวรรคตใน  พ.ศ. ๒๑๑๑  พระราชโอรส  ก็เสด็จขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า  "พระมหินทราธิราช"  บ้านเมืองในราชการนี้เกิดศึกสงครามมากมาย  เพราะพระเจ้าหงสาวดี (บุเรงนอง)  ต้องการยึดกรุงศรีอยุธยาเป็นประเทศราชของพม่าให้ได้และประสบผลสำเร็จ  เมื่อพระมหาธรรมราชาพระราชบุตรเขยซึ่งครองหัวเมือฝ่ายเหนือ  คือ  เมืองพิษณุโลกเอาใจออกห่างไปฝักใฝ่กับพม่า  พระเจ้าหงสาวดี  จึงถือโอกาสยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา  และให้พระยาจักรี  (เชลยศึก)แสร้งทำอุบายหนีจากพม่ามาลอบเปิดประตูเมืองรับกองทัพพม่าเข้าเมือง   กรุงศรีอยุธยาถูกโจมตีทุกด้านจนต้องเสียเอกราชให้แก่พม่าเมื่อวันอาทิตย์  เดือน ๙ แรม ๑๑ ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๑๑๒

ทรงทำพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทก       "สมเด็จพระนเรศวร"  ทรงเจริญพระชันษาในพม่าตั้งแต่พระชนมายุได้ ๙ พรรษาเนื่องจาก พระเจ้าบุเรงนอง ต้องการนำเอาพระองค์เป็นตัวประกัน  มิให้พระมหาธรรมราชาคิดกระด้างกระเดื่องจนพระชนมายุได้  ๑๕ พรรษา  ก็ได้กลับมาเป็นพระมหาอุปราชปกครองเมืองพิษณุโลก  "สมเด็จพระนเรศวร"ทรงมีพระทัยกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และเฉลียวฉลาดตั้งแต่ทรงพระเยาว์ดังได้แสดงให้ปรากฏในการตีหัวเมืองพม่าที่แข็งเมืองต่อหงสาวดี  ต่อมาได้ทรงรวบรวมคนไทยที่มีความสามารถและมีฝีมือมาฝึก  จนมีความเชี่ยวชาญทางยุทธวิธีการรบทั้งแบบไทยและแบบพม่าพระองค์ได้ทรงเหนื่อยยากตรากตรำพระวรกาย   เพื่อกอบกู้เอกราชที่เราต้องเสียให้แก่พม่ากลับคืนมา  ทรงพระวิริยะอุตสาหะในการสร้างความมั่นคงให้แก่ชาติบ้านเมืองในปี      พ.ศ. ๒๑๒๗   "สมเด็จพระนเรศวร"  ทรงทำพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทกประกาศอิสรภาพของกรุงศรีอยุธยา  นับเป็นการกอบกู้เอกราชของไทยจากพม่า หลังจากนั้นได้ทรงทำสงครามป้องกันประเทศจากการรุกรานของพม่าหลายครั้งจนพม่าเกิดความขยาดไม่กล้ารุกรานไทยอีก  นอกจากนี้  ยังได้ทรงยกทัพไปตีเมืองประเทศราชของพม่าถึง  ๕  ครั้ง  ทำให้อาณาเขตของไทยแผ่ขยายออกไปมากกว่าครั้งใด ๆ นับตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี           

           "สมเด็จพระนเรศวร"ทรงเป็นนักรบกล้าและทรงเป็นผู้นำที่เข้มแข็งปลุกปลอบขวัญและผนึกกำลังสามัคคีคนไทยทั้งชาติเข้าด้วยกันขับไล่ศัตรูให้พ้นไปจากผืนแผ่นดินไทย  พระองค์ทรงออกรบนำหน้าทัพทุกครั้ง   โดยไม่พรั่นพรึงต่อศาสตราวุธของฝ่ายตรงข้าม  วีรกรรมที่ตำบลบางประหันและการทำยุทธหัตถีที่ตำบลหนองสาหร่าย  เป็นเครื่องยืนยันถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพระองค์  พระบรมเดชานุภาพเป็นที่เลื่องลือเกรงขามทุกทิศานุทิศ   แม้ในวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพในปี  พ.ศ. ๒๑๔๘  ก็กำลังเสด็จไปในงานพระราชสงครามเพื่อความเป็นไทอันไพบูลย์ของพระสกนิกรในพระองค์     แม้ว่าจะเสด็จสวรรคตแล้วก็ตาม  แผ่นดินไทยก็ยังว่างเว้นศึกสงครามอีกเป็นเวลานาน  ด้วยวีรกรรมของพระองค์ทำให้คนไทยได้มีองค์พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งที่ทรงเป็น  "มหาราช" พระองค์แรกในสมัยกรุงศรีอยุธยาทรงพระนามว่า  "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"


          กองทัพเรือได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของพระนาม  "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" จึงได้ขอพระราชทานนาม  "นเรศวร"  เป็นชื่อเรือ  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและเป็นนิมิตหมายว่า  เรือหลวงนเรศวร  จะสร้างชื่อเสียงและวีรกรรมให้ปรากฏเช่นเดียวกับวีรบุรุษของไทยที่ได้เคยสร้า11งชื่อเสียงมาแล้วในอดีต
ราเชนทร์ แดงโรจน์ MBA STAMFORD INTERNATIONAL UNIVERSITY
1. มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด (หัวหิน) หลักสูตร                 บริหารธุรกิจมหาบัณฑิตรหัสวิชา/ชื่อวิชา     ภว.524 ภาวะผู้นำและการเปลี่ยนแปลงในองค์กรอาจารย์ผู้สอน         ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ และทีม Chira  Academy สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ/อาจารย์ยม/นักศึกษา MBA มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด หัวหิน  เพื่อน ๆ ร่วมวิชาเรียนในหัวข้อดังกล่าวทุกท่าน สัปดาห์ที่ผ่านมาในวันศุกร์ ที่ 9  และเสาร์ ที่ 10  มีนาคม 2550   ผมและนักศึกษาร่วมชั้นในการเรียนวิชา ภาวะผู้นำและการเปลี่ยนแปลงในองค์กร  ได้รับฟังการสอนและบรรยายจาก ศ.ดร. จีระ  หงส์ลดารมภ์ เป็นครั้งแรก ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับตัวผมเป็นอย่างมาก  เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมาทุกท่านคงได้รับทราบข่าวอาจารย์ในเรื่องเกี่ยวกับภารกิจที่ท่านอาจารย์ได้รับมอบหมายในการบริหารสถานีโทรทัศน์ไอทีวี  ผ่านสื่อทั้ง TV. และหนังสือพิมพ์  ผมจึงเห็นว่าภารกิจของท่านดังกล่าวมีความสำคัญมาก  แต่ท่านกลับให้ความสำคัญกับลูกศิษย์ในการเผยแพร่ความรู้หรือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นไปตามปณิธานที่ท่านตั้งไว้มากกว่า  จึงเป็นความโชคดีของผมและเพื่อน ๆ  ที่ได้รับฟังการสอนและการบรรยายในหัวข้อดังกล่าวจาก Guru ในเรื่อง ภาวะผู้นำซึ่งเกี่ยวเนื่องกับ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับชาติและสากลโดยตรงอย่างไรก็ตาม ภายหลังจากผมและเพื่อน ๆ ได้เรียนในชั้นเรียนทั้ง 2 วัน ก็ได้รับมอบหมายจากท่านอาจารย์ให้นักศึกษาจัดส่งรายงานลง Blog ใน 3 ห้วข้อเรื่อง คือ1. ให้สรุปการอ่านหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ของ ท่านอาจารย์ และ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ว่า  นักศึกษาได้อะไรจากหนังสือเล่มดังกล่าว พร้อมกับให้ตั้งข้อสังเกตความแตกต่างระหว่างสองท่าน ถึงแม้ทั้งสองท่านจะมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน คือ การมุ่งมั่นในการพัฒนาทรัพยากรมนษย์ หรือ คน นั่นเอง.2.  ให้สรุปว่า ในการเรียนทั้ง 2 วัน กับท่านอาจารย์ ได้อะไรจากการเรียนนั้นพร้อมให้พิจารณาถึงตนเองทั้งในด้านจุดแข็งและจุดอ่อนเปรียบเทียบ 3 ข้อ เสนออาจารย์ 3.  ให้นักศึกษาเลือกผู้นำที่นักศึกษาชอบเป็นพิเศษ  และเสนอประวัติพร้อมกับวิเคราะห์ภาวะผู้นำของผู้นำที่ตนเองชื่นชอบรายงานลง Blog จากทั้งสามหัวข้อดังกล่าว  ผมจึงขอสรุปดังต่อไปนี้1.     สิ่งที่ผมได้รับจากการอ่านหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้คือ1.     ได้รับทราบประวัติย่อส่วนตัว ประวัติการทำงาน ประสบการณ์ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบันของ คู่รู้ ในเรื่องทรัพยากรมนุษย์2.     ได้ทราบถึงทฤษฎี 4L’s คุณพารณ  และ 4L’s อาจารย์จีระ3.     ได้รับทราบประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในกลุ่มบริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทยผ่านคำบอกเล่าจากคุณพารณซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า บริษัทดังกล่าวเป็นที่ยอมรับจากสังคมในเรื่องของคุณภาพของคนและบุคลากรที่อยู่ในองค์กร  ทั้งในเรื่องของความเป็นคนเก่งและเป็นคนดีที่ถูกหล่อหลอมโดยวัฒนธรรมองค์กรจากท่านพารณ ซึ่งให้ความสำคัญและเชื่อมั่นว่า คน เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กร4.     ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของ ผู้ให้ คือ ท่านอาจารย์จีระ ที่มีความสุขกับการเป็นผู้ให้ต่อสังคมโดยไม่สนใจว่าจะได้รับ กล่อง หรือการเชิดชูเกียรติจากใคร พร้อมกับได้ทราบถึงปรัชญาชีวิตที่น่าสนใจของอาจารย์ที่ว่าเกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้ และเรียนรู้อย่างสนุก พร้อมกับนำความรู้มาใช้เพื่อสร้างสรรค์5.     ผมคงจะต้องหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกหลาย ๆ ครั้ง ที่จะได้ซึมซับความรู้ ความคิด จากนักปฏิบัติในเรื่องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อองค์กร ต่อสังคม และต่อประเทศชาติ  คงจะทำให้กระผมเป็นคนดีเพิ่มขึ้นตามแนวคิดจากหนังสือที่ท่านทั้งสองสนทนามุ่งเน้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงการเป็นคนดีที่มีคุณธรรมต่อเพื่อนมนุษยชาติ สำหรับความแตกต่างระหว่างสองท่าน  ทั้งที่มีเป้าหมายเดียวกันในด้านมุ่งเน้นในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์บนเป้าหมายเดียวกัน  ผมคงจับประเด็นได้ดังต่อไปนี้ 
ข้อเปรียบเทียบ คุณพารณ อาจารย์จีระ
วัยวุฒิ เป็นผู้มีอาวุโสมากกว่าอาจารย์ จิระ กว่า 20 ปี อาวุโสน้อยกว่า  แต่ประสบความสำเร็จค่อนข้างเร็วกว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จโดยเฉลี่ย
คุณวุฒิ จบทางด้านวิทยาศาสตร์ คือ วิศวกรรม จบทางด้านสังคมศาสตร์  คือ เศรษฐศาสตร์
ประวัติการทำงาน อยู่ในภาคธุรกิจเอกชนเป็นส่วนใหญ่ อยู่ในภาคการศึกษาโดยเฉพาะสถาบันการศึกษา
ประสบการณ์ เป็นผู้ประสบความสำเร็จในการบริหารภาคธุรกิจ เป็นผู้ประสบความสำเร็จทางด้านนักวิชาการและวิจัย
                   อย่างไรก็ตาม  เมื่อนำส่วนต่างของท่านทั้งสองมาผนึกรวมกันโดยมีเป้าหมายเดียวกัน ทำให้บทสนทนาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของนักคิดและนักปฏิบัติแห่งยุค กลมกลืนกัน  จนกล่าวว่า  หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์ทั้งในด้านการศึกษาและการนำไปประยุกต์ในองค์กรสำหรับพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้เป็นอย่างดียิ่ง 2.     เรียนแล้วได้อะไร1.     ผมได้เรียนรู้ ภาวะผู้นำ (Excellent Leadership)  จากการบรรยายในชั้นเรียนและการมีส่วนร่วมในการแสดงออกถึงความคิดเห็นภายหลังจากที่อาจารย์บรรยายเสร็จสิ้นลงในแต่ละหัวข้อ  เพื่อทบทวนให้ผมและนักศึกษาได้เข้าใจและนำประยุกต์เอาไปใช้ทั้งส่วนตน องค์กร และสังคม2.     ผมได้รับ Quotations ดี ๆ และทฤษฎีต่าง ๆ จากเอกสารประกอบการบรรยาย  ซึ่งผมสามารถนำมาทบทวนและทำความเข้าใจ3.     บรรยากาศในชั้นเรียนเป็นไปอย่างสนุกและมีความสุขในการฟังอย่างมีสาระ ต่างกับ การเรียนในชั้นเรียนที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งเป็นทฤษฎีเฉพาะตนของอาจารย์จีระ ที่มีความตั้งใจในการเป็นผู้ให้ต่อศิษย์อย่างยั่งยืน4.     เมื่อเรียนแล้วสร้างความรู้สึกที่จะต้องเป็นผู้ใฝ่รู้เพิ่มมากขึ้น เพราะการเรียนรู้ไม่มีการจบสิ้น  ด้วยเทคนิคการสอนของอาจารย์ และได้ข้อคิดในการต่อยอดธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัวได้เป็นอย่างดี5.     ประทับใจในความรักความเมตตาของอาจารย์ที่มีต่อศิษย์โดยมิได้คำนึงถึงวุฒิภาวะในทุก ๆ ด้านของนักศึกษาในชั้นเรียน   สำหรับข้อพิจารณาถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง  มีดังต่อไปนี้
จุดแข็ง จุดอ่อน
1. ใฝ่รู้  และรักการอ่าน 1. ไม่ค่อยดูแลสุขภาพ
2. ขยันและตั้งใจทำงาน 2. ขาดการพักผ่อน
3. เป็นที่เชื่อถือของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา 3. มีความเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป
  3.  ผู้นำที่ผมชื่นชมเป็นพิเศษ  คือ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์

                   ประวัติ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King, Jr. 15 มกราคม พ.ศ. 2472-4 เมษายน พ.ศ. 2511) เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง (civil right) และหมอสอนศาสนานิกายแบปติส เกิดที่นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เป็นบุตรชายของพระแบปติส ได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยมอร์เฮาส์ แอตแลนตา จากวิทยาลัยการศาสนาโครเซอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย และจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ต่อมาได้กลายเป็นผู้นำขบวนการเรียกร้องสิทธิเสมอภาคของชาวผิวดำเนื่องจากนโยบาย และแนวทางต่อต้านที่ใช้ความนุ่มนวลตามแนวทางของมหาตมะ คานธี และจากทักษะการพูดต่อสาธารณะที่เป็นที่เลื่องลือ คิงได้เป็นผู้นำในการคว่ำบาตรไม่ยอมรับการแบ่งแยกคนผิวดำที่ไม่ให้โดยสารรถประจำทาง ร่วมกับคนผิวขาวที่เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐแอละบามาและจัดประชุมผู้นำศาสนาคริสเตียนตอนใต้ ในระหว่างนี้เขาถูกจับขังคุกหลายครั้งในปี พ.ศ. 2506 คิงเป็นผู้นำในการเดินขบวนอย่างสันติที่อนุสาวรีย์ลิงคอล์นในวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีผู้เข้าร่วมเดินมากถึง 200,000 คน ในการประชุมครั้งนี้เองที่คิงได้แสดงสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสีงคือ "ข้าพเจ้ามีความฝัน" (I Have a Dream)ในโอกาสนี้เขายังได้ประกาศว่า อเมริกาจะปราศจากความลำเอียงและไม่มีอคติต่อคนผิวสีในปี พ.ศ. 2507ในปี พ.ศ. 2507 มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้รับรางวัลสันติภาพเคเนดี (Kendy Peace Prize) รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ความสำเร็จสูงสุดของเขาได้แก่การท้าทายอำนาจของกฎหมายแบ่งแยกผิวในภาคใต้ของสหรัฐฯ หลังจากปี พ.ศ. 2508 เป็นต้นไป มาร์ติน ลูเธอร์ คิงได้หันความสนใจไปเน้นการรณรงค์ให้มีการปรับปรุงสภาพสังคมของคนผิวดำ และคนยากจนในภาคเหนือของประเทศซึ่งพบว่าง่ายกว่า นอกจากนี้ คิงได้รณรงค์ต่อต้านการทำสงครามเวียดนามและจะจัดการชุมนุมใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อีกครั้งหนึ่งมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ถูกลอบยิงถึงแก่ชีวิตที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี โดยเจมส์ เอิร์ล เรย์ ชาวผิวขาว ซึ่งต่อมาถูกจับกุมได้ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษและถูกศาสลพิพากษาจำคูก 99 ปีหลังจากเขาถูกลอบสังหารในปี 1968 เขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านเพื่อความยุติธรรมทางเชื้อชาติจวบจนทุกวันนี้วันที่ 15 มกราคมทุกๆ ปี ซึ่งเป็นวันเกิดของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้รับการประกาศให้เป็น "วันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง" วันนักขัตรระดับชาติและค่อยๆ ได้รับทยอยการยอมรับจากรัฐต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับนับตั้งแต่ พ.ศ. 2529 เป็นต้นมาคิงมีชื่อเสียงในเรื่องการพูดต่อสาธารณชน สุนทรพจน์ "I Have a Dream" ที่เขากล่าวในการเดินขบวนปี 1963 ได้รับการยกย่องอย่างสูง ว่าทรงพลังและเป็นแบบอย่างของการพูดในที่สาธารณะ สาเหตุที่ชื่นชม คือ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549  ผมได้เข้ารับการอบรม “The 7 Habits of Highly Effective People” จาก บริษัท Pacrim ซึ่งเป็นบริษัทรับฝึกอบรมให้กับองค์กรที่ผมร่วมงานอยู่  วิทยากรได้นำภาพยนตร์ประวัติของ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ มาแพร่ภาพให้กับผู้เข้าอบรมชม  มีประโยคหนึ่งที่ประทับใจผมเป็นพิเศษ คือ คำกล่าวสุนทรพจน์ของ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ที่กล่าวกับสาธารณชนที่เข้าฟัง ประโยคที่ว่า คือ I have a dream” ผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนควรจะต้องมี Dream ของตัวเอง และสร้าง Dream นั้นให้บังเกิดเป็นความจริงโดย Dream ที่ตั้งไว้จะต้องไม่มุ่งร้ายหรือเอาเปรียบผู้อื่นและตนเอง  Dream ในที่นี้ ผมคิดว่าเป็นการวางแผนในทุก ๆ ด้านทั้งส่วนตน องค์กร สังคม และประเทศชาติ  สำหรับ Dream ของมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ คือผู้นำต้องมองโลกในแง่ดี  ต้องมีความเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่ตนมุ่งหมายจะทำด้วยคุณธรรม มาร์ติน  ลูเธอร์ คิงส์ ถูกวิจารณ์ว่า  เขามีความฝันที่อยากเห็นบุคคลได้รับการตัดสินด้วยบุคลิกภาพของความเป็นคน มิใช่สีผิว ว่าเป็นคนผิวดำหรือคนผิวขาวนั้น  เป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้  แต่ความฝันของเขาก็เป็นจริงในเวลาต่อมา  แม้ว่า สัมฤทธิผลแห่งความฝันของเขาจะไม่ได้เห็นในช่วงชีวิตของเขาก็ตาม  เพราะแม้เขาตายไปแล้วก็ยังมีผู้สานต่อเจตนารมณ์นั้นของเขาต่อไป  ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์มองเห็นอนาคตที่ดีกว่า  และจะก้าวสู่จุดนั้นได้อย่างไร  โดยการตั้งเป้าหมายกำหนดกรอบการปฏิบัติงาน  มอบหมายงานและประเมินผล                                                                    กราบขอบพระคุณครับ 
ราเชนทร์  แดงโรจน์                                                                   รหัส  106242005  
นายชาญชัย พานิชนันทนกุล ID:105342002 เมื่อ อ. 11 มี.ค. 2550 @ 02:20 (189340)
1. มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด (หัวหิน) 
หลักสูตร                 บริหารธุรกิจมหาบัณฑิตรหัสวิชา/ชื่อวิชา     ภว.524 ภาวะผู้นำและการเปลี่ยนแปลงในองค์กรอาจารย์ผู้สอน         ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ และทีม Chira  Academy 
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ/อาจารย์ยม/นักศึกษา MBA มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด หัวหิน  เพื่อน ๆ ร่วมวิชาเรียนในหัวข้อดังกล่าวทุกท่าน 
สัปดาห์ที่ผ่านมาในวันศุกร์ ที่ 9  และเสาร์ ที่ 10  มีนาคม 2550   ผมและนักศึกษาร่วมชั้นในการเรียนวิชา ภาวะผู้นำและการเปลี่ยนแปลงในองค์กร  ได้รับฟังการสอนและบรรยายจาก ศ.ดร. จีระ  หงส์ลดารมภ์ เป็นครั้งแรก ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับตัวผมเป็นอย่างมาก  เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมาทุกท่านคงได้รับทราบข่าวอาจารย์ในเรื่องเกี่ยวกับภารกิจที่ท่านอาจารย์ได้รับมอบหมายในการบริหารสถานีโทรทัศน์ไอทีวี  ผ่านสื่อทั้ง TV. และหนังสือพิมพ์  ผมจึงเห็นว่าภารกิจของท่านดังกล่าวมีความสำคัญมาก  แต่ท่านกลับให้ความสำคัญกับลูกศิษย์ในการเผยแพร่ความรู้หรือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นไปตามปณิธานที่ท่านตั้งไว้มากกว่า  จึงเป็นความโชคดีของผมและเพื่อน ๆ  ที่ได้รับฟังการสอนและการบรรยายในหัวข้อดังกล่าวจาก Guru ในเรื่อง ภาวะผู้นำซึ่งเกี่ยวเนื่องกับ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับชาติและสากลโดยตรงอย่างไรก็ตาม ภายหลังจากผมและเพื่อน ๆ ได้เรียนในชั้นเรียนทั้ง 2 วัน ก็ได้รับมอบหมายจากท่านอาจารย์ให้นักศึกษาจัดส่งรายงานลง Blog ใน 3 ห้วข้อเรื่อง คือ1. ให้สรุปการอ่านหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ของ ท่านอาจารย์ และ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ว่า  นักศึกษาได้อะไรจากหนังสือเล่มดังกล่าว พร้อมกับให้ตั้งข้อสังเกตความแตกต่างระหว่างสองท่าน ถึงแม้ทั้งสองท่านจะมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน คือ การมุ่งมั่นในการพัฒนาทรัพยากรมนษย์ หรือ คน นั่นเอง.2.  ให้สรุปว่า ในการเรียนทั้ง 2 วัน กับท่านอาจารย์ ได้อะไรจากการเรียนนั้นพร้อมให้พิจารณาถึงตนเองทั้งในด้านจุดแข็งและจุดอ่อนเปรียบเทียบ 3 ข้อ เสนออาจารย์ 3.  ให้นักศึกษาเลือกผู้นำที่นักศึกษาชอบเป็นพิเศษ  และเสนอประวัติพร้อมกับวิเคราะห์ภาวะผู้นำของผู้นำที่ตนเองชื่นชอบรายงานลง Blog จากทั้งสามหัวข้อดังกล่าว  ผมจึงขอสรุปดังต่อไปนี้1.     สิ่งที่ผมได้รับจากการอ่านหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้คือ1.     ได้รับทราบประวัติย่อส่วนตัว ประวัติการทำงาน ประสบการณ์ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบันของ คู่รู้ ในเรื่องทรัพยากรมนุษย์2.     ได้ทราบถึงทฤษฎี 4L’s คุณพารณ  และ 4L’s อาจารย์จีระ3.     ได้รับทราบประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในกลุ่มบริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทยผ่านคำบอกเล่าจากคุณพารณซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า บริษัทดังกล่าวเป็นที่ยอมรับจากสังคมในเรื่องของคุณภาพของคนและบุคลากรที่อยู่ในองค์กร  ทั้งในเรื่องของความเป็นคนเก่งและเป็นคนดีที่ถูกหล่อหลอมโดยวัฒนธรรมองค์กรจากท่านพารณ ซึ่งให้ความสำคัญและเชื่อมั่นว่า คน เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กร4.     ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของ ผู้ให้ คือ ท่านอาจารย์จีระ ที่มีความสุขกับการเป็นผู้ให้ต่อสังคมโดยไม่สนใจว่าจะได้รับ กล่อง หรือการเชิดชูเกียรติจากใคร พร้อมกับได้ทราบถึงปรัชญาชีวิตที่น่าสนใจของอาจารย์ที่ว่าเกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้ และเรียนรู้อย่างสนุก พร้อมกับนำความรู้มาใช้เพื่อสร้างสรรค์5.     ผมคงจะต้องหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกหลาย ๆ ครั้ง ที่จะได้ซึมซับความรู้ ความคิด จากนักปฏิบัติในเรื่องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อองค์กร ต่อสังคม และต่อประเทศชาติ  คงจะทำให้กระผมเป็นคนดีเพิ่มขึ้นตามแนวคิดจากหนังสือที่ท่านทั้งสองสนทนามุ่งเน้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงการเป็นคนดีที่มีคุณธรรมต่อเพื่อนมนุษยชาติ สำหรับความแตกต่างระหว่างสองท่าน  ทั้งที่มีเป้าหมายเดียวกันในด้านมุ่งเน้นในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์บนเป้าหมายเดียวกัน  ผมคงจับประเด็นได้ดังต่อไปนี้ 
ข้อเปรียบเทียบ คุณพารณ อาจารย์จีระ
วัยวุฒิ เป็นผู้มีอาวุโสมากกว่าอาจารย์ จิระ กว่า 20 ปี อาวุโสน้อยกว่า  แต่ประสบความสำเร็จค่อนข้างเร็วกว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จโดยเฉลี่ย
คุณวุฒิ จบทางด้านวิทยาศาสตร์ คือ วิศวกรรม จบทางด้านสังคมศาสตร์  คือ เศรษฐศาสตร์
ประวัติการทำงาน อยู่ในภาคธุรกิจเอกชนเป็นส่วนใหญ่ อยู่ในภาคการศึกษาโดยเฉพาะสถาบันการศึกษา
ประสบการณ์ เป็นผู้ประสบความสำเร็จในการบริหารภาคธุรกิจ เป็นผู้ประสบความสำเร็จทางด้านนักวิชาการและวิจัย
                   อย่างไรก็ตาม  เมื่อนำส่วนต่างของท่านทั้งสองมาผนึกรวมกันโดยมีเป้าหมายเดียวกัน ทำให้บทสนทนาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของนักคิดและนักปฏิบัติแห่งยุค กลมกลืนกัน  จนกล่าวว่า  หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์ทั้งในด้านการศึกษาและการนำไปประยุกต์ในองค์กรสำหรับพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้เป็นอย่างดียิ่ง 2.     เรียนแล้วได้อะไร1.     ผมได้เรียนรู้ ภาวะผู้นำ (Excellent Leadership)  จากการบรรยายในชั้นเรียนและการมีส่วนร่วมในการแสดงออกถึงความคิดเห็นภายหลังจากที่อาจารย์บรรยายเสร็จสิ้นลงในแต่ละหัวข้อ  เพื่อทบทวนให้ผมและนักศึกษาได้เข้าใจและนำประยุกต์เอาไปใช้ทั้งส่วนตน องค์กร และสังคม2.     ผมได้รับ Quotations ดี ๆ และทฤษฎีต่าง ๆ จากเอกสารประกอบการบรรยาย  ซึ่งผมสามารถนำมาทบทวนและทำความเข้าใจ3.     บรรยากาศในชั้นเรียนเป็นไปอย่างสนุกและมีความสุขในการฟังอย่างมีสาระ ต่างกับ การเรียนในชั้นเรียนที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งเป็นทฤษฎีเฉพาะตนของอาจารย์จีระ ที่มีความตั้งใจในการเป็นผู้ให้ต่อศิษย์อย่างยั่งยืน4.     เมื่อเรียนแล้วสร้างความรู้สึกที่จะต้องเป็นผู้ใฝ่รู้เพิ่มมากขึ้น เพราะการเรียนรู้ไม่มีการจบสิ้น  ด้วยเทคนิคการสอนของอาจารย์ และได้ข้อคิดในการต่อยอดธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัวได้เป็นอย่างดี5.     ประทับใจในความรักความเมตตาของอาจารย์ที่มีต่อศิษย์โดยมิได้คำนึงถึงวุฒิภาวะในทุก ๆ ด้านของนักศึกษาในชั้นเรียน   สำหรับข้อพิจารณาถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง  มีดังต่อไปนี้
จุดแข็ง จุดอ่อน
1. ใฝ่รู้  และรักการอ่าน 1. ไม่ค่อยดูแลสุขภาพ
2. ขยันและตั้งใจทำงาน 2. ขาดการพักผ่อน
3. เป็นที่เชื่อถือของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา 3. มีความเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป
  3.  ผู้นำที่ผมชื่นชมเป็นพิเศษ  คือ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์

                   ประวัติ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King, Jr. 15 มกราคม พ.ศ. 2472-4 เมษายน พ.ศ. 2511) เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง (civil right) และหมอสอนศาสนานิกายแบปติส เกิดที่นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เป็นบุตรชายของพระแบปติส ได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยมอร์เฮาส์ แอตแลนตา จากวิทยาลัยการศาสนาโครเซอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย และจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ต่อมาได้กลายเป็นผู้นำขบวนการเรียกร้องสิทธิเสมอภาคของชาวผิวดำเนื่องจากนโยบาย และแนวทางต่อต้านที่ใช้ความนุ่มนวลตามแนวทางของมหาตมะ คานธี และจากทักษะการพูดต่อสาธารณะที่เป็นที่เลื่องลือ คิงได้เป็นผู้นำในการคว่ำบาตรไม่ยอมรับการแบ่งแยกคนผิวดำที่ไม่ให้โดยสารรถประจำทาง ร่วมกับคนผิวขาวที่เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐแอละบามาและจัดประชุมผู้นำศาสนาคริสเตียนตอนใต้ ในระหว่างนี้เขาถูกจับขังคุกหลายครั้งในปี พ.ศ. 2506 คิงเป็นผู้นำในการเดินขบวนอย่างสันติที่อนุสาวรีย์ลิงคอล์นในวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีผู้เข้าร่วมเดินมากถึง 200,000 คน ในการประชุมครั้งนี้เองที่คิงได้แสดงสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสีงคือ "ข้าพเจ้ามีความฝัน" (I Have a Dream)ในโอกาสนี้เขายังได้ประกาศว่า อเมริกาจะปราศจากความลำเอียงและไม่มีอคติต่อคนผิวสีในปี พ.ศ. 2507ในปี พ.ศ. 2507 มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้รับรางวัลสันติภาพเคเนดี (Kendy Peace Prize) รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ความสำเร็จสูงสุดของเขาได้แก่การท้าทายอำนาจของกฎหมายแบ่งแยกผิวในภาคใต้ของสหรัฐฯ หลังจากปี พ.ศ. 2508 เป็นต้นไป มาร์ติน ลูเธอร์ คิงได้หันความสนใจไปเน้นการรณรงค์ให้มีการปรับปรุงสภาพสังคมของคนผิวดำ และคนยากจนในภาคเหนือของประเทศซึ่งพบว่าง่ายกว่า นอกจากนี้ คิงได้รณรงค์ต่อต้านการทำสงครามเวียดนามและจะจัดการชุมนุมใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อีกครั้งหนึ่งมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ถูกลอบยิงถึงแก่ชีวิตที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี โดยเจมส์ เอิร์ล เรย์ ชาวผิวขาว ซึ่งต่อมาถูกจับกุมได้ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษและถูกศาสลพิพากษาจำคูก 99 ปีหลังจากเขาถูกลอบสังหารในปี 1968 เขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านเพื่อความยุติธรรมทางเชื้อชาติจวบจนทุกวันนี้วันที่ 15 มกราคมทุกๆ ปี ซึ่งเป็นวันเกิดของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้รับการประกาศให้เป็น "วันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง" วันนักขัตรระดับชาติและค่อยๆ ได้รับทยอยการยอมรับจากรัฐต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับนับตั้งแต่ พ.ศ. 2529 เป็นต้นมาคิงมีชื่อเสียงในเรื่องการพูดต่อสาธารณชน สุนทรพจน์ "I Have a Dream" ที่เขากล่าวในการเดินขบวนปี 1963 ได้รับการยกย่องอย่างสูง ว่าทรงพลังและเป็นแบบอย่างของการพูดในที่สาธารณะ สาเหตุที่ชื่นชม คือ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549  ผมได้เข้ารับการอบรม “The 7 Habits of Highly Effective People” จาก บริษัท Pacrim ซึ่งเป็นบริษัทรับฝึกอบรมให้กับองค์กรที่ผมร่วมงานอยู่  วิทยากรได้นำภาพยนตร์ประวัติของ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ มาแพร่ภาพให้กับผู้เข้าอบรมชม  มีประโยคหนึ่งที่ประทับใจผมเป็นพิเศษ คือ คำกล่าวสุนทรพจน์ของ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ที่กล่าวกับสาธารณชนที่เข้าฟัง ประโยคที่ว่า คือ I have a dream” ผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนควรจะต้องมี Dream ของตัวเอง และสร้าง Dream นั้นให้บังเกิดเป็นความจริงโดย Dream ที่ตั้งไว้จะต้องไม่มุ่งร้ายหรือเอาเปรียบผู้อื่นและตนเอง  Dream ในที่นี้ ผมคิดว่าเป็นการวางแผนในทุก ๆ ด้านทั้งส่วนตน องค์กร สังคม และประเทศชาติ  สำหรับ Dream ของมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ คือผู้นำต้องมองโลกในแง่ดี  ต้องมีความเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่ตนมุ่งหมายจะทำด้วยคุณธรรม มาร์ติน  ลูเธอร์ คิงส์ ถูกวิจารณ์ว่า  เขามีความฝันที่อยากเห็นบุคคลได้รับการตัดสินด้วยบุคลิกภาพของความเป็นคน มิใช่สีผิว ว่าเป็นคนผิวดำหรือคนผิวขาวนั้น  เป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้  แต่ความฝันของเขาก็เป็นจริงในเวลาต่อมา  แม้ว่า สัมฤทธิผลแห่งความฝันของเขาจะไม่ได้เห็นในช่วงชีวิตของเขาก็ตาม  เพราะแม้เขาตายไปแล้วก็ยังมีผู้สานต่อเจตนารมณ์นั้นของเขาต่อไป  ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์มองเห็นอนาคตที่ดีกว่า  และจะก้าวสู่จุดนั้นได้อย่างไร  โดยการตั้งเป้าหมายกำหนดกรอบการปฏิบัติงาน  มอบหมายงานและประเมินผล                                                                   
กราบขอบพระคุณครับ 
ราเชนทร์  แดงโรจน์                                                                  
รหัส  106242005 
นายชาญชัย พานิชนันทนกุล ID:105342002 เมื่อ อ. 11 มี.ค. 2550 @ 02:20 (189340)
สวัสดีครับท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์/อ.ยม/และเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน                 จากการอ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ของท่านพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยาและท่าน ศ. ดร. จีระ  หงส์ลดารมภ์ สรุปได้เป็น 5       ส่วนดังนี้   
1.เรื่องของ 2 แชมป์               
2.คัมภีร์คนพันธ์แท้               
3.จักรวาลแห่งการเรียนรู้               
4.สู่การเพิ่มผลผลิต               
5.ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้
- เรื่องของ 2 แชมป์จะพูดถึงความเชื่อและศรัทธาและความมุ่งมั่นในเรื่องของคนของทั้ง 2 ท่านที่เหมือนกันคือ เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ กระหายกับการหาความรู้อย่างไม่รู้จักอิ่มและ เน้นการเพิ่มมูลค่าเพิ่มในทรัพยากรมนุษย์ เช่นจักรยานนานไปก็เสื่อม แต่ถ้าคนพัฒนายิ่งนานยิ่งเก่งกล้า คนจึงเป็นผลกำไรไม่ใช่ต้นทุน คนเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กร 
คุณภาพของคน กับการเพิ่มผลผลิตเป็นความสัมพันธ์ที่จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ เน้นที่การมีส่วนร่วมของพนักงานให้เกิดความผูกพันกับบริษัทเป็นสำคัญ 
4L’S พารณ 4L’S จีระ
Village that Learn Learning Methodology
School that Learn Learning Environment
Industry that Learn Learning Opportunity
Nation that Learn Learning Community
 คนที่จะนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จต้องเก่งคน เก่งงาน เก่งคิด เก่งเรียนและต้องดีด้วย ประพฤติดี มีน้ำใจ ใฝ่ความรู้ คู่คุณธรรมการพัฒนาคนต้องพัฒนาพนักงานทุกระดับรวมไปถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทั้งด้านคุณธรรมและจริยธรรม รวมไปถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ใช้นโยบายการดึงคนเป็นพวก มีการลงทุนในการพัฒนาบุคลากร Bench-markสร้างเครือข่ายมีความพึงพอใจในที่ทำงานผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ Listening Skill Network and Partnership 
ทฤษฏี 3 วงกลมChanging Managementวงกลมที่ 1 เรื่อง Context หรือบริบท IT มีความสำคัญในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทำงานแบบProcess
วงกลมที่ 2 เรื่องภาวะผู้นำ นวัตกรรม การบริหารเวลา เรียกว่าทฤษฏีเพิ่มศักยภาพของคน
วงกลมที่ 3 ต้องมีแรงบันดาลใจใช้หลัก Pm-Personnel management มีความโปร่งใส ทำงานเป็นทีม 
 - เรื่องคัมภีร์คนพันธุ์แท้ บอกแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เช่นปรัชญาของทรัพยากรมนุษย์ที่ว่าคนคือ ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร  การพัฒนามนุษย์โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ พร้อมทั้งกลยุทธ์สร้างแรงจูงใจนำองค์กรสู่ความเป็นเลิศเล่าถึงประสบการณ์ ง่ายต่อการนำไปประยุกต์ใช้คุณภาพด้านการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ถ้าเป็นจุดอ่อนองค์กรต้องทดแทนด้วยการสร้างวัฒนธรรมในการเรียนรู้ หรือLearning Organization การเพาะปลูกสำคัญแต่การเก็บเกี่ยวสำคัญกว่าเครือซิเมนต์ไทยกำหนดกรอบแนวคิดไว้ 4 ประเด็นหลัก       
1ปรัชญาหรือแนวคิดของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์       
2เป้าหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์        3วิธีที่จะทำให้การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ประสบความสำเร็จ 
      
4 ปัจจัยต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อุดมการณ์ 4 ประการ 
1เป็นธรรม
2เป็นเลิศ  
3เชื่อมั่นในคุณค่าของคน
4ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคมต้องดึงศักยภาพออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรสูงสุด8K’S         
K1  Human Capital       
K2  Intellectual Capital       
K3  Ethical Capital       
K4  Happiness Capital       
K5  Social  Capital       
K6  Sustainable Capital       
K7  DIGITAL Capital       
K8  Talented  Capital
บันไดแห่งความเป็นเลิศ
1.ลองทำ Plan Do Check Act
2.ต้องจัดลำดับก่อนหลัง
3.มีPaticipationทุกคนทุกระดับ Team
4.ทุกโครงการต้องมีผู้เป็นเจ้าของในประเทศโลกตะวันออกมีวัฒนธรรมมีความจงรักภักดีอยู่ในสายเลือดขณะที่อเมริกาเป็นประเทศเสรีนิยมแรงจูงใจ การได้ทำงานเป็นทีม การให้รางวัลพิเศษ การจ่ายค่าตอบแทนที่ยุติธรรม - จักรวาลแห่งการเรียนรู้ ส่วนนี้จะบอกถึงการขยายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สู่ประชาชน โดยให้ประชาชนมีความสามารถในการเรียนรู้และสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตGlobal Citizenมีคุณสมบัติ        1ความคล่องแคล่วในภาษาไทย/อังกฤษ        2เทคโนโลยี        3คุณธรรม   - สู่การเพิ่มผลผลิต  มองภาพกว้างบอกถึงการสร้างศักยภาพในการแข่งขันระดับประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจาก รัฐบาล เอกชน นักวิชาการ และแรงงาน เมื่อมีการแข่งขันมากขึ้นต้องมองคน 2 ประเภท คือ คนใน และคนนอกซึ่งหมายถึงลูกค้าปัจจุบันให้ความสำคัญกับลูกค้ามาก  - ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้  สรุปและย้ำถึงความเชื่อในแนวทางที่มุ่งมั่นในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ จากความคล้ายคลึงของท่านทั้งสองนี้1 เดินสู่สนามของงานสร้างทรัพยากรมนุษย์อย่างบังเอิญ2 มุ่งมั่นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์บนปรัชญาแห่งความยั่งยืน3 จากความยั่งยืนสู่การเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดต่อสังคม4 มีบุคลิกลักษณะแบบ Global Man ทำให้เป็นคนมีวิสัยทัศน์5 มีความเป็นผู้ใหญ่ พร้อมจะเป็นผู้ให้ ทั้งความรู้และความรัก แก่คนใกล้ชิด6 มีความสุขกับการเป็นผู้ให้ ต่อสังคมโดยไม่สนใจว่าจะได้รับกล่องหรือการเชิดชูเกียรติจากใคร               
นายชาญชัย พานิชนันทนกุล ID:105342002 เมื่อ อ. 11 มี.ค. 2550 @ 20:56 (190057)

สวัสดีครับท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์/.ยม/และเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน  

 

ผู้นำที่ชอบเลือกมาใช้ในที่นี้ของผมคือ Jack Welch เป็น CEO ของ GE ที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกแจ๊ก เวลช์ คือจีอี และจีอีคือ แจ๊ก เวลช์ คงเป็นคำกล่าวที่ไม่ผิด  สำหรับช่วงเวลา 20 ปีที่เวลช์ขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุดของจีอี (GE-General Electric) และนำบริษัทอเมริกันที่เก่าแก่แห่งนี้ ยืนหยัดเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เมื่อปี2000 จีอีมีรายได้สูงกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเติบโตถึง 11 เปอร์เซ็นต์ และ เวลช์ได้รับการยกย่องจากนิตยสารฟอร์จูน (Fortune) ให้เป็น "ผู้บริหารแห่งศตวรรษ  

  • Manager of the Century" เวลช์เขียนหนังสือใหม่ออกมาเล่มหนึ่ง ซึ่งไทม์ วอร์เนอร์ เทรด พับลิชชิง (Time Warner Trade Publishing) ในเครือของไทม์ วอร์เนอร์ ชนะประมูลได้ลิขสิทธิ์หนังสือที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อเล่มนี้ของเวลช์ ด้วยจำนวนเงินที่สูงถึง 7 ล้าน 1 แสนเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 284 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าลิขสิทธิ์ เฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือเท่านั้น ไม่รวมถึงลิขสิทธิ์ทั่วโลก นับเป็นค่าลิขสิทธิ์หนังสือซึ่งไม่ใช่นวนิยาย (non-fiction) ที่สูงที่สุด เวลช์ได้นำเงินค่าลิขสิทธิ์นี้เขาจะนำไปบริจาคเพื่อการกุศลทั้งหมด ประวัติของ Jack Welch                                        
  •  แจ๊ก เวลช์ หรือ จอห์น ฟรานซิส เวลช์ จูเนียร์ (John Francis Welch Jr.) เกิดเมื่อปี พ.ศ.2478 ที่เมืองซาเลม รัฐแมสซาชูเซตส์ ทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวชนชั้นกลาง บ้านหลังใหญ่ที่ครอบครัวเวลช์อาศัยอยู่นั้น ล้อมรอบด้วยสุสานถึง 3 ด้านด้วยกัน ซึ่งพ่อของ เขาบอกว่า นั่นแหละคือ เพื่อนบ้านที่ดีที่สุด! พ่อของเขาทำงานรถไฟกับ Boston & Maine Railroad ขณะที่แม่เป็นแม่บ้าน

 

  • ซึ่งเวลช์บอกว่า จุดนี้เอง ที่ทำให้เขากับแม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างมาก และแม่ได้สอนบทเรียนที่สำคัญ 3 ประการให้เขา คือให้เป็นคนพูดจาเปิดเผย เผชิญกับความจริง และควบคุมให้ชีวิตดำเนินไปตามจุดมุ่งหมาย เวลช์ชอบกีฬามาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะเบสบอล บาสเกตบอล และฮ็อกกี้ กีฬานี่เองที่ทำให้แววการเป็นผู้นำของเขาฉายออกมา ในสมัยเด็ก เวลช์ได้ชื่อว่าเป็นเด็กที่ช่างพูดและชอบส่งเสียงดังที่สุดในชั้นเรียนอีกด้วย แจ๊ก เวลช์กับเพื่อนร่วมชั้นอีกคนหนึ่ง เคยถูกเสนอชื่อให้ได้ทุนของโรงเรียนนายเรือ แต่ปรากฏว่าเวลช์พลาด ทุนดังกล่าว แม้จะทำให้เขาและครอบ ครัวผิดหวังอย่างมาก แต่ก็นับเป็นจุดหักเหที่สำคัญในชีวิตของเขา ถึงแม้เวลช์จะเป็นเด็กที่เรียนหนังสือไม่เลว แต่เขาก็ไม่เลือกเรียนที่สถาบันซึ่งมีชื่อเสียงอย่างเอ็มไอที (MIT

 

  • - Massachusetts Institute of Tech-nology) กลับเลือกที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ (University of Massachusetts  UMass) แทน ด้วยเหตุผลเฉพาะตัวที่น่าสนใจทีเดียว เขาบอกว่า ถ้าเรียนที่เอ็มไอที เขาก็จะกลายเป็นเพียงนักศึกษาระดับหัวปานกลางคนหนึ่งในหมู่นักเรียนระดับสุดยอดของประเทศ แต่การไปเรียนในมหาวิทยาลัยอย่าง UMass ทำให้เขาสามารถ เปล่งประกายได้อย่างเต็มที่ เวลช์เป็นคนแรกของตระกูลที่ได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัย

 

  • แต่กระนั้น เวลช์ก็ไม่ได้เรียนอย่างที่ครอบครัวของเขาฝันหรือต้องการ แม่น่าจะพอใจมากกว่า ถ้าหากว่าลูกชาย คนเดียวจะเป็นพระหรือเป็นหมอ แต่เวลช์ก็กลับไปหลงรักวิชาเคมีและเลือกเรียนทางด้านวิศวกรรมเคมี เมื่อจบจาก UMass เขาก็ได้รับการส่งเสริมจากบรรดาคณาจารย์ด้วยการจัดหาทุนให้เขาไปเรียนต่อในระดับปริญญาโท และปริญญาเอกทางด้านวิศวกรรมเคมีที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (University of Illinois)

 

  • และที่นี่เองที่ทำให้เขาได้ พบกับ แคโรลิน ออสเบิร์น (Carolyn Osburn) ภรรยาคนแรก และร่วมชีวิตกันในปี 2502 ทั้งคู่มีบุตรชาย 2 คน หญิง 2 คนและครองชีวิตคู่กัน 26 ปี หลังจากแยกทางกับภรรยาคนแรก 4 ปี เวลช์ได้แต่งงานใหม่กับเจน บีสลี (Jane Beasly) นักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการควบกิจการ เมื่อเวลช์จบปริญญาเอกในปี 2503

 

  • เขาได้รับการเสนองาน 3 แห่งด้วย กัน แต่เขาเลือกจีอี เพราะจะได้กลับมาทำงานที่แมสซาชูเซตส์ - ความรู้สึกว่าได้ กลับบ้าน ทำให้เขาเลือกจีอี เขาขับรถโฟล์คเต่าที่เป็นของขวัญในโอกาสจบปริญญาเอกจากพ่อ พาเจ้าสาวคนแรกของเขาไปเริ่มงานทางด้านพลาสติกกับ จีอีที่เมืองพิตส์ฟิลด์ เวลช์ทำงานเต็มที่ ถึงสิ้นปีแรก เขาได้เงินเดือนขึ้นเท่ากับคนอื่นๆ ซึ่งทำให้เขาไม่พอใจกับระบบดังกล่าว ยื่นใบลาออกและจะไปทำงานที่อื่น

 

  • แต่นาทีสุดท้าย รองประธานจีอีในสมัยนั้นก็ได้ดึงให้เขากลับมาอยู่กับจีอี โดยมอบหมายงานให้รับผิดชอบมากขึ้นและให้เงินเดือนสูงขึ้น... ทำให้เวลช์ไปไหนไม่รอด ต้องกลับมาตายรังจีอี! ในปี 2511 ด้วยวัย 33 ปี เวลช์ขึ้นเป็นระดับผู้จัดการที่อายุน้อยที่สุดของจีอี พออายุ 37 เขาก็ได้เป็นผู้บริหาร กลุ่ม และดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งการเติบโตของเวลช์ในจีอีได้ ในปี 2524 ขณะที่อายุได้ 45 ปี เวลช์ได้เป็นเบอร์หนึ่งของจีอี นับเป็นประธานบริษัทที่มีอายุน้อยที่สุด

 

  • เวลช์เริ่มต้นวันของเขาด้วยการเดินบนเครื่องออกกำลังกายเป็นระยะทาง 3 ไมล์ ก่อนที่รถจะมารับเขาไปยังที่ทำงานเมื่อหลัง 7 โมงเช้า และหลังจากนั้น ชีวิตเขาก็เลื่อนไหลไปกับการงานของ จีอี บางครั้งเขาก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปยังหน่วยงานต่างๆ เวลช์จะเดินทางไปยุโรป ปีละครั้ง ซึ่งมักจะเป็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพื่อพูดคุยกับบรรดาผู้บริหารของจีอีในภาคพื้นยุโรป ส่วนตะวันออกไกลนั้น เขามักจะมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยใช้เวลาครั้งละหลายสัปดาห์ด้วยกันในการดูงานของจีอีในย่านนี้ เวลช์ชอบที่จะได้ใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานของเขาเสมอ ไม่มีระบบราชการในจีอี! ว่ากันว่า เวลช์พยายามทำให้จีอีเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกา ด้วยการให้พนักงานธรรมดาๆ มีสิทธิ์มีเสียง ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้จีอีกลายเป็นบริษัทชั้นนำของโลก แม้จะมีบางเสียงค่อนแคะว่า เขาคือเผด็จการตัวจริงก็ตาม

 

  • เวลช์เชื่อว่า การสื่อสารที่ดีภายในองค์กรจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะควรมี "ข้อเท็จจริง" หนึ่ง ที่ทุกคนในองค์กรไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด มีโอกาสรับรู้อย่างเท่าเทียมกัน นอกจากนั้น เวลช์เชื่อในการฝึกอบรม โดยเฉพาะในการเตรียมสร้างทีมผู้บริหาร รุ่นใหม่ให้กับจีอี

 

  • เวลช์เคยพูดเสมอว่า มีบริษัทอยู่ 2 ประเภท พวกแรกเป็นพวกที่บอกว่า อนาคตจะทำให้เราประหลาดใจก็จริง แต่เราจะไม่ประหลาดใจกับสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจดังกล่าว ขณะที่พวกที่สอง เป็นพวกที่ต้องประหลาดใจจริงๆ เพราะไม่ได้เตรียมตัวที่จะเผชิญกับความประหลาดใจ อีกทั้งยังต่อต้านการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย เวลช์บอกว่าจีอีอยู่ในพวกแรก... หัวใจสำคัญคือ จงเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลง!    Jack Welch ตำนานซีอีโอ

    ชื่อเสียงการบริหารและนำพา GE ให้เจริญก้าวหน้าเป็นองค์กรที่แข็งแกร่ง จนตัวเขาเองได้รับยกย่องให้เป็นสุดยอดซีอีโอดีเด่นในรอบร้อยปีนั้น เป็นภาพที่คนทั่วไปรู้จักดีอยู่แล้ว

 

  • แต่หลายคนอาจไม่เคยทราบว่า เมื่อเขาจบปริญญาเอกด้านวิศวกรรมเคมีจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เมื่อปี ค.ศ. 1960 แล้วมาร่วมงานกับ GE ในตอนแรกนั้น อยู่ได้แค่ปีเดียวเขาก็ตัดสินใจลาออกเสียแล้ว เพราะระอากับระบบระเบียบขององค์กรใหญ่ที่งุ่มง่ามเงอะงะ แม้จะขึ้นเงินเดือนให้ 1,000 $ เขาก็ไม่สน

 

  • คนที่มีส่วนให้เวลช์เป็นสุดยอดนักบริหารได้ในในวันนี้ ย่อมหนีไม่พ้น Reuben Gutoff หัวหน้าของเวลช์ในตอนนั้น ที่เห็นแววในตัวเขา และเกลี้ยกล่อมจนยอมอยู่ต่อได้สำเร็จ โดยเวลช์ยื่นข้อเสนอขอปรับสภาพแวดล้อมการทำงานในองค์กรให้มีความคล่องตัวมากขึ้นคล้ายบริษัทขนาดเล็ก

 

  • อย่างที่รู้กันทั่วไปว่าเวลช์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานในปี 1972 เป็นรองประธานอาวุโสในปี 1977 เป็นรองประธานบริษัทในอีก 2 ปีถัดมา และกลายเป็นซีอีโออายุน้อยที่สุดในปี 1981 ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุย่าง 46 ปี ตลอดเวลาการเป็นผู้นำของ GE เวลช์ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริหารที่กวาดล้างพนักงานออกไปมากที่สุด จนได้ฉายา Neutron Jack จากตัวเลขจำนวนพนักงาน 411,000 คนช่วงปี 1980 ลดลงไปเกือบครึ่งในอีก 5 ปีถัดมา และยังคงลดอีกเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งมาจากแนวคิดการแบ่งเกรด A B C ซึ่งกลุ่มหลังนี้จะถูกย้ายออกไปเพื่อให้เกิดผลดีแก่บริษัทและตัวพนักงานเอง
  • ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับ GE คือการเปลี่ยนสภาพจากอุตสาหกรรมการผลิต มาเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าและบริการ ครอบครองตลาดค่อนโลก มีอัตราเติบโตของรายได้แบบก้าวกระโดด จาก 26,800 ล้านเหรียญในปี 1980 ไปสู่ 130,000 ล้านเหรียญในปี 2000 ก่อนที่เข้าจะวางมือเกษียณไปในปีถัดมา จนปัจจุบัน GE ยังคงเติบโตไม่หยุด

 

  • ใน Winning หนังสือเล่มใหม่ของเวลช์และภรรยา พูดถึงหลัก 8 ข้อ ของการเป็นผู้นำที่ดีว่า

    การปรับปรุงทั้ง 2 ขั้นถ้าไม่ทำให้ GE เกิด ก็จะทำให้GE ตายใน 10ปี  Jack Welch ต้องสร้างขวัญกำลังใจของพนักงานขึ้นมาใหม่พร้อมกับทำให้พนักงานมีผลงานที่สูงขึ้นกว่าเดิม เพิ่มผลผลิตในระดับที่ไม่เคยทำได้มาก่อนสิ่งที่ท้าทายที่สำคัญคือการเปลี่ยนจากการเติบโตจากภายในมาเป็นการเติบโตจากภายนอก และมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับตลาด และลูกค้า
  • Jack Welch กำหนดรูปแบบผู้บริหาร 3 ประเภท คือ A B Cกลุ่ม A ยอมรับค่านิยมและมีผลงานตามเป้า พวกนี้ขานรับแนวทางที่บริษัทวางไว้ พร้อมๆไปกับการดูแลธุรกิจของบริษัทกลุ่มนี้   
  • Jack Welch และทีมของเขาใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะเก็บรักษาไว้ ทำให้พวก A มีความสุข GE สามารถรักษาพวก A ได้ถึง 99%  ทุกครั้งที่พวก A ลาออกจะมีการหาสาเหตุในการออกอย่างละเอียดกลุ่ม B ยอมรับค่านิยม แต่ผลงานได้ตามเป้าบ้างไม่ได้บ้าง
  • Jack Welchเห็นว่าสมควรให้โอกาสพวกนี้อีกครั้งในตำแหน่งเดิมหรือในตำแหน่งใหม่กลุ่ม C ไม่ยอมรับค่านิยมแต่อาจมีผลงานตามเป้า  สมควรให้ออกไป เพราะมองระยะยาวแล้วบริษัทจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมิ่อทุกคนในทีมยึดถือกฎระเบียบเล่มเดียวกันGE แยกลูกน้องโดยตรงออกเป็น 3 ประเภทกลุ่ม เก่งสุด 20%กลุ่มสำคัญ 70%กลุ่มล่างสุด 10% จะถูกให้ออกกลุ่มA ได้รับข้อเสนอเรื่องหุ้นและการปรับเงินเดือนอย่างสูงกลุ่มB มี 50-60%ที่เรียกว่า กลุ่มมีคุณค่าสูงเท่านั้นที่จะได้รับข้อเสนอเรื่องหุ้นรูปแบบผู้นำ GE ของจริง
E เป็นอักษรย่อของรูปแบบผู้นำในอุดมคติของ Jack Welch รูปแบบผู้นำของจริงที่เป็นเรื่องของ 4E และยังอธิบายลักษณะของผู้นำในอุดมคติของเวลซ์อย่างอื่นๆ รายละเอียดที่มากกว่าที่เคยมีมาในรูปแบบใดๆรูปแบบละเอียดนี้ประกอบด้วยลักษณะ 12 ประการดังนี้
  1. ผู้นำที่แข็งแกร่งนำด้วยบุคลิก/จริยธรรม ผู้นำที่ดีที่สุดคือ ผู้ที่มีความน่าไว้ใจมากที่สุด
  2. ผู้นำที่แข็งแกร่งมีความสามารถในการแข่งขันธุรกิจ/ไหวพริบเฉียบแหลมเขามีสัญชาตญาณทางธุรกิจ ความกล้า ที่นำทางให้เขา
  3. ผู้นำที่แข็งแกร่งคิดแบบสากล แนวคิดใหม่อย่างแรกของเวลช์ที่นำมาใช้กับทั้งบริษัทคือ เรื่องโลกาภิวัตน์ และเขาต้องการให้ผู้นำทั้งหมดของเขามีมุมมองที่กว้างไกลครอบคลุมทั้งโลก
  4. ผู้นำที่แข็งแกร่งมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ลูกค้าเป็นผู้กำหนดธุรกิจ
  5. น้อมรับการเปลี่ยนแปลงและขจัดระบบราชการออกไป
  6. ผู้นำที่ดีต้องมีความสามารถในการสื่อสารสูง เอาใจเขาใส่ใจเรา รู้จักพูด รู้จักฟัง
  7. สร้างทีมที่มีประสิทธิภาพ
  8. ผู้นำที่ดีต้องพุ่งความสำคัญไปที่การทำให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรผลงานของแต่ละบุคคลจะมีค่าก็ต่อเมื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร
  9. ผู้นำที่ดีที่สุดจะต้องมีพลังมหาศาลและสามารถจุดประกายให้ผู้อื่นสร้างสรรค์ผลงานได้ มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และโน้มน้าวผู้อื่นให้เกิดแรงบันดาลใจได้
  10. ต้องมีการแพร่กระจายความกระตือรือร้น เพิ่มความสามารถขององค์กร
  11. มีความสามารถในการบรรลุเป้าหมายและสร้างผลงาน
  12. รักในสิ่งที่ทำอยู่  งานไม่ใช่งาน แต่งานคือ สิ่งที่เขารัก
   สรุป  ผู้นำที่ดีที่สุดจะมีสไตล์ที่ ไร้ขอบเขต เปิดเผย จริงใจ เข้าใจลูกค้าน้อมรับการเปลี่ยนแปลง เกลียดระบบราชการ ไม่ขอให้ลูกน้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ทำ และเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการมีพลังและศักยภาพที่ไม่มีวันหมด รู้จักวิธีสร้างทีม  และวิธีสร้างผลงานต้องเป็นผู้มีความสามารถในการสื่อสารที่ดีเข้ากับลูกค้าได้และสามารถจุดประกายพลัง มีระบบการประเมินผลให้รางวัลและบทลงโทษที่ชัดเจน มีคุณธรรม จริยธรรมและมีความโปร่งใส
นายชาญชัย พานิชนันทนกุล ID:105342002 เมื่อ ศ. 16 มี.ค. 2550 @ 00:27 (194620)
สวัสดีครับ/ค่ะท่านศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์/.ยม นาคสุขและเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน        จากที่ได้รับมอบหมายจาก อ.ยม ให้ศึกษาเอกสารภาษาอังกฤษ จากหนังสือเรื่อง The Leader of The Future 2 บทที่ 15 เรื่องLeading New Age Professionals เขียนโดย Marshall Goldsmith ของกลุ่ม 3 มีรายชื่อสมาชิกดังนี้                     
  1. นายชาญชัย      พานิชนันทนกุล   รหัส  105342002                     
  2. นางจำเนียร       อำภารักษ์         รหัส  106142002                     
  3. นายนิคม           อำภารักษ์         รหัส  106142006                     
  4. นางสาวปภาวี     นาคสุข รหัส  106142008                     
  5. นางจารุวรรณ     ยุ่นประยงค์        รหัส  106142009                     
  6. นางสาวปณิธาน  เชื้อชาติ           รหัส  106142013                     
  7. นายเอกราช       ดนยสกุล          รหัส  106142015

 

จากการอ่านเนื้อเรื่องของกลุ่ม  3 สามารถสรุปได้ดังนี้….  เป็นผู้นำยุคใหม่อย่างมืออาชีพ นายมาร์แชล โกลด์สมิธ  เป็นที่ยอมรับนับถือในสมาคมการจัดการของประเทศอเมริกาและเป็น1ใน50 นักคิดยอดเยี่ยมที่มีบทบาทสำคัญของวงการการจัดการโดย Business Week ซึ่งเขาเป็นหนึ่งผู้นำที่ได้รับการจัดอันดับ จากหนังสือพิมพ์ The Wall Stress Journal ให้เป็น 1 ใน 10 ของนักบริหารชั้นนำจากทำเนียบ Forbes ซึ่งยกย่องให้เขาเป็น 1 ใน 5 ของนักบริหารที่น่าเชื่อถือที่สุด  อีกทั้งยังได้รับการยกย่องจาก นักเศรษฐศาสตร์ ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำทางความคิดที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกด้วยจากหนังสือ The Leader of the Future 2   กว่า20 ปีที่ผ่านมาบทบาทความเป็นผู้นำในองค์กรใหญ่ๆได้เปลี่ยนแปลงไปซึ่งองค์กรต่าง ๆ เห็นความสำคัญของผู้นำที่เฉลียวฉลาด คล่องแคล่ว ทุ่มเท มีแรงกระตุ้น เป็นนักบริหารมืออาชีพ ปัจจุบันผู้นำมีความกดดันในภาวะไม่แน่นอน ทำให้ต้องกลับมาดูตัวเองว่าความหมายของผู้นำที่ดีคืออะไรและงานมีความหมายอย่างไร     ในต้นปี 1980 นายมาร์แชล โกลด์สมิธ ได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาใน องค์กรที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาหลายแห่ง เขารู้สึกประหลาดใจมากที่วันนี้ ผู้จัดการองค์กรและพนักงานมืออาชีพทำงานหนักกันได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงของการทำงานอย่างมืออาชีพ ปัจจัย 5 ประการ ที่สร้างโลกใหม่แห่งการทำงานอย่างมืออาชีพการเพิ่มความแตกต่างของค่าตอบแทนได้เน้นเกี่ยวกับการเพิ่มค่าตอบแทนอย่างมหาศาลแก่ CEO ซึ่งเปรียบเทียบกับจำนวนของพนักงานทั่วไปรวมถึง ผู้จัดการองค์กรและพนักงานมืออาชีพซึ่งมีการขึ้นเงินเดือนในอัตราที่ต่ำมากเมื่อได้นำการปรับเงินเดือนมาเปรียบเทียบเงินเดือนที่สูงก็ย่อมมาพร้อมกับความคาดหวังที่สูงเช่นกัน บรรทัดสุดท้ายของงบการเงินคือแรงกดดันที่เกิดจากผู้ถือหุ้นหลักประกันความมั่นคงของงานลดลงการแข่งขันของโลกในวันนี้ งานที่มีหลักประกันความมั่นคงของผู้จัดการ และพนักงานมืออาชีพ เหมือนความฝันที่ยังห่างไกล ตลอดจนการให้รางวัลแก่ผู้ทำความดี ผู้จัดการและพนักงานมืออาชีพต่างก็อยู่กับกฎที่เข้มงวดกวดขันเพราะกลัวตกงาน โดยทั่วไปการทำงานอย่างมืออาชีพควรเพิ่มจริยธรรมเพื่อให้เกิดคุณค่าแห่งความสำเร็จหลักประกันความมั่นคงทางสุขภาพและเบี้ยบำนาญลดลงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลักในเรื่องการประกันสุขภาพและเบี้ยบำนาญใน อเมริกามีความซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด  ลูกจ้างในบริษัทหลายแห่ง ต่างประสบปัญหาธุรกิจขาดทุน และปัญหาการไม่ได้รับค่าจ้าง  ทำให้พนักงานต้องทำงานกับแรงกดดันและจำเป็นต้องสะสมของเงินตัวเองไว้ เผื่อค่าใช้จ่ายเมื่อเกษียนจากการทำงานอีกด้วยการแข่งขันระดับโลกถึงแม้ว่าในสมัยนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่งในการติดต่อธุรกิจ ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศจีน, อินเดีย หรือประเทศในแถบยุโรปตะวันออกที่มีการศึกษาน้อย จะสามารถแข่งขันทางธุรกิจกับอเมริกา และประเทศในยุโรปตะวันตกได้ ทุกวันนี้มีมืออาชีพที่ไม่ใช่คนอเมริกา ที่มีการศึกษาสูง ทำงานหนัก และสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วเป็นล้านคน  พวกเขาทำงานแลกเงินเดือน ถึงแม้ว่าค่าจ้างจะต่ำกว่าคนอเมริกาก็ตาม แต่พวกเขาก็มีความสุขกับการทำงานในระยะยาวเทคโนโลยีสมัยใหม่เดิมทุกคนเข้าใจผิดคิดว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้นซึ่งปัจจุบันผู้จัดการและพนักงานมืออาชีพได้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและได้สร้างแนวคิด24-7Mind–setซึ่งสามารถเห็นได้ว่ามืออาชีพต่างก็ใช้โทรศัพท์มือถือหรือ PDA ในการติดต่อสื่อสาร เทคโนโลยีได้แพร่ขยายไปทั้งโลกและจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง  คนรุ่นใหม่มืออาชีพต้องการอะไรจากผู้นำของเขาการสร้างขวัญและกำลังใจเราต้องดูที่ความต้องการของคนรุ่นใหม่มากกว่าที่จะใช้เพียงทักษะของผู้นำเท่านั้น หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคนที่จะเป็นผู้นำนั้นต้องมีความรู้ความสามารถ ปฎิบัติตัวเป็นผู้นำตัวอย่างที่ดี  รู้จักให้กำลังใจการเพิ่มขีดความสามารถเนื่องจากหลักประกันของงานลดลงและการแข่งขันทั่วโลกเพิ่มขึ้นการปรับปรุงทักษะเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์พวกพนักงานมืออาชีพส่วนใหญ่นั้นมักจะเต็มใจทำงานถึงแม้ว่างานนั้นจะให้ผลตอบแทนน้อยแต่จะส่งผลให้เขาเติบโตในหน้าที่การงานในอนาคตความจงรักภักดีจะได้รับผ่านการเรียนเรียนรู้ไม่ใช่เงินทำเวลาให้มีคุณค่าคนรุ่นใหม่เหล่านี้มักมองว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่าเพราะฉะนั้นผู้นำต้องเล็งเห็นถึงคุณค่าของเวลาใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มีประสิทธิภาพสร้างเครือข่ายในการทำงานความมั่นคงของอาชีพในอนาคตมาจากความสามารถและการสร้างเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกบริษัท คนรุ่นใหม่ จึงมักสร้างเครือข่ายนี้แก่ผู้อื่นทั้งในและนอกบริษัทให้ความรู้และนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่องค์กร สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความจงรักภักดีต่อบริษัท และจะทำให้บริษัทเติบโตสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าได้ในอนาคตสนับสนุนอุดมการณ์ของพนักงานพนักงานมืออาชีพที่ดีที่สุดทำงานเพื่ออนาคตข้างหน้า ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน พวกเขาต้องการให้สนับสนุนอุดมการณ์ของพวกเขาให้เป็นจริงการขยายช่องทางการจำหน่าย มีมืออาชีพหลายคนที่เป็น ตัวแทนอิสระ องค์กรต้องให้โอกาสและช่วยผลักดันไปให้ถึงอุดมการณ์  ซึ่งผู้นำที่ดีควรจะแสดงให้เห็นว่าองค์กรมีความสามารถในการช่วยเหลือพนักงานมืออาชีพและสนับสนุนพวกเขาให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก  ปัจจัยที่สำคัญที่สุด 2 ข้อ คือ  
  • 1.ต้องการให้พนักงานมืออาชีพที่ทำงานหนักมีความสุขให้กำลังใจเกิดบรรยากาศการทำงานที่ดีทุกคนอยากมาทำงาน  
  • 2.ให้ความสำคัญกับพวกเขา
 โดยสรุปว่า  การเป็นผู้จัดการและพนักงานมืออาชีพที่มีความเป็นผู้นำที่ดีในอนาคต   ต้องมีความรอบรู้มีความสามารถในการทำงานให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย พวกเขาต้องยอมรับสภาวะที่เปลี่ยนไปของโลกโลกาภิวัตน์ และเทคโนโลยีต่างๆและการแข่งขันที่รุนแรงในรูปแบบต่างๆ   โดยพวกเขามีความยินดีและพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อให้โลกรับรู้ในความสำเร็จของพวกเขา ผู้นำต้องตระหนักถึงความสำคัญของงานและองค์กรไปพร้อมๆ กัน ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความก้าวหน้าในอนาคตของพวกเขาอีกด้วย   การเป็นผู้นำมืออาชีพที่ดีในอนาคต   พวกเขามีความยินดีและพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อให้โลกรับรู้ในความสำเร็จของพวกเขา  ผู้นำต้องตระหนักถึงความสำคัญของงานและองค์กรไปพร้อมๆ กัน ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความก้าวหน้าในอนาคตของพวกเขา  ซึ่งผู้นำมืออาชีพต้องมีความรอบรู้มีความสามารถในการ  ทำงานให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย พวกเขาต้องเข้าใจถึงสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไปในโลกยุคโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีและการแข่งขันที่รุนแรงในรูปแบบต่างๆ  ที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  ผู้นำต้องมีความสามารถในการตั้งรับกับสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ อีกทั้งต้องสามารถพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผู้นำจึงต้องเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ตลอดเวลา มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถบริหารเวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ ที่สำคัญต้องสามารถเป็นต้นแบบที่ดีให้กับพนักงานได้  และสามารถสร้างค่านิยมในการทำงานให้พนักงานทุกคนล้วนทำงานเพื่อความสุขเป็นอันดับแรก มิใช่เพื่อเงินทอง                                                                                                                        
 
ยม รายงานการส่งบทความของนักศึกษา MBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด (เรียนกับ ศ.ดร.จีระ วันที่ 9-10 มี.ค. 2550)

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ / นักศึกษา MBA ม.นานาชาติ สแตมฟอร์ด และท่านผู้อ่านทุกท่าน  

 

ขอชื่นชม นักศึกษา MBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด ที่ส่งข้อมูลมาแชร์ความรู้ใน Blog ของอาจารย์ใหญ่และของผม  นักศึกษามีพัฒนาการ การเขียนได้ดี ทั้งปริมาณ และคุณภาพ และรักษาเวลา ได้ดี  เห็นได้ชัดว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ มีความตั้งใจ มุ่งมั่น และมีมีพัฒนาการด้านความรู้ทางวิชาการ และเริ่มมีทักษะ ทาง IT มากขึ้น และผมมากไปกว่านั้นคือความรับผิดชอบต่อตนเอง ผมรู้สึกประทับใจศิษย์รักทุกคน

จากการอ่านข้อมูลของนักศึกษา ที่ทยอยส่งเขียนแชร์ความรู้มา ในสัปดาห์นี้  มีนักศึกษาส่งเรียงตามลำดับวันและเวลา ดังนี้

  1. พนาวัลย์ คุ้มสุด เมื่อ ส. 10 มี.ค. 2550 @ 22:57 (189234)
  2. นายชาญชัย พานิชนันทนกุล ID:105342002 เมื่อ อ. 11 มี.ค. 2550 @ 02:20 (189340)
  3. ราเชนทร์ แดงโรจน์ เมื่อ อ. 11 มี.ค. 2550 @ 16:08 (189776)
  4. นางจำเนียร อำภารักษ์ ID 106142002 รุ่น 6 เมื่อ จ. 12 มี.ค. 2550 @ 18:13 (191128)
  5. นายนิคม อำภารักษ์ ID 106142006 รุ่น 6 เมื่อ จ. 12 มี.ค. 2550 @ 19:55 (191206)
  6. จริยา ลิ้มธรรมรักษ์ เมื่อ จ. 12 มี.ค. 2550 @ 23:32 (191397)
  7. นายณัฐพงศ์ ขุมนุมพันธ์ เมื่อ อ. 13 มี.ค. 2550 @ 04:43 (191538)
  8. นาย สราวุฒิ ฉายแสง เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 13:13 (192964)
  9. นางสาวหยาดอรุณ อาสาสำเร็จ เมื่อ อ. 13 มี.ค. 2550 @ 17:11 (192213)
  10. นายวิวัฒน์ นาเวียง เมื่อ อ. 13 มี.ค. 2550 @ 22:24 (192495)
  11. นางสาวสุพรรษา อาลี MBA 7 เมื่อ อ. 13 มี.ค. 2550 @ 22:55 (192526)
  12. นางสาวปณิธาน เชื้อชาติ ID: 106142013 เมื่อ อ. 13 มี.ค. 2550 @ 23:08 (192533)
  13. กนกลักษณ์ เร้าเลิศฤทธิ์ เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 10:00 (192815)
  14. นายประเสริฐ ชัยยะศิริสุวรรณ MBA 7 เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 12:22 (192918)
  15. นางสาวสุกัญญา เพ็ญสุข เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 13:09 (192960)
  16. น.ส.ปภาวี นาคสุข ID 106142008 MBA 6 เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 13:51 (192992)
  17. นันทผล เถาลิโป้ เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 15:28 (193100)
  18. อัสมา แวโน๊ะ ชุด1 เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 15:33 (193108)
  19. น.ส.ศิรดา มากมี เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 20:04 (193346)
  20. นางสาว นริศรา  ทรัพย์ชโลธรมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมป์ฟอร์ด เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 21:33 (193437)
  21. นางสาวปณิธาน เชื้อชาติ ID 106142013 MBA 6 เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 22:30 (193489)
  22. นริศรา ทรัพย์ชโลธร เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 22:40 (193502)
  23. นายเตชสิทธิ์ หอมฟุ้ง เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 23:12 (193532)
  24. ศรีสุดา วรรณสมบูรณ์ ID 106342002 เมื่อ พ. 14 มี.ค. 2550 @ 23:26 (193547)

กรณีที่นักศึกษาส่งมาสอง/สามครั้ง ผมได้นำเอาวันแรกที่ส่งเป็นข้อมูลบันทึกการส่ง  ส่วนเนื้อหาครบถ้วน ในแต่ละครั้งหรือไม่  ผมกับ อาจารย์ใหญ่ จะได้ร่วมกันพิจารณาต่อไป  

ส่วนที่ผมให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มกัน ทำการศึกษาจากเอกสารภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับผู้นำ นั้นก็เพื่อให้นักศึกษาได้คุ้นเคย มีประสบการณ์การศึกษาเอกสารตำราภาษาอังกฤษมากขึ้น ประการต่อมา เพื่อให้นักศึกษาได้ใช้งานนี้ในการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน ฝึกภาวะผู้นำการทำงานเป็นทีม เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ระหว่างกลุ่ม ระหว่างกันและกัน

 มีกลุ่มแรกที่ส่งมาโดยการประสานงานของคุณชาญชัย  ขอชื่นชมที่ส่งก่อนเวลา และทำได้ดี เพราะที่จริงให้ส่งหลังสอบ แล้ว 1 สัปดาห์ แต่ก็ส่งมาก่อน ถือเป็นตัวอย่างที่ดี ขอให้สมาชิกในกลุ่ม ศึกษาในรายละเอียดให้เข้าใจทั่วกันด้วย จะเป็นการดีที่สุด 

สัปดาห์นี้ ทราบข่าว ว่า ท่านอาจารย์ใหญ่ ของเรา ศ.ดร.จีระ ไปดำเนินการเรียนการสอนด้วยตัวท่านเอง  แต่มีการเปลี่ยนกำหนดการ ขอให้นักศึกษากรุณาสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ของทางมหาวิทยาลัย เพราะทราบว่า ทางเลขา CEO ของ อาจารย์ใหญ่ ประสานไว้กับทางเจ้าที่ของทางมหาวิทยาลัยแล้ว  และขอฝากกับทางทีมงานของ อาจารย์ หากมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการอีก ควรที่จะส่งข้อความมาทาง Blog นี้ ก็จะเป็นประโยชน์กับ นักศึกษาและผู้เกี่ยวข้องทุกคนครับ

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผมทราบขณะนี้ก็คือ ศุกร์ เสาร์นี้ อาจารย์ใหญ่ขอเลื่อนไป วันอาทิตย์  ที่ 18 มี.ค. ตั้งแต่เช้าครับ นอกจากนี้ทราบว่าวันเสาร์ที่ 24 นี้ จะมีการสอบ ขอให้ทบทวนในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไป และเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น เป็นการดีที่สุด ส่วนวันอื่น ๆ มีการปรับเปลี่ยนหรือไม่อย่างไร วันอาทิตย์นี้สอบถามกับ ท่าน ศ.ดร.จีระ ก็ย่อมได้ครับ

   

ขอให้ทุกท่านโชคดี  สวัสดีครับ    

อาจารย์ยม

ไม่แสดงตน เมื่อ ศ. 16 มี.ค. 2550 @ 16:48 (195259)
วัสดีครับ/ค่ะท่านศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์/.ยม นาคสุขและเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน(ข้อแก้ไขข้มมูลและจัดหน้าใหม่ เพื่อความสะดวกกับเพื่อนๆ นักศึกษาทุกท่าน)

     

จากที่ได้รับมอบหมายจาก อาจารย์ยม ให้ศึกษาตำราภาษาอังกฤษจากหนังสือเรื่อง The Leader of The Future 2 บทที่ 15 เรื่อง Leading New Age Professionals เขียนโดย Marshall Goldsmith ของกลุ่ม 3 มีรายชื่อสมาชิกดังนี้

  1. นายชาญชัย      พานิชนันทกุล       รหัส  105342002  (หัวหน้า)
  2. นางจำเนียร       อำภารักษ์              รหัส  106142002
  3. นายนิคม           อำภารักษ์              รหัส  106142006
  4. นางสาวปภาวี     นาคสุข                  รหัส  106142008
  5. นางจารุวรรณ     ยุ่นประยงค์             รหัส  106142009
  6. นางสาวปณิธาน  เชื้อชาติ               รหัส  106142013
  7. นายเอกราช       ดนยสกุล               รหัส  106142015

  จากการอ่านเนื้อเรื่องของกลุ่ม  3 สามารถสรุปได้ดังนี้…. 

เป็นผู้นำยุคใหม่อย่างมืออาชีพ 

นายมาร์แชล โกลด์สมิธ  เป็นที่ยอมรับนับถือในสมาคมการจัดการของประเทศอเมริกาและเป็น 1 ใน50 นักคิดยอดเยี่ยมที่มีบทบาทสำคัญของวงการการจัดการโดย Business Week ซึ่งเขาเป็นหนึ่งผู้นำที่ได้รับการจัดอันดับ จากหนังสือพิมพ์ The Wall Stress Journal ให้เป็น 1 ใน 10 ของนักบริหารชั้นนำจากทำเนียบ Forbes ซึ่งยกย่องให้เขาเป็น 1 ใน 5 ของนักบริหารที่น่าเชื่อถือที่สุด  

อีกทั้งยังได้รับการยกย่องจาก นักเศรษฐศาสตร์ ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำทางความคิดที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกด้วยจากหนังสือ The Leader of the Future  กว่า 20 ปีที่ผ่านมา บทบาทความเป็นผู้นำในองค์กรใหญ่ ๆได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งองค์กรต่าง ๆ เห็นความสำคัญของผู้นำที่เฉลียวฉลาด คล่องแคล่ว ทุ่มเท มีแรงกระตุ้น เป็นนักบริหารมืออาชีพ  ปัจจุบันผู้นำมีความกดดันในภาวะที่ไม่แน่นอน ทำให้ต้องกลับมาดูตัวเองว่าความหมายของผู้นำที่ดีคืออะไรและงานมีความหมายอย่างไร         

ในต้นปี 1980 นายมาร์แชล โกลด์สมิธ ได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาใน องค์กรที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาหลายแห่ง เขารู้สึกประหลาดใจมากที่วันนี้ ผู้จัดการองค์กรและพนักงานมืออาชีพทำงานหนักกันได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น  

 โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงของการทำงานอย่างมืออาชีพ  

ปัจจัย 5 ประการที่สร้างโลกใหม่แห่งการทำงานอย่างมืออาชีพ  

  1. การเพิ่มความแตกต่างของค่าตอบแทน  ได้เน้นเกี่ยวกับการเพิ่มค่าตอบแทนอย่างมหาศาลแก่ CEO ซึ่งเปรียบเทียบกับจำนวนของพนักงานทั่วไปรวมถึง ผู้จัดการองค์กรและพนักงานมืออาชีพซึ่งมีการขึ้นเงินเดือนในอัตราที่ต่ำมาก เมื่อได้นำการปรับเงินเดือนมาเปรียบเทียบเงินเดือนที่สูงก็ย่อมมาพร้อมกับความคาดหวังที่สูงเช่นกัน บรรทัดสุดท้ายของงบการเงินคือแรงกดดันที่เกิดจากผู้ถือหุ้น  
  2. หลักประกันความมั่นคงของงานลดลง  การแข่งขันของโลกในวันนี้ งานที่มีหลักประกันความมั่นคงของผู้จัดการ และพนักงานมืออาชีพ เหมือนความฝันที่ยังห่างไกล ตลอดจนการให้รางวัลแก่ผู้ทำความดี ผู้จัดการและพนักงานมืออาชีพต่างก็อยู่กับกฎที่เข้มงวดกวดขันเพราะกลัวตกงาน โดยทั่วไปการทำงานอย่างมืออาชีพควรเพิ่มจริยธรรมเพื่อให้เกิดคุณค่าแห่งความสำเร็จ  
  3. หลักประกันความมั่นคงทางสุขภาพและเบี้ยบำนาญลดลง  เมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลักในเรื่องการประกันสุขภาพและเบี้ยบำนาญใน อเมริกามีความซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด  ลูกจ้างในบริษัทหลายแห่ง ต่างประสบปัญหาธุรกิจขาดทุน และปัญหาการไม่ได้รับค่าจ้าง  ทำให้พนักงานต้องทำงานกับแรงกดดันและจำเป็นต้องสะสมของเงินตัวเองไว้ เผื่อค่าใช้จ่ายเมื่อเกษียนจากการทำงานอีกด้วย  
  4. การแข่งขันระดับโลก ถึงแม้ว่าในสมัยนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่งในการติดต่อธุรกิจ ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศจีน, อินเดีย หรือประเทศในแถบยุโรปตะวันออกที่มีการศึกษาน้อย จะสามารถแข่งขันทางธุรกิจกับอเมริกา และประเทศในยุโรปตะวันตกได้ ทุกวันนี้มีมืออาชีพที่ไม่ใช่คนอเมริกา ที่มีการศึกษาสูง ทำงานหนัก และสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วเป็นล้านคน  พวกเขาทำงานแลกเงินเดือน ถึงแม้ว่าค่าจ้างจะต่ำกว่าคนอเมริกาก็ตาม แต่พวกเขาก็มีความสุขกับการทำงานในระยะยาว  
  5. เทคโนโลยีสมัยใหม่  เดิมทุกคนเข้าใจผิดคิดว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้นซึ่งปัจจุบันผู้จัดการและพนักงานมืออาชีพได้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและได้สร้างแนวคิด24-7Mind–setซึ่งสามารถเห็นได้ว่ามืออาชีพต่างก็ใช้โทรศัพท์มือถือหรือ PDA ในการติดต่อสื่อสาร เทคโนโลยีได้แพร่ขยายไปทั้งโลกและจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง  
 คนรุ่นใหม่มืออาชีพต้องการอะไรจากผู้นำของเขา  
  1. การสร้างขวัญและกำลังใจ  เราต้องดูที่ความต้องการของคนรุ่นใหม่มากกว่าที่จะใช้เพียงทักษะของผู้นำเท่านั้น หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคนที่จะเป็นผู้นำนั้นต้องมีความรู้ความสามารถ ปฎิบัติตัวเป็นผู้นำตัวอย่างที่ดี  รู้จักให้กำลังใจ    
  2. การเพิ่มขีดความสามารถ  เนื่องจากหลักประกันของงานลดลงและการแข่งขันทั่วโลกเพิ่มขึ้นการปรับปรุงทักษะเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์พวกพนักงานมืออาชีพส่วนใหญ่นั้นมักจะเต็มใจทำงานถึงแม้ว่างานนั้นจะให้ผลตอบแทนน้อยแต่จะส่งผลให้เขาเติบโตในหน้าที่การงานในอนาคตความจงรักภักดีจะได้รับผ่านการเรียนเรียนรู้ไม่ใช่เงิน  
  3. ทำเวลาให้มีคุณค่า  คนรุ่นใหม่เหล่านี้มักมองว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่าเพราะฉะนั้นผู้นำต้องเล็งเห็นถึงคุณค่าของเวลาใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มีประสิทธิภาพ  
  4. สร้างเครือข่ายในการทำงาน  ความมั่นคงของอาชีพในอนาคตมาจากความสามารถและการสร้างเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกบริษัท คนรุ่นใหม่ จึงมักสร้างเครือข่ายนี้แก่ผู้อื่นทั้งในและนอกบริษัทให้ความรู้และนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่องค์กร สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความจงรักภักดีต่อบริษัท และจะทำให้บริษัทเติบโตสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าได้ในอนาคต    
  5. สนับสนุนอุดมการณ์ของพนักงาน  พนักงานมืออาชีพที่ดีที่สุดทำงานเพื่ออนาคตข้างหน้า ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน พวกเขาต้องการให้สนับสนุนอุดมการณ์ของพวกเขาให้เป็นจริง  
  6. การขยายช่องทางการจำหน่าย   มีมืออาชีพหลายคนที่เป็น ตัวแทนอิสระ องค์กรต้องให้โอกาสและช่วยผลักดันไปให้ถึงอุดมการณ์  ซึ่งผู้นำที่ดีควรจะแสดงให้เห็นว่าองค์กรมีความสามารถในการช่วยเหลือพนักงานมืออาชีพและสนับสนุนพวกเขาให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก   
 ปัจจัยที่สำคัญที่สุด 2 ข้อ คือ   
  1. ต้องการให้พนักงานมืออาชีพที่ทำงานหนักมีความสุขให้กำลังใจเกิดบรรยากาศการทำงานที่ดีทุกคนอยากมาทำงาน
  2. ให้ความสำคัญกับพวกเขา 
 

โดยสรุปว่า   การเป็นผู้จัดการและพนักงานมืออาชีพที่มีความเป็นผู้นำที่ดีในอนาคต   ต้องมีความรอบรู้มีความสามารถในการทำงานให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย พวกเขาต้องยอมรับสภาวะที่เปลี่ยนไปของโลกโลกาภิวัตน์ และเทคโนโลยีต่างๆและการแข่งขันที่รุนแรงในรูปแบบต่างๆ  โดยพวกเขามีความยินดีและพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อให้โลกรับรู้ในความสำเร็จของพวกเขา ผู้นำต้องตระหนักถึงความสำคัญของงานและองค์กรไปพร้อมๆ กัน ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความก้าวหน้าในอนาคตของพวกเขาอีกด้วย 

  โดยสรุปว่า    การเป็นผู้นำมืออาชีพที่ดีในอนาคต   พวกเขามีความยินดีและพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อให้โลกรับรู้ในความสำเร็จของพวกเขา ผู้นำต้องตระหนักถึงความสำคัญของงานและองค์กรไปพร้อม  ๆ กัน ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความก้าวหน้าในอนาคตของพวกเขา  ซึ่งผู้นำมืออาชีพต้องมีความรอบรู้มีความสามารถในการ  ทำงานให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย พวกเขาต้องเข้าใจถึงสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไปในโลกยุคโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีและการแข่งขันที่รุนแรงในรูปแบบต่างๆ  ที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งผู้นำต้องมีความสามารถในการตั้งรับกับสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้  

อีกทั้งต้องสามารถพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผู้นำจึงต้องเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ตลอดเวลา มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถบริหารเวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ ที่สำคัญต้องสามารถเป็นต้นแบบที่ดีให้กับพนักงานได้  และสามารถสร้างค่านิยมในการทำงานให้พนักงานทุกคนล้วนทำงานเพื่อความสุขเป็นอันดับแรก มิใช่เพื่อเงินทอง

สวัสดีค่ะ...ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์/.ยม นาคสุข/เพื่อนนักศึกษาและท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่าน    ผู้นำที่ดิฉันชื่นชอบ คือ ซุน  ยัตเซน     ซุน ยัตเซน
ผู้นำการปฏิวัติจีน
 ลูกชายตระกูลซุน ยังมีอีก 2 ชื่อว่าเหวินและไจ้จือ แต่ที่ใช้ทั่วไปคือยัตเซน แซ่ซุน เกิด 12 พฤศจิกายน ค.ศ.1866 ที่เมืองเซียงซัน กวางเจา มณฑลกวางตุ้ง วัยเด็กศึกษาอักษรศาสตร์ของจีนตามแนวทางขงจื๊อ สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรคัมภีร์โบราณเมื่ออายุ 12 ต่อมาตามมารดาเดินทางไปเกาะฮาวาย ได้พบเห็นเรือกลไฟและความกว้างใหญ่ไพศาลของมหาสมุทร ก่อเกิดศรัทธาต่อวิชาการตะวันตก มุ่งมั่นที่จะศึกษาให้เข้าใจในสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ของโลก เข้าศึกษาใน Iolani Collage เมืองฮอนโนลูลู สถาบันการศึกษาสูงสุดของฮาวายขณะนั้น ตั้งใจว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนี้แล้วจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของสหรัฐ แต่พี่ชายสังเกตเห็นว่ายัตเซ็นเริ่มสนใจธรรมะของพระเยซู เกรงว่าจะเข้ารีต ครอบครัวจะตำหนิเอาได้ที่ดูแลน้องชายไม่ดี จึงจัดแจงส่งเขากลับเมืองจีนในวัย 18 ปี แต่เมื่อกลับมาบ้านครอบครัวรับรู้ก็ไม่ได้ตำหนิประการใด ยัตเซนพักอยู่ที่บ้านหลายเดือนก่อนไปศึกษาภาษาอังกฤษต่อที่ฮ่องกง ในโรงเรียน Diuson Home แล้วย้ายไปเรียนที่ Queen"s College หลายเดือนต่อมาครอบครัวมีปัญหาจึงลาออกเดินทางไปฮาวายอีกครั้ง เขาหยุดเรียนภาษาอังกฤษหันไปค้นคว้าคัมภีร์และประวัติศาสตร์โบราณของจีน อายุ 21 ยัตเซนกลับบ้านเกิด ศึกษาวิชาการแพทย์สมัยใหม่ที่โรงพยาบาลกวางตุ้งกับหมอสอนศาสนาชาวอเมริกัน ปีต่อมาย้ายเข้าวิทยาลัยแพทย์ฮ่องกง 5 ปีจบการศึกษาด้วยคะแนนเกียรตินิยมในวัย 26 หนุ่มซุน ยัตเซ็น ตื่นตัวกระตือรือร้นสนใจสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา วิชาความรู้ก็มีกว้างขวางรอบด้าน ศาสตร์ของจีนโบราณเขานิยมชมชอบวรรณคดีของยุค 3 จักรพรรดิ ยุคตังฮั่นและไซฮั่น ส่วนศาสตร์ตะวันตกเขาชื่นชอบทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน ตำราด้านธรรมชาติ การเมือง การปกครอง ก็อ่านอยู่ประจำ ด้านศาสนาเขานับถือพระเยซู ส่วนบุคคลที่เทิดทูนคือพระเจ้าทัง พระเจ้าอู่ของจีน และประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันของสหรัฐอเมริกา ค.ศ.1909 ดร.ซุน ยัดเซน ในฐานะหัวหน้าพรรคก๊ก มิน ตั๋ง นำล้มล้างสถาบันกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ปฏิวัติโค่นราชวงศ์ชิงของชาวแมนจู แล้วสถาปนาการปกครองระบอบสาธารณรัฐ จัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยขึ้นที่กรุงนานกิง (เมืองหลวงขณะนั้น) ตั้งนายหยวน ซี ไข เป็นประธานาธิบดีคนแรก ตัวเขาเองดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 2 ระหว่าง ค.ศ.1921-1925 โดยช่วงการเป็นสาธารณรัฐจีน อยู่ระหว่าง ค.ศ.1911-1949  ระหว่างครองจีน ซุน ยัตเซน มีแนวคิดประชาธิปไตย ลัทธิไตรประชานำทางประชาชนให้ยึดหลักเอกราช หลักอํานาจอธิปไตย หลักความยุติธรรมในการครองชีพ แต่เวลาของเขาน้อย มีบทบาทปกครองจีนในช่วงสั้นๆ ก่อนประเทศเข้าสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นสาธารณรัฐประชาชนที่นำโดยประธานเหมาเจ๋อตุง คุณหมออดีตผู้นำ ซุน ยัตเซน ถึงแก่อนิจกรรมวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ.1925 ที่กรุงปักกิ่ง

เรียนท่านอาจารย์ ศ.ดร.จิระ อาจารย์ ยมและเพื่อนๆ นักศึกษาทุกท่าน

ฝิ่นส่งการบ้านไปใน Blog ที่ 68 ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม เวลา 11.45 น. อาจารย์ ลืมใส่ชื่อฝิ่นลงไปนะค๊ะ ขาดชื่อ จารุวรรณ ยุ่นประยงค์ คนเดียว....

Jaruwan Yunprayong MBA 6 ID:106142009 เมื่อ อ. 13 มี.ค. 2550 @ 11:45 (191887)

เรียน ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์, อาจารย์ยม และเพื่อนๆนักศึกษาทุกท่าน  

 เมื่อวันที่ 9-10 มีนาคม  2550 ศึกษาภาวะผู้นำ ประวัติผู้นำที่ชื่นชอบและได้อะไรจากการอ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้

1.ขอเริ่มจากประวัติผู้นำที่ชื่อนชอบ ซึ่งเป็นผู้หญิงแกร่งคนหนึ่งเธอคือ ออง ซาน ซูจี อยากหยิบยกตัวอย่างของผู้นำที่เป็นผู้หญิงบ้าง ที่มีความเสียสละเยี่ยงชาย และยึดมั่นในอุดมการณ์

ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ในประเทศพม่า เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2488. บิดาของเธอคือ นายพล ออง ซาน ผู้นำการเรียกร้องเอกราชของพม่า ซึ่งถูกสังหารเสียชีวิตเมื่อเธอมีอายุเพียง 2 ขวบ. ซูจีได้สมรสกับ ศ.ดร. ไมเคิล อริส อาจารย์สอนวิชาทิเบตศึกษา ที่สถาบันตะวันออก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ มีบุตรชายสองคน คือ อเล็ก และ คิม ปัจจุบัน ศ.ดร.ไมเคิล อริสได้เสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็ง

การศึกษา

ประวัติการทำงานและผลงาน

ซูจีเริ่มทำ งานกับสำนักงานเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก ตั้งแต่ปี พ.ศ.2512-2514 จากนั้นไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่วิจัย กระทรวงต่างประเทศ ของรัฐบาลภูฐาน

ออง ซาน ซูจี เดินทางกลับบ้านเกิดในพม่าในเดือนมีนาคม พ.ศ.2531 เพื่อมาพยาบาลมารดาที่กำลังป่วยหนัก เธอไม่ได้คาดคิดว่าการเดินทางกลับบ้านครั้งนี้ จะทำให้ชีวิตเรียบง่ายของเธอพลิกผัน กลายเป็นตำนานการต่อสู้เพื่อสันติภาพของโลกในขวบปีต่อมา

สุภาพสตรีร่างเล็กและบอบบางที่ยืนหยัดต่อสู้กับคณะทหารที่ปกครองพม่า (สภารื้อฟื้นกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของรัฐ - State Law and Order Restoration Council หรือ SLORC) ที่ปกครองพม่าด้วยอำนาจเผด็จการอันโหดเหี้ยม....อองซาน ซูจี มีคุณสมบัติทุกประการที่จะเป็นนักการเมืองที่สามารถของประชาชนพม่า และคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของเธอก็คือ ความกล้า..กล้าพูด กล้าวิจารณ์ แล้วก็กล้าท้าทายคณะทหานหรือสลอร์คมาโดยตลอด

ประเทศพม่าเผชิญกับสถานการณ์ทางการเมืองที่สำคัญหลายเหตุการณ์ ผู้หญิงในประเทศพม่านับเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการต่อสู้เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมซึ่งกระบวนการต่อสู้ของผู้หญิงในพม่าตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่ก่อนประเทศพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1948 มาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นกระบวนการต่อสู้ที่มีพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมพม่าให้ก้าวหน้าและได้รับการยอมรับในสายตานานาชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ

เดือนพฤษภาคม 2533 พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของเธอชนะการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลเผด็จการทหารไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งดังกล่าว กลับได้ยื่นข้อเสนอว่า จะยอมปล่อยเธอเป็นอิสระ ถ้าเธอยินยอมเดินทางออกนอกประเทศพม่า เพื่อไปอยู่กับสามีและบุตรชายสองคนที่ประเทศอังกฤษ ออง ซาน ซูจี ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
นางซูจีรู้ดีว่า วันใดที่เธอก้าวพ้นประเทศพม่า รัฐบาลเผด็จการทหารจะไม่ยอมให้เธอได้กลับคืนมาร่วมต่อสู้กับผู้คน ร่วมแผ่นดินเกิดอีกเลย เธอจึงเลือกที่จะอยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้อย่างสันติวิธีเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า และปฏิเสธที่จะเดินทางออกนอกประเทศแม้ว่าต่อมาสภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐจะพยายามกดดัน โดยแก้กฎหมาย

 ดวงประทีบนำทางของพม่าที่มีค่าควรยิ่งแก่รางวัลสันติภาพ " เป็นคำกล่าวในบทพรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ฉบับประจำวันที่ 16 กรกฎาคม 1991 เนื่องในโอกาสที่อองซานซูจีได้รับรางวัลโนเบล

ในที่สุด ออง ซาน ซูจี ได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) สาขาสันติภาพเป็นรางวัล ที่มอบให้ในฐานะที่เธอจากการต่อสู้โดยสันติวิธีในการเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ในปี 2534

สิบปีหลังจากได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ออง ซาน ซูจี ยังคงมั่นคงอยู่กับความเชื่อในแนวทางสันติวิธีของเธอ และเลือกที่จะต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารอยู่ภายในแผ่นดินเกิด เธอใช้ชีวิตภายใต้อิสรภาพที่ถูกจำกัด บันทึกเรื่องราวของประชาชนพม่าที่มีชีวิตขมขื่น ทุกข์ยาก ภายใต้เงื้อมมือเผด็จการ ซูจีบอกเล่าสถานการณ์ความเป็นไปในบ้านเกิดให้โลกรู้ผ่านตัวหนังสือ เรียกร้องต่อโลกภายนอก โดยเฉพาะเพื่อนบ้านใกล้ชิดอย่างประเทศไทย ให้เมตตาเอื้ออารีต่อชีวิตของพี่น้องร่วมชาติของเธอที่ข้ามพรมแดนหนีตายจากอำนาจเผด็จการมาพึ่งพิงผืนดินไทย

นาง ออง ซาน ซูจี ถูกกักบริเวณโดยปราศจากข้อกล่าวหาและความผิดอีกเป็นครั้งที่สอง ในระยะเวลา 13 ปี ของการใช้สันติวิธีต่อสู้กับ ความรุนแรงและอำนาจเผด็จการในประเทศพม่า วันที่ 8 ธันวาคม 2544 ขณะที่ผู้รักสันติภาพทั่วโลกร่วมกันเฉลิมฉลองวาระครบรอบหนึ่งร้อยปีของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ พร้อมกับฉลองวาระครบสิบปีที่นาง ออง ซาน ซูจี ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นางออง ซาน ซูจี ผู้นำ พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ยังคงถูกจำกัดอิสรภาพอยู่ในประเทศพม่า ไม่มีโอกาสเดินทางไปร่วมพิธี เฉลิมฉลองรางวัลเกียรติยศแห่งชีวิตพร้อมกับผู้ได้รับรางวัลคนอื่นๆ ที่กรุงออสโล ประเทศนอรเวย์
 

ถึงอย่างไรก็ตาม นาง ออง ซาน ซูจี ยังใช้ชีวิตอย่างปราศจากความกลัว หากเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความหวัง และกำลังใจ ที่พร้อมจะยืนหยัดมั่นคงกับการร่วมต่อสู้เคียงข้างพี่น้องร่วมชาติของเธอบนแผ่นดินเกิด
ด้วยความเชื่อว่า "ความรักและสัจจะจะโน้มน้าวหัวใจมหาชน ได้มากกว่าการบังคับ และกำแพงคุกจะส่งผลสะเทือนต่อผู้ที่อยู่ข้างนอกด้วยเช่นกัน" และมีถ้อยคำหนึ่งที่ฝากถึงประชาชนชาวพม่าร่วมสายเลือดคือ

"ดิฉันหวังว่าชาวพม่าเป็นจำนวนมาก จะตระหนักถึงสัญชาติญาณภายในที่กระตุ้นให้เราพยายามมองหาสวรรค์และเสียงอันหนักแน่น ที่คอยพร่ำบอกแก่เราว่า เบื้องหลังก้อนเมฆที่เรียงรายสลับซับซ้อน ยังคงมีพระอาทิตย์ที่คอยเวลาอันเหมาะสม ที่จะโผล่พ้นออกมาให้แสงสว่างและความอบอุ่นคุ้มครองแก่เรา"

2. ได้อะไรจากการอ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้

  • อีกครั้งที่ได้อ่านและเจอข้อความที่ทำให้ประทับใจอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของท่าน อาจารย์ ศ.ดร. จิระ คือ "ผมได้ดีเพราะความรักและความห่วงใยจากคุณ พ่อและคุณแม่"
  • เป็นหนังสือเล่มแรกของอาจารย์ ศ.ดร. จิระ ที่แสดงให้เห็นถึงอุดมคติและแนวทางในการทำงานที่น่ายกย่องและเป็นแบบอย่างที่ดีในความมุ่งมันจนประสบความสำเร็จอย่างไม่ย่อท้อ
  • ศ.ดร.จิระ และคุณพารณ มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ถึงแม้ว่าวัยและวิสัยทัศน์อาจแตกต่างกัน คือ การมุ่งเน้นเรื่องคน เพราะคนถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าทีสุดขององค์กร และเชื่ออีกว่า องค์กรจะดีเพราะมีคนเก่งและองค์กรจะแย่เพราะมีคนไม่เก่งและคนไม่ดี
  • การนำประสบการณ์ในชีวตที่ผ่านมา มาประยุกต์ใช้กับปัจจุบันสามารถช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ดี และเป็นแนวทางที่ดีในการจัดระเบียบองค์กร เช่น คุณพารณ นำการบริหารที่ทันสมัยจากบริษัทเชลล์ มาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน เหนือสิ่งอื่นใด การทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงจะเกิดความเสียหายและผิดพลาดน้อย
  • ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้การเพิ่มผลผลิตประสบความสำเร็จคือ ความจงรักภัคดีและความมีวินัยของคนในองค์กร
  • ความภูมิใจของ ศ.ดร.จิระ คือ การได้รับเลือกให้เป็นสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ ทั้งที่ขณะนั้นวัยแค่ 44 ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีคนให้ความเชื่อถือและไว้ใจในความสามารถ และสามารถช่วยผลักดันให้เกิดกฎหมายประกันสังคม ในยุค นายกฯ ชาติชาย และมีส่วนผลักดันให้เกิดกระทรวงแรงงานอีกด้วย

 

 






 

ไม่มีรูป
Jaruwan Yunprayong MBA 6 ID:106142009 เมื่อ อ. 13 มี.ค. 2550 @ 12:45 (191933)

Jaruwan Yunprayong ต่อ

2. ได้อะไรจากการอ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้

  • ได้ทราบถึงประวัติ ความเป็นมาของทั้ง 2 ท่านที่ฟันฝ่า อุปสรรคมากมายกว่าจะมายืนหยัดอยู่จุดนี้ได้ ด้วยความยอมรับนับถือจากคนในประเทศ และต่างประเทศอีกด้วย อุปสรรคที่ท่านทั้งสองผ่านมาและได้นำเสนอในหนังสือเล่มนี้ เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและผู้อ่านทุกท่านสามารถ นำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ หรือชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
  • ทฤษฎี 4 L's กับสองแชมป์ที่แตกต่างบนเป้าหมายเดียวกัน
  • หนังสือแล่มนี้แสดงให้เห้นถึงคุณสมบัติของผู้นำที่ดีและเราก็สามารถเรียนรู้และเริ่มปฏิบัติได้เพื่อการเป็นผู้นำที่ดีของตัวเราเอง...เริ่มตั้งแต่วันนี้ค่ะ
  • หนังสืเล่มนี้ยังสามารถแสดงถึงวิสัยทัศน์ของคนหลายคนที่มีส่วนร่วมในการเขียนหนังสือเล่มนี้ และแต่ละท่านต่างมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในด้สนต่างๆ และยกย่องชื่นชม คุณพารณและ ศ.ดร. จิระ ที่มีจุดยืนและมีความมุ่งมันที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มาโดยตลอด ซึ่งเป็นการให้ที่ดีที่สุด
  • ชอบบทความจาก คุณจำเนียร จวงตระกูล "มรดกที่ศ.ดร. จิระ ได้ทิ้งไว้ให้สังคมไทย คือ การสร้างความตระหนัก รับรู้ ของทุกฝ่ายในสังคม ให้หันมาให้ความสนใจในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ และมรดกชิ้นนี้ก็เหมือน Brand ของ ศ.ดร.จิระ หรือ เรียกได้ว่า   ศ.ดร.จิระคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์"

 วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง

จุดแข็ง

  • เป็นคนอารมณ์ดี มีมนุษยสัมพันธ์ดี ตลกๆเสมอ
  • มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนๆ และเพื่อนร่วมงานเสมอ
  • ไม่เก็บเอาความทุกข์มาคิด และไม่แสดงออกให้คนอื่นรู้ว่าเรามีปัญหา
  • มองโลกในแง่ดี และมีความจริงใจต่อเพื่อนๆ
  • เป็นคนกล้าพูดความจริงและพูดตรงไปตรงมาโดยไม่กลัวที่จะรับผิด
  • ให้อภัยเสมอถ้ามีคำว่าขอโทษจากใจจริง
  • ไม่เคยเอาเปรียบใครและรักษาคำพูด
  • รับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายดีและกล้าแสดงออก

 จุดอ่อน

  • ต้องปรับปรุงเรื่องการอ่านให้มาก เพื่อความรู้รอบตัวที่กว้างขึ้น
  • เจ็บแล้วไม่จำ (ไม่ใช่เรื่องความรักนะค๊ะ) เรื่องเพื่อนๆ
  • บางทีพูดจาแรงเกินไป ทำให้คนรอบข้างน้อยใจ
  • ไม่ชอบรอ จะโมโหมากๆ แล้วจะไม่ฟังเหตุผล
  • พูดและหัวเราะเสียงดัง (นินทาใครไม่ได้เลย เขาได้ยินหมด) ถือว่าไม่สำรวม
  • ไม่เคารพในศาสนาใดศาสนาหนึ่งเลย
  • ความคิดริเริ่มสร้างสรรยังน้อยไป
  • ความอดทนน้อย

เรียน ท่านศ.ดร.จีระ ,ท่าน อ. ยม นักศึกษา MBA 6, 7 และผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน

ดิฉันขอส่งงานในหัวข้อเรื่องได้อะไรจากการเรียนภาวะผู้นำในวันที่ 18 มีนาคม 2550 กับ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมย์ และ อ. ยม ดังรายละเอียดต่อไปนี้ค่ะ

ในช่วงต้นชั่งโมง ท่านได้เอ่ยถึงอีก 1 ทฤษฎี ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับภาวะผู้นำ คือ  " Fact & Felling" เป็นเรื่องจำเป็นมากที่ผู้นำทุกคนควรมี

อาจารย์ใหญ่ได้ยกตัวอย่างให้เห็นถึงการวิเคราะห์ผู้นำในอดีต และนักกีฬาระดับตัวแทนของประเทศไทยว่ามี และขาด Capital ด้านใดบ้าง เช่น :

พลโททักษิณ อดีตผู้นำประเทศ ท่านมีทุนมากทางด้าน Creativity Capital , Innovation Capital , Knowledge Capital ท่านมีความโดดเด่นมากใน 3 เรื่องนี้ เพราะท่านเป็นตำรวจที่ได้อ่าน ศึกษาเรื่องดาวเทียม และได้ดำเนินธุรกิจเรื่องนี้ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จ

ในทางกลับกันท่านก็ขาดทุนในด้านของ Sustainability Capital คือ ทุนแห่งความยั่งยืน เพราะไม่สามารถรักษาความคิดสร้างสรรค และInnovation นั้นไว้ได้ และอีกตัว คือ Emotional Capital คือ ทุนทางอารมณ์ จะสังเกตุเห็นได้บนจอทีวีเมื่อท่านถูกสัมภาษณ์ หรือ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เคยได้อ่านกัน

ส่วนความแตกต่างระหว่าง พาราดร กับ ดนัย นักเทนนิสของไทย คือ พาราดรขาดทุนความยั่งยืนจึงไม่สามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้

ในชั่วโมงอาจารย์ใหญ่ปรารภว่าอยากให้พวกเราขึ้น Blog ว่า 10 ปีข้างหน้าเราจะเป็นอะไร

อาจารย์ใหญ่ได้ทบทวนทฤษฎี  3 วงกลม เพราะมีความจำเป็นในการใช้กับภาวะผู้นำ และยังให้พวกเราแชร์ Idea ว่าทำไมองค์กรจึงล้มเหลวทั้ง ๆ ที่มี 3

สรุป: เป้าหมายทรัพยากรมนุษย์ กำหนดทิศทางให้ชัดเจน และไม่ควรออกนอกประเด็นใดไปเลย การพัฒนาต้องอยู่ภายใต้กรอบทฤษฎี 3 วงกลมซึ่งประกอบด้วย

          1.  Context ระบบการบริหารองค์กรที่ดี ต้องจัดบ้านให้น่าอยู่ ไม่ปล่อยให้รกรุงรัง

           2.  Competencies สมรรถนะขององค์กร คนในองค์กรต้องมีทักษะ วิธีการทำน และทัศนคติ ที่เหมาะสม ประกอบด้วยสิ่งสำคัญ 5 ประการ คือ

          - รู้เฉพาะทาง

          - รู้บริหาร

          - รู้ภาวะผู้นำ

          - รู้เชิงประกอบการ

          - รู้วิเคราะห์ทาง ต้องมีภาพกว้าง

          3.  Motivation แรงจูงใจ

อาจารย์ใหญ่ให้อ่านบทความหนึ่งของอาจารย์และให้พวกเราหัดจับประเด็น ทำการวิเคราะห์ซึ่งได้พบทฤษฎีโป๊ะเช๊ะจากเพื่อน ๆ ดังนี้

จารุวรรณ สรุปบทความของอาจารย์ว่า ได้ใช้ทฤษฎีของอาจารย์ยม คือ

  1. การมุ่งส่วนรวม
  2. หลักธรรมาภิบาล
  3. มีความสามารถ
  4. มีความรับผิดชอบ
  5. มีความเป็นกลาง
  6. มุ่งมั่นสัมฤทธิผล
  7. มีความเป็นมืออาชีพ

อาจารย์ปิดท้ายด้วย " ผู้นำที่ดีต้องทิ้งมรดกไว้ให้คนรุ่นหลังเจริญรอยตามได้"

               พนาวัลย์  คุ้มสุด  ID 106142010             

 

 

 

 

 

 

 

 

เรียน อาจารย์ใหญ่ และ อาจารย์น้อย เพื่อนนักศึกษา และท่านผู้อ่านที่เคารพ 

ต่อจาก Blog ที่แล้ว เนื่องจากการทำงานบน Blog พิมพ์สั่งงานไม่ต่อเนื่องดิฉันจึงส่งงานบางส่วนเข้ามาก่อนเพราะกลัว Network มีปัญหาและข้อมูลที่พิมพ์เข้ามาหลุดไป จึงทำให้ต้องส่งงาน 2 ครั้ง

ช่วงบ่ายได้ดูเทปสัมภาษณ์เรื่องผู้นำผู้หญิง และผู้นำผู้ชายต่างกันอย่างไร

ดิฉันสรุปประเด็นได้ว่า  ผู้นำหญิงมีความแตกต่างทางด้านทุนจริยธรรม Moral Capital ส่วนผู้นำชายจะได้เปรียบทางด้าน Social Capital แต่อย่างไรก็ดีโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้ผู้หญิงก็ต้องหันกลับมาพัฒนาตนในด้านการเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ ในความคิดเห็นของคุณหญิงกัลยา ท่านว่าถ้ามีผู้นำหญิงในองค์กรมากขึ้นก็จะทำให้คอร์รับชั่นน้อยลง

ผู้นำหญิงในอดีต ย่าโม ได้สร้างวีรกรรมที่กล้าคิด กล้าตัดสินใจ จนฝ่าฝันอุปสรรคนำพาบ้านเมืองให้พ้นวิกฤตมาได้ เป็นตัวอย่างของการแสดงการมีภาวะผู้นำในตัวผู้หญิงมาแล้ว

เพื่อนที่สรุปประเด็นโป๊ะเช๊ะ คือ ณัฐพงศ์ โดยแชร์ความคิดว่าไม่น่าจะแยกความเป็นผู้นำหญิงหรือชาย น่าจะช่วยกันคิด ช่วยกันทำโดยใช้จุดเด่นของแต่ละคนมาช่วยกันผลักดันให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจารย์ใหญ่ให้การสนับสนุน

อาจารย์ยมได้แนะนำ ว่าดูแล้วให้จับประเด็นให้ได้ อย่างน้อยซัก 3 ประเด็น และพูดให้ตรงประเด็น และยังเขียนกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์ ให้พวกเราอีก 2 กรอบด้วยเพื่อใช้เป็นแนวในการตอบข้อสอบถ้าเจอโจทย์เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างผู้นำหญิง และผู้นำชาย

หลังจากนั้น อาจารย์ใหญ่ได้ให้พวกเราสรุปบทความภาษาอังกฤษที่แต่ละกลุ่มแปร และสรุปมาโดยใช้ทฤษฎีที่ได้เรียนมาเป็นองค์ประกอบโดยให้ดูที่ A Model of Effective Leadership หน้า 27 หัวข้อ Leadership that shapes the future

หัวข้อที่กลุ่มของดิฉันได้รับคือข้อความใน Capter 5 : ซึ่งพวกเราแปลได้ดังนี้

"การสร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้นในองค์กร"

ซึ่งในบทความพวกเขาได้ใช้ทฤษฎี 4C's เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ และเน้นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และในกลุ่มของเราสรุปประเด็นว่าตรงกับทฤษฎีที่เป็น Mode ของอาจารย์ ใน Box ที่  4 คือ การสร้างคุณค่า  Leadership Value

เทปสุดท้ายที่ได้ดูคือ การสัมภาษณ์ ดร. ปุระชัย โดยอาจารย์ศ.ดร. จีระ ดิฉันสรุปประเด็นได้ดังนี้

ท่านปุระชัย เป็นนักอ่านตัวยง เริ่มเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กโดยได้รับการอบรมจากคุณแม่ มีคุณแม่เป็นตัวอย่าง จากหนังสือหลายเล่มที่ท่านได้อ่านและแชร์ความรู้เป็นบทความในหนังสือหลาย เรื่อง และจากการให้สัมภาษณ์ ดิฉันได้พบ 5K's และ  8K's ในข้อความของท่านดังนี้ ตัวอย่างเช่น

  1. ทุนแห่งความรู้
  2. ทุนแห่งความสุข ท่านรักในอาชีพการเป็นทหาร และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีความสุข
  3. ทุนแห่งจริยธรรม ท่านเชื่อว่าการปฏิบัติบูชา เรียนรู้ธรรม รักษาศีลเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมี

สรุปประเด็นสุดท้ายของอาจารย์ใหญ่ ที่ให้เราวิเคราะห์ความต่างระหว่างท่าน กับท่านปุระชัยคือ ถ้ามองด้านกว้างก็คืออาจารย์จีระ ถ้ามองด้านลึกก็คือท่านปุระชัย เพราะท่านลึกมากในข้อมูล ในทฤษฎีต่าง ๆ

บทสรุป: จากการที่ดิฉันได้ศึกษาวิชาภาวะผู้นำทำให้ดิฉันมีพัฒนาการในหลาย ๆ ด้าน เช่น การอ่าน ฟัง ดู สามารถจับประเด็นได้ดีขึ้น สามารถที่จะนำความรู้ที่ได้ ทฤษฎีที่ได้มาวิเคราะห์ได้ตรงประเด็นขึ้น ทำให้เป็นคนช่างสังเกตมากขึ้น และทำให้อยากที่จะค้นคว้า ใฝ่หาความรู้จากการอ่าน การฟัง การดู การหาข้อมูลทาง IT มาประกอบการตัดสินใจมากขึ้น โดยองค์รวมแล้วมั่นใจว่าค้นพบหนทางที่สามารถจะพัฒนาตนไปสู่ความพร้อมในการที่จะมีสภาวะการเป็นผู้นำมากขึ้น  ซึ่งสามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวัน หน้าที่การงาน เพื่อเป็นการสร้าง Value ในตนเองได้ต่อไปในอนาคต

ดิฉันขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ทั้งสอง และคุณนะ ที่ได้ให้โอกาสดี ให้มอบวิชาความรู้กับพวกเราอย่างทุมเท และด้วยหัวใจของการเป็นผู้นำของท่าน ที่ได้ปลูกฝังให้พวกเรา ซึ่งดิฉันถือว่าท่านได้มอบมรดกให้พวกเราเจริญรอยตาม และสืบทอดเจตนารมย์ของท่านต่อไปในอนาคต

                  ด้วยความเคารพอย่างสูง                      

              พนาวัลย์  คุ้มสุด  ID :  106142010           

นายชาญชัย พานิชนันทนกุล ID:105342002
สวัสดีครับ ท่านศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์/อ.ยม และเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2550 เรียนแล้วได้อะไร ?        การที่จะเป็นผู้นำที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจและปฎิบัติได้ตามเป้าหมายดูสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์กรแล้วนำมาเปรียบเทียบวัฒนธรรมองค์กร วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนทฤษฏี 3 วงกลมวงกลมที่ 1 Context เปรียบเหมือนบ้านหรือองค์กร เกิดความรู้เฉพาะทางวงกลมที่ 2 Competencies เปรียบเหมือนคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน เกิดความรู้เชิงผู้บริหารวงกลมที่ 3 Motivation  สร้างแรงจูงใจให้คนอยู่ในบ้านอยากจะอยู่ จากบทความของศ.ดร. จีระ หงลดารมภ์จะเห็นได้ว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต้องยั่งยืนเติบโตไปพร้อมกับความสมดุลของธรรมชาติ ผู้นำต้องทั้งเก่งและดี มีคุณธรรมและจริยธรรม มีความรู้ความสามารถนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ  มองไปถึงผู้นำที่หัวหินต้องมีวิสัยทัศน์รอบรู้ ใฝ่รู้ตลอดเวลา มีคุณธรรมจริยธรรม รู้จักวางแผนงาน ผังเมือง รองรับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว สำหรับปัญหาทางภาคใต้วิธีแก้ไข รัฐต้องสร้างความเชื่อถือ ศรัทธาแก่ประชาชนชาวใต้แต่ถ้าเริ่มตอนนี้อาจจะสายเกินไป เนื่องจากสถานการณ์ค่อนข้างวิกฤติ ง่ายต่อการปลุกระดมของผู้ไม่หวังดี ส่งคนเก่งคนดีไปก็ตายหมด ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องส่งคนเก่งคนดีลงไปแก้ไข แต่ต้องส่งคนที่มีความรู้ความสามารถตอบโจทย์ทางใต้ได้ มีความเด็ดขาด ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูกเลิกสงสารคนทำผิด กลุ่มโจรฆ่าคนไม่ผิด แต่ตำรวจจับโจรใต้ถูกกดดันสารพัดให้ปล่อยตัว  ทหารถูกยั่วยุให้ใช้ความรุนแรง แต่ทำอะไรไม่ได้หน่วยงานราชการทางภาคใต้ไม่มีความร่วมมืออย่างจริงใจในการทำงานแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง แล้วเมื่อไรจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงแค่ใช้ลมปากในการแก้ไขปัญหาจึงไม่ประสบความสำเร็จ  ไม่มีการลงมือปฏิบัติให้ชัดเจนเห็นเป็นรูปธรรมดังนั้นทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาให้ถูกจุดตรงประเด็นจึงจะสำเร็จผู้นำชายกับหญิงต่างกันอย่างไรชาย ได้รับการยอมรับจากสังคม มีความเด็ดขาด การตัดสินใจดีกว่า มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีทุนความสุข ทุนสังคม ทุนปัญญา และทุนความรู้ดีกว่าผู้หญิงหญิงมีทุนจริยธรรม ทุนแห่งความยั่งยืน ทุน IT ดีกว่าชาย มีภาระครอบครัวที่ต้องดูแล  ผู้หญิงมักจะขาดทุนทางสังคม  และเครือข่ายบทบาทของผู้หญิงมักจะถูกกำหนดให้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้นำที่ยิ่งใหญ่เสมอ เช่น คุณฮิลลารี คลินตันหลังจาดูเทปดร.ปุระชัย ปะทะ.ดร. จีระ จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 ท่านมีทุนมนุษย์ที่ดีมากจากผู้ให้กำเนิด รักการอ่าน ใฝ่รู้ ชอบถ่ายทอดให้ความรู้ให้ผู้อื่น  แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ -ท่านปุระชัยจะมีความลุ่มลึกในแต่ละเรื่องที่ท่านอ่านแต่ยังไม่สามารถทำออกมาเป็นทฤษฏีของตนเองได้- ท่านอ.จีระจะมีความรู้ในด้านกว้าง กล้าพูดกล้าคิดนอกกรอบ มีการApply เป็นทฤษฎีของตนเองและสามารถนำไปเชื่อมกับสิ่งต่างๆได้อย่างต่อเนื่องสรุปจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 ท่านกว่าจะประสบความสำเร็จต้องมีองค์ประกอบ ทุนมนุษย์ ทุนปัญญา ทุนจริยธรรม ทุนแห่งความสุข ทุนทางสังคม ทุนแห่งความยั่งยืน ทุนทางIT และทุนความรู้ จึงจะเป็นผู้นำที่ดีได้และจากการแปล Chapter 3 ทำให้ทราบถึงลักษณะเฉพาะตัวของผู้นำ และChapter 4 กระบวนการภาวะผู้นำ เน้นการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันและพัฒนาเป้าหมาย
นายชาญชัย พานิชนันทนกุล ID:105342002 เมื่อ อ. 18 มี.ค. 2550 @ 23:55 (197225)

สวัสดีครับ ท่านศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์/อ.ยม และเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน 

 

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2550 เรียนแล้วได้อะไร ?       

การที่จะเป็นผู้นำที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจและปฎิบัติได้ตามเป้าหมายดูสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์กรแล้วนำมาเปรียบเทียบวัฒนธรรมองค์กร วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนทฤษฏี 3 วงกลม

  • วงกลมที่ 1 Context เปรียบเหมือนบ้านหรือองค์กร เกิดความรู้เฉพาะทาง
  • วงกลมที่ 2 Competencies เปรียบเหมือนคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน เกิดความรู้เชิงผู้บริหาร
  • วงกลมที่ 3 Motivation  สร้างแรงจูงใจให้คนอยู่ในบ้านอยากจะอยู่ 

จากบทความของศ.ดร. จีระ หงลดารมภ์จะเห็นได้ว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต้องยั่งยืนเติบโตไปพร้อมกับความสมดุลของธรรมชาติ ผู้นำต้องทั้งเก่งและดี มีคุณธรรมและจริยธรรม มีความรู้ความสามารถนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ  มองไปถึงผู้นำที่หัวหินต้องมีวิสัยทัศน์รอบรู้ ใฝ่รู้ตลอดเวลา มีคุณธรรมจริยธรรม รู้จักวางแผนงาน ผังเมือง รองรับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

สำหรับปัญหาทางภาคใต้วิธีแก้ไข รัฐต้องสร้างความเชื่อถือ ศรัทธาแก่ประชาชนชาวใต้แต่ถ้าเริ่มตอนนี้อาจจะสายเกินไป เนื่องจากสถานการณ์ค่อนข้างวิกฤติ ง่ายต่อการปลุกระดมของผู้ไม่หวังดี ส่งคนเก่งคนดีไปก็ตายหมด ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องส่งคนเก่งคนดีลงไปแก้ไข แต่ต้องส่งคนที่มีความรู้ความสามารถตอบโจทย์ทางใต้ได้ มีความเด็ดขาด ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูกเลิกสงสารคนทำผิด กลุ่มโจรฆ่าคนไม่ผิด แต่ตำรวจจับโจรใต้ถูกกดดันสารพัดให้ปล่อยตัว  ทหารถูกยั่วยุให้ใช้ความรุนแรง แต่ทำอะไรไม่ได้หน่วยงานราชการทางภาคใต้ไม่มีความร่วมมืออย่างจริงใจในการทำงานแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง แล้วเมื่อไรจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงแค่ใช้ลมปากในการแก้ไขปัญหาจึงไม่ประสบความสำเร็จ  ไม่มีการลงมือปฏิบัติให้ชัดเจนเห็นเป็นรูปธรรม

ดังนั้นทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาให้ถูกจุดตรงประเด็นจึงจะสำเร็จผู้นำชายกับหญิงต่างกันอย่างไรชาย ได้รับการยอมรับจากสังคม มีความเด็ดขาด การตัดสินใจดีกว่า มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีทุนความสุข ทุนสังคม ทุนปัญญา และทุนความรู้ดีกว่าผู้หญิงหญิงมีทุนจริยธรรม ทุนแห่งความยั่งยืน ทุน IT ดีกว่าชาย มีภาระครอบครัวที่ต้องดูแล  ผู้หญิงมักจะขาดทุนทางสังคม  และเครือข่ายบทบาทของผู้หญิงมักจะถูกกำหนดให้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้นำที่ยิ่งใหญ่เสมอ เช่น คุณฮิลลารี คลินตัน

หลังจาดูเทปดร.ปุระชัย ปะทะ.ดร. จีระ จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 ท่านมีทุนมนุษย์ที่ดีมากจากผู้ให้กำเนิด รักการอ่าน ใฝ่รู้ ชอบถ่ายทอดให้ความรู้ให้ผู้อื่น  แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ 

  • -ท่านปุระชัยจะมีความลุ่มลึกในแต่ละเรื่องที่ท่านอ่านแต่ยังไม่สามารถทำออกมาเป็นทฤษฏีของตนเองได้
  • - ท่านอ.จีระจะมีความรู้ในด้านกว้าง กล้าพูดกล้าคิดนอกกรอบ มีการApply เป็นทฤษฎีของตนเองและสามารถนำไปเชื่อมกับสิ่งต่างๆได้อย่างต่อเนื่อง

สรุปจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 ท่านกว่าจะประสบความสำเร็จต้องมีองค์ประกอบ ทุนมนุษย์ ทุนปัญญา ทุนจริยธรรม ทุนแห่งความสุข ทุนทางสังคม ทุนแห่งความยั่งยืน ทุนทางIT และทุนความรู้ จึงจะเป็นผู้นำที่ดีได้และจากการแปล Chapter 3 ทำให้ทราบถึงลักษณะเฉพาะตัวของผู้นำ และChapter 4 กระบวนการภาวะผู้นำ เน้นการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันและพัฒนาเป้าหมาย

เรียน ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์, อาจารย์ยม และเพื่อนๆนักศึกษาทุกท่าน  

 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม  2550 ศึกษาภาวะผู้นำ ได้อะไรจากการเรียน

อาทิตย์นี้ฝิ่นและเพื่อนๆที่มาเรียนโชคดีเพราะเรามีทั้งอาจารย์จิระและอาจารย์ยม มาให้ความรู้แก่พวกเรา สิ่งที่ได้หลักๆจากการเรียนอาทิตย์นี้คือ การจับประเด็นและการวิเคราะห์ให้เป็น โดยใช้ทฤษฎีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของอาจารย์จิระหรืออาจารย์ยมเข้ามาผสมผสานพร้อมยกตัวอย่างได้

1. ทฤษฎี 3 วงกลมที่อาจารย์ให้วิเคราะห์ว่าสิ่งที่ขาดไปคืออะไร ซึ่งประกอบไปด้วย องค์กร ขีดความสามารถและแรงจูงใจ และได้ให้ทุกคนในห้องได้ร่วมออกความคิดเห็นทีละคน ซึ่งการเรียนวันนี้ดูบรรยากาศอบอุ่นมากถึงแม้จะมีเพียง 15 คนซึ่งตรงกับทฤษฎี 4L's ของอาจารย์จิระเลยจริงๆ

2.อาจารย์ให้จับประเด็นหลังจากดูสไลด์ 2 เรื่องคือ

  • สัมภาษณ์คุณหณิงกัลยาและอาจารย์มาลี ซึ่งพูดถึงภาวะผู้นำสตีและบทบาท ซึ่งอาจารย์ก็ให้ทุกคนในห้องได้มีส่วนร่วมในการวิเคาะห์และได้สรุปว่าโดยส่วยใหญ่ผู้หญิงจะมีทุนทางจริยธรรมมากกว่าผู้ชายแต่ทุนทางสังคมมีน้อยกว่า
  • สัมภาษณ์ ดร.ปุระชัย และให้จับประเด็นและวิเคราะห์ความแตกต่างซึ่งทุกคนในห้องก็มีส่วนร่วมเช่นเคยและสรุปได้ว่าข้อแตกต่างของท่านทั้ง สองที่เห็นได้ชัดคือ อาจารย์จิระมีเป้าหมายในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างมุ่งมันและชัดเจน มีทฤษฎีเป็นของตัวเองและมีวิสัยทัศน์ที่กว้าง ส่วนดร.ปุระชัยมีวิสัยทัศน์ที่ลึกและนะสิ่งที่ได้จากการอ่านมาปรับปรุงพัฒนาตัวเอง

3.ได้อ่าบบทความของอาจารย์จิระแล้วให้สรุปว่าได้อะไรบ้างที่เป็นประเด็นที่สำคัญ ซึ่งตัวฝิ่นเองสรุปได้ 3 ประเด็นคือ

3.1วิเคราะความเป็นผู้นำของอาจารย์จิระ คุณค่าของผู้นำ7 ข้อ

  •  มุ่งประโยชน์ส่วนรวม
  • มีคุณธรรม หรือธรรมาภิบาล
  • มีความสามารถ
  • มีความสำนึกรับผิดชอบ
  • มีความเป็ฯกลาง
  • มีความมุ่งมั่นสัมฤทธิผล
  • มีความเป็นมืออาชีพ

3.2 เน้นหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงและทุนทางวัฒธนธรรม

3.3ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน มลพิษทางอากาศ ปัญหาน้ำเสียและปัญหาทางภาคใต้ ซึ่งทุกคนก็ได้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่การแก้ปัญหาที่แท้จริงคือการป้องกันต่างหาก จึงควรปลูกฝังจิตสำนึกในการรักษาธรรมชาติ รักและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากขึ้นลดความเห็นแก่ตัวลง เพราะเหตุการณืที่เกิดขึ้นทุกคนได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน และอยากฝากมห้ทุกๆๆคนช่วยกันประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงานเพื่อโลกของเราและอนาคตของลูกหลานในวันข้างหน้าของพวกเราเองและกระตุ้นให้พวกเราทุกคนได้คิดถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต เรื่องการมอง vission ของหัวหินซึ่งฝิ่นเห็นว่าตอนนี้ก็เริ่มเกิดมลพิษต่างๆบ้างอย่างต่อเนื่องดังนั้นจึงเสนอการพัฒนาโดยใช้หลัก Biotechnology คือการใช้ชีววิทยาในการจัดการสภาพแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาหัวหินเพื่อ ความเจริญก้าวหน้าทางธุรกิจพร้อมไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม

4.present chapter 3,4,5 ซึ่งอาจารย์ก็ให้คำชมทุกคนที่มีความตั้งใจในการแปลและpresent ได้ดีทำให้พวกเรามีกำลังใจในการอ่านมากขึ้นจริงๆนะค๊ะ ซึ่งจากข้อความในหนังสือก็เน้นถึงการเป็นผู้นำที่ดี เอกลักษณ์ของผู้นำ วิสัยทัศน์ กระบวนการภาวะผู้นะ ทักษะของผู้นำและคุณค่า ซึ่งอาจารย์ได้จัดเป็น บล็อกๆ แยกกันเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจง่ายขึ้นเพื่อนๆที่ไม่ได้เข้าเรียนสามารถอ่านได้จากในชีทภาวะผู้นำหน้า 27 และอาจารย์ยมได้สรุปในบทสุดท้ายและมีคำคมที่เสนอแนะคือ "ถ้าธุรกิจขาดเงิน สามารถหายืมได้ แต่ถ้าขาดภาวะผู้นำไม่สามารถหายืมได้"

ทั้งนี้อาจารย์จิระเน้นถึงเรื่องทฤษฎี 8 K's, 5K's, 4L'sและทฤษฎี 3 วงกลม  เพื่อนๆ ที่ไม่ได้เข้าเรียนสามารถอ่านได้จากชีทเดียวกัน หน้า 9 และ 11

 

 

วิเคราะห์ภาวะผู้นำจาก ผู้หญิงแกร่งคนหนึ่งเธอคือ ออง ซาน ซูจี อยากหยิบยกตัวอย่างของผู้นำที่เป็นผู้หญิงบ้าง ที่มีความเสียสละเยี่ยงชาย และยึดมั่นในอุดมการณ์

จะมีผู้หญิงกี่คนในโลกนี่ที่พร้อมที่จะเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประเทศชาติและพี่น้องร่วมสายเลือดทั้งๆที่มีโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสามีและลูกในต่างประเทศสิ่งที่แสดงออกมาถึงภาวะผู้นำที่ ออง ซาน ซูจีมีคือ

1.ทุนมนุษย์ คือเป็นคนที่มีความเสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์หรือความสุขส่วนต้ว

2.ทุนทางปัญญา ซึ่งเธอสามารถกระตุ้นให้คนพม่าคิดเป็นและกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นมากขึ้นดังตอนที่กล่าวว่า"อองซาน ซูจี มีคุณสมบัติทุกประการที่จะเป็นนักการเมืองที่สามารถของประชาชนพม่า และคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของเธอก็คือ ความกล้า..กล้าพูด กล้าวิจารณ์ แล้วก็กล้าท้าทายคณะทหานหรือสลอร์คมาโดยตลอด "

3.ทุนทางจริยธรรม เธอเป็นคนที่มีความเมตาและเห็นอกเห็นใจ มีความดีที่อยากให้ทุกคนอยู่อย่างมีความสุข

4.ทุนแห่งความสุข ถึงแม้เธอจะถูกกักบริเวรเป็นเวลาหลายปีแต่เธอก็มีความหวังและมีความสุขที่ทำให้คนพม่ามีความรักประเทศชาติมากขึ้น และเธอก็จะรอคอยวันที่พม่าจะมีประชาธิปไตย มีประโยคหนึ่งที่ว่า

"ดิฉันหวังว่าชาวพม่าเป็นจำนวนมาก จะตระหนักถึงสัญชาติญาณภายในที่กระตุ้นให้เราพยายามมองหาสวรรค์และเสียงอันหนักแน่น ที่คอยพร่ำบอกแก่เราว่า เบื้องหลังก้อนเมฆที่เรียงรายสลับซับซ้อน ยังคงมีพระอาทิตย์ที่คอยเวลาอันเหมาะสม ที่จะโผล่พ้นออกมาให้แสงสว่างและความอบอุ่นคุ้มครองแก่เรา"

5. ทุนทางสังคม ถึงแม้ว่าเธอจะถูกกักขังแต่เธอก็มีเครือข่ายที่สามารถ นำบทความของเธอไปตีพิมพ์และเผยแพร่ทั่วโลก และเชื่อว่าเธอได้รับความเห็นอกเห็นใจจากพี่น้องร่วมโลกเช่นเดียวกันดังเช่นตอนหนึ่งที่พูดว่า "ซูจี ยังคงมั่นคงอยู่กับความเชื่อในแนวทางสันติวิธีของเธอ และเลือกที่จะต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารอยู่ภายในแผ่นดินเกิด เธอใช้ชีวิตภายใต้อิสรภาพที่ถูกจำกัด บันทึกเรื่องราวของประชาชนพม่าที่มีชีวิตขมขื่น ทุกข์ยาก ภายใต้เงื้อมมือเผด็จการ ซูจีบอกเล่าสถานการณ์ความเป็นไปในบ้านเกิดให้โลกรู้ผ่านตัวหนังสือ เรียกร้องต่อโลกภายนอก"

6.ทุนแห่งการสร้างสรร ถึงแม้ว่าความฝันของเธอจะล้มเหลวแต่ก็แสดงให้คนทั่วโลกได้รับรู้ถึงอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นของเธอ และไม่เคยท้อแท้

7.ทุนทางนวัตกรรม ความคิดที่จะทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย เป็นความคิดใหม่ที่ไม่เคยมีใครกล้าคิดและกล้าทำมาก่อน จนทำให้เธอสามารถชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนที่ท่วมท้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอได้มีอุดมการณ์และปฏิบัติเพื่อให้บังเกิดผล ถึงแม่ว่าเหตุการณ์จะผลิกผันก็ตาม

8.ทุนแห่งความรู้   

ซูจีเริ่มทำ งานกับสำนักงานเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก ตั้งแต่ปี พ.ศ.2512-2514 จากนั้นไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่วิจัย กระทรวงต่างประเทศ ของรัฐบาลภูฐาน

9.ทุนทางอารมณ์ เธอสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี โดยไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่ต้องใช้กำลังในระหว่างหาเสียงหรือเกิดปัญหา เธอเดินเข้าหากระบอกปืนของพวกทหารด้วยมือเปล่า 13 ปี ของการใช้สันติวิธีต่อสู้กับ ความรุนแรงและอำนาจเผด็จการในประเทศพม่า ถึงอย่างไรก็ตาม นาง ออง ซาน ซูจี ยังใช้ชีวิตอย่างปราศจากความกลัว หากเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความหวัง และกำลังใจ ที่พร้อมจะยืนหยัดมั่นคงกับการร่วมต่อสู้เคียงข้างพี่น้องร่วมชาติของเธอบนแผ่นดินเกิด
ด้วยความเชื่อว่า "ความรักและสัจจะจะโน้มน้าวหัวใจมหาชน ได้มากกว่าการบังคับ และกำแพงคุกจะส่งผลสะเทือนต่อผู้ที่อยู่ข้างนอกด้วยเช่นกัน"

และมีคุณสมบัติตรงกับทฤษฎีของอาจารย์ยมอีกด้วยคือ 6 ท

  • ท่าที
  • ท้าทาย
  • ทน
  • เที่ยงธรรม
  • ทำ
  • ทบทวน

อย่างไรก็ตามจะขอเป็นกำลังใจให้ ออง ซาน ซูจี และจะรอวันที่เธอจะได้รับอิสระภาพ และสารฝันของเธอให้บรรลุเป้าหมายที่เธอตั้งไว้ เชื่อว่ายังมีคนในโลกนี้อีกมากมายที่คอยเป็นกำลังใจให้เธอเช่นเดียวกัน

นางจำเนียร อำภารักษ์ ID 106142002 รุ่น 6
เรียน  ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ อ.ยม และสวัสดีเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน    จากการได้เรียนเรื่องภาวะผู้นำ และการเปลี่ยนแปลงในองค์กรในวันอาทิตย์  ที่  18 มีนาคม 2550      อ.จีระ  แจกเอกสารที่เป็นบทความให้ทุกคนอ่านและแสดงความคิดเห็นพร้อมทั้งวิเคราะห์ตามความคิดเห็นของตนเอง และอาจารย์ได้เสริมในส่วนที่วิเคราะห์ไม่ถูกต้อง อาจารย์เน้นทฤษฎี 4 L’s      Learning Methodology       เข้าใจวิธีการเรียนรู้     Learning  Environment      สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้      Learning  Opportunities     สร้างโอกาสในการเรียนรู้     Learning  Communities     สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้     นอกจากนี้แล้วยังเน้นว่าทฤษฎี 8 K’s , 5 K’s และทฤษฎี 2 R’s ทฤษฎี 3 วงกลม ต้องศึกษาให้ดี จะต้องนำทฤษฎีภาวะผู้นำไป Apply ให้ได้ ให้เก่ง 2-3  เรื่องก็พอ การเขียนวิเคราะห์ปัญหาให้ได้ จับประเด็นให้ได้ คิดอะไรให้เป็นระบบมากขึ้นØ    อาจารย์ตั้งคำถามว่า ทฤษฎี 5 K’s และ 8K’s ชอบอะไรมากที่สุดให้ยกตัวอย่างประกอบ Ø    ความรู้สึก และความจริง อะไรดีกว่ากัน ใน 5 K’s คนบางคนมีสิ่งหนึ่งแต่ขาดสิ่งอื่นก็ได้Ø    ความนิ่ง ความสุข เกิดขึ้นจากมีชีวิตที่เกิดจากการสมดุลØ    ทฤษฎี 3  วงกลม มีความสำคัญกับภาวะผู้นำ เปรียบเสมือนว่าContext  บ้านที่  1  เป็นบ้านที่น่าอยู่ องค์กรคล่องตัว ผู้นำจึงจะเกิดขึ้น องค์กรที่ดีต้องเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เป็นประชาธิปไตยให้รับรู้ข่าวสารทั่ว ๆ กัน Competencies  บ้านหลังที่  2  สมรรถนะในอนาคต1.    ความรู้เฉพาะทาง 2.    ความรู้เชิงบริหาร3.    ความรู้เชิงผู้นำ4.    ความรู้เชิงผู้ประกอบการ5.    รู้อะไรที่กว้าง ๆ Motivation  บ้านหลังที่   3  เก่งไม่เก่งอยู่ที่แรงจูงใจ มีมรดกทิ้งไว้ในโลก คนเราต้องภูมิใจมีคุณค่าต่อสังคม รักประชาธิปไตย    รักสิ่งแวดล้อม รอบนอกของ 3  วงกลม คือ วิสัยทัศน์ , เป้าหมายของธุรกิจ      จากนั้น อาจารย์ถามว่าทำไมองค์กรไม่ประสบผลสำเร็จในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ให้ปรึกษาในกลุ่มใช้เวลา 5 นาที ส่งตัวแทนนำเสนอ ซึ่งกลุ่มดิฉันให้นำเสนอว่า 1.    วิสัยทัศน์ นำองค์กรปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน2.    จริยธรรม และคุณธรรม ให้คิดถึงประเทศไทยก่อนที่จะนึกถึงใคร3.    อย่ารู้คนเดียว เก่งคนเดียว ต้องฝึกให้คนอื่นเก่งด้วย4.    อาจารย์ได้เสริมว่า ผู้นำจะต้องมีความเชื่อ เรื่องทรัพยากรมนุษย์ว่า เป็นทรัพย์สินต้องมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กรก่อน คนไทยต้องมีปรัชญามองอนาคต มองไกล การขับเคลื่อนให้องค์กรเกิดความเป็นเลิศก็มีปัจจัยหลาย ๆ อย่าง  อ.ยมได้เสริมว่า ประชาชนทุกคนในโลก จะต้องมาช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมโลก ปัญหาโลกร้อน น้ำทะเลสูงขึ้น คนไทยไม่ค่อยทำวิจัย ผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนอาจารย์ให้ดูเทป ผู้นำหญิงและชายต่างกันอย่างไร โดยอาจารย์จีระเป็นผู้ดำเนินรายการ มีผู้ร่วมรายการคือ ดร.กัลยา โสภณพานิช  และ ผศ.มาลี ทั้งสองท่าน ก็ได้แสดงความคิดเห็นว่าผู้หญิงและผู้ชายแตกต่างกันอย่างไร จำแนกได้ดังนี้ชาย1.       นำตัวเองได้2.       ตัดสินใจได้รวดเร็ว3.       ใช้เวลากับการพักผ่อนและงานอดิเรกมากกว่าผู้หญิง4.       เปอร์เซ็นต์ของผู้นำชายมากกว่าหญิง หญิง1.       นำตัวเองได้2.       ยืดหยุ่นได้3.       วิสัยทัศน์ เป้าหมายชัดเจน4.       จริยธรรม คุณธรรม เอื้ออาทร เกื้อกูล5.       ลูกน้องสบายใจมีความยุติธรรม6.       มีคอรัปชั่นลดลง 7.       ดูแลเงินทองของครอบครัวได้8.       ผู้หญิงต้องตั้งท้องดูแลลูก9.       ถ้าผู้หญิงไปทำงานต่างประเทศจะส่งเงินมาให้ทางบ้านมากกว่าผู้ชาย10.  ถ้าผู้หญิงเข้ามาเป็นนักการเมือง จะออกกฎหมายที่ผู้ชายไม่เคยคิดมาก่อน 11.  ผู้นำสตรี ไม่ถูกยอมรับ12.  ผูกขาดอำนาจ13.  ความสำเร็จของผู้ชายมีผู้หญิงผลักดันอยู่เบื้องหลัง14.  สามารถบริหารเวลาได้15.  แสดงบทบาทได้ไม่เต็มที่เมื่อนำความแตกต่างของชายและหญิง มาวิเคราะห์ได้ประเด็นดังนี้1.       ผู้ชายมีความมั่นใจในตนเองสูง และมีการตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ส่วนผู้หญิงการตัดสินใจต้องใช้เวลา ต้องมีความรอบคอบ การแสดงความคิดเห็นบางอย่างไม่ถูกยอมรับเท่าที่ควร เนื่องจากค่านิยมของคนในอดีตที่ไม่ยอมรับบทบาทของผู้หญิง 2.       ผู้ชายไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงไม่กล้าแสดงออกได้อย่างเต็มที่ องค์กรทั้งภาครัฐและ เอกชนส่วนใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เป็นผู้นำ     จากการอ่านหนังสือ ภาคภาษาอังกฤษ Chapter 3 ซึ่งกลุ่มของเราได้ช่วยกันแปลเป็นภาษาไทยเสร็จตั้งแต่วันพฤหัสบดี ที่ 15 มี.ค. 2550 และสรุปเพื่อนำเสนอ ซึ่งไปเกี่ยวข้องกับ A Model of Effective Leadership จากเอกสารหน้า 27 และอาจารย์ได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติม     จากการได้ศึกษาจากเทป การสนทนาระหว่าง ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ และ ศ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ สรุปได้ว่า ทั้งสองท่าน มีทฤษฎี 8 k’s เหมือนกัน ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ มีความรู้กว้าง ส่วน ศ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์  มีความรู้ลึก  
นายนิคม อำภารักษ์ ID 106142006 รุ่น 6
 เรียน  ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ อ.ยม และสวัสดีเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน    จากการได้เรียนเรื่องภาวะผู้นำ และการเปลี่ยนแปลงในองค์กรในวันอาทิตย์  ที่  18 มีนาคม 2550 ในภาคเช้าอาจารย์ท่านได้ให้อ่านบทความที่ท่านเขียนแล้วนักศึกษาช่วยกันวิเคราะห์บทความนั้น     จากนั้นอาจารย์พูดถึง ทฤษฎี 3 วงกลม ดังนี้Ø    Context  โครงสร้างขององค์กร  -        ผู้นำองค์กรต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล-        องค์กรที่ขั้นตอนบริหารที่คล่องตัว ขั้นตอนการตัดสินใจสั้น กล้าตัดสินใจ-        มอบอำนาจให้ลูกน้องมากขึ้นØ    Competencies   สมรรถนะขององค์กร-        ผู้นำต้องมีทักษะ-        มีความรู้-        หาวิธีทำงานที่เหมาะสม-        มีทัศนคติที่ดีต่องานที่ทำØ    Motivation-        สร้างแรงจูงใจ-        ทำงานเป็นทีม-        ให้ขวัญและกำลังใจผู้ร่วมงาน จุดอ่อนของ 3  วงกลม-        ผู้นำไม่มีวิสัยทัศน์  (เก่งคนเดียว)-        คนไม่รักองค์กรอย่างแท้จริง-        ระบบการบริหารการจัดการไม่คล่องตัว-        มีขั้นตอนการตัดสินใจหลายขั้นตอน-        ผู้นำมักไม่ฟังความคิดเห็นผู้ร่วมงามชอบสั่งการ-        ขาดทัศนคติทีดีต่อองค์กรภาคบ่ายอาจารย์ให้ดูเทป ซึ่งพอสรุปได้คือดร.กัลยา ท่านให้ข้อคิดดังนี้ผู้นำ  -        ต้องมีวิสัยทัศน์ เป้าหมายชัดเจน-        มีจรรยาบรรณ-        มีคุณธรรมจริยธรรม-        มีความรู้ผู้นำชาย หญิงต่างกัน ที่ผู้หญิงมีคุณธรรม จริยธรรมมากกว่าเพราะการเลี้ยงดูจากครอบครัวจะได้รับการอบรมบ่มนิสัยมากกว่าชาย ถ้าผู้หญิง เข้าสู่การเมืองการคอรัปชั่นก็จะลดน้อยลงจากเหตุผลดังกล่าวผศ.มาลีผู้นำ-        มีความคิดล่วงหน้า (วิสัยทัศน์)-        เป็นผู้นำทางความคิด-        เป็นผู้นำทางการกระทำ-        เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม (เอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมงาน)สรุปความแตกต่างชายหญิง-        ผู้ชายมักเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ ผู้หญิงคอยปฏิบัติตาม-        ผู้หญิงมีภารกิจด้านครอบครัวมากกว่าชาย-        สภาพสังคมส่วนรวมยังไม่ยอมรับ แต่ควรให้ผู้หญิงได้มีโอกาสมากกว่านี้-        ความเคยชินที่เคยปฏิบัติกันมานานทำให้ผู้หญิงไม่สามารถแสดงลักษณะเป็นผู้นำได้ สังคมปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไป มีการยอมรับผู้หญิงมากขึ้นจากคำสนทนาของดร.จีระ และ ดร.ปุระชัย พอสรุปได้ดังนี้ดร.จีระ-        มาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดี ครอบครัวที่อบอุ่น-        มีความริเริ่มสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์กว้างไกล-        ขวนขวายใฝ่รู้ เขียน , อ่านหนังสือเป็นประจำทำให้รู้กว้างมากขึ้น-        มีเครือข่ายตั้งแต่วัยเยาว์-        ทำงานหลากหลายรูปแบบ พัฒนาความรู้อยู่เสมอ ดร.ปุระชัย-        มีการเรียนรู้จากครอบครัว (ทุนมนุษย์)-        สนใจการเรียนรู้ด้วยการอ่าน (ทุนปัญญา)-        สนใจในเทคโนโลยีใหม่ ๆ  (ทุน IT)-        ให้ข้อคิดความใส่ใจเพราะโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาต้องใฝ่ศึกษาค้นคว้า-        เน้นครอบครัว ซึ่งพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างและเน้นตัวเองต้องแนะใจตัวเองสรุป  ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล (คิดนอกกรอบ)1.    พัฒนาตัวเองอยู่เสมอรู้ตัวเองพร้อมทั้งศึกษา รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น2.    มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า3.    เชี่ยวชาญการตลาด4.    มีเป้าหมายชัดเจนแน่นอนสะท้อนความจริง ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงนายนิคม  อำภารักษ์
นายชูศักดิ์ ลาภส่งผล
สวัสดีครับ ท่านศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์/อ.ยม และเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน 

 

จากการที่ได้เรียนในวันอาทิตย์แล้วได้อะไรบ้างจากการที่ได้อ่านบทความของ ท่าน ศ.ดร.จีระ แล้วฝึกการวิเคราะห์ถึงเหตุและผลถึงความคิดเห็นแล้วมาร่วมแชร์ไอเดียกัน ก็ทำให้ทราบถึงความคิดเห็นของแต่ละคนได้รู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้ มีการฝึกการคิดเป็นระบบมากขึ้นโดยยึดหลักของความมีเหตุมีผลของความเป็นผู้ที่มีภาวะผู้นำอย่างไร ได้ศึกษาถึงทฤษฎี 3 วงกลมว่านำไปใช้อย่างไรในการเปลี่ยนแปลงด้านสังคม สภาพแวดล้อมภายนอกและภายในองค์กร ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือวิสัยทัศน์ขององค์กรและเราจะทำอย่างไรที่จะใ้ห้ทุกคนในองค์กรมีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมกันและพร้อมที่จำำนำพาองค์กรเราพัฒนาไปสูการแข่งขันที่เป็นเลิศได้อย่างไร จากการดูบทสัมภาษณ์เรื่องภาวะผู้นำชายและหญิงต่างกันอย่างไรการเป็นภาวะผู้นำ่ของผู้ชายจะได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่าผู้หญิงเพราะผู้ชายกล้าที่จะตัดสินใจทำทันทีโดยไม่รอช้า มีความอดทน มีความกล้าที่จะทำ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีทุนทางด้านสังคมมากเพราะส่วนใหญ่ผู้ชายจะทำงานนอกบ้านมากกว่าจึงได้เปรียบทางด้าน ความสัมพันธ์กับผู้คนในชนชั้นสังคมมากแต่การเป็นผู้นำของผู้หญิง นั้นการตัดสินใจนั้นประนีประนอม เรื่อย ๆ ไม่ชอบการแข่งขัน แต่มีข้อดีคือเป็นคนละเอียดรอบคอบ มีคุณธรรมจริยธรรมมากกว่าฝ่ายชายแต่ขากทุนทางด้านสังคมดังนั้นจึงได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ในการเป็นผู้นำนั้นน้อยมากแต่ในปัจจุบันนั้นพบว่าทั้งผู้ชายและผู้หญิงนั้นมีความสามารถเท่าเทียมกันแล้วถึงจะมีการยอมรับมากขึ้นแต่ก็ยังน้อยอยู่ จากการดูบทสัมภาษณ์ของท่านจีระ กับท่านปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ พบว่าทั้งสองนั้นเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทั้งคู่ มีความเป็นภาวะผู้นำ แต่มีความแตกต่างกันคือ        ท่านจีระ เป็นคนมีความรอบรู้แบบกว้าง ๆ ซึ่งส่งผลต่อวิสัยทัศน์ที่กว้างทำให้มองเห็นโลกทัศน์ที่แคบลง คิดนอกกรอบ สามารถถ่ายทอดความรู้ความสามารถออกมาในรูปแบบของทฤษฎีที่นำมาประยุกต์ใช้เป็นของตนเองได้ แต่ท่านปุระชัยท่านเป็นผู้มีความรู้ลึกเฉพาะเรื่องและที่สำคัญไม่สามารถที่จะถ่ายทอดความรู้ออกมาเป็นทฤษฏีเพื่อนำมาใช้  

ผู้นำที่ดีสิ่งสำคัญจะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรมจริยธรรม เรียนรู้แบบกว้าง ๆ เป็นผู้ที่ใฝ่รู้และรอบรู้นั่นคือสิ่งที่จะทำให้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างมองเห็นโลกทัศน์ที่แคบลง มองในสิ่งที่เป็นความจริง มีความเป็นไปได้ สามารถนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ก้บตนเองได้และจะต้องสร้างมูลค่าเพิ่มของกับตนเองและบุคคลอื่นได้อีกด้วยครับ

 

นายชูศักดิ์  ลาภส่งผล

MBA 6  ID.NO.106142001

มหาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด

น.ส.ปภาวี นาคสุข ID 106142008 MBA 6
เรียน ท่าน อ.จีระ และอ.ยม ที่เคารพ  และสวัสดีเพื่อนๆ MBA 6 และ 7 ทุกท่านก่อนอื่นดิฉันต้องกราบขอโทษท่านอาจารย์ทั้งสองท่านก่อน ที่เมื่อสัปดาห์ที่มา (วันอาทิตย์ที่ 18 มี..2550) ไม่สามารถเข้าเรียนได้เนื่องจากติดภาระงาน และรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก เมื่อได้ฟังจากเพื่อนเล่าว่าได้รับความรู้มากมายจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันจึงอาศัยอ่านข้อความและความคิดเห็นต่างๆ จากเพื่อนๆ ที่ได้เขียนตอบลงมาในบล็อก และต้องขอขอบคุณ คุณพนาวัลย์ คุ้มสุด เป็นอย่างสูง ที่เสียสละเวลาโทรศัพท์มาถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับจากการเรียน และเล่าถึงสิ่งต่างๆ อย่างรายละเอียดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียน พร้อมทั้งบทวิเคราะห์ต่างๆ จากเพื่อนที่วิเคราะห์ได้อย่างน่าประทับใจ และตรงตามทฤษฎีโป๊ะเช๊ะของท่านอาจารย์จีระ ขอบคุณพี่วัลย์ค่ะ Jดังนั้น ในการส่งการบ้านครั้งนี้ ดิฉันจึงขอตอบจากความคิดเห็นส่วนตัวของดิฉันเอง ในเรื่องภาวะผู้นำชายและหญิงต่างกันอย่างไร คือ อันดับแรกเลยดิฉันคิดในเรื่องของธรรมชาติที่สร้าง เพศหญิง และเพศชาย ขึ้นมา สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ สรีระ ดิฉันมองในด้านของความคล่องตัว ผู้ชายจะถูกมองว่ามีความคล่องตัวมากกว่าผู้หญิง มีความแข็งแกร่ง อดทน สามารถทำอะไรที่พวกเรามักจะเรียกว่าบุกป่าผ่าดงได้ดีกว่าผู้หญิง อันดับสองผู้หญิงถูกเลือกให้เป็นเพศที่ให้กำเนิด เมื่อถึงเวลาที่ต้องรับหน้าที่ในการให้กำเนิดบุตร ผู้หญิงจึงต้องเสียสละเวลาในการที่ต้องมุ่งความสำคัญไปที่การเลี้ยงบุตร ดังนั้นด้วยธรรมชาติที่สร้างมาให้เพศชายมีความได้เปรียบกว่าเพศหญิง จึงทำให้ผู้ชายได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำมากกว่าผู้หญิง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นใช่ว่าเพศหญิงจะไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำเลย ดิฉันคิดว่าบางสถานการณ์ บางหน่วยงานเพศหญิงก็มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำมากกว่าผู้ชาย เช่นในสถานการณ์ที่ต้องการความโอนอ่อนผ่อนปรน ผู้หญิงจะมีทักษะในการเจรจาที่ละมุนละม่อม และมีการยับยั้งอารมณ์ได้ดีกว่าเพศชาย หรือบางหน่วยงาน เช่นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเด็กและสตรี ผู้หญิงก็จะมีความเหมาะสมที่จะควรได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำมากกว่าผู้ชาย ดังเช่น คุณปวีณา หงสกุล ที่ดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิปวีณา หงสกุลเพื่อสิทธิเด็กและสตรี ต่อมาดิฉันมองในเรื่องของนิสัยใจคอ โดยมากแล้วสังคมให้การยอมรับว่าผู้ชาย จะเป็นเพศที่กล้าคิด กล้าทำ และกล้าตัดใจ ในเวลาอันรวดเร็ว และมองสิ่งต่างๆ เป็นมุมที่กว้างกว่าผู้หญิง ยกตัวอย่างง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เช่นการขับรถ การข้าม หรือการแซงผู้ชายจะมีความกล้ามากกว่าผู้หญิง และผู้หญิงมักจะถูกกล่าวหาอยู่เสมอว่าเป็นคนขับ ในกรณีที่มีรถซักคันขับไม่ดี ทั้งที่ยังไม่ทราบเลยว่าคนขับเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย และอีกหนึ่งเรื่องจากการขับรถที่ยกเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องของการมองสิ่งรอบตัว คือ การจำเส้นทาง ผู้ชายจะสามารถจดจำเส้นทางได้เป็นในลักษณะของโครงสร้าง จึงเป็นเหตุผลที่ดิฉันคิดว่าผู้ชายน่าจะมองสิ่งต่างๆ ได้กว้างกว่าผู้หญิง ส่วนผู้หญิงเวลาจำทางมักจะจำเป็นจุดหรือเป็นตำแหน่งที่สังเกตได้ง่าย ซึ่งในทางกลับกันดิฉันคิดว่า การที่ผู้หญิงถูกมองแบบนี้ กลับเป็นการบ่งบอกได้ว่าผู้หญิงมีความละเอียด และมีความรอบคอบมากกว่าผู้ชาย เพราะถึงจะช้าแต่ก็ชัวร์ จากการสำรวจจึงพบว่าอุบัติเหตุการณ์มักจะเกิดกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง ;)   ส่วนอีกประเด็นหนึ่งดิฉันเห็นด้วยกับคุณชูศักดิ์ (ตี๋เล็ก) เรื่องทุนทางสังคม ที่ผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงถูกจำกัดในเรื่องของความปลอดภัย บางสถานที่ไม่เหมาะที่จะไปเพียงลำพัง เช่น ที่ที่เปิดให้บริการตอนกลางคืน หรือการท่องเที่ยวไปยังที่ที่ห่างไกล ทำให้ผู้หญิงขาดการรับรู้สิ่งต่างๆ ที่ผู้ชายมีโอกาสได้เข้าถึงมากกว่า เพราะการมีโอกาสได้ไปในหลายๆ สถานที่ทำให้เราได้รับรู้วิถีชีวิตของคนในทุกระดับ และหลากหลายรูปแบบ และยังได้สังคมที่มากขึ้นอีกด้วย แต่โดยสรุปแล้ว ดิฉันคิดว่าผู้ชายและผู้หญิงมีความสามารถเท่าเทียมกัน จะต่างกันที่โอกาส และความเหมาะสม และที่สำคัญการเปิดรับของสังคมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะตัดสินว่าเพศชาย หรือเพศหญิง เพศใดมีความเป็นภาวะผู้นำมากกว่ากัน
นางสาวปณิธาน เชื้อชาติ ID 106142013 MBA 6

เรียนสวัสดีท่านอาจารย์ ดร.จีระ และท่านอ.ยม ที่เคารพ และสวัสดีเพื่อน Mba ทุกท่าน 

ก่อนอื่นดิฉันต้องขอโทษท่านอาจารย์ทั้ง 2 ท่านที่ไม่สามารถเข้าเรียนได้ เนื่องจากติดภารกิจย้ายบ้าน  ทำให้ไม่สามารถมาเรียนได้ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ซึ่งทำให้ดิฉันรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะท่านอาจารย์ ดร.จีระ และท่าน อ.ยม ได้มาถ่ายทอดความรู้พร้อมกันถึง 2 ท่าน  

 

โดยทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ คุณพนาวัลย์  คุ้มสุด ซึ่งได้เสียเวลาโทรศัพท์มาถ่ายทอดความรู้ และเล่าถึงบรรยากาศในการเรียน และสรุปทฤษฎีที่ท่านอาจารย์ทั้งสองสอน ดังนี้

  • ทฤษฎี 3 วงกลม

  • ทฤษฎี 8K’ s

  • ทฤษฎี 5K’ s

  • ทฤษฎี 4L’s

และได้เล่าถึงการดูเทปสัมภาษณ์ เรื่องผู้นำหญิงกับผู้นำชายต่างกันอย่างไร ซึ่งเพื่อนๆก็ได้ให้ความเห็นที่ต่างกันออกไป โดยส่วนตัวดิฉันขอวิเคราะห์ดังนี้

  • เพศหญิงจะมีความละเอียดรอบครอบในการทำงานมากกว่าฝ่ายชาย แต่จะด้อยกว่าในเรื่องของการคล่องตัวในการทำงาน ซึ่งทำให้งานในบางลักษณะจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับผู้นำหญิงและชายต่างกันไป
  • การยอมรับในสังคมยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควร  เนื่องจากอาจจะเป็นเพราะเพศหญิงดูเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าเพศชาย และการปลูกฝังมาตั้งแต่ในอดีตที่เพศหญิงจะต้องดูแลเรื่องในบ้าน

 

แต่โดยสรุปแล้ว  ดิฉันคิดว่า การจะมีผู้นำหญิงหรือผู้นำชายไม่ได้มีความแตกต่างกัน  ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำท่านนั้นจะมีภาวะผู้นำที่จะบริหารองค์กรไปสู่เป้าหมายขององค์กรให้ประสบความสำเร็จโดยยั่งยืนต่างหากที่สำคัญ

นางสาว นริศรา ทรัพย์ชโลธร
สวัสดีค่ะอาจารย์  จีระ  หงส์ลดารมภ์  อาจารย์  ยม  นาคสุข และเพื่อนๆนักศึกษาทุกท่าน         จากที่ได้เรียนกับอาจารย์จีระในวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ดิฉันได้เข้าใจเรื่องภาวะผู้นำและความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากได้รับความรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน  และอาจารย์จะเน้นเรื่องการเอาความรู้ที่อาจารย์สอนนั้นมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด  สอนให้คิดนอกกรอบอย่าคิดแต่ในกรอบและจากที่อาจารย์ได้ให้ดิฉันและเพื่อนๆทุกคนในห้องเสนอความคิดเห็นในชั้นเรียนทำให้ดิฉันได้แนวคิดและมุมมองใหม่ๆจากเพื่อนๆมากมาย  สุดท้ายเรื่องของจริยธรรมและคุณธรรมอาจารย์ได้สอนให้เห็นความสำคัญ กับเรื่องนี้ด้วยมากๆเช่นกัน         สรุปภาวะผู้นำจากผู้นำที่ได้เลือกไว้ - ประวัติของผู้นำที่ประทับใจ   NAME:  โชค  บูลกุลBORN:  เกิด 24 สิงหาคม 2510     EDUCATION:   ประถมศึกษาปีที่ 1- 6 โรงเรียนสาธิตเกษตรมัธยมศึกษาปีที่ 1–5 St.Joesph’s College,Sydney,Australiaมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน Worcester Academy, Massachusetts,U.S.A.ปริญญาตรี ทางด้านการจัดการฝูงโคนมจาก Vermont Technical Collegeปริญญาตรี ทางด้านวิทยาศาสตร์ สาขาสัตวศาสตร์ จาก Vermont Technical CollegeCareer Highlight: 2535 ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  สายงานธุรกิจ    การเกษตร  ฟาร์มโชคชัย2537-2539 รองกรรมการผู้จัดการ2539-2544 กรรมการผู้อำนวยการ2544- ปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการ  กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัยFamily:   -บิดา นายโชคชัย  บูลกุล    -มารดา นางสุจริต บูลกุล    -น้องสาว นางอร  วัฒนวรางกูล      -น้องชาย นายชัย  บูลกุล     Positioning:   -   เป็นทายาทคนโตของ โชคชัย บูลกุล ผู้บุกเบิกฟาร์มโชคชัย  ต้นตำนานคาวบอยเมืองไทย-   พลิกธุรกิจที่เคยติดลบให้ทำกำไร  และเป็นที่รู้จักด้วยการเปลี่ยนฟาร์มโคนมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว-   เป็นผู้บริหารฟาร์มโคนมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เนื้อที่ 20,000 ไร่ วัว 5,000 ตัว)-         บุกเบิกการส่งออกแม่พันธุโคนม  จากเดิมที่ ประเทศแถบเอเชียต้องสั่งวัวเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันไทยมีข้อตกลงทวิภาคีทำ FTA กับออสเตรเลีย  เกษตรกรได้รับผลกระโดยตรงจากการผ่อนปรนเงื่อนไขภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร  ดังนั้นการส่งออกวัวไปประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งสินค้าเกี่ยวเนื่องอย่างอาหารวัว จึงเป็นการเผื่อทางรอดให้กับฟาร์มโชคชัย        ผู้บริหารยุคใหม่ต้องเข้าใจสถานการณ์โลก  และบริษัทให้ดี รู้จักว่าศักยภาพตัวเองให้ดี ต้องเข้าใจตัวเอง  และกำหนดนโยบายของบริษัทให้สมบูรณ์ทั้งแนวรับและแนวรุกให้สัมพันธ์กัน        เรื่องแนวรุก คือ การวางแผนการตลาด การใช้เงินลงทุนๆ เป็นต้น ส่วนแนวรับคือ การสร้างความพร้อมขององค์กรทั้งเรื่องคน การวางแผน การวางระบบต่างๆ ไม่ใช่ว่าจะบริหารเชิงรุกอย่างเดียว        นักธุรกิจหรือผู้บริหารยุคใหม่ต้องเข้าใจการทำธุรกิจ มีจุดยืนของตัวเองว่าควรทำอย่างไรให้ธุรกิจมีความยั่งยืน ไม่ใช่ว่าเอาแต่ทำตามคนอื่นที่ประสพความสำเร็จ ซึ่งอาจจะได้แต่เป็นระยะสั้นๆ ทำให้ธุรกิจไม่มีเสถียรภาพ  ดังนั้นควรรู้จักศักยภาพตัวเองทำในสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ        การทำงานควรเป็นระบบ ซึ่งต้องเรียนรู้จากคนรุ่นเก่า  ต้องผสมผสานกัน คือ คนรุ่นก่อนโดยเฉพาะยุคบุกเบิกว่าเขามีความโดดเด่นต่อเรื่องความอดทนอย่างไร ขณะที่คนรุ่นเก่ามีน้อยแต่ก็ดีตรงที่มีความกล้าตัดสินใจ มีวินัยการทำงาน มองงานอย่างเป็นระบบ ดังนั้นควรเอาทั้งสองรุ่นมาผสมผสานกันนี่คือวิสัยทัศน์และวิธีคิดของโชค บูลกุล ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีแนวความคิดที่มีภาวะผู้นำครบถ้วนและสามารถนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้ในระยะยาวจากข้อมูลและบทความข้างต้นนี้สรุปได้ว่าผู้นำท่านนี้มีครบทุกอย่างในทฤษฎีทุน 8 ประเภท คือทุนมนุษย์ทุนทางปัญญาประถมศึกษาปีที่ 1- 6 โรงเรียนสาธิตเกษตรมัธยมศึกษาปีที่ 1–5 St.Joesph’s College,Sydney,Australiaมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน Worcester Academy, Massachusetts,U.S.A.ปริญญาตรี ทางด้านการจัดการฝูงโคนมจาก Vermont Technical Collegeปริญญาตรี ทางด้านวิทยาศาสตร์ สาขาสัตวศาสตร์ จาก Vermont Technical Collegeทุนทางจริยธรรมเวลาที่โชค บูลกุล ว่างมักจะขับรถไปเยี่ยมเด็กๆยากไร้ที่เขารับอุปการะไว้ ณ ชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสานตามลำพัง และไปชนิดไม่อยากเป็นข่างเอิกเริกทุนแห่งความสุขโชค บูลกุลมีความสุขในแบบส่วนตัวอยู่สองสามอย่าง คือ สุขที่จะได้ออกกำลังกาย เช่น วิ่งที่ละหลายๆกิโล ว่ายน้ำต่อเนื่องและยาวนาน เล่นดนตรีเงียบๆคนเดียวในห้องบันทึกเสียงส่วนตัวทุนแห่งความยั่งยืน-เป็นผู้บริหารฟาร์มโคนมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เนื้อที่ 20,000 ไร่ วัว 5,000 ตัว)-ปัจจุบันไทยมีข้อตกลงทวิภาคีทำ FTA กับออสเตรเลีย  เกษตรกรได้รับผลกระโดยตรงจากการผ่อนปรนเงื่อนไขภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร  ดังนั้นการส่งออกวัวไปประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งสินค้าเกี่ยวเนื่องอย่างอาหารวัว จึงเป็นการเผื่อทางรอดให้กับฟาร์มโชคชัย     ทุนทาง ITโชค บูลกุล ให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดเก็บข้อมูลเป็นอย่างมาก จะไม่พึ่งการแบ็คอัพข้อมูลในคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว ยิ่งเรื่องไหนที่ถือว่าสำคัญกับชีวิตเขาจะต้องจดไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยฝีมือตัวเอง แต่บนโต๊ะทำงานยังปรากฎว่ามีคอมพิวเตอร์โน็ตบุคถึงสองเครื่อง และแต่ละเครื่องมีหน่วยความจำถึง 30 gb เป็นความรอบคอบในการมีเครื่องสำรองหากเครื่องใดเครื่องหนึ่งมีปัญหา ทุนทาง knowledge,skill,mindset                                                                -บุกเบิกการส่งออกแม่พันธุโคนม  จากเดิมที่ประเทศแถบเอเชียต้องสั่งวัวเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย โชค บูลกุล ส่งออกโคนมแข่งกับออสเตรเลีย ประเทศที่มีโนว์ฮาวเรื่องโคนมมาหลายชั่วอายุคน ใครจะคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากการคิดแบบเด็กแล้วทำแบบผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นสิ่งที่โยงถึงชื่อ bizkids  นางสาว นริศรา ทรัพย์ชโลธรมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมป์ฟอร์ด    

 

นายวิวัฒน์ นาเวียง
สวัสดีท่านศ.ดร.จีระ อ.ยมเพื่อนนักศึกษาแสตมฟอร์ดและผู้อ่านทุกท่านหลังจากที่ได้เรียนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม ก็ได้ฝึกการอ่านวิเคราะห์ จับประเด็นตามบทความของท่าน ศ.ดร.จีระ ให้รู้จักการวิเคราะห์บทความ คิดเป็นระบบ จากนั้นก็ได้ศึกษาทฤษฎี 3 วงกลม วงกลมที่ 1 คือการจัดระบบบริหารองค์กร เน้นการบริหารแบบคล่องตัว 2. สมรรถนะของคนในองค์กร ต้องมีทักษะ ผู้นำต้องมอบความรู้ให้คนในองค์กร 3. แรงจูงใจ เป็นสิ่งสำคัญต่อพนักงานและลูกค้า       ผู้นำที่ดีจะต้องมีคุณธรรมจริยธรรม  สามารถสร้างความรักความสามัคคี ไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอกองค์กรภาวะผู้นำผู้ชายผู้หญิงแตกต่างกันอย่างไรผู้หญิงจะมีคุณธรรมจริยธรรมมากกว่าผู้ชาย มีความระเอียด รอบครอบ ขาดโอกาสจากสังคม และขาดทุนทางด้านสังคม ผู้ชายจะมีความกล้า กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ มากกว่า ไม่ลังเล มีโอกาสจากสังคมมากกว่า และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีท่าทาง ท่าที ที่ดีกว่า แต่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชายก็จะมีอิทธิพลมาจากผู้หญิง ในปัจจุบันผู้หญิงขึ้นมาเป็นผู้นำหลายท่านจึงเป็นเหตุผลในการสร้างความทัดเทียมระหว่างหญิงกับชาย        ความแตกต่างระหว่างศ.ดรจีระกับท่านปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ทั้งสองท่านมีนิสัยรักการอ่านตั้งแต่เด็ก มีแรงดลใจจากการอ่านหนังสือ จึงทำให้ทั้งสองท่านมีความรู้ความสามารถ มีภาวะผู้นำสูง  ในความแตกต่างของทั้งสองท่านคือ ศ.ดร.จีระ จะมีความคิดแบบนอกกรอบ ใฝ่รู้ รอบรู้ แบบกว้างๆสามารถถ่ายทอดความรู้ออกมาเป็นทฤษฎีต่างๆให้ได้ศึกษา แต่ท่านปุระชัย จะรู้ลึกๆ รู้เฉพาะเรื่อง คิดในกรอบ  จากการศึกษาประวัติผู้นำต่างๆองค์กรแต่ละองค์กรจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสามารถเป็นจริงได้ ผู้นำที่ดีจะต้องมีคุณธรรมจริยธรรม ใฝ่รู้ รอบรู้แบบกว้างๆ คิดนอกกรอบ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มองถึงความยั่งยืน ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม  
น.ส.นภาพร พิพัฒน์ ID106142007
       สวัสดีค่ะ่ท่าน ศ.ดร.จีระ อ.ยมและผู้อ่านทุกท่าน จากการเรียนวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 50 สรุปได้ว่าช่วงเช้า ได้อ่านบทความจาก ศ.ดร.จีระ ทำให้ทราบถึงแนวความคิดที่ต้องการให้คนไทยรักชาติให้มากขึ้น จากปัญหา3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ทุกคนคิดว่าเป็นปัญหาของประเทศเป็นปัญหาของทุกคน และทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขไม่ใช่แค่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ดิฉันคิดว่าทุกคนต้องร่วมมือกันรักษาผืนแผ่นดินไทย ให้สมศักดิ์ศรีกับที่มีคนตั้งมากมายต้องล้มตายเพื่อนำผืนแผ่นดินไทยกลับมาให้คนไทยได้ภาคภูมิใจเช่นทุกวันนี้ช่วงบ่าย ได้ดูเทปภาวะผู้นำชายและผู้นำหญิงสามารถสรุปประเด็นได้ดังนี้ผู้นำชาย   - สามารถนำตัวเองได้              - มีความสามารถในการตัดสินใจ              - ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ในการพักผ่อนและทำงานอดิเรก              - มีผู้นำเพศชายมากกว่าเพศหญิงผู้นำหญิง     สามารถนำตัวเองได้                 ยืดหยุ่นได้                 มีวิสัยทัศน์และพันธะกิจที่ชัดเจน                 มีจริยธรรมที่ชัดเจน                 เอื้ออาทรเกื้อกูล                 ลูกน้องชอบ                 ยุติธรรม                 ใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ                 ช่วยเหลือครอบครัวทางบ้านมากกว่าชายดูเทปการสนทนาระหว่าง ศ ดร.จีระกับดร.สุรชัยทำให้ทราบว่าดร.สุรชัยอ่านหนังสือออกเพราะแม่สอน และดร.สุรชัยรู้เยอะ    .ดร.จีระพ่อคือครู รักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต ศ.ดร.จีระรู้กว้างวิเคราะห์ผู้นำที่ชอบ คือพระนเรศวรเมื่อจับกับทฤษฎี 8 k ของ ศ.ดร.จีระสรุปได้ว่าทุนแห่งความยั่งยืน(Sustainable capital) ซึ่งข้อนี้จะเห็นได้ว่าองค์ดำถึงแม้จะเสด็จสวรรค์คตแล้วแต่ชื่อเสียงขององค์ดำยังคงอยู่นานเท่านานทุนทางปํญญา (Intellectual capital) จากการยกทัพไปตีเมืองคลังจะเห็นได้ว่าองค์ดำมีสติปัญญาในการวิเคราะห์ถึงช่องโหว่ในการทำศึกให้ชนะได้ โดยวิเคราะห์ว่าเมืองคลังอยู่บนเขาสูงเวลาที่ข้าศึกจะเข้าโจมตีก็จะสามารถเห็นข้าศึกได้ก่อนจึงยากที่จะเอาชนะเมืองคลังได้ แต่องค์ดำก็คิดวิเคราะห์ว่าเมืองที่อยู่สูงนั้นจะต้องมีทางลับในการขนส่งน้ำเพื่อไว้กินและใช้ เมื่อองค์ดำทราบถึงช่องโหว่นี้จึงแอบลอบเข้าช่องทางลับนี้จนได้ชัยจากการทำศึกทุนความรู้ ทักษะ ทัศนะคติ(Talent capital) ถึงแม้วาไทยจะตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าแต่องค์ดำเองก็สวามิภัคต่อพม่าเป็นอย่างดี ไม่คิดทำร้ายและทำศึกกับพม่าก่อนถึงแม้จะมีโอกาสก็ตาม เนื่องด้วยทรงมีทรรศนะคติที่ดีต่อพม่าทุนทางจริยธรรม (Ethical capital) จะเห็นได้ว่าองค์ดำครั้งทำศึกกับพม่าก็ทรงนำคนไทยที่ตกเป็นทาสกลับประเทศ ถึงแม้จะมีคนไทยบางคนคิดว่าตนเองเป็นคนของพม่าพร้อมทั้งพูดจาเสียดสี องค์ดำก็ยังอภัยโดยไม่ถือโทษโกรธทุนมนุษย์(Human capital) เนื่องจากครั้งที่องค์ดำยังเด็กไทยถูกพม่าโจมตี จนต้องตกเป็นองค์ประกันของพม่า และได้รับการเลี้ยงดูจากบาเยงนองเจ้าเมืองพม่า เสมือนลูก แต่ด้วยความที่ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีจากมารดา จึงมีจิตสำนึกรักชาติบ้านเมือง ไม่หลงระเริงที่จะได้ดีบนแผ่นดินพม่าทุนแห่งความสุข(Happiness capital) จะเห็นได้ว่าเมื่อทรงว่างจากการทำสงครามก็จะทรงดนตรี ทรงมีความสุขทุกครั้งในการบรรเลงทุนทางสังคม(Social capital) จะเห็นได้ว่าจากการชนะศึกเมืองคลัง และเจ้าเมืองพม่าต้องการจะฆ่าเจ้าเมืองและบุตรสาวเมืองคลัง องค์ดำก็ขออภัยโทษทำให้ไม่ถูกประหารเป็นจำคุกแทน ก่อนทำศึกกับพม่าจึงปล่อยทาสเชลยเมืองคลังในคุก เมื่อครั้งทำศึกกับพม่าทำให้แม่นางเลอขิ่นบุตรสาวเจ้าเมืองคลังช่วยไทยทำศึกกับพม่าจนมีชัยได้เนื่องจากทรงมีทุนทางสังคมที่ดีทุนทางIT(Digital capital)เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์จึงใช้นกพิราบในการติดต่อสื่อสารแทน
นาย สราวุฒิ ฉายแสง
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์   อ.ยม นาคสุขและเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน                จากการเรียนในครั้งที่ผ่านมา มีการกล่าวถึงทฤษฎี 3 วงกลม 1  CONTEXT คือการจัดระบบบริหารองค์กร เน้นการบริหารแบบคล่องตัว รวดเร็ว2 COMPETENCIES คือสมรรถนะของคนในองค์กร ต้องมีทักษะ ได้แก่ ความรู้เฉพาะทาง ความรู้เชิงบริหาร ความรู้ของผู้ประกอบการ ความรู้ด้านผู้นำและความรู้ความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก3 MOTIVATION คือการสร้างแรงจูงใจ เป็นสิ่งสำคัญต่อพนักงานและลูกค้า            เมื่อได้ดูบทสัมภาษณ์เกี่ยวผู้นำที่เป็นผู้หญิงและวิเคราะห์ได้ว่า จริงๆแล้วผู้หญิงมีบทบาทในการเป็นผู้นำมานานแล้วและพร้อมที่จะแสดงความเป็นผู้นำเสมอเพียงแต่ไม่มีโอกาสซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุผลทางสังคมที่ยอมรับผู้ชายมากกว่า แท้จริงแล้วหญิง ชาย ต่างมีความสามารถที่ต่างกันในแต่ระด้าน ควรที่จะช่วยเหลือกันและกัน เพื่อผลของงานที่ดีที่สุด การที่จะมีผู้หญิงเป็นผู้นำก็ต้องยอมรับในความสามารถของผู้นั้น            ในส่วนของบทสัมภาษณ์ ดร.ปุระชัย นั้น ตัว ดร.ปุระชัยเองถึงจะมีความมากแต่ก็ไม่เคยได้เขียนเป็นทฤษฎีได้นำไปลองปฏิบัติกัน ต่างกับ ดร.จีระที่มีทฤษฎี 4L’s, 5K’s ให้เป็นแนวปฏิบัติกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองท่านมีเหมือนกันคือ ความใฝ่รู้ แสวงหาความรู้ตลอดเวลาเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา และทำให้ทราบว่าการอ่านเป็นการเริ่มต้นของหลายสิ่งหลายอย่าง เป็นการเปิดโอกาสให้กับตัวเองที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆ การเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัวก็เป็นสิ่งสำคัญ การเรียนมิได้อยู่ภายในห้องเรียนเท่านั้น เราสามารถเรียนรู้ได้จากทุกที่ ทุกเวลา นาย สราวุฒิ ฉายแสงรหัส 106142011มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด(หัวหิน)
นางสาวหยาดอรุณ อาสาสำเร็จ
สวัสดีค่ะ่ท่าน ศ.ดร.จีระ อ.ยมและผู้อ่านทุกๆท่าน    สัปดาห์นี้ ศ.ดร.จีระ ได้เน้นถึงเรื่องทฤษฏี 3 วงกลม ซึ่งทั้งสามวงกลมเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการพัฒนาให้องค์กรก้าวไปสู่ความสำเร็จ โดยรอบนอกของ วงกลม คือ วิสัยทัศน์ หรือเป้าหมายของธุรกิจ  โดย วงกลมที่ 1 คือ Context  เป็นเปรียบเหมือนบ้านหรือองค์กรที่น่าอยู่ ซึ่งการที่จะเป็นบ้าน/องค์ทีดีนั้นจะต้องมีการส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดเวลา   วงกลมที่ 2 คือ Competencies เป็นการเสริมสร้างให้ทุกๆคนในองค์กรมีความสามารถ และสมรรถนะในการทำงาน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เฉพาะทาง, ความรู้เชิงบริหาร, ความรู้เชิงผู้นำ, ความรู้เชิงผู้ประกอบการ และความรู้แบบกว้างไกล   สำหรับวงกลมที่ 3  คือ Motivation  เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญเพราะเป็นส่วนที่จะต้องมีการสร้างแรงจูงใจให้คนที่อยู่ภายในและนอกบ้าน/องค์กร มีความต้องการทีจะอยู่   นอกจากนี้แล้ว ศ.ดร.จีระ ได้เน้นถึงความสำคัญ ของทฤษฎีดังนี้ทฤษฎี 4 L’s  ได้แก่       *    Learning Methodology   เข้าใจวิธีการเรียนรู้      *    Learning  Environment  สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้     *    Learning  Opportunities สร้างโอกาสในการเรียนรู้      *    Learning  Communities  สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้       ทฤษฎี 8 K’s  ได้แก่   *    Sustainable Capital (ทุนแห่งความยั่งยืน) *    Intellectual Capital  (ทุนทางปัญญา) *    Talent Capital  (ทุนทางความรู้ ทักษะ และทัศนคติ) *    Ethical Capital  (ทุนทางจริยธรรม) *    Digital Capital  (ทุนทางเทคโนโลยีสารสนทศ) *    Human Capital (ทุนมนุษย์) *    Happiness Capital (ทุนแห่งความสุข) *    Social Capital (ทุนทางสังคม)  และ ทฤษฎี 5 K’s ได้แก่*    Creativity Capital  ทุนแห่งการสร่างสรรค์ *    Innovation Capital ทุนทางนวัตกรรม *    Knowledge Capital  ทุนทางความรู้ *    Cultural Capital  ทุนทางวัฒนธรรม *    Emotional    Capital  ทุนทางอารมณ์   ช่วงบ่าย ศ.ดร.จีระได้ตั้งประเด็น เรื่องผู้นำเพศหญิง และชายมีความแตกต่างกันอย่างไร ดิฉันเห็นว่า ผู้นำที่เป็นชาย หรือเป็นหญิงนั้น ไม่ได้มีความแตกต่างกัน เพราะปัจจุบันสังคมไทยได้ส่งเสริม และมีการสนับสนุนในเรื่องการเรียนรู้ และการแสดงออกมากกว่าในอดีต หากจะแตกต่างกันก็ตรงที่ ผู้นำที่เป็นผู้หญิงอาจจะอ่อนแอกว่า(ในบางเรื่อง) รวมทั้งข้อเสียที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มีคือการจู่จี้จุกจิก และไม่หนักแน่นเหมือนผู้นำที่เป็นผู้ชาย นอกจากนี้แล้วการที่สังคมไม่ค่อยได้ให้โอกาสกับผู้หญิงในการเป็นผู้นำอาจเนื่องมาจากสังคมไทยมีการเลี้ยงดูผู้หญิงแบบทนุถนอมมากกว่าผู้ชาย และมีการปลูกฝังตั้งแต่ในอดีตว่าผู้หญิงจะต้องเป็นผู้ที่ดูแลเรื่องงานบ้านมากว่านอกบ้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงไม่ค่อยมีบทบาทที่เด่นชัดทางสังคมมากนัก     นอกจากนี้แล้วได้มีการนำเทปวีดีโอมาให้ศึกษา ซึ่งเป็นการสนทนาระหว่าง ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมย์ กับ ศ.ดร.ปุระชัย  เปี่ยมสมบูรณ์ โดยช่วงท้ายได้ให้วิเคราะห์ว่า ทั้ง 2 ท่านมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งดิฉันพอสรุปออกมาได้ว่า ความเหมือนที่ทั้งสองท่านมีคือ การที่ท่านทั้งสองเป็นผู้ที่มาจากครอบครัวที่อบอุ่นและมีการปลูกฝังให้มีการเรียนรู้ตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งทำให้ท่านทั้งสองเป็นผู้ที่มีความใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา และการเป็นนักอ่าน   ส่วนความต่างของท่านทั้ง 2 คือ ศ.ดร.ปุระชัย ท่านจะเรียนรู้จาการอ่านตำราและนำข้อคิดต่างๆที่ได้จากการอ่านมาปรับปรุงให้เข้ากับเรื่องต่างๆรอบๆตัวท่านและมาถ่ายทองให้ผู้อื่นท่านได้มีทัศนคติและโลกที่กว้างขึ้น ส่วน ศ.ดร.จีระจะนำเอาประสบการณ์ต่างๆจาการทำงานกับบุคคลที่หลากหลายและนำมาดัดแปลงเป็นทฤษฎี เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน    นางสาวหยาดอรุณ  อาสาสำเร็จ MBA#6      ID: 106142012 
นันทพล เถาลิโป้ รุ่น 7
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ อาจารย์ยม  ที่เคารพ  และสวัสดีเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน

         เมื่อวันที่  18 มีนาคม 2550 ได้ศึกษาภาวะผู้นำ โดยอาจารย์จีระ แจกบทความให้นักศึกษาได้ช่วยกันวิเคราะห์ เป็นการคิดเป็นระบบ   จากนั้นอาจารย์พูดถึง ทฤษฎี 3 วงกลม ดังนี้  

  • Context  โครงสร้างขององค์กร  องค์กรจะหต้องน่าอยู่ เปรียบเสมือนบ้านอันอบอุ่น ผู้นำองค์กรต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล การบริหารจัดการเป็นไปอย่างรวดเร็วคล่องตัว ผู้นำกล้าคิดกล้าตัดสินใจกระจายอำนาจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชามากขึ้น
  • Competencies   สมรรถนะขององค์กร ผู้นำต้องมีทักษะ  มีความรู้ความสามารถที่จะหาวิธีการดำเนินงานอย่างเหมาะสม
  • Motivation-  สร้างแรงจูงใจ   การทำงานขององค์กรต้องทำงานเป็นทีมเพื่อที่จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้มีการให้ขวัญและกำลังใจผู้ร่วมงาน เพื่อให้งานเป็นไปอย่างราบรื่น  อาจารย์จีระกล่าวว่าหากขาดวงใดวงหนึ่งแล้วจะทำให้การทำงานภายในองค์กรไม่ประสบผลสำเร็จ
         ในภาคบ่าย กระผมขออนุญาตอาจารย์จีระไปพักผ่อนเนื่องจากกระผมไม่สบาย ผมจึงนำเทปจากรุ่นมาฟัง การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผู้นำชายและผู้นำหญิง โดยการให้สัมภาษณ์ของดร.กัลยา และผศ.มาลี ซึ่งกระผมขอวิเคราะห์ตามความคิดของกระผมดังนี้         ในอดีตผู้ชายได้รับการยอมรับจากสังคมให้เป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง แต่ปัจจุบันและในอนาคตสังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น เช่น การเป็น ส.ส. เป็นนายกเทศมนตรี นายก อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งในความคิดของกระผมมีความคิดว่า ไม่ว่าชายหรือหญิง ก็สามารถจะเป็นผู้นำได้ขึ้นอยู่กับความสามารถ สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม ที่จะเอื้ออำนวย จากการฟังเทปการสัมภาษณ์ระหว่าง ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ และ ศ.ดร.ปุระชัย  เปี่ยมสมบูรณ์ สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ทั้งสองท่านมีทฤษฏี 8 K’s เหมือนกัน สมควรอย่างยิ่งที่บุคคลทั่วไปที่นักศึกษานำไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต                                                    ด้วยความเคารพอย่างสูง                                                         นันทพล  เถาลิโป้ รุ่น 7

 

นันทพล เถาลิโป้ รุ่นที่ 7

เรียน  ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ อ.ยม และสวัสดีเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน    จากการได้เรียนเรื่องภาวะผู้นำ และการเปลี่ยนแปลงในองค์กรในวันอาทิตย์  ที่  18 มีนาคม 2550 ในภาคเช้าอาจารย์ท่านได้ให้อ่านบทความที่ท่านเขียนแล้วนักศึกษาช่วยกันวิเคราะห์บทความนั้น     จากนั้นอาจารย์พูดถึง ทฤษฎี 3 วงกลม ดังนี้Ø    Context  โครงสร้างขององค์กร  -        ผู้นำองค์กรต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล-        องค์กรที่ขั้นตอนบริหารที่คล่องตัว ขั้นตอนการตัดสินใจสั้น กล้าตัดสินใจ-        มอบอำนาจให้ลูกน้องมากขึ้นØ    Competencies   สมรรถนะขององค์กร-        ผู้นำต้องมีทักษะ-        มีความรู้-        หาวิธีทำงานที่เหมาะสม-        มีทัศนคติที่ดีต่องานที่ทำØ    Motivation-        สร้างแรงจูงใจ-        ทำงานเป็นทีม-        ให้ขวัญและกำลังใจผู้ร่วมงาน จุดอ่อนของ วงกลม-        ผู้นำไม่มีวิสัยทัศน์  (เก่งคนเดียว)-        คนไม่รักองค์กรอย่างแท้จริง-        ระบบการบริหารการจัดการไม่คล่องตัว-        มีขั้นตอนการตัดสินใจหลายขั้นตอน-        ผู้นำมักไม่ฟังความคิดเห็นผู้ร่วมงามชอบสั่งการ-        ขาดทัศนคติทีดีต่อองค์กรภาคบ่ายอาจารย์ให้ดูเทป ซึ่งพอสรุปได้คือดร.กัลยา ท่านให้ข้อคิดดังนี้ผู้นำ  -        ต้องมีวิสัยทัศน์ เป้าหมายชัดเจน-        มีจรรยาบรรณ-        มีคุณธรรมจริยธรรม-        มีความรู้ผู้นำชายหญิงต่างกัน ที่ผู้หญิงมีคุณธรรม จริยธรรมมากกว่าเพราะการเลี้ยงดูจากครอบครัวจะได้รับการอบรมบ่มนิสัยมากกว่าชาย ถ้าผู้หญิง เข้าสู่การเมืองการคอรัปชั่นก็จะลดน้อยลงจากเหตุผลดังกล่าวผศ.มาลีผู้นำ-        มีความคิดล่วงหน้า (วิสัยทัศน์)-        เป็นผู้นำทางความคิด-        เป็นผู้นำทางการกระทำ-        เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม (เอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมงาน)สรุปความแตกต่างชายหญิง-        ผู้ชายมักเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ ผู้หญิงคอยปฏิบัติตาม-        ผู้หญิงมีภารกิจด้านครอบครัวมากกว่าชาย-        สภาพสังคมส่วนรวมยังไม่ยอมรับ แต่ควรให้ผู้หญิงได้มีโอกาสมากกว่านี้-        ความเคยชินที่เคยปฏิบัติกันมานานทำให้ผู้หญิงไม่สามารถแสดงลักษณะเป็นผู้นำได้ สังคมปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไป มีการยอมรับผู้หญิงมากขึ้นจากคำสนทนาของดร.จีระ และ ดร.ปุระชัย พอสรุปได้ดังนี้ดร.จีระ-        มาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดี ครอบครัวที่อบอุ่น-        มีความริเริ่มสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์กว้างไกล-        ขวนขวายใฝ่รู้ เขียน , อ่านหนังสือเป็นประจำทำให้รู้กว้างมากขึ้น-        มีเครือข่ายตั้งแต่วัยเยาว์-        ทำงานหลากหลายรูปแบบ พัฒนาความรู้อยู่เสมอ ดร.ปุระชัย-        มีการเรียนรู้จากครอบครัว (ทุนมนุษย์)-        สนใจการเรียนรู้ด้วยการอ่าน (ทุนปัญญา)-        สนใจในเทคโนโลยีใหม่ ๆ  (ทุน IT)-        ให้ข้อคิดความใส่ใจเพราะโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาต้องใฝ่ศึกษาค้นคว้า-        เน้นครอบครัว ซึ่งพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างและเน้นตัวเองต้องแนะใจตัวเองสรุป  ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล (คิดนอกกรอบ)1.    พัฒนาตัวเองอยู่เสมอรู้ตัวเองพร้อมทั้งศึกษา รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น2.    มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า3.    เชี่ยวชาญการตลาด4.    มีเป้าหมายชัดเจนแน่นอนสะท้อนความจริง ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงนายนิคม  อำภารักษ์

  เรียน  ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ อ.ยม และสวัสดีเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน    จากการได้เรียนเรื่องภาวะผู้นำ และการเปลี่ยนแปลงในองค์กรในวันอาทิตย์  ที่  18 มีนาคม 2550      อ.จีระ  แจกเอกสารที่เป็นบทความให้ทุกคนอ่านและแสดงความคิดเห็นพร้อมทั้งวิเคราะห์ตามความคิดเห็นของตนเอง และอาจารย์ได้เสริมในส่วนที่วิเคราะห์ไม่ถูกต้อง อาจารย์เน้นทฤษฎี 4 L’s      Learning Methodology       เข้าใจวิธีการเรียนรู้     Learning  Environment      สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้      Learning  Opportunities     สร้างโอกาสในการเรียนรู้     Learning  Communities     สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้     นอกจากนี้แล้วยังเน้นว่าทฤษฎี 8 K’s , 5 K’s และทฤษฎี 2 R’s ทฤษฎี 3 วงกลม ต้องศึกษาให้ดี จะต้องนำทฤษฎีภาวะผู้นำไป Apply ให้ได้ ให้เก่ง 2-3  เรื่องก็พอ การเขียนวิเคราะห์ปัญหาให้ได้ จับประเด็นให้ได้ คิดอะไรให้เป็นระบบมากขึ้นØ    อาจารย์ตั้งคำถามว่า ทฤษฎี 5 K’s และ 8K’s ชอบอะไรมากที่สุดให้ยกตัวอย่างประกอบ Ø    ความรู้สึก และความจริง อะไรดีกว่ากัน ใน 5 K’s คนบางคนมีสิ่งหนึ่งแต่ขาดสิ่งอื่นก็ได้Ø    ความนิ่ง ความสุข เกิดขึ้นจากมีชีวิตที่เกิดจากการสมดุลØ    ทฤษฎี วงกลม มีความสำคัญกับภาวะผู้นำ เปรียบเสมือนว่าContext  บ้านที่  1  เป็นบ้านที่น่าอยู่ องค์กรคล่องตัว ผู้นำจึงจะเกิดขึ้น องค์กรที่ดีต้องเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เป็นประชาธิปไตยให้รับรู้ข่าวสารทั่ว ๆ กัน Competencies  บ้านหลังที่  2  สมรรถนะในอนาคต1.    ความรู้เฉพาะทาง 2.    ความรู้เชิงบริหาร3.    ความรู้เชิงผู้นำ4.    ความรู้เชิงผู้ประกอบการ5.    รู้อะไรที่กว้าง ๆ Motivation  บ้านหลังที่   3  เก่งไม่เก่งอยู่ที่แรงจูงใจ มีมรดกทิ้งไว้ในโลก คนเราต้องภูมิใจมีคุณค่าต่อสังคม รักประชาธิปไตย    รักสิ่งแวดล้อม รอบนอกของ วงกลม คือ วิสัยทัศน์ , เป้าหมายของธุรกิจ      จากนั้น อาจารย์ถามว่าทำไมองค์กรไม่ประสบผลสำเร็จในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ให้ปรึกษาในกลุ่มใช้เวลา 5 นาที ส่งตัวแทนนำเสนอ ซึ่งกลุ่มดิฉันให้นำเสนอว่า 1.    วิสัยทัศน์ นำองค์กรปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน2.    จริยธรรม และคุณธรรม ให้คิดถึงประเทศไทยก่อนที่จะนึกถึงใคร3.    อย่ารู้คนเดียว เก่งคนเดียว ต้องฝึกให้คนอื่นเก่งด้วย4.    อาจารย์ได้เสริมว่า ผู้นำจะต้องมีความเชื่อ เรื่องทรัพยากรมนุษย์ว่า เป็นทรัพย์สินต้องมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กรก่อน คนไทยต้องมีปรัชญามองอนาคต มองไกล การขับเคลื่อนให้องค์กรเกิดความเป็นเลิศก็มีปัจจัยหลาย ๆ อย่าง  อ.ยมได้เสริมว่า ประชาชนทุกคนในโลก จะต้องมาช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมโลก ปัญหาโลกร้อน น้ำทะเลสูงขึ้น คนไทยไม่ค่อยทำวิจัย ผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนอาจารย์ให้ดูเทป ผู้นำหญิงและชายต่างกันอย่างไร โดยอาจารย์จีระเป็นผู้ดำเนินรายการ มีผู้ร่วมรายการคือ ดร.กัลยา โสภณพานิช  และ ผศ.มาลี ทั้งสองท่าน ก็ได้แสดงความคิดเห็นว่าผู้หญิงและผู้ชายแตกต่างกันอย่างไร จำแนกได้ดังนี้ชาย1.       นำตัวเองได้2.       ตัดสินใจได้รวดเร็ว3.       ใช้เวลากับการพักผ่อนและงานอดิเรกมากกว่าผู้หญิง4.       เปอร์เซ็นต์ของผู้นำชายมากกว่าหญิง หญิง1.       นำตัวเองได้2.       ยืดหยุ่นได้3.       วิสัยทัศน์ เป้าหมายชัดเจน4.       จริยธรรม คุณธรรม เอื้ออาทร เกื้อกูล5.       ลูกน้องสบายใจมีความยุติธรรม6.       มีคอรัปชั่นลดลง 7.       ดูแลเงินทองของครอบครัวได้8.       ผู้หญิงต้องตั้งท้องดูแลลูก9.       ถ้าผู้หญิงไปทำงานต่างประเทศจะส่งเงินมาให้ทางบ้านมากกว่าผู้ชาย10.  ถ้าผู้หญิงเข้ามาเป็นนักการเมือง จะออกกฎหมายที่ผู้ชายไม่เคยคิดมาก่อน 11.  ผู้นำสตรี ไม่ถูกยอมรับ12.  ผูกขาดอำนาจ13.  ความสำเร็จของผู้ชายมีผู้หญิงผลักดันอยู่เบื้องหลัง14.  สามารถบริหารเวลาได้15.  แสดงบทบาทได้ไม่เต็มที่เมื่อนำความแตกต่างของชายและหญิง มาวิเคราะห์ได้ประเด็นดังนี้1.       ผู้ชายมีความมั่นใจในตนเองสูง และมีการตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ส่วนผู้หญิงการตัดสินใจต้องใช้เวลา ต้องมีความรอบคอบ การแสดงความคิดเห็นบางอย่างไม่ถูกยอมรับเท่าที่ควร เนื่องจากค่านิยมของคนในอดีตที่ไม่ยอมรับบทบาทของผู้หญิง 2.       ผู้ชายไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงไม่กล้าแสดงออกได้อย่างเต็มที่ องค์กรทั้งภาครัฐและ เอกชนส่วนใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เป็นผู้นำ     จากการอ่านหนังสือ ภาคภาษาอังกฤษ Chapter 3 ซึ่งกลุ่มของเราได้ช่วยกันแปลเป็นภาษาไทยเสร็จตั้งแต่วันพฤหัสบดี ที่ 15 มี.ค. 2550 และสรุปเพื่อนำเสนอ ซึ่งไปเกี่ยวข้องกับ A Model of Effective Leadership จากเอกสารหน้า 27 และอาจารย์ได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติม     จากการได้ศึกษาจากเทป การสนทนาระหว่าง ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ และ ศ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ สรุปได้ว่า ทั้งสองท่าน มีทฤษฎี 8 k’s เหมือนกัน ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ มีความรู้กว้าง ส่วน ศ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์  มีความรู้ลึก  สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ อาจารย์ยม  ที่เคารพ  และสวัสดีเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน          เมื่อวันที่  18 มีนาคม 2550 ได้ศึกษาภาวะผู้นำ โดยอาจารย์จีระ แจกบทความให้นักศึกษาได้ช่วยกันวิเคราะห์ เป็นการคิดเป็นระบบ   จากนั้นอาจารย์พูดถึง ทฤษฎี 3 วงกลม ดังนี้  Context  โครงสร้างขององค์กร  องค์กรจะหต้องน่าอยู่ เปรียบเสมือนบ้านอันอบอุ่น ผู้นำองค์กรต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล การบริหารจัดการเป็นไปอย่างรวดเร็วคล่องตัว ผู้นำกล้าคิดกล้าตัดสินใจกระจายอำนาจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชามากขึ้น Competencies   สมรรถนะขององค์กร ผู้นำต้องมีทักษะ  มีความรู้ความสามารถที่จะหาวิธีการดำเนินงานอย่างเหมาะสม Motivation-  สร้างแรงจูงใจ   การทำงานขององค์กรต้องทำงานเป็นทีมเพื่อที่จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้นำมีการให้ขวัญและกำลังใจผู้ร่วมงาน เพื่อให้งานเป็นไปอย่างราบรื่น  อาจารย์จีระกล่าวว่าหากขาดวงใดวงหนึ่งแล้วจะทำให้การทำงานภายในองค์กรไม่ประสบผลสำเร็จ          ในภาคบ่าย กระผมขออนุญาตอาจารย์จีระไปพักผ่อนเนื่องจากกระผมไม่สบาย ผมจึงนำเทปจากรุ่นมาฟัง การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผู้นำชายและผู้นำหญิง โดยการให้สัมภาษณ์ของดร.กัลยา และผศ.มาลี ซึ่งกระผมขอวิเคราะห์ตามความคิดของกระผมดังนี้         ในอดีตผู้ชายได้รับการยอมรับจากสังคมให้เป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง แต่ปัจจุบันและในอนาคตสังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น เช่น การเป็น ส.ส. เป็นนายกเทศมนตรี นายก อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งในความคิดของกระผมมีความคิดว่า ไม่ว่าชายหรือหญิง ก็สามารถจะเป็นผู้นำได้ขึ้นอยู่กับความสามารถ สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม ที่จะเอื้ออำนวย จากการฟังเทปการสัมภาษณ์ระหว่าง ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ และ ศ.ดร.ปุระชัย  เปี่ยมสมบูรณ์ สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ทั้งสองท่านมีทฤษฏี 8 K’s เหมือนกัน สมควรอย่างยิ่งที่บุคคลทั่วไปที่นักศึกษานำไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต                                                        ด้วยความเคารพอย่างสูง                                                         นันทพล  เถาลิโป้ รุ่น 7
นางสาวปณิธาน เชื้อชาติ ID 106142013 MBA 6

กราบเรียน ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์, ท่านอาจารย์ยม และเพื่อนๆMba ทุกท่า  

วิเคราะห์ผู้นำที่ชื่นชอบพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดม ตามหลักทฤษฎี 8 K's ของท่านอาจารย์ ศ.ดร.จีระ ดังนี้

ทุนมนุษย์ (Human Capital)

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ ทรงมีทุนมนุษย์ ซึ่งเป็นทุนความรู้ขั้นพื้นฐาน ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ ในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๕ ทรงได้รับการศึกษาชั้นแรก ในพระบรมมหาราชวัง มีพระยาอิศรพันธ์โสภร (พูน อิศรางกูร) เป็นพระอาจารย์ และทรงศึกษา ภาษาอังกฤษกับ Mr.Morant ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ และได้ทรงเข้าเป็นนักเรียน ในโรงเรียนหลวง ณ พระตำหนักสวนกุหลาบ อยู่จนถึงทรงโสกันต์  และเมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ และศึกษาต่อใน โรงเรียนนายเรืออังกฤษ  ทุนทางปัญญา(Intellectual Capital)  ทรงเป็นผู้กำหนดริเริ่มแบบสัญญาณธงสองมือ และโคมไฟ ตลอดจนเริ่มฝึกพล พลอาณัติสัญญา”(ทัศนสัญญาณ) ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งเห็นได้ว่าทรงเป็นผู้รู้จริง และมีความกระตือรือร้นที่จะทำงาน

 

 

ทุนทางจริยธรรม(Ethical Capital) ทรงมีพระประสงค์ จะให้เจ้าหน้าที่ต่างๆ ได้มีการฝึกหัด ให้มีความชำนาญ และมีพระประสงค์จะเห็นความสามารถ ของเจ้าหน้าที่ด้วย ทรงให้ฝึกหัดหลายอย่าง เช่นฝึกหัดเตรียมรบ หัดทิ้งลูกดิ่ง หัดตีกรรเชียง หัดสละเรือใหญ่ เป็นต้น นับว่าได้ทรงฝึกหัดทหารเรือ และนักเรียนนายเรือให้มีความชำนาญในการรบ และปฏิบัติการด้วยความเข้มแข็ง และมีความอดทนอย่างแท้จริง โดยที่พระองค์ ได้ทรงบัญชาการฝึก ด้วยพระองค์เองอย่างใกล้ชิดตลอด เป็นต้นว่า ช่วยลากเชือกวิ่งในเวลาชักเรือบต และขนถ่ายของจากเรือใหญ่ แม้แต่วิธีปฏิบัติในเรือ เกี่ยวกับการอาบน้ำ หรืออาหาร ก็ทรงปฏิบัติเช่นเดียวกับทหารอื่นๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทหารทั้งหลาย ย่อมเห็นในพระอุตสาหะ และความห่วงใยของพระองค์ ที่มีต่อบรรดาทหารทั้งหลาย ทหารทั้งนั้นจึงได้รัก และเคารพในพระองค์ท่าน อย่างยิ่งประดุจว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งทหารเรือทั้งหลาย และในครั้นทรงศึกษาตำราแพทย์จนชำนิชำนาญและรับรักษาโรคให้กับประชาชนพลเมืองทั่วไปโดยไม่คิดมูลค่า

 

 

ทุนแห่งความสุข(Happiness Capital)  จากการที่กรมหลวงชุมพร ทรงมีทุนทางความรู้ มีทุนทางปัญญาและทุนทางจริยธรรมแล้ว ย่อมเป็นพื้นฐานที่จะมีความสุข เพราะท่านทรงประสบความสำเร็จแล้วยังมีความดีงามที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่นหรือทรัพยากรส่วนกลาง

 

 

ทุนทางสังคม(Social Capital)  

ทรงแก้ไขปรับปรุงการศึกษา ระเบียบการในโรงเรียนนายเรือทุกอย่าง ทั้งฝ่ายปกครอง และฝ่ายวิชาการให้รัดกุม ทัดเทียมอารยะประเทศ เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน เป็นนายทหารเรือที่มีความรู้ความสามารถเสมอภาคกับนายหทารเรือต่างประเทศ และสามารถทำการแทนในตำแหน่งของชาวช่างประเทศที่รับราชการอยู่ในกองทัพเรือในขณะนั้น

 

 

 ทุนแห่งความยั่งยืน(Sustainable Capital) 

 

แม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ แต่พระบารมีของพระองค์ยังคงแผ่ไพศาลไปทั่วทุกสารทิศ คอยปกป้องคุ้มครอง พสกนิกร ดังเช่น อนุสรณ์ที่ปรากฏอยู่อย่างมากมายทั่วประเทศ มีทั้งพระอนุสาวรีย์ พระรูป ศาลกรมหลวงชุมพร พระฉายาลักษณ์ พระสาทิศลักษณ์ เหรียญที่ระลึก ตลอดจนพระนามที่ปรากฏ เป็นชื่อของสถานที่ต่างๆ เป็นประจักษ์พยานได้ เป็นอย่างดี  "...ส่วนตัวเราตายไว้ยืน ไว้ยืนแต่ชื่อให้โลกทั้งหลายเขาลือ ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย..."

 ทุนแห่ง IT(Digital Capital)                 ได้ทรงนำสิ่งใหม่ มาสู่วงการทหารเรืออีก คือ แต่เดิมเรือรบของไทยทาสีขาว พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนสี เรือมกุฎราชกุมาร ให้เป็นสีหมอก ตามแบบอย่างเรือรบอังกฤษ และต่อมาเรือรบทุกลำของไทย ก็ทาสีหมอกมาจนทุกวันนี้

 

 

ทุนแห่งความรู้ ทักษะ ทัศนคติ(Talented Capital) ได้ทรงวางรากฐานที่จะสร้างนายทหารเรือไทยให้มีความรู้ ทักษะ ทัศนคติ โดยการเพิ่มวิชาสามัญชั้นสูงขึ้นกับวิชาวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม นอกจากวิชาการเดินเรือ มีการขยายหลักสูตรกว้างขวางออกไป โดยมีการตั้งโรงเรียนนายช่างกลเป็นครั้งแรก ทรงปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนายเรือให้เจริญและดียิ่งขึ้น สร้างทุนความรู้ให้กับนักเรียนนายเรือ โดยมีการฝึกให้ทหารเรือไทยเดินเรือทะเลได้อย่างชาวต่างประเทศ  ส่วนตัวพระองค์เองครั้นถูกปลดออกจากราชการ ทรงศึกษาวิชาแพทย์ แผนโบราณ จากตำราไทยด้วยพระองค์เอง แสดงว่าพระองค์ใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา

 

 

นางสาวปณิธาน  เชื้อชาติ  MBA 6 ID:106142013

 

 

 

 

น.ส.ปภาวี นาคสุข ID 106142008 MBA 6
เรียน ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และ อ.ยม นาคสุข และสวัสดีเพื่อนๆ MBA 6, 7 ทุกท่าน ดิฉัน ขอนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับภาวะผู้นำ จากผู้นำที่ได้เลือกขึ้นมา 1 ท่าน คือ  คุณวิกรม กรมดิษฐ์
การศึกษา 
Bachelor’s Degree : วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ไต้หวัน
PHD’s Degree  : ปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการบริหารทั่วไป มหาวิทยาลัยราม           
ตำแหน่งปัจจุบัน
1975 :  ประธานกรรมการ บริษัทอมตะ โฮลดิ้ง จำกัด
1989 : ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอมตะคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
         : กรรมการบริษัท บี ไอ พี ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด
1994 : ประธานกรรมการบริหารบริษัท อมตะเวียดนาม จำกัด
1995 : กรรมการบริษัท อมตะพาวเวอร์ จำกัด
         : กรรมการบริษัท อมตะเอ็กโก้ พาวเวอร์ จำกัด
1996 : ประธานกรรมการบริหารบริษัท อมตะ พาวเวอร์ เบียนหัว จำกัด
         : ประธานมูลนิธิอมตะ
2001 : ประธานบริษัท อมตะ เนชั่นแนลแกส ดิสตริบิวชั่น จำกัด กรรมการบริษัท อมตะเอ็กโก้ พาวเวอร์ จำกัด
2002 : ประธานกรรมการที่ปรึกษา บริษัท อมตะเวียดนาม จำกัด
วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  ผู้ที่พลิกผันตัวเองจากเด็กชายตัวเล็กๆ ของครอบครัว ค้าขายในจังหวัดกาญจนบุรี เริ่มต้นก่อร่างสร้างตัวจนเป็นเจ้าของอาณาจักร อมตะ นิคมอุตสาหกรรมที่เติบโตยิ่งใหญ่ และครอง สัดส่วนการตลาดมากกว่า 50% ของนิคมอุตสาหกรรมทั้งประเทศ ครอบครัวของเขาทำธุรกิจ ค้าขายและการเกษตร ปู่ทวดมาจากประเทศจีนราว 160 ปีที่แล้ว มาค้าขายในเมืองไทย ได้แต่งงานกับย่าทวดซึ่งเป็น คนไทยเชื้อสายจีนที่ทำธุรกิจด้านยาสูบ ครอบครัวจึงทำธุรกิจด้านโรงบ่มใบยาสูบ จนกระทั่งมาถึงรุ่นของคุณปู่ ที่เริ่มมีเรือกำปั่นเป็นของตัวเอง ใช้ขนส่งใบยาจากจังหวัดกาญจนบุรีมาที่กรุงเทพฯ และส่งไปขายต่อที่จีน อาชีพค้า ขายจึงกลายเป็นอาชีพหลักของครอบครัวมาโดยตลอด ตัวเขาเองตั้งแต่เรียนอยู่ประถมปีที่หนึ่งก็เริ่มรู้จักการค้าขายแล้ว โดยเริ่มจากการขายถั่วคั่ว ทำมาเรื่อยจนถึง ป.3 เจ้าของร้านจะย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ คุณวิกรมจึงเข้าไปขอซื้อร้าน ไปเทคโอเวอร์มา แล้วต่อมาก็ไปรับเอาขนมปัง ลูกอมเอาเข้ามาขายไปด้วย มันเลยทำให้เค้าชอบการค้าขายทำเงินมาตั้งแต่เด็ก คุณวิกรมเป็นลูกคนโต มีน้องมากต้องคอย เลี้ยงน้อง และความเป็นพี่ใหญ่นี่เอง ทำให้นิสัยเค้าเป็นผู้ที่ ไม่ต้องการให้ใครสั่ง แค่รู้เป้าหมายว่าต้องการให้เป็นอย่างไร เค้าจะดูแลจัดการเอง ครอบครัวคุณวิกรมมีฟาร์ม และที่ดินนับ 1,000 ไร่ เป็นไร่อ้อย และมีสวนผลไม้บ้างบางส่วน รวมคนงานราว 400-500 คน ถ้าจะมองไปแล้ว ภาระหน้าที่เหล่านี้อาจจะดูหนักไปสักหน่อยสำหรับเด็กอายุเพียง 15 ปีที่ต้องมารับผิดชอบงานมากอย่างนี้  จากความชอบและสนุกไปกับการหาเงิน กลายเป็นส่วนที่ช่วยบ่มเพาะและปลูกฝังความเป็นนักธุรกิจให้วิกรม อย่างเต็มตัว ซึ่งเค้ามีความฝันมาตั้งแต่เด็ก อยากจะมีกิจการ ของตนเอง และด้วยความที่ต้องควบคุมคนงานมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จึงรู้จักที่จะสร้างบารมี คนงานไม่มีใครไม่เชื่อ ถือเค้า และทำอะไรต้องมีเหตุผล ทำให้สามารถควบคุม คนมากๆ ได้และมีความมั่นใจในตัวเองสูง จนกระทั่งเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัยในไต้หวัน เขาก็เริ่มต้นทำธุรกิจแบบจริงจังและเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น ด้วยการนำเข้าสินค้าประเภทอะไหล่วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องสูบน้ำ จากประเทศไต้หวันเข้ามาขายในไทย และนำสินค้า ประเภทเครื่องหนัง ทองรูปพรรณ เมล็ดพันธ์ต่างๆ กลับไปขายในไต้หวันแทน ซึ่งทำให้เขาเองเริ่มมีเงินเป็นกอบเป็นกำ คุณวิกรมจึงเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่ดีที่สุดในมหาวิทยาลัย เลือกเรียนสาขาเกษตรเพื่อหวังจะกลับมาทำธุรกิจเกษตรกรรมของที่บ้าน แต่เมื่อเรียนไปแล้วรู้สึก ว่าอากาศหนาวของไต้หวันไม่เหมาะกับบ้านเรา จึงเปลี่ยน มาเรียนสาขาเครื่องกล ซึ่งเป็นสาขาที่มีคนนิยมเรียนมาก และเมื่อไปอยู่ต่างประเทศ จึงต้องดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด เขาใช้เวลาเสาร์อาทิตย์ไปตระเวนตามงานแสดงสินค้าแล้วเก็บเบอร์ติดต่อไว้ ช่วงปิดเทอมก็จะซื้อตั๋วเครื่องบินขนสินค้ากลับมาขายในไทย จนได้รับเงินมาหลายแสนบาท สิ่งที่วิกรมได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก หล่อหลอมรวมกันจนมาถึงวันที่เขาเปิดบริษัทเป็นของตนเอง วิกรมเล่าย้อนกลับไปเมื่อ 31 ปีที่แล้ว ผมเปิดบริษัท บีเอ็นเค เอนเตอร์-ไพรส์ จำกัด ทำธุรกิจส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ ต่อมา เริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับค้าส่งอาหารเช่น ทูน่า รวมไปถึงการผลิตอาหารกระป๋องส่งขายต่างประเทศ การทำโรงงานผลิต อาหารนี่เอง เป็นจุดเริ่มต้นของการมองเห็นธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม  อมตะ คอร์ปอเรชั่นได้เปิดดำเนินการมากว่า 17 ปีแล้ว เขาเริ่มต้นจากการมองหาที่ดินในแถบบางปะกง ในช่วงแรกมีที่ดินอยู่ประมาณ 300 ไร่ เพียงแค่ปีเดียวก็ขาย ได้หมด จึงเริ่มขยายที่ดินออกไปอีก 1,400 ไร่ จนถึงวันนี้ นิคมอุตสาหกรรมภายใต้การบริหารของอมตะ คอร์ปอ-เรชั่น มีพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ และยังมีที่ดินเปล่าอยู่อีกกว่า 10,000 ไร่ รวมที่ดินทั้งหมดเกือบ 40,000 ไร่ มีบริษัทอยู่กว่า 600 บริษัท เม็ดเงินลงทุนราว 300,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้คิดเป็นราว 5% ของจีดีพีของประเทศเลยทีเดียว ในอนาคต ยังจะต้องมีโรงงานเพิ่มมากขึ้นในนิคมฯ และตั้งเป้าหมายว่าจะเปิดบริษัทลูกที่ให้บริการทางด้านสาธารณูปโภคแบบครบวงจรเพิ่มอีก 50 บริษัท  หากมอง "วิกรม" เป็นแบรนด์ ภาพลักษณ์ที่สังคมยอมรับในวันนี้ย่อมต้องใช้เวลาและมีขั้นตอนในการสร้างขึ้นมา สิ่งที่น่าสนใจก็คือ กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นมาอย่างไร  ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว "มูลนิธิอมตะ" ก่อตั้งขึ้นโดยมีวิกรมเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งและดำรงตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ ด้วยทุนส่วนตัวตั้งต้นที่ 200,000 บาท เพื่อใช้ในการจัดตั้งมูลนิธิ พร้อมกับที่ดินใน "อมตะนคร" ที่ชลบุรี โดยมีคำขวัญว่า "ผู้ให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน" ซึ่งหมายรวมถึงผู้ก่อตั้งด้วย  เนื่องจากทำเลของมูลนิธิฯ ที่ตั้งอยู่ในนิคมฯ ที่ชลบุรี และเนื้อหาส่วนหนึ่งยังมุ่งเน้นกิจกรรมภายในนิคม เช่น การสร้างสถานศึกษา การให้ทุนการศึกษาเด็กในนิคม เป็นต้น ประกอบกับยังขาดการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง ชื่อมูลนิธิจึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก กระทั่งมีโครงการ ประกวดศิลปกรรม ชื่อ "อมตะ อาร์ต อวอร์ด" ในปี 2547 ซึ่งเป็นกิจกรรมของศิลปินทุกกลุ่ม ทุกระดับอายุ ทั่วประเทศ และที่เรียกความสนใจได้ดีก็คือ เงินรางวัลเรือนล้าน นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังมีโครงการ "อมตะ ไรเตอร์ อวอร์ด" เพื่อสนับสนุนนักเขียนอาวุโส ที่สร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่า และให้ทุนการศึกษาและทุนวิจัยภายใต้ชื่อโครงการ "อมตะ จีเนียส อวอร์ด"
การควักกระเป๋าส่วนตัวร่วม 100 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ในมูลนิธิฯ ไม่เพียงทำให้ภาพ "ผู้เสียสละ" ของวิกรมชัดเจน ขณะเดียวกันยังช่วยเสริมสร้างภาพความเป็นผู้เข้าใจหรือผู้เชี่ยวชาญในวงการนั้นๆ ของเขาให้โดดเด่นขึ้นมา หลังจากนั้นในปี 2547 ภาพ "ผู้ชำระบาป" ที่มาพร้อมกับภาพ "ผู้บูชายัญชีวิตตัวเอง" ที่วิกรมสร้างขึ้นพร้อมกับการออกหนังสือที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง ภายใต้ชื่อ "ผมจะเป็นคนดี" กลายเป็นที่ฮือฮา โดยมีผู้ช่วยตรวจทานต้นฉบับเป็นถึงนักเขียนใหญ่ "ประภัสสร เสวิกุล" หนึ่งในคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในโครงการ "อมตะ ไรเตอร์ อวอร์ด" และมีมูลนิธิ อมตะเป็นผู้จัดพิมพ์และจัดการเผยแพร่ออกสู่ตลาด ก่อนครบรอบ 52 ปี เพียง 3 วัน  ช่วงแรกๆ อาจกล่าวได้ว่าหนังสือ "ผมจะเป็นคนดี" มียอดแจกพอๆ หรือมากกว่ายอดขาย เนื่องจากมูลนิธิฯ ได้ทำตามเจตนารมณ์ของวิกรมในการเผยแพร่จัดส่งหนังสือเล่มนี้ไปยังเรือนจำ ห้องสมุดในสถานศึกษา และห้องสมุดประชาชนทั่วประเทศ โดยจะครบทุกห้องสมุดก่อนครึ่งปีหน้า ซึ่งตั้ง งบประมาณในการดำเนินการดังกล่าวถึง 100 ล้านบาท อานิสงส์ของการโปรโมตด้วยวิธีการต่างๆ "ผมจะเป็นคนดี" ต้องพิมพ์ครั้งที่ 2 เพิ่มอีก 7 หมื่นเล่ม เรื่องราวในมุมส่วนตัวเป็นที่รู้จักผ่านสื่อเพียงไม่นาน วิกรมก็ได้รับบทบาทใหม่ทางสังคม คือ การเป็นนักจัดรายการวิทยุเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ ที่ชื่อ "CEO Vision" ออกอากาศที่คลื่น FM 96.5 ที่เดิมออกอากาศเพียง 2 วัน แต่ด้วยความฮอตฮิตติดชาร์ต ซึ่งเขาเชื่อว่าความฮอตของเขา ไม่เกินอันดับ 2 ในบรรดาเหล่านักจัดของ "คลื่นความคิด" นี้ ครั้นแฟนรายการเรียกร้องมากๆ เขาจึงได้เพิ่มรายการ CEO Clinic มาอีก 1 วัน ขณะนี้วิกรมยังเตรียมตัวจะนำเสนอหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองออกมาอีก 4 เล่ม ประกอบด้วยเรื่องในวัยเด็ก (ความบีบคั้นในวัยเด็ก) เรื่องธุรกิจ (ความเป็นนักต่อสู้) เรื่องผู้หญิง (ความเป็นเพลย์บอย) และเรื่องเกี่ยวกับความฝันทั้งหลายของเขา (ความเป็นนักล่าฝัน)  ณ วันนี้ วิกรมได้รับการยอมรับจากสังคมในหลายๆ สถานภาพด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ดีก็คือ นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ นักเขียน นักจัดรายการ นักสงเคราะห์ทางด้านศิลปะและการศึกษา (ในฐานะผู้ก่อตั้งและประธานมูลนิธิอมตะ) ฯลฯ
แต่ปัจจุบัน "วิกรม" ในวัยต้นๆ 50 ตัดสินวางมือการบริหารธุรกิจไปเกือบหมด รั้งเพียงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ อันมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดตั้งเมืองสมบูรณ์แบบ (perfect city) เท่านั้นส่วนงานด้านบริหารอื่นๆ ของเครือนิคมอมตะ "วิกรม" ได้มอบหมายให้น้องๆ ร่วมบิดาซึ่งมีถึง 20 กว่าคนไปดำเนินการบริหารกันเองจากประสบการณ์ที่สั่งสมตั้งแต่วัยละอ่อนจนถึงขั้นปรมาจารย์ ทำให้ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญในเรื่องการลงทุน ทุกวันนี้วิกรมใช้ชีวิตส่วนใหญ่อย่างสงบอยู่บน "แพวิเวก" ติดอุทยานเขาใหญ่ ทุก 2 สัปดาห์เขาจึงจะเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ประมาณ 1-2 วัน เพื่อประชุมกับทีมบริหารของอมตะ ซึ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มผู้บริหารงานด้านนิคม และกลุ่มพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ โดยเรียกเฉพาะผู้เกี่ยวข้องมาสอบถามความคืบหน้าของงาน ช่วยแก้ปัญหา วางแผน วางเป้าหมาย ให้คำแนะนำ ฯลฯจากประวัติ และข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารงานของคุณวิกรม กรมดิษฐ์ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณวิกรมมีภาวะผู้นำที่ตรงตามทฤษฎี 8 K’s ดังนี้§        ทุนมนุษย์ : คุณวิกรมเกิดมาในครอบครัวที่ประกอบอาชีพค้าขายเป็นหลัก ทำให้เขาซึมซับความเป็นพ่อค้ามาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับคุณวิกรมเป็นลูกคนโต มีหน้าที่ต้องดูแลน้องๆ ทำให้เค้าต้องตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองเรื่อยมา จึงทำให้เค้าเป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตนเอง อีกทั้งยังมีความใฝ่รู้ และมีใจรักในธุรกิจค้าขาย มีความตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียน  ตัดสินใจเลือกเรียนในสาขาวิชาที่เป็นประโยชน์ต่อการนำมาพัฒนาธุรกิจของตัวเอง จนประสบความสำเร็จ§        ทุนทางความรู้ ทักษะ ทัศนคติ : คุณวิกรมได้รับการยอมรับจากสังคมว่าเป็นบุคคลที่มีความรอบรู้ เขาไม่เพียงแต่รู้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจของตัวเองเท่านั้น ยังขวนขวายที่จะใฝ่รู้ในทุกๆ เรื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ สามารถวิเคราะห์ปัญหาเศรษฐกิจโลกได้อย่างเฉียบขาด และยังได้รับบทบาทใหม่ทางสังคม ด้วยการเป็นนักจัดรายการวิทยุเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจที่ชื่อ CEO Vision ที่ได้รับการยอมรับและฮ็อตฮิตติดชาร์ทจนต้องเพิ่มรายการ CEO Clinic ขึ้นมาอีกด้วย§        ทุนทางปัญญา : จากทุนมนุษย์ และทุนความรู้ ทักษะ ทัศนคติที่คุณวิกรมมี ทำให้เขามีความสามารถในการคิดและวิเคราะห์ และมีความคิดสร้างสรรค์ อย่างไม่หยุดนิ่ง มีการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง โดยการนำความรู้ และประสบการณ์ตั้งแต่วัยเยาว์มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของตน จนเติบโตกลายเป็นธุรกิจที่ครบวงจรดังปัจจุบัน อีกทั้งยังไม่หยุดที่จะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ§        ทุนทาง IT : ดูได้จากการที่ปัจจุบันคุณวิกรมถึงจะไม่ได้นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิต โดยมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง ที่แพวิเวก แต่ก็ยังดูการดำเนินงานของธุรกิจผ่านทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้ในการสื่อสาร ตรวจเช็คข้อมูลข่าวสาร และราคาหุ้น โดยอาศัยจานดาวเทียม IP Star ซึ่งช่วยให้เค้าตามติดกระแสโลกาภิวัฒน์ได้ตลอดเวลา§        ทุนแห่งความสุข : จากความสำเร็จของคุณวิกรม บ่งบอกได้ถึงความสุขที่เกิดขึ้นจากการทำงาน เพราะเมื่อมีความสุข รายได้ก็จะตามมา จนปัจจับันเขาถูกจัดให้เป็นบุคคลที่รวยติดอันดับที่ 29 ของประเทศ นอกจากนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะแบ่งปันความสุขที่เค้ามีให้กับบุคคลซึ่งด้อยโอกาส โดยการจัดตั้งมูลนิธิอมตะขึ้นมา§        ทุนทางจริยธรรม : การจัดตั้งมูลนิธิอมตะขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส โดยการสร้างสถานศึกษา และให้ทุนการศึกษาแก่เด็กในนิคม โดยมีคำขวัญว่า ผู้ให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน นอกนั้นคุณวิกรมยังได้จัดทำหนังสือ ผมจะเป็นคนดี และอีกหลายๆ เรื่องตามมา โดยมีเจตนารมณ์เผยแพร่หนังสือนี้ไปยังเรือนจำ ห้องสมุดสถานศึกษา และห้องสมุดประชาชนทั่วประเทศ สาเหตุที่ทำเช่นนี้เพราะเขาต้องการช่วยแก้ไขภาระของสังคม โดยช่วยบำบัดจิตใจให้กับนักโทษ และช่วยดูแลอนาคตของชาติ คือเด็กๆ§        ทุนทางสังคม : คุณวิกรมสร้างเครือข่ายธุรกิจมากมาย จนครบวงจรเป็นนิคมอุตสาหกรรม และยังไม่ลืมที่จะทำคุณประโยชน์ต่อสังคมรอบข้าง โดยการก่อตั้งมูลนิธิ อีกทั้งยังจัดพิมพ์หนังสือเผยแพร่ เพื่อเป็นกำลังใจ และแนวทางปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไป และยังจัดการวิทยุเพื่อถ่ายทอดความรู้ ทัศนคติที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม§        ทุนแห่งความยั่งยืน : ปัจจุบันคุณวิกรมได้วางมือการบริหารธุรกิจไปเกือบหมด ได้มอบหมายให้น้องๆ ร่วมบิดาซึ่งมีถึง 20 กว่าคนไปดำเนินการบริหารกันเองจากประสบการณ์ที่สั่งสมตั้งแต่วัยละอ่อนจนถึงขั้นปรมาจารย์  โดยคุณวิกรมรั้งเพียงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ แล้วชีวิตส่วนใหญ่อย่างสงบอยู่บน "แพวิเวก" ติดอุทยานเขาใหญ่ ทุก 2 สัปดาห์เขาจึงจะเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ประมาณ 1-2 วัน เพื่อประชุมกับทีมบริหารของอมตะ เพื่อสอบถามความคืบหน้าของงาน ช่วยแก้ปัญหา วางแผน วางเป้าหมาย ให้คำแนะนำ ฯลฯ แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของคุณวิกรม ที่สามารถวางรากฐานของบริษัท ให้ดำเนินไปได้โดยที่ไม่ต้องลงมาบริหารงานเต็มตัวอีกทั้งยังสร้างคนรุ่นหลังที่จะสามารถมาสืบทิดธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้ โดยที่ตนเองก็สามารถมีความสุขกับวิถีชีวิตที่เลือกได้
นายณัฐพงศ์ ชุมนุมพันธ์

เรียน       ศ.ดร.จีระท่าน อ.ยม เพื่อน MBA และผู้อ่านทุกท่านครับ

                เช่นเคยครับสัปดาห์นี้ เรียนแล้วได้อะไรบ้าง 

1.       ผมเริ่มมีประสบการณ์ในการพูดในที่สาธารณะมากขึ้น  กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น  เริ่มหายจากโรคกลัวไมค์  ได้แก้ไขจุดบกพร่องของผมก่อนที่ได้เข้าเรียนกับท่าน อาจารย์

2.       ได้ทบทวน ทฤษฏี 3 วงกลม  8K’s  5K’s  4L’s 

3.       อาจารย์ให้ฝึกวิเคราะห์บทความ  หัดให้จับประเด็น  (อ่านให้เร็วแล้วจับประเด็นให้ได้)

4.       จากที่ได้ดูเทปบทสัมภาษณ์เรื่อง “ผู้นำหญิงและผู้นำชายต่างกันอย่างไร”  ได้ทราบว่า ชายและหญิง มีภาวะผู้นำที่แตกต่างกัน ถ้าเราจับทฤษฎี 8K’s ของท่าน ศ.ดร.จีระ มาจับจะพบว่าส่วนมากผู้หญิงจะขาดเรื่อง ทุนทางสังคมมากว่า เพราะสังคมส่วนใหญ่ให้การยอมรับผู้นำชายมากกว่า  แต่เราไม่ควรจะคิดว่า ชายหรือหญิงใครเก่งหรือดีกว่ากัน  แต่เราควรมองว่าเราจะทำอย่างไรให้สามารถดึงศักยภาพของชายและหญิงออกมา  และทำอย่างไรจึงจะทำให้ ชายและหญิงทำงานสอดคล้องกัน  เพื่อที่จะได้ผลสัมฤทธิ์ของงานที่ดีที่สุด

5.       ได้ศึกษาถึงบทสัมภาษณ์ระหว่าง ศ.ดร.จีระกับท่าน ปุระชัย ส่วนมากท่านทั้ง 2 จะมีทุน 8K’s ด้วยกันทั้งคู่แต่ถ้าวิเคระห์ให้ดี จะพบว่า ท่าน ศ.ดร.จีระ จะมีความรู้ที่กว้างกว่าและท่าน ปุระชัยมีความรู้ที่ลึกกว่าในแต่ละด้านทำให้ผมได้ลองคิดว่าสาเหตุใดจึงทำให้ทั้ง 2 ท่านจึงมีความแตกต่างกัน  เมื่อลองวิเคราะห์ดุจะพบว่า

·         ทุนมนุษย์ Human Capital (การเลี้ยงดู  บิดาของ ศ.ดร.จีระได้เลี้ยงให้ท่านคิดนอกกรอบ)

·         ทุนแห่งการเรียนรู้ ทักษะและทัศนคติ  Talent Capital (การเรียนในโรงเรียนทหารทำให้ ดร.ปุระชัย เป็นคนที่มีระเบียบวินัย และเคร่งครัดกฏระเบียบ  จึงทำให้ท่านไม่ค่อยจะคิดนอกกรอบเท่าไรนัก)

แต่โดยรวม บุคคลทั้ง 2 ท่านก็มีภาวะผู้นำที่สมควรเอาเยี่ยงอย่างด้วยกันทั้งคู่ครับ

 

นายณัฐพงศ์ ชุมนุมพันธ์

ผมขอต่อเรื่องวิเคราะห์ผู้นำที่ชื่นชอบนะครับ

4.       ทฤษย์ฏี 8K’s                             I.        ทุนมนุษย์           เวนเกอร์ได้เกิดที่เมือง Strasbourg, France  ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเจริญ เวนเกอร์มีคุณภาพชีวิตที่ดีมีทุนมนุษย์สูง                           II.        ทุนความรู้ ทักษะและทัศนคติ  ทุนในด้านนี้ เวนเกอร์ได้สะสมประสบการณ์ในการทำงานมานานจึงทำให้เค้ามีความรู้และทักษะในอาชีพที่ดีมาก                         III.        ทุนทางปัญญา   ทุนในด้านนี้ เวนเกอร์ก็ไม่เป็นสองรองใครดูได้จากการแก้เกมในแต่ละครั้ง                         IV.        ทุนทาง IT         ในด้านนี้ข้อมูลยังไม่แน่ชัดแต่ผมคิดว่าน่าจะสูงพอสมควรเนื่องจากประเทศที่เวนเกอร์เกิดและทำงานก็เป็นประเทศที่เจริญแล้ว และมีความเจริญด้านนี้สูง                           V.        ทุนแห่งความสุข  เวนเกอร์ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ถึงแม้บางครั้งการทำงานอาจเครียดแต่ ก็ได้ทำงานที่ตัวเองรัก มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการเห็นลูกทีมพัฒนาและทีมแข็งแกร่งขี้น                         VI.        ทุนทางจริยธรรม          เวนเกอร์ไม่เคยมีปัญหากับใคร ทั้ง เจ้าของสโมสร คนดูหรือลูกทีม มี EGO ต่ำ                       VII.        ทุนทางสังคม     เป็นบุคคลที่สังคมหึความไว้วางใจ และเวนเกอร์ยังได้รับเครื่องราชย์ชั้นสูงสุดของฝรั่งเศสและรางวัลต่างๆอีกมากมาย มาการันตี                     VIII.        ทุนแห่งความยังยืน  เวนเกอร์ได้ทำอาชีพนี้มาเกือบ 20 ปีและได้อยู่กับ อาเซน่อล มานาน ถึง 11 ปี ซึ่งถือว่ายาวนานมากกับอาชีพ ผู้จัดการทีม5.     ทฤษฏี 5K’s                             I.        ทุนแห่งการสร้างสรรค์  แผนการทำประตูก็ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา  ถ้าใช้แผนเดิมๆ ฝ่ายตรงข้ามก็จะจับได้และหาทางป้องกัน                             II.        ทุนทางนวัตกรรม  เวนเกอร์มีความคิดใหม่ๆอยู่เสมอสามารถนำความคิดเป็นแผนปฎิบัติและสามารถลงมือปฏิบัติได้จริงเห็นได้จาก แผนการทำประตู                         III.        ทุนทางความรู้      ประสบการณืและการทำงานที่ยาวนานทำให้ ทุนความรู้ของเวนเกอร์มีมากขึ้น                         IV.        ทุนทางวัฒนธรรม ในข้อนี้เวนเกร์มีทุนทางวัฒนธรรรมแบบตะวันตก                           V.        ทุนทางอารมณ์     เวนเกอร์เป็นบุคคลทีมีสติตลอดเวลาดีใจก็ดีใจไม่มากเสียใจก็ไม่ค่อยแสดงออก ผมว่าเค้าเป้นคนที่ควบคุมอารณ์ได้ดีคนนีง6.     ทฤษฎี  3  วงกลม                             I.        Context             เวนเกอร์ได้สร้างให้อาร์เซน่อลเป็นองค์กรที่มีความคล่องตัวและมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาถ้าเปรียบเป็นบ้าน อาร์เซน่อลถือเป็นบ้านที่น่าอยู่                           II.        Competencies    เวนเกอร์ได้ทำให้สมรรถนะของทีม อาร์เซน่อลแข็งแกร่งขึ้น                         III.        Motivation         เราแทบจะไม่เคยได้ยินว่าคนในทีม อาร์เซน่อล ขอย้ายทีม  ไม่อยากอยู่กับทีม เพราะเวนเกอร์ได้บริหารและสร้างแรงจูงใจให้กับคนเหล่านั้น  แม้ทีม อาร์เซน่อลจะไม่ได้ซื้อตัวนักแตะด้วยราคาที่แพงกว่าทีมอื่น(ในจุดนี้แหละครับที่ผมเลือกเวนเกอร์แทนที่จะเป็น มูริญโญ่ ซึ่งเป็นบุคคลที่น่าสนใจท่านนึงและผมก็ชอบบุคลิกและผลงานของท่าน) ผมได้ copy ข้อความใน Blog เก่าเพื่อความสะดวกในการอ่านของ ทุกท่านนะครับ
นายณัฐพงศ์ ขุมนุมพันธ์ เมื่อ อ. 13 มี.ค. 2550 @ 04:43 (191538)
เรียน       ศ.ดร.จีระ/เพื่อนๆ MBA แสตมฟอร์ด หัวหิน และผู้อ่านทุกท่านครับเมื่อ ดร.จีระให้หาผู้นำที่มีภาวะผู้นำที่ชื่นชอบมา 1 ท่าน  ผมนึกอยู่นานเพราะมีหลายท่านที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นคุณพารณ  คุณเจริญ  หรือแม้แต่ เจ็งกิสข่าน   แต่นึกไปนึกมาผมไม่อาจเห็นท่านเหล่านี้ทำงานได้จากการทำงานจริงนอกจากผลงานและข้อมูลที่ได้รับจากหนังสือหรือ Internet ทำให้ผมได้คิดถึงคนๆนึงที่ผมได้เห็นการทำงานของเขาในบางส่วน  ได้ลุ้นไปกับเขาว่างานของเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ได้เห็นอารมณ์เมื่อเค้าดีใจหรือเมื่อผิดหวังเป็นบุคคลที่ยอมรับความพ่ายแพ้แล้วลุกขึ้นสู้ใหม่  มีน้ำใจนักกีฬา ให้โอกาสคนและสร้างคนมามากมาย ได้รับเครื่องราชย์ ชั้นสูงสุดของพลเมืองฝรั่งเศส  และสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษา  บุคคลท่านนี้ก็คือ อาร์แซน  เวนเกอร์ครับ (ต่อไปผมจะเรียกสั้นๆว่าเวนเกอร์) เรามาดูประวัติคร่าวๆของเวนเกอร์กันก่อนดีกว่าครับ
Arsène Wenger Factfile
Name Arsène Wenger
Position Manager
Born October 22nd, 1949
  Strasbourg, France
Previous clubs as player Mutzig, Mulhouse, Strasbourg
Joined Arsenal 28 September 1996
Clubs as manager/coach Strasbourg (youth section) Cannes (assistant) Nancy AS Monaco Grampus Eight Nagoya (Japan)
Honours (Monaco): French League championship 1988; French Cup winners 1991; French 'Manager of the Year' 1988
Honours (Grampus Eight): Japan's 'Manager of the Year' 1995, Emperor's Cup winner 1996, Japanese Super Cup winner 1996
Honours (Arsenal): League championship 1998, 2002, 2004. F.A. Cup winners 1998, 2002, 2003, 2005. Voted 'Manager of the Year' 1998, 2002, 2004.
  อาร์แซน เวนเกอร์   เวนเกอร์  ถือเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรอาร์เซนอล เขาพาทีมปืนใหญ่คว้าแชมป์หลัก 7 ครั้ง (แชมป์ลีก 3 ครั้ง และแชมป์เอฟเอ คัพ 4 ครั้ง รวมไปถึงการคว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์อีก 4 ครั้ง) เขาเป็นผู้จัดการทีมอาร์เซนอลเพียงคนเดียวที่พาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้มากกว่า 1 ครั้ง พาทีมเป็นดับเบิ้ลแชมป์คว้าทั้งแชมป์ลีกและแชมป์เอฟเอ คัพได้ 2 ครั้ง (ในปี 1998 และ 2002) ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่ทำได้ในสโมสรแห่งนี้   ในฤดูกาล 2003/04 เขาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่พาทีมแข่งขันเกมลีกจนจบ 38 นัดโดยไม่แพ้ทีมใดเลย   เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาเข้ากลายเป็นผู้จัดการทีมอาร์เซนอลคนแรกที่พาทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ซึ่งหนทางสู่รอบชิงฯนั้นทีมก็ได้สร้างสถิติใหม่ให้กับฟุตบอลถ้วยยักษ์ของยุโรปด้วยการไม่เสียประตูติดต่อกัน 10 นัด   ในปี 2003 เขาได้รับเครื่องราชย์ฯชั้น OBE ต่อจากก่อนหน้านั้นที่เขาได้รับ Legion d'Honneur ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดของพลเมืองฝรั่งเศส ซึ่งเขาได้รับในปี 2002   ในเดือนตุลาคมปี 2004 เขาได้รับรางวัล Freedom of Islington และได้รับเกียรติบัตร 2 ใบ หนึ่งคือเกียรติบัตรทางด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสตราสบูร์ก และอีกฉบับคือ honoury DSc จากมหาวิทยาลัย เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ เขาสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษาและใช้มันเป็นเครื่องมือในการพูดคุยกับนักเตะในห้องแต่งตัวที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมถ้าเราเรียบเทียบเกม ฟุตบอลคือ ธุรกิจ เวนเกอร์ได้กระทำหลายๆอย่างในหลักการบริหารธุรกิจคือ การกำหนด Vision Mission SWOT ของทีม·         Vision    การตั้งเป้าหมาย (ฤดูการณ์นี้จะได้แชมป์อะไรบ้าง)·         Mission    การหาหนทางที่จะไปสู่เป้าหมาย        จะจัดทีมอย่างไรให้ได้รับชัยชนะ·         SWOT     ตัวเองมีจุดแข็งจุดอ่อนอะไรบ้าง โอกาสหรืออุปสรรคของทีม เล่นในบ้านหรือนอกบ้านและ เวนเกอร์ สามารถที่จะบริหารทีมได้ดี แม้บางครั้งทีมจะไม่มีเงินในการซื้อนักเตะใหม่  เวนเกอร์ได้ชื่อว่าเป็นผู้ซื้อนักเตะมาใช้ในราคาถูกและปั้นนักเตะจนมีชื่อและสามารถขายได้ในราคาแพงเมื่อเราลองนำทฤษฎีต่างมาวิเคระห์ภาวะผู้นำในตัวของ เวนเกอร์1.       ทฤษฎี Leadership roles by Stephen Covey                                 I.            Path finding        หาช่องทางไปสู่ความสำเร็จ                 จะเห็นได้ว่า เวนเกอร์ได้ตั้งเป้าหมายในการทำงานทุกครั้งทั้งในระยะสั้นและระยะยาว                              II.            Aligning                                กระตุ้นให้คนในองค์กรไปในทิศทางเดียวกัน      เรื่องนี้เวนเกอร์ผ่านสบายเนื่องจากจะเห็นได้ว่าเป้าหมายของทุกคนในทีมอาร์เซน่อลคือความสำเร็จของทีมหรือแชมป์เปี้ยน                            III.            Empowering      มีการกระจายอำนาจ  เวนเกอร์ได้มีการกระจายอำนาจของเขาไปสู่ผู้ช่วยโค๊ช หัวหน้าทีม หรือแม้แต่ตัวนักเตะทุกคน  เมื่อสั่งการไปแล้วก็จะปล่อยให้นักเตะได้แสดงความสามารถของตัวเองออกมาแม้ลูกทีมจะผิดพลาดก็ไม่เคยแสดงอาการหรือว่าลูกทีมในที่สาธารณะมีแต่ใช้ทฤษฎีกางร่มออกมาปกป้องลูกทีมว่าทำดีที่สุดแล้ว                            IV.            Role Modal         เป็นตัวอย่างที่ดี  ไม่เคยมีปัญหากับใครทั้งเจ้าของทีมและลูกทีมหรือมีข่าวเสียหาย2.       ทฤษฎี Leadership roles ของ ศ.ดร.จีระ                                 I.            Crisis Management         แก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา  ในการแข่งขันบางครั้งทีมต้องตกเป็นรอง  เวนเกอร์ก็สามารถนำทีมกลับไปสู่ชัยชนะได้                              II.            Anticipate change            รู้ว่าอะไรจะเกิดแล้วหาทางแก้ไข  เมื่อจะลงแข่งกับทีมใด เวนเกอร์ได้ศึกษาทีมนั้น  รู้เขารู้เรา และได้จัดทีมให้พร้อมก่อนลงสนาม                            III.            Motivate other to Excellent        กระตุ้นให้ผู้อื่นไปสู่ความเป็นเลิศ  เวนเกอร์ได้พัฒณาความสามารถของลูกทีมอยู่ตลอดเวลาและได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อในการปั้นเด็กใหม่เข้าสู่วงการลูกหนังคนนึง                            IV.            Rhythm & Speed              มีจังหวะที่เหมาะสม  ในการแข่งขันการเปลี่ยนตัวผู้เล่นถ้าทำอย่างมีจังหวะก็ก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันได้ และ เวนเกอร์ก็ทำในจุดนี้ได้ดี                              V.            Edge      คม  เวนเกอร์ได้ศึกษากลยุทธ์ใหม่ๆเพื่อนำมาปรับปรุงทีมให้ทุกคนในทีมฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอรวมทั้งตัวเค้าเองก็ได้ฝึกซ้อมในการจัดทีมในสถานะการณ์ต่างๆ ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆก็สามารถจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ดังมีดที่คมก็สามารถที่จะตัดอะไรขาดได้ในครั้งเดียว                            VI.            Team Work         เวนเกอร์ สามารถสร้างให้ทีม อร์เซน่อลเป็นทีมฟุตบอลที่มีทีมเวอร์คดีที่สุดทีมหนึ่ง3.       ทฤษฎี 4 E’s                                 I.            Energy       มีพลังชอบงานที่ทำ  กีฬาฟุตบอลเป็นสิ่งที่ เวนเกอร์ชอบและเค้าก็ได้มาทำในสิ่งที่ตัวเองรัก                              II.            Energize    เวนเกอร์ได้สร้างแรงจูงใจให้กับคนรอบข้าง  ทำให้ทุกคนในทีมมีเป้าหมายเดียวกันได้                                                        III.           Edge            ตัดสินใจเด็ดขาด คม ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น                            IV.            Execution   เกมการปข่งขันต้องมีแพ้มีฃนะเมื่อแพ้แล้ว เวนเกอร์ไม่เคยท้อแท้กลับพยามดึงลูกทีมเค้าสู่เกมหรือแม้แต่ฤดูกาลนี้ เค้าอาจจะพลาดเป้าหมายทุกแชมป์แต่ฤดูกาลหน้าเต้าจะต้องกลับมาสู้อีกครั้งจะเห็นได้ว่า  เวนเกอร์เป็นบุคคลมีภาวะผู้นำที่ดีคนนึง  ซึ่งเราสามารถเห็นการทำงานของเค้าได้ตลอดเวลาฤดูกาลนี้แม้เค้าจะพลาดแชมป์ แต่ก็ได้สร้างเด็กใหม่ขึ้นมาประดับวงการลูกหนังหลายคน ในฤดูกาลหน้า อาร์เซน่อลจะเป็นทีมที่น่ากลัวทีมนึง เนื่องจากเด็กใหม่เหล่านี้ได้มีประสบการณ์ในเกมใหญ่ๆและสำคัญๆมาแล้ว ถ้าเป็นเชิงธุรกิจ ฤดูกาลนี้เป็นช่วงปรับเปลี่ยนองค์กร เนื่องจากเวนเกอร์กล้าที่จะเปลี่ยนและได้มองเห็นอนาคตว่าทีมหลักชุดใหญ่ใกล้จะหมดสภาพเนื่องจากมีอายุมากขึ้น  และตัวเค้าก็พร้อมที่จะรับแรงกดดันจากหลายคนที่ผิดหวังข้อเสนอแนะ                 บางครั้งการมีปากเสียงกับผู้จัดการทีมอื่น  อาจจะเพื่อกระตุ้นลูกทีมหรือข่มขวัญคู่ต่อสู้ 
กนกลักษณ์ เร้าเลิศฤทธิ์
เรียน อ.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆ ทุกท่าน ดิฉัน นางสาวกนกลักษณ์  เร้าเลิศฤทธิ์ นักศึกษา MBA รุ่น 8  ID: 106342003จากการเรียนเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 18 มีนาคม 2550 ที่ผ่านมา ท่านอ.จีระ ได้แจกบทความและให้นักศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับบทความนั้น และ อ.จีระได้สรุปเกี่ยวกับทฤษฎี 3 วงกลม วงกลมที่ 1 Context เปรียบเสมือนบ้านที่น่าอยู่ไม่รกรุงรัง องค์กรที่คล่องตัว หรือเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้วงกลมที่ 2 Competencies สมรรถนะในองค์กรควรจะมี1.    ความรู้เฉพาะทาง2.    ความรู้เชิงบริหาร3.    ความรู้เชิงผู้นำ4.    ความรู้เชิงผู้ประกอบการ5.    มองภาพกว้างรู้อะไรแบบกว้างๆวงกลมที่ 3 เก่งไม่เก่งอยู่ที่แรงจูงใจหรือการชมเชย การให้รางวัลในตอนบ่าย ท่านอ.จีระ ได้ให้นักศึกษาดูเทปวีดีโอ การสนทนากันระหว่าง ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมย์ กับ ศ.ดร.ปุระชัย  เปี่ยมสมบูรณ์ และให้เปรียบเทียบว่า ทั้ง 2 ท่านมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรสรุปออกมาได้ว่า ท่านทั้ง 2 มีความเหมือนกันตรงที่มีความใฝ่รู้ และชอบอ่านชอบที่จะศึกษาแต่ความต่างของท่านทั้ง 2 คือ ท่านอ.จีระจะมีทฤษฎีเป็นของตนเอง แต่ ศ.ดร.ปุระชัย ท่านอ่านตำราและเอาข้อคิดจากการอ่านมาปรับตัวเองและมาถ่ายทองให้ผู้อื่น 
นางสาวหยาดอรุณ อาสาสำเร็จ และกลุ่ม
เรียน ศ.ดร. จีระ อาจารย์ยม และท่านผู้อ่านทุกท่าน  จากหนังสือเสริมความรู้ที่ ศ.ดร.จีระได้นำมาให้ศึกษา และวิเคราะห์กันในห้อง  จากการสร้างบรรยากาศในห้องเรียน ได้มีการแบ่งกลุ่มในการทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มช่วยกันระดมความคิด โดยในกลุ่มของดิฉันมีสมาชิกดังนี้   นางสาวพนาวัลย์ คุ้มสุดนายสราวุฒิ ฉายแสงนายณัฐพงศ์ ขุมนุมพันธ์นายชูศักดิ์ ลาภส่งผลนางสาวเตชสิทธิ์ หอมฟุ้งน.ส.นภาพร พิพัฒน์นางสาวหยาดอรุณ  อาสาสำเร็จ  จากบทความที่ได้อ่านร่วมกัน ทางกลุ่มได้สรุปเป็นใจความสำคัญได้ดังต่อไปนี้  การสร้างความไว้วางใจในองค์กร ความไว้ใจและความน่าเชื่อถือเรื่องที่ที่สำคัญสำหรับผู้นำ   ซึ่งไม่สามารถซื้อขายหรือออกคำสั่งให้ผู้อื่นเชื่อถือหรือไว้วางใจได้    ซึ่งผู้นำสามารถสร้างความสัมพันธ์ในการทำงานกับบุคคลที่ได้ร่วมงาน   โดยจะต้องมีทัศนะคติและความตั้งมั่นอย่างชัดเจน  แต่ทางที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างความไว้ใจคือการแสดงให้เห็นถึงความน่าไว้ใจในการเป็นผู้นำ จากบทความซึ่งเป็นบทที่ 5 ของเล่ม ได้มีการกล่าวถึง กุญแจสำคัญในการสร้างความไว้ใจและน่าเชื่อถือ   คือ 4’s C  ซึ่งประกอบด้วย    ·        ความเห็นพ้องต้องกัน  ·        ความสม่ำเสมอกลมกลืน  ·        ความเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ·        ความสามารถในการส่งเสริมความเข้าใจ                ผู้นำจะได้รับความไว้วางใจได้อย่างไร ?สังคมมนุษย์ต้องการพื้นฐานของความไว้ใจในระดับสูงสุด   ไม่มีใครที่จะไว้ใจและเชื่อใจให้บุคคลอื่นเป็นผู้นำได้ในทันที แต่จะต้องทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ความไว้ใจและความเชื่อมั่นในตัวของผู้นำก่อน โดยผู้นำจะต้องมีความเชื่อมั่นในการแสดงไหวพริบทั้งทางความคิด และการแสดงออกด้านต่างๆ    และการแสดงออกของผู้นำนั้น จะต้องเต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่เสแสร้างทั้งต่อหน้า และลับหลัง  ผู้นำที่ดีจะต้องเป็นแบบอย่าง และสามารถทำในสิ่งที่พูดได้  ผู้นำจะต้องรู้จักเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา และองค์กร เช่นการรับฟังความคิดเห็น เพราะความคิดเห็นเหล่านั้นเป็นเสมือนทัศนคติ  มุมมอง และแง่คิดด้านต่างๆ  ที่มาจากความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และท่าทางที่พวกเขาแสดงออกมา เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้เราสามารถรับรู้ได้ถึงความต้องการของพวกเขา ซึ่งเป็นพลังในการขับเคลื่อนองค์กรได้เป็นอย่างดี  ส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ความไว้วางใจผู้นำ คือการสร้างความสามัคคีของทีมงานในองค์กร โดยผู้นำควรมีการตัดสินอย่างยุติธรรม นอกจากนี้แล้วการชมเชยในสิ่งที่พวกเขาได้ทำไป จะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจที่ดีเยี่ยม  ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นคงในองค์กร และมีการพัฒนาองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง        
เตชสิทธิ์ หอมฟุ้ง

เรียน ศ.ดร.จีระ อ.ยม และเพื่อนๆนักศึกษา MBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด 

ขอเพิ่มเติมประวัติที่น่าสนใจ

ประวัติ
- ตัน ภาสกรนที เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2542
-
รางวัลล่าสุดที่ได้รับ สุดยอดนักธุรกิจแห่งปี 2547 (ได้รับรางวัลจาก กรุงเทพธุรกิจ)
คุณวุฒิทางการศึกษา

-
ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทาลัยรามคำแหง

ตำแหน่ง (ปัจจุบัน)

-
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

ตัน ภาสกรนที เจ้าของชาเขียวโออิชิ กรีนที คนส่วนใหญ่รู้จัก "โออิชิ" แต่น้อยคนนักจะรู้จัก"ตัน โออิชิ" หรือ "ตัน ภาสกรนที" ทั้งที่ประวัติชีวิตของเขาอยู่ในระดับ "มหัศจรรย์" เขาเริ่มต้นทำงานเมื่ออายุ ๑๗ ปี กับวุฒิการ ศึกษาเพียง ม.ศ.๓ และตำแหน่งพนักงานขนของ "จุดเริ่มต้น" ชีวิตในระดับ "ติดลบ" กับเส้น ทางการฟันฝ่า เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร "โออิชิ" ในวันนี้ไม่แปลกที่หลายคนจะบอกว่าตำนานชีวิตของ "ตัน" สามารถจุดประกายฝันและกำลังใจให้กับคนทำงานทุกคน

"
ตัน" กล้าคิดและกล้าทำในสิ่งที่แตกต่างเติบใหญ่ด้วยกลยุทธ์การตลาดนอกตำรา MBA เขาคือผู้ริเริ่มธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน ภัตตาคารบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น "โออิชิ" และทำให้ชื่อ "โออิชิ" เข้าถึงทุกบ้านด้วย "โออิชิ กรีนที"

ปัจจุบันมีประมาณกว่า 90 สาขาแล้ว มีทั้งที่เป็นร้านเล็ก และร้านใหญ่รวมกัน และตั้งนโยบายว่า ไม่อยากจะขยายร้านอาหารมากเกินไป เพราะว่าจะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของพนักงาน และค่าเช่าคงที่ค่อนข้างเยอะ ปัจจุบันพนักงานมีประมาณ 3,500 คน ผมยังวางเป้าหมายไว้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าว่าจะต้องไม่เกิน 5,000 คน โดยนโยบายอย่างนี้จะทำให้เงื่อนไขในการเปิดร้านอาหารลดลง แล้วในส่วนของโรงงานก็มาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น ดังนั้นจึงเลือกที่จะทำธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้าน และค่าเช่า เอาแบรนด์ที่เราได้กำไรมาผลิตตัวสินค้าให้มากขึ้น
สุดท้ายคุณตันฝากข้อคิดไว้ว่า " ไม่จำเป็นต้องไปยึดติดว่าต้องทำอย่างนี้ ไม่ต้องไปสัญญากับใคร ตัวเราเท่านั้นที่รู้เองว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าพอใจในสิ่งที่ผมมีอยู่ ถึงแม้ว่าบ้านที่อยู่อาจจะไม่ใช่ใหญ่โต แต่ก็อยู่สบาย มากน้อยไม่เป็นไร แค่เราพอใจก็พอแล้ว ไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไร แค่ตั้งเป้าว่าจะทำให้ดีที่สุดก็พอ ไม่คาดหวังมาก " "อานันท์ ปันยารชุน" อดีตนายกรัฐมนตรีเคยบอกว่า "คนเก่งไม่ใช่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดแต่คนเก่งคือคนที่พลาดแล้วแก้ปัญหาได้เร็ว" "ตัน ภาสกรนที" คือ "คนเก่ง" ในนิยามนี้เพราะเขาเชื่อมั่นว่าทุกปัญหาล้วนมีทางออกชีวิตของ

หลักสำคัญที่ คุณตัน ภาสกรนที ยึดไว้เสมอคือ ความสำเร็จไม่ได้หล่นจากฟ้า ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่เราคิด ปัญหาทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นและจงจำไว้ว่า ขาดทุนคือกำไร

    คุณตัน มีประสบการณ์การทำงานในด้านต่าง ๆ หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน ภัตตาคารบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น จนมาประสบความสำเร็จสูงสุดในธุรกิจชาเขียว โออิชิ กรีนที ซึ่งมีแนวคิดและแนวทางในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ มากมาย และสำหรับข้าพเจ้าเองก็มีความชื่นชมแนะได้นำแนวทางบางอย่างไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ซึ่งข้าพเจ้าจะแตกต่างจากคุณตันคือข้าพเจ้าไม่ได้ประสบปัญหาทางธุรกิจเหมือนคุณตัน และส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพงานประจำ ปฏิบัติงานในส่วนที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ พยายามศึกษาหาความรู้ในงานเพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงานให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงมองปัญหาในด้านกำไรขาดทุนแตกต่างจากคุณตัน ภาสกรนที เนื่องจากมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจน้อย
น.ส.ศรีสุดา วรรณสมบูรณ์
เรียน  ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์ อาจารย์ ยม และสวัสดีเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน    จากการได้เรียนเรื่องภาวะผู้นำ และการเปลี่ยนแปลงในองค์กรในวันอาทิตย์  ที่  18 มีนาคม 2550    มนุษย์เราถูกแบ่งโดยธรรมชาติให้มี 2 เพศต้องอยู่ร่วมกัน  ซึ่งเพศชายถูกมองว่าต้องเป็นเพศที่แข็งแกร่งกว่าเพศหญิง แต่นั่นเป็นแค่การมองแบบภาพรวม ที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นอย่างนั้น แต่ในปัจจุบันผู้หญิงสามารถเป็นตัวแทนเข้าสู่เวทีโลก ทั้งทางด้านการเมือง ธุรกิจ และตัวแทนทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งมีอิทธิพลในด้านการเจรจาต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของประเทศอย่างสำคัญ อาจเพราะผู้หญิงเป็นเพศที่มีความละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชาย ควบคุมอารมณ์ได้ดีในสถานการณ์ต่าง ๆ มีความรับผิดชอบสูง  สำหรับผู้ชายนั้นซึ่งเป็นเพศที่มีความแข็งแรง และเข้มแข็งอยู่แล้ว สามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้ดีกว่าเพศหญิง ทางด้านสังคมก็เช่นเดียวกัน ผู้ชายจะได้เปรียบมากกว่าผู้หญิงซึ่งมีข้อจำกัดมากกว่าไม่ว่าจะเป็นทางด้านเวลา สถานที่ และมักจะเห็นว่าผู้ชายจะมีบทบาทสำคัญๆ มากกว่าผู้หญิง แต่ดิฉันเห็นว่า ที่จริงแล้วทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถ ทำทุกอย่างได้เท่าเทียมกัน ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และโอกาส ที่ได้รับ จากผู้นำที่เลือกไว้คือ นายชวน หลีกภัย ซึ่งได้กล่าวรายละเอียดไว้ในบล๊อคก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งสามารถวิเคราะห์ตามทฤษฎีทุน 8 ประเภทได้ดังนี้ทุนมนุษย์  นายชวน  หลีกภัย เป็นผู้ที่มีการศึกษาแบบสามัญชนทั่วไปไม่ได้เป็นนักเรียนนอก แต่เขาเป็นคนมีความเฉลียวฉลาด โอบอ้อมอารี และยังอุทิศ แรงกาย แรงใจ ให้กับประชาชน อย่างจริงใจ  แม้ว่าตัวเขาจะไม่มีทุนทรัพย์ แต่เขาก็ได้มีความพยายามที่จะใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ถ่ายทอดให้กับประชาชน ทุนทางปัญญา  นายชวน  หลีกภัย เป็นผู้มีความสามารถทั้งทางด้านศิลปะและทั้งทางด้านกฎหมาย และท่านยังได้ใช้ความสามารถของท่านให้เกิดประโยชน์โดยท่านยังเป็น อาจารย์พิเศษ ด้านนิติเวช คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  และเมื่อครั้งท่านไปหาเสียงในที่ต่าง ๆ ท่านไม่มีสินบนหรือเงินทองให้ แต่ท่านมีแต่ความรู้เรื่องประชาธิปไตย ที่จะถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งท่านก็ทำอย่างนี้ตั้งแต่เริ่มหาเสียง จนถึงปัจจุบันทุนทางจริยธรรม  นายชวน  หลีกภัย  เป็นผู้ที่สามารถก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งต่าง ๆ โดยความสามารถ  เป็นแบรนด์ของ นักการเมืองที่ทำงานโดยสุจริต โปร่งใส  เป็นผู้ที่เสมอต้นเสมอปลาย  พอใจในสิ่งที่ตนมี  และยังมีความสุภาพ อ่อนโยน รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น  เป็นที่รักและนับถือของคนทั่วไปทุนแห่งความสุข  นายชวน  หลีกภัย  เป็นคนใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่ยึดติด ไม่หวือหวา มีความสุขกับสิ่งที่ตนเองมี  ทุนทางสังคม  นายชวน  หลีกภัย  เป็นผู้ที่เข้าถึงประชาชนได้ทุกระดับ และมีความเข้าใจปัญหาของประชาชนอย่างลึกซึ้ง  เขามักที่จะลงพื้นที่แบบไปคลุกคลีกับประชาชน จริง ๆ เพื่อให้รู้ว่าประชาชน ต้องการอะไร  จึงทำให้เขาเป็นที่รักใคร่ของประชาชนทุนแห่งความยั่งยืน   นายชวน  หลีกภัยมีความผูกพันกับพี่น้องประชาชนอย่างแยกกันไม่ออก ชีวิตทั้งชีวิตได้ทุ่มเท ให้กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง นายชวนย้ำอยู่เสมอในทุกที่ทุกโอกาสว่า เขาเป็นหนี้ประชาชนที่เลือกตั้ง เขาเข้ามาสู่วิถีชีวิตทางการเมือง โดยไม่ต้องซื้อเสียงหรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ใดๆ  และสิ่งนี้จะอยู่ติดกับตัวเขาไปตลอดชีวิตทุนทาง IT   นายชวน  หลีกภัย   ได้เล็งเห็นความสำคัญทางด้าน IT โดยที่ นายชวน  มีเว็บไซด์  นายชวนกับประชาชน ซึ่งแสดงว่านายชวน มีความเอาใจใส่ต่อประชาชน เป็นอย่างมาก  แม้ปัจจุบันเขาจะไม่มีบทบาทสำคัญเหมือนเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายชายก็ยังคงห่วงใย ประชาชนเหมือนเดิมทุนทาง KNOWLEDGE,SKILL และ MINDSET    นายชวน  หลีกภัย  เป็นผู้ใช้ความรู้ความสามารถของตนเองเป็นบันได ก้าวไปสู่หนทางที่ตนเอง คาดหวังไว้ได้อย่าง สำเร็จ มีแบบแผน เป็นไปอย่างเป็นระบบ   (ก่อนอื่น ต้องขอโทษท่านอาจารย์ด้วยนะคะที่ดิฉันส่งการบ้านล่าช้า เนื่องจากได้ส่งเมื่อคืนวันพุธที่  21  มีนาคม แล้ว เวลาประมาณ  23.40 น. แต่เนื่องจากระหว่างส่งเครื่องแฮ๊งค์ ไม่ทราบเป็น เพราะอะไร และได้เข้าไปใน เว็บไซด์อีกครั้ง  แต่ก็ไม่สำเร็จ ดิฉันจึงได้นำมาส่งที่ทำงาน จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ) นางสาวศรีสุดา  วรรณสมบูรณ์  นักศึกษามหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ด หัวหิน  
ยม รายงานการส่งบทความของนักศึกษา MBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด อาทิตย์ที่ 18 มี.ค. 2550

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ  นักศึกษา MBA ม.นานาชาติสแตมฟอร์ด และท่านผู้อ่านทุกท่าน

  สัปดาห์ที่ผ่านมา (วันอาทิตย์ที่ 18 มี.ค.) ผมได้ติดตามไปร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน โดยมี ศ.ดร.จีระ อาจารย์ใหญ่ของเรา เป็นผู้ดำเนินรายการ และกระตุ้นเอาความเก่ง ของนักศึกษาทุกคนออกมา ด้วยทฤษฎี 4 L’s ของท่าน ผมเห็นบรรยากาศการเรียนมีทุกรสชาติ ที่สำคัญคือ นักศึกษาเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้จริง ๆ ขอชื่นชมนักศึกษาที่อยู่ร่วมกิจกรรมจนถึงที่สุด และได้ส่งข้อความมาร่วมแชร์ประสบการณ์ที่ได้รับ  สำหรับนักศึกษาบางท่านที่ติดภารกิจ ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรม หรืออยู่ร่วมกิจกรรม แต่อยู่ได้ไม่เต็มเวลา ก็ได้ติดตามอ่านหาความรู้และส่งข้อความมาในสังคมการเรียนรู้นี้ ขอชื่นชมในความมีสปิริตของนักศึกษา ที่เรียนวิชาภาวะผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงฯ นี้   ผมได้สรุปรายชื่อนักศึกษาที่ส่งข้อความมา เรียงตามลำดับ ดังต่อไปนี้ 
  1. พนาวัลย์ คุ้มสุด เมื่อ อ. 18 มี.ค. 2550 @ 22:28 (197116)
  2. นายชาญชัย พานิชนันทนกุล ID:105342002 เมื่อ อ. 18 มี.ค. 2550 @ 23:46 (197212)
  3. Jaruwan Yunprayong MBA 6 ID:106142009 เมื่อ จ. 19 มี.ค. 2550 @ 11:22 (197389)
  4. นางจำเนียร อำภารักษ์ ID 106142002 รุ่น 6 เมื่อ จ. 19 มี.ค. 2550 @ 16:24 (197482)
  5. นายนิคม อำภารักษ์ ID 106142006 รุ่น 6 เมื่อ จ. 19 มี.ค. 2550 @ 16:55 (197501)
  6. นายชูศักดิ์ ลาภส่งผล เมื่อ จ. 19 มี.ค. 2550 @ 19:43 (197563)
  7. น.ส.ปภาวี นาคสุข ID 106142008 MBA 6 เมื่อ อ. 20 มี.ค. 2550 @ 09:25 (197873)
  8. นางสาวปณิธาน เชื้อชาติ ID 106142013 MBA 6 เมื่อ อ. 20 มี.ค. 2550 @ 11:49 (198006)
  9. นางสาว นริศรา ทรัพย์ชโลธร เมื่อ อ. 20 มี.ค. 2550 @ 18:35 (198454)
  10. นายวิวัฒน์ นาเวียง เมื่อ พ. 21 มี.ค. 2550 @ 09:58 (199165)
  11. น.ส.นภาพร พิพัฒน์ ID106142007 เมื่อ พ. 21 มี.ค. 2550 @ 12:56 (199298)
  12. นาย สราวุฒิ ฉายแสง เมื่อ พ. 21 มี.ค. 2550 @ 13:31 (199337)
  13. นางสาวหยาดอรุณ อาสาสำเร็จ เมื่อ พ. 21 มี.ค. 2550 @ 15:45 (199423)
  14. นันทพล เถาลิโป้ รุ่น 7 เมื่อ พ. 21 มี.ค. 2550 @ 21:10 (199668)
  15. นางสาวปณิธาน เชื้อชาติ ID 106142013 MBA 6 เมื่อ พ. 21 มี.ค. 2550 @ 21:45 (199698)
  16. น.ส.ปภาวี นาคสุข ID 106142008 MBA 6 เมื่อ พ. 21 มี.ค. 2550 @ 21:47 (199703)
  17. นายณัฐพงศ์ ชุมนุมพันธ์ เมื่อ พ. 21 มี.ค. 2550 @ 22:07 (199713)
  18. กนกลักษณ์ เร้าเลิศฤทธิ์ เมื่อ พฤ. 22 มี.ค. 2550 @ 01:26 (199904)
  19. นางสาวหยาดอรุณ อาสาสำเร็จ และกลุ่ม เมื่อ พฤ. 22 มี.ค. 2550 @ 08:12 (200004)
  20. เตชสิทธิ์ หอมฟุ้ง เมื่อ พฤ. 22 มี.ค. 2550 @ 13:47 (200322)
  21. น.ส.ศรีสุดา วรรณสมบูรณ์ เมื่อ พฤ. 22 มี.ค. 2550 @ 14:31 (200365)
  ขอกราบขอบพระคุณ ศ.ดร.จีระ ที่เปิดโอกาสให้ได้ร่วมแชร์ประสบการณ์ร่วมกับ นักศึกษา และให้เกียรติ พาไปร่วมรับประทานอาหารที่ร้านกรรณนิกา ที่หัวหิน  เป็นร้านที่บรรยากาศเรียบง่ายแบบไทย อาหารไทยอร่อย เจ้าของร้านเป็นกันเอง และที่สำคัญคือ โอกาสได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน กับอาจารย์ผู้ใหญ่ เช่น ศ.ดร.จีระ หาไม่ได้ง่ายนัก   

สำหรับ ศิษย์ MBA เราจะพบกันศุกร์ที่ 23 นี้ ผมจะแนะแนวการเขียนข้อสอบให้ ศิษย์ที่ได้เห็นข้อความนี้แล้ว ขอให้แจ้งเพื่อน ๆ บอกต่อกันไป เดิมที ผมจะแนะแนวทาง blog นี้ แต่เกรงว่าจะเป็นสาธารณะเกินไป เพราะข้อสอบบางข้อ อาจจะต้องใช้สอบกับนักศึกษา มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ด้วย  จึงไม่ได้เขียนแนวลงมาในนี้  พรุ่งนี้ตามเวลา บอกต่อ ๆ กันด้วย ตรงเวลา วันสุดท้าย ปิดวิชาแล้ว มีเวลาคุยกันแค่ 3 ชั่วโมง จะได้พูดคุยกันในเรื่องสำคัญเหล่านี้ และตอบข้อซักถามอื่น ๆ เกี่ยวกับสังคมการเรียนรู้ของเรา ชาว MBA

  

ขอให้ทุกท่านโชคดี

 

สวัสดี

อ.ยม

081-9370144

นายชาญชัย พานิชนันทนกุล ID: 105342002 เมื่อ พ. 21 มี.ค. 2550 @ 12:01

สวัสดีครับ/ค่ะ ท่านศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์/อ.ยมและเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน

 

  

จากที่กลุ่ม 3 ได้รับมอบหมาย จาก ศ.ดร.จีระ ให้แปลหนังสือ Reinventing Leadership Chapter3 เรื่อง The Personal Side of Leadership สมาชิกกลุ่ม 3 มีดังนี้

  
  1. นายชาญชัย พานิชนันทนกุล รหัส 105342002(หัวหน้า)
  2. นางจำเนียร อำภารักษ์ รหัส 106142002
  3. นายนิคม อำภารักษ์ รหัส 106142006
  4. น.ส.ปภาวี นาคสุข รหัส 106142008
  5. นางจารุวรรณ ยุ่นประยงค์ รหัส 106142009
  6. น.ส.ปณิธาน เชื้อชาติ รหัส 106142013
  7. นายเอกราช ดนยสกุล รหัส 106142015

 สามารถสรุปเนื้อหาได้ดังนี้  แง่มุมด้าน คน ของความเป็นผู้นำ ผู้นำจะสื่อสารมุมมองความคิดและวิสัยทัศน์ของตนไปยังผู้ที่สามารถทำให้มุมมองนั้นเป็นความจริงได้

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเหล่านี้ได้รับความสนใจว่าเป็นคนที่นำความฝันไปปฏิบัติได้ เพื่อกระตุ้นและโน้มน้าวให้บุคคลเข้าร่วมกับอุดมการณ์ คุณต้องมีความตระหนักรู้ตนเองหรือรู้จักตน เข้าใจตัวเองและอยากจะพัฒนาตนเอง  

การเป็นผู้นำนั้นต้องแสดงออกอย่างดีที่สุดเพื่อผู้อื่นจะได้ทำตาม ผู้นำต้องรู้จักตนเองและปรารถนาที่จะพัฒนาตนเองเสมอ  ในการจะเป็นผู้นำทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ผู้นำควรจะปรับปรุงตนเองก่อนที่จะพัฒนาผู้อื่น  

ในบทนี้จะได้เรียนรู้ว่าการค้นพบตนเองสามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กร การชี้ให้เห็นถึงการสร้างทัศนคติในเชิงบวก และยังจะได้ทราบถึงวิธีที่จะสร้างการมองตนเองโดยการเสริมสร้างจุดแข็งของตนเองทราบความต้องการขององค์กรและความคาดหวังที่องค์กรจะได้รับรวมถึงทำให้เกิดการประเมินเสียงสะท้อน (Reflective backtalk) ในทุกๆ โอกาส  

 

การที่ผู้นำได้มีการพัฒนาด้านบุคคลมาถึงจะนำพาไปสู่การเป็นผู้นำที่ดี นอกจากการพัฒนาด้านบุคคลมาถึงจะนำพาไปสู่การเป็นผู้นำที่ดีแล้ว ยังช่วยสร้างนวัตกรรมใหม่ และเพิ่มมูลค่าขีดความสามารถในการผลิตให้กับบริษัท นำไปสู่การพัฒนาขององค์กรด้วย

 

  

ความหมายแง่มุมด้านคนของความเป็นผู้นำคืออะไร?

 เราต้องสร้างกลไกเหนี่ยวรั้งเทียมขึ้น เมื่อใดก็ตามที่ความคิดเห็นของเราถูกโจมตี โดยทั่วไปเราต่างก็รีบปกป้องทันที แต่ผู้นำที่ดีจะเหนี่ยวรั้งความรู้สึกนั้น(ที่จะปกป้องทันที) เราคิดว่าความแตกต่างระหว่างการเคารพนับถือในตัวเองกับความมีอัตตา ก็คือ ความสามารถในการโต้แย้งโดยได้ไตร่ตรองแล้ว  การเป็นผู้นำต้องมีทัศนคติเชิงบวก(Positive self-regard)เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ
  1. ต้องรู้ข้อดีและข้อด้อยของตนเอง ข้อดีควรส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรกำจัดข้อเสียให้น้อยลงหรือ กำจัดให้หมดไป
  2. เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาตนเองเพื่อที่จะเสริมสร้างข้อดีโดยการกำหนดเป้าหมายไว้ ผู้นำที่ดีส่วนใหญ่ต้องการผลตอบรับ (Feedback) เพื่อใช้ในการประเมินตนเองว่า ทำงานได้ดีแค่ไหนและก้าวหน้าขนาดไหนแล้ว
  3. ผู้นำต้องมีความเข้าใจความต้องการขององค์กรและตนเองสามารถพัฒนาองค์กรได้ไม่มากก็น้อย ผู้นำที่มีศักยภาพนั้นจะตระหนักได้ว่าควรพยายามทำและพัฒนาตรงจุดไหน
 

ในการศึกษาวิจัยครั้งแรกเมื่อหลายปีที่ผ่านมาพบว่ามีผู้นำเพียง 2 คนจาก 90 คน ที่อยู่ในตำแหน่ง CEO ได้นานในองค์กรของเขา ซึ่ง 2 คนนี้ พวกเขาเข้าใจผิดว่าความสามารถของพวกเขาไม่เหมาะสมกับความต้ององค์กรแล้ว แต่โดนบังคับให้อยู่ในตำแหน่งเพราะคณะกรรมการอื่นๆ

 

  

ทั้งนี้ปัจจัยที่กำหนดการเลือกผู้นำคนใหม่คือ ความสามารถ (รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร) และรู้ว่าตนเองจะต้องหมดหน้าที่ลงเมื่อใด

 

  

หากเลือกผู้นำผิด ความผิดพลาดก็จะถูกฝังและอยู่ในองค์กรตลอดไป และพวกคณะกรรมการที่คัดเลือกผู้นำใหม่ก็ไม่กระตือรือร้นที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดนี้อีกด้วย

 

ปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อผู้นำคือ คู่สมรสที่ดีซึ่งจะสามารถให้การช่วยเหลือเกื้อกูลหรือเป็นกระจกสะท้อนตัวผู้นำออกมา  

นอกจากนี้คนรอบข้างในองค์กรหรือนอกองค์กร ก็มีส่วนสำคัญในการสะท้อนและสามารถบอกความจริงในสิ่งต่างๆ ในตัวผู้นำได้

 

  

สาเหตุที่ทำให้ CEO รักษาชีวิตสมรสที่ยาวนานคือประสิทธิภาพของคู่สมรส ผู้นำหลายคนไม่สามารถจะก้าวเป็น CEO ได้หากขาดภรรยาหรือสามีให้ความช่วยเหลือ ให้กำลังใจและช่วยในการจัดการและสนับสนุนอย่างดีในทุกเรื่อง ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าเสียงสะท้อนกลับมา

 

  

นอกจากคู่สมรส ผู้นำต้องการ เสียงสะท้อน จากคนในองค์กรและนอกองค์กรอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้นำที่จะต้องสร้างสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิด เสียงสะท้อน โดยการสัมภาษณ์เพราะผู้นำสามารถจะเจอคนที่มีจุดแข็งในตนเอง ซึ่งคนพวกนี้จะเป็นแหล่งเสียงสะท้อนของผู้นำ

 

  

รวมถึงคนที่มักจะมีความคิดเห็นแตกต่างจากผู้อื่นในกลุ่ม เพราะความคิดของคนกลุ่มนี้จะส่งผลต่อการดำเนินงานขององค์กรเพื่อไม่ดำเนินไปในทิศทางเดียว

 

นอกจากนี้ผู้นำควรให้ความสำคัญกับ การสับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ (devil’s advocate) ซึ่งจะสามารถช่วยให้มีคนคอยตักเตือนเราและมองเห็นการทำงานของเราและการที่มีคนพูดสะท้อนในสิ่งที่คุณทำนั้นในชีวิตควรมีมากกว่า 1 คนหรือไม่ก็อย่างน้อย 1 คนก็ยังดี 

วิธีสะท้อนเพื่อให้กำลังใจนั้นคือ ระบบผลตอบแทนสินน้ำใจเหมือนการให้โบนัส , เสียงสะท้อนถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่ในการช่วยส่งเสริมการเป็นผู้นำที่ดี มีบทเรียนแห่งความรู้ที่เป็นประโยชน์ที่มาจากผู้นำหลายท่าน 4 ประการ

ตัวเองเป็นครูที่ดีที่สุด

มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และไม่โยนความผิดให้ผู้อื่น

เรียนรู้สิ่งต่างๆ ตามความต้องการเพื่อเสริมสร้างโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นเสมอ

ความเข้าใจอย่างแท้จริง มาจาประสบการณ์ที่ผ่านมาและสามารถสะท้อนให้เห็นตัวเอง  มีคำกล่าวที่ว่า การค้นหาคำตอบที่ถูกต้องชัดเจน มาจากคำถามที่ตรงประเด็นในเวลาที่เหมาะสม

การเดินทางสู่การค้นพบทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ยังต้องการให้ผู้อื่นให้คำแนะนำและการพูดโต้ตอบกลับกับบุคคลที่มีคุณค่าเหล่านั้น ผลที่ได้รับทำให้เห็นภาพสะท้อนตัวเรา  คนจำนวนมากต้องผิดหวังกับชีวิตการแต่งงานและการหย่าร้าง  ปัญหาของแต่ละคนที่เกิดขึ้น ควรต้องผลักดันให้คนรู้จักการเริ่มต้นใหม่ บางทีอาจจะเป็นครั้งแรกที่ให้เขาย้อนมองดูชีวิต ประสบการณ์ที่ล้มเหลว  

 

สิ่งเหล่านี้อยู่เหนือคำอธิบายใดๆ การศึกษาผู้ชาย ผู้หญิงและพยายามทำความเข้าใจ คนที่ไม่เคยเรียนรู้ก็ไม่สามารถก้าวเพื่ออนาคตข้างหน้าได้  

 

คนที่จะเป็นผู้นำที่ดีจำเป็นต้องกล้าตัดสินใจเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ด้วยตัวเอง และพวกเขาจะต้องเข้าใจในจุดที่สำคัญ และค้นพบสิ่งเหล่านั้นได้จากการเรียนรู้ และควรพยายามจะลองทำในสิ่งอื่นๆอีกที่ไม่คิดว่าจะทำได้ จะทำให้สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้นำที่ดีได้

โดยที่ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน  ถ้าเปรียบเทียบอาหาร Fast food เหมือนกับการสร้างการเป็นผู้นำเอาคนใส่ในไมโครเวฟแล้วกดออกมาเป็นผู้นำ McDonald ในเรื่องจริงมันไม่สามารถเป็นไปได้เลย

ผู้นำที่ดีจริงๆ ต้องเกิดการพัฒนาขึ้นจากตัวเอง ไม่ได้มาจากวางแผนที่จะเรียนหนักแต่มาจากความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดจากตนเองต่างหาก  ยังมีอีกความหมายหนึ่งของคำว่า bricoleurs นักประดิษฐ์คิดค้น หรือช่างซ่อม คือผู้ที่สามารถรวมสิ่งต่างๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันและสามารถเชื่อมโยงสิ่งต่างๆเข้าหากันและแก้ปัญหาได้  

 

อย่างไรก็ตาม bricoleurs ก็รับสมัครผู้นำที่ดีด้วยเช่นกัน สามารถอธิบายได้ดีถึงภาวการณ์เป็นผู้นำที่เก่งได้จากองค์กรที่กำลังจะหมดหวังหลายๆแห่ง ผู้บริหารจะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถที่สุดจากความสามารถของพวกเขาเลยทีเดียว Dialogue Starters 

  1. Definition Exercise: แบบทดสอบการให้คำจำกัดความ บอกลักษณะเฉพาะของการเป็นผู้นำในตัวคุณที่เหมือนกับผู้นำที่คุณชื่นชม และภาวะผู้นำที่ได้มาจากประสบการณ์ของคุณ คุณบอกได้ไหมว่าจุดเล็กๆ ที่สามารถสร้างลักษณะเฉพาะในตัวคุณ เกิดขึ้นมาได้จากสถานการณ์ในช่วงไหนของชีวิตคุณ
  2. What – if Discussion: การอภิปราย วิเคราะห์ว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากคุณนั่งตำแหน่งบริหารสูงสุดของบริษัท และดำเนินรอยตามทุกขั้นตอนของ Martin Kaplan คุณได้อะไรจากการเรียนรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นำ ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน สามารถให้คุณมองคนได้อย่างถ่องแท้ สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญก่อนหลัง ความอึดอัดจากความล้มเหลว ซึ่งคุณสามารถพิจารณานำไปใช้กับบริษัทของคุณได้
 

สรุปแง่มุมด้าน คน ของความเป็นผู้นำ คุณสมบัติของการเป็นผู้นำนั้นถ้ามีกรณีถกเถียงหรือโต้แย้งใดๆก็ตาม เราควรจะหยุด คิด นิ่ง หรือระงับอารมณ์ อารมณ์ต่างๆซึ่งซ่อนอยู่ภายใน

 

เพราะว่าโดยสัญชาตญาณของมนุษย์เมื่อโกรธหรือไม่พอใจในเรื่องใดๆก็จะโต้เถียงหรือระเบิดอารมณ์ออกมาในทันที  

การเป็นผู้นำที่ดีนั้นควรระมัดระวังเรื่องการปะทะกันด้านของอารมณ์ ไม่ควรหุนหันพลันแล่นหรือวู่วามในการตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาภายใต้แรงกดดันของทุกฝ่าย  ควรที่จะเก็บอารมณ์ให้นิ่งแล้วถอยออกมาสักก้าวหนึ่ง เพื่อที่จะได้ประเมินสถานการณ์ ของปัญหานั้นได้ถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจด้วยอารมณ์ในทันที โดยการปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามได้ระเบิดปัญหาหรือความขัดแย้งออกมามากๆเราจะได้มองเห็นตัวตนของเขาได้อย่างลึกซึ้ง (รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง )  

 

ในที่สุดเราก็จะสามารถ มองเห็นผลลัพท์ของความแตกต่างระหว่างการป็นคนที่มีมุมมองโลกในแง่บวก คิดในด้านดี กับการที่เอาแต่ใจตั้งตนเป็นใหญ่ แต่เพียงฝ่ายเดียวแบบไหนได้ประโยชน์สูงสุด

 

ผลลัพท์ที่ว่านั้นก็คือถ้าเราตั้งสติให้มั่น ปัญญาก็จะเกิดแก่ตัวเราเท่านั้นแล้วก็จะทำให้เรา อ่านเกมหรือมองกลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้าม ได้อย่าทะลุทะลวงเป็นเหตุให้เรากลายเป็นผู้นำ ซึ่งเปี่ยมด้วยปัญญา แก้ไขปัญหา ด้วยความรอบคอบ โอกาสที่จะผิดพลาดก็น้อย ( ผู้ชนะ )  

 

ดังนั้นผู้นำจึงต้องสื่อสารมุมมองความคิดและวิสัยทัศน์ของตนไปยังผู้ที่อยู่รอบตัวสามารถทำให้เป็นจริงได้ กระตุ้นและโน้มน้าวให้บุคคลเข้าร่วมกับอุดมการณ์ ต้องมีความตระหนักรู้ตนเองหรือรู้จักตนเข้าใจตัวเองและอยากจะพัฒนาตนเอง จึงจะเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จมีคุณค่า

 

ผู้นำควรรู้จักปรับปรุงตนเองก่อนที่จะพัฒนาผู้อื่น  การค้นพบตนเองสามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่จะชี้ให้เห็นถึงการสร้างทัศนคติในเชิงบวก ทราบถึงวิธีที่จะสร้างการมองตนเองโดยการเสริมสร้างจุดแข็งของตนเอง กล้าคิด กล้าทำและกล้าตัดสินใจ ทราบความต้องการขององค์กรและความคาดหวังที่องค์กรรวมถึงทำให้เกิดการประเมินเสียงสะท้อน จากทุกคนเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขสู่ความเป็นเลิศ ทั้งยังช่วยสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรก้าวไปสู่เป้าหมายได้อย่างยอดเยี่ยม 

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ หงส์ดารมห์ และสวัสดีผู้อ่านทุกๆท่าน กระผมต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ส่งงานล่าช้า จากเมื่อวันที่ 9-10 มีนาคม 2550 อาจารย์ได้กรุณามาให้ความรู้และร่วมทานมื้อค่ำที่ร้านชาวเลกับนักศึกษา MBA แสตมฟอร์ดหัวหิน ตามที่ ศ.ดร.จีระ ให้หาจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองอย่างละ 3 ข้อ ซึงกระผมมีดังต่อไปนี้  จุดแข็ง 1.มีความคิดสร้างสรรค์       2.ชอบศึกษาหาความรู้        3.เข้ากับคนอื่นได้ดี    จุดอ่อน 1.ใจร้อน 2.ขี้เกียจ 3.จิตใจอ่อนไหวจากการที่ได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ทำให้ทราบถึงปรัชญาแนวความคิดตลอดจนกลยุทธ์เละเทคนิคการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของท่านทั้งสองและเป็นประโยชน์ต่อผู้นำ โดยท่านทั้งสองได้เห็นถึงคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์มีค่ามากที่สุดในองค์กร รวมถึงความจำเป็นในการพัฒนาคน เพื่อให้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่ารวดเร็วความเหมือนและแตกต่างกันของคุณพารณ กับ ศ.ดร.จีระ  ทั้งสองท่านซึ่งมีจุดเริ่มต้น เส้นทาง ไม่เหมือนกัน แต่มีเป้าหมายเหมือนกัน คนหนึ่งเป็นนักวิชาการอีกคนหนึ่งเป็นนักปฏิบัติ คุณพารณจบการศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้า แต่ท่าน ศ.ดร.จีระจบการศึกษาทางด้านเศรษฐศาสตร์       คุณพารณทำงานให้กับองค์กรธุรกิจของเอกชน ส่วนท่าน ศ.ดร.จีระเป็นนักวิชาการเต็มตัว               คุณพารณศึกษาและทำงานทางด้านทรัพยากรมนุษย์ด้านคนมาประมาณ 50 ปี ส่วนท่าน ศ.ดร.จีระ ทำงานทางด้านทรัพยากรมนุษย์มาประมาณ 30 ปี ซึ่งอายุของบุคคลทั้งสองก็ต่างกัน.ผู้นำที่ชื่นชอบคือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินประวัติ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
  • เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ.2489 จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-ม.6
  • โรงเรียนวัดพระศรีมหาธาตุ และมาศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6
  • โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 17 เหล่าทหารราบ
  • หลักสูตรส่งทางอากาศและหลักสูตรจู่โจม โรงเรียนศูนย์การทหารราบ
  • หลักสูตรชั้นนายร้อยทหารราบ หลักสูตรสงครามทุ่นระเบิด โรงเรียนศูนย์การทหารช่าง
  • หลักสูตรผู้บังคับหมวดช่างโยธาและกระสุน โรงเรียนศูนย์การทหารราบ
  • หลักสูตรภาษาอังกฤษ โรงเรียนยุทธศึกษาทหารบก
  • หลักสูตรลาดตระเวนระยะไกล โรงเรียนศูนย์การทหารราบ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
  • หลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ 57 และได้ศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (การทหาร) โรงเรียนเสนาธิการทหารบก สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 42
เริ่มรับราชการครั้งแรกใน
  • ตำแหน่งผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบ ศูนย์การทหารราบ
  • ผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ 2 กองพลอาสาสมัครเสือดำ
  • รองผู้บังคับกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 9 กาญจนบุรี นายทหารคนสนิทแม่ทัพภาคที่ 4 (พล.ท.ปิ่น ธรรมศรี ในขณะนั้น) ผู้บังคับกองพันรบพิเศษที่ 2 กรมรบพิเศษที่ 1 รองผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1
  • ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 รองผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1
  • ผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1 รองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาสงครามพิเศษ
  • ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาสงครามพิเศษ และได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารบก
พล.อ.สนธิ เป็นนายทหารนักรบมือ 1 ของหน่วยรบพิเศษ ที่ผ่านการรบมาอย่างโชกโชน เริ่มตั้งแต่การปราบปราม ผกค.ด้านกุยบุรี และ จ.ปราจีนบุรี รวมถึงการออกไปรบที่ประเทศเวียดนามและกัมพูชา   
เอกราช ดนยสกุล ID:106142015
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ หงส์ดารมห์ และสวัสดีผู้อ่านทุกๆท่าน  เนื่องจากวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม ที่ผ่านมากระผมมิได้เข้าเรียน เนื่องจากติดภาระกิจในการทำงานแต่จากการาศึกษาใน Blog  ที่เพื่อนๆ ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น กระผมขอสรุปตามความเข้าใจของตัวเองดังนี้ ทฤษฎี 3 วงกลม วงกลมที่ 1 Context เปรียบเสมือนบ้านที่น่าอยู่ไม่รกรุงรัง องค์กรที่คล่องตัว หรือเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ วงกลมที่ 2 Competencies สมรรถนะในองค์กรควรจะมี1.    ความรู้เฉพาะทาง2.    ความรู้เชิงบริหาร3.    ความรู้เชิงผู้นำ4.    ความรู้เชิงผู้ประกอบการ5.    มองภาพกว้างรู้อะไรแบบกว้างๆ              วงกลมที่ 3 Motivations เก่งไม่เก่งอยู่ที่แรงจูงใจหรือการชมเชย ทฤษฎี 4 L’s      Learning Methodology    เข้าใจวิธีการเรียนรู้     Learning  Environment      สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้      Learning  Opportunities     สร้างโอกาสในการเรียนรู้     Learning  Communities     สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้                ทฤษฎี 8 K’s  ได้แก่        Sustainable Capital (ทุนแห่งความยั่งยืน)     Intellectual Capital  (ทุนทางปัญญา)     Talent Capital  (ทุนทางความรู้ ทักษะ และทัศนคติ)     Ethical Capital  (ทุนทางจริยธรรม)     Digital Capital  (ทุนทางเทคโนโลยีสารสนทศ)     Human Capital (ทุนมนุษย์)     Happiness Capital (ทุนแห่งความสุข)     Social Capital (ทุนทางสังคม)   ทฤษฎี 5 K’s ได้แก่    Creativity Capital  ทุนแห่งการสร่างสรรค์     Innovation Capital ทุนทางนวัตกรรม     Knowledge Capital  ทุนทางความรู้     Cultural Capital  ทุนทางวัฒนธรรม     Emotional    Capital  ทุนทางอารมณ์   บทสัมภาษณ์เกี่ยวผู้นำที่เป็นผู้หญิงและวิเคราะห์ได้ว่า จริงๆแล้วผู้หญิงมีบทบาทในการเป็นผู้นำมานานแล้วและพร้อมที่จะแสดงความเป็นผู้นำเสมอเพียงแต่ไม่มีโอกาสซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุผลทางสังคมที่ยอมรับผู้ชายมากกว่า แท้จริงแล้วหญิง ชาย ต่างมีความสามารถที่ต่างกันในแต่ระด้าน ควรที่จะช่วยเหลือกันและกัน เพื่อผลของงานที่ดีที่สุด การที่จะมีผู้หญิงเป็นผู้นำก็ต้องยอมรับในความสามารถของผู้นั้น            ในส่วนของบทสัมภาษณ์ ดร.ปุระชัย นั้น ตัว ดร.ปุระชัยเองถึงจะมีความมากแต่ก็ไม่เคยได้เขียนเป็นทฤษฎีได้นำไปลองปฏิบัติกัน 
กนกลักษณ์ เร้าเลิศฤทธิ์
ประวัติของสมเด็จพระนเรศวร        ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ใต้ร่มพระบารมีสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ครั้งนั้นปีพุทธศักราช 2098 ในเมืองพระพิษณุโลกสองแคว พระมหาธรรมราชา (ขุนพิเรนทรเทพ) และพระวิสุทธิ์กษัตรี ทรงให้กำเนินพระราชโอรส ทรงพระนามว่า พระนเรศวร มีพระพี่นางสุพรรณกัลยา และพระอนุชา คือ พระเอกาทศรถ และทรงใช้ชีวิต ณ เมืองพระพิษณุโลกจนพระชนมายุประมาณ 8 9 พรรษา จึงถูกนำตัวไปยังกรุงหงสาวดี เพื่อเป็นหลักประกันว่า อยุธยาจะไม่แข็งต่อกรุงหงสาวดี เหมืองดังเช่นโอรสของเจ้าเมืองต่างๆ ในอาณาจักรพระเจ้าบุเรงนอง ลักษณะนิสัยของสมเด็จพระนเรศวร-          มีพระทัยที่เข้มแข็ง-          ดุดัน-          เด็ดขาด-          กล้าหาญ-          ไม่เคยเกรงกลัว-          มีความเฉลียวฉลาด-          มีความรักชาติ-          มีความพยายาม-          มีความซื่อสัตย์ ทฤษฎีที่ใช้วิเคราะห์ภาวะผู้นำของสมเด็จพระนเรศวรทฤษฎีคุณลักษณะ (Trait Theories)    การวิจัยภาวะผู้นำในระยะต้นๆ ทำในปี 1920 จนถึง 1930 โดยค้นหาคุณลักษณะที่แยกความเป็นผู้นำออกจากผู้ตาม นักวิจัยได้สังเกตว่าคุณลักษณะของผู้นำต่างๆ จะมีไม่เท่ากันในแต่ละสถานการณ์ และได้แบ่งคุณลักษณะผู้นำออกจากผู้ตามได้ 6 ประการ คือ
  1. มีแรงกระตุ้น (Drive) ผู้นำจะต้องมีแรงกระตุ้นที่จะทำงานให้สำเร็จ มีความยากมากด้วยพลังผลักดันทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย และแสดงควมคิดริเริ่ม
  2. อยากเป็นผู้นำ (Desire to lead) ผู้นำต้องอยากนำคนอื่น และแสดงออกมาให้รู้ อีกทั้งต้องมีความรับผิดชอบ
  3. ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม(Honesty and integrity)ผู้นำจะต้องสร้างความรน่าเชื่อถือและความไว้วางใจระหว่างเขากับผู้ตามโดยมีความสัตย์ซื่อ และพูดคำไหนเป็นคำนั้น
  4. มีความมั่นใจในตัวเอง(Solf-confidence) ผู้ตามหาผู้นำเพราะตัวเองไม่มีความมั่นใจดังนั้น ผู้นำต้องมีความมั่นใจในตัวเองและแสดงออกและชักจูงให้ผู้ตามไปในจุดมุ่งหมายและการตัดสินใจที่ถูกต้อง
  5. ความเฉลียวฉลาด(Intelligence) ผู้นำจะต้องรับข่าวสารข้อมูลมากมาย ดังนั้นเขาจะต้องมีความสามารถในการสร้างวิสัยทัศน์ แก้ปัญหา และตัดสินใจให้ถูกต้อง
  6. การรู้งาน(Job-rolevant knowledge)ผู้นำที่เก่งจะต้องมีความรู้สึกในบริษัทตนเอง คู่แข่งเทคโนโลยี เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง
 ทฤษฎีของภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษ    เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึง ผู้นำอีกประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการได้รับการยอมรับยกย่างอย่างสูงจากลูกน้องหรือบุคคลทั่วไป เนื่องจากบุคคลผู้นั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่เหนือกว่าคนทั่วไป ตัวอย่างเช่น มหาตมะคานธี ผู้นำที่อุทิศตนในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย มาตินลูเธอร์ คิง ผู้นำในการต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกันของมนุษย์ เป็นต้น บุคคลเหล่านี้เป็นผู้นำเนื่องจาการแสดงพฤติกรรมที่เป็นแบบอย่างในด้านคุณงามความดีและการเสียสละอุทิศตนเพื่อคนอื่นและส่วนรวม ทำให้คนอื่นเกิดความยกย่างชื่นชมพร้อมที่จะเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ทำให้ผู้นั้นมีอำนาจพระคุณซึ่งมีอิทธิพลต่อผู้อื่น ในที่นี้ขอเรียกว่า อำนาจโดยเสน่หา(Charisma) และเรียกผู้นำประเภทนี้ว่า ผู้นำโดยเสน่หา(Charismatic lerders)     คองเกอร์ และคานันโก สรุปข้อค้นพบเกี่ยวกับคุณลักษณะและพฤติกรรมของผู้นำที่มีความสามารถพิเศษ ที่สำคัญดังต่อไปนี้            1.  วิสัยทัศน์กว้างไกล            2.  กล้าเสี่ยง            3.  ใช้กลยุทธวิธีหลายรูปแบบ            4.  ประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา            5.  เปลี่ยนความคิดติดยึดของผู้ตาม            6.  สื่อสารด้วยความมั่นใจ            7.  ใช้อำนาจส่วนบุคคลการวิเคราะห์ภาวะผู้นำของสมเด็จพระนเรศวร            จากการนำทษฤฏีคุณลักษณะมาใช้เพื่อการวิเคราะห์ภาวะผู้นำของสมเด็จพระนเรศวรจะเห็นได้ว่าสมเด็จพระนเรศวรมีคุณลักษณะทั้ง 6 ประการตามทฤษฏีนี้            1.  มีแรงกระตุ้น (Drive) สมเด็จพระนเรศวรมีความทะเยอทะยานและมีพลังทำให้สมเด็จพระนเรศวร มีความตั้งใจที่จะฝึกซ้อมรบและฝึกซ้อมอย่างตั้งใจและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมีความตั้งใจที่จะกอบกู้เอกราชให้กับประเทศสยามให้สำเร็จลุล่วง            2.  มีความปรารถนาที่จะนำผู้อื่น ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรแสดงออกมาโดยมีความรับผิดชอบในเรื่องการฝึกซ้อม ซึ่งสามารถแสดงออกโดยการมีความขยันและตั้งใจในการฝึกซ้อม คนอื่นพักแต่สมเด็จพระนเรศวรก็ไม่หยุดพักมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และแสดงออกมาในการนำคนอื่นออกรบ และจะพิชิตหงสาวดี มีการเสียสละตนเอง แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ การอุทิศตนให้กับการปกป้องผืนแผ่นมาตุภูมิและความสงบสุขของเหล่าไพรฟ้าอาณาประชาราษฎร์            3.  ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม สมเด็จพระนเรศวรสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้แก่คนไทยที่ตกเป็นจำเลยในหงสาวดี และยังมีคุณธรรมรู้จักถูกผิด และชอบช่วยเหลือคนอื่น             4.  มีความมั่นใจในตัวเอง สมเด็จพระนเรศวรมีความเด็ดเดี่ยว กล้าเสี่ยง กล้าตัดสินใจ เชื่อมั่นในตนเอง ในเรื่องราวการวางแผนการรบ การกอบกู้เอกราช            5.  ความเฉลียวฉลาด สมเด็จพระนเรศวรรู้จักการแก้ไขปัญหา ประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีการวางแผนเตรียมไพร่พลในการหลบหนีเพื่อที่จะกลับประเทศสยาม            6.  การรู้งาน สมเด็จพระนเรศวรมีการรอบรู้ในงาน เชี่ยวชาญในการรบ      การวิเคราะห์ทฤษฏีของภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษของสมเด็จพระนเรศวร ดังนี้            1.  การมีวิสัยทัศน์กว้างไกล จากการที่สมเด็จพระนเรศวรมีวิสัยทัศน์ในการที่จะกอบกู้
เอกราชให้กับประเทศสยามมายาวนานตั้งแต่ยังวัยเยาว์ และกล้าที่จะปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง  ๆให้เข้ากับสถานการณ์
            2.  มีความกล้าเสี่ยง ในเรื่องการรบ การกอบกู้เอกราชของประเทศสยาม            3. ใช้กลยุทธวิธีหลายรูปแบบ มีการเตรียมแผนโดยการใช้กลยุทธหลากหลายวิธีเพื่อใช้หลอกล้อข้าศึก มีการกระจายกำลังไปหลายหนทางเพื่อใช้หลอกล้อข้าศึกให้เสียกำลังไพรพลต่าง ๆ นานา             4.  ประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา สมเด็จพระนเรศวรมีการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลาที่ทำการรบ โดยทำการตรวจสอบ วางแผนการต่าง ๆ ก่อนที่จะทำการใด ๆ ก็ตามในการรบ เพื่อป้องกันการผิดพลาดและการสูบเสียไพรพลไป            5.  เปลี่ยนความยึดติดของผู้ตาม สมเด็จพระนเรศวรมีความสามารถที่เห็นได้ชัดในเรื่องฝีมือการรบ และมีการแสดงออกให้ไพรพลเห็นว่ามีความมุ่งมั่นในเรื่องกอบกู้เอกราช จึงทำให้ไพร่พลต่าง ๆ ยอมรับในตัวของสมเด็จพระนเรศวรเป็นอย่างยิ่ง            6.  สื่อสารด้วยความมั่นใจ             7. ใช้อำนาจบุคคล  สมเด็จพระนเรศวรสามารรถให้อำนาจแห่งความเชี่ยวชาญทำให้ไพร่พลยอมรับในตัวของสมเด็จพระนเรศวร และการใช้อำนาจหน้าที่สั่งการให้ไพร่พลปฏิบัติงาน  
นายบุญยอด มาคล้าย

สวัสดีครับ ท่านอ.จีระ อ.ยมและเพื่อนนักศึกษาผู้สนใจไฝ่รู้ทุกท่านต้องขอโทษอาจารย์ด้วยเนื่องจากระบบอินเทอร์เน็ตที่บ้านขัดข้องเพิ่งแก้ไขเสร็จวันนี้ก็รีบส่งงานมาให้อาจารย์ไม่ใช่เป็นการแก้ตัวเพราะมีช่องทางอื่นอีกเยอะที่สามารถส่งได้แต่ทุกอย่างอยากจะทำด้วยตนเอง

 

งานตามหนังสือ อ่านหนังสือแล้วได้อะไรเกี่ยวกับภาวะผู้นำ

 พูดเรื่องมนุษย์ให้ผู้นำมองมนุษย์ในด้านต่อไปนี้1.      มนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร2.      มนุษย์มิใช่เป็นเพียงต้นทุนการผลิตแต่เป็นผลกำไรต่างหาก3.      มนุษย์เมื่อถูกใช้ก็ต้องทำนุบำรุง เอาใจใส่4.      มนุษย์มีความคิดมีมันสมองอันปราชเปรื่องมีรัก โลภ โกรธ หลง ในการเป็นผู้นำ คุณพารณ ได้นำเอาเทคนิคในการบริหารงาน ในการสร้างแรงจูงใจ นำวัฒนธรรมในการทำงานของบริษัทต่างชาติมาใช้ในการบริหารงานโดยต้องนำมาประยุกต์ใช้แม้จะถูกต่อต้านจากพนักงานในองค์กรบ้างก็ตาม แต่ด้วยความเป็นผู้นำที่มีความเป็นเลิศในการบริหารงานก็สร้างความยอมรับให้กับคนในองค์กรนั้น ๆ ได้การเป็นผู้นำที่ดีจะต้องเห็นความสำคัญของคนในองค์กรและควรจะต้องจัดให้พนักงานได้รับการฝึกอบรมเป็นระยะ พนักงานจะต้องถูกดูแลเอาใจใส่อย่างดี ตั้งแต่วันทำงานวันแรกจนถึงวันที่เขาเกษียนอายุออกไปคุณพารณเชื่อว่า องค์กรจะดีจะต้องมีคนเก่งละดี ส่วนองค์กรจะแย่เพราะมีคนไม่เก่งและไม่ดี ดังนั้นคุณพารณจึงมองว่า คนเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กรการพัฒนาคนเมื่อประสบความสำเร็จ ผลที่จะได้มีมากมาย เช่น การเพิ่มผลมากขึ้น  องค์กรอยู่กันอย่างสามัคคีกลมเกลียว และปัจจัยอีกอย่าง หน้าที่การเพิ่มผลผลิตจะประสบความสำเร็จได้ก็คือ ความจงรักภักดี และความมีระเบียบวินัยของคนในองค์กร ผู้นำจะต้องทำให้ได้ตามนี้ด้วยการเป็นผู้นำนั้นจะต้องเปิดประตูรับลูกน้องหรือคนในองค์กรตลอดเวลา คือเท่ากับต้องเปิดกว้างรับความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง  สร้างขวัญกำลังใจให้ลูกน้อง เช่นแสดงอาการชื่นชม แสดงความกระตือรือล้นเมื่อเห็นผลงานของลูกน้องอย่างจริงใจ  ชื่นชมลูกน้องต่อหน้าพนักงานอื่น ๆ ทำให้ลูกน้องหัวใจพองโตอยากทำงานแบบถวายหัว  เมื่อเจ้านายดี ลูกน้องก็ทำงานแบบบ้างานและอยู่ในระเบียบวินัย  ผู้นำต้องคิด ต้องสร้างแรงจูงใจให้ลูกน้อง เช่น การทำงานเป็นการพักผ่อนไปในตัว หรือการทำงานคือความสุข และการทำงานแบบมีส่วนร่วม  ผู้นำที่ดีต้องรู้จักอดทน และทนต่อแรงเสียดทาน ปรัชญา 4 ข้อ คือ  เก่ง 4 ข้อ ดี 4 คือ            เก่ง 4 คือ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด และเก่งเรียน            ดี 4 คือ ประพฤติดี มีน้ำใจ ใฝ่ความรู้ คู่คุณธรรมคนทุกคนเป็นทรัพย์สินที่มีค่า มากกว่าทรัพย์สินอื่นใดในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเงิน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ดังนั้นคนจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดนอกเหนือจากรางวัลหรือผลประโยชน์อื่นใดสิ่งที่ผู้นำควรคำนึงอีกอย่างหนึ่งคือ การให้ความรู้กับคนในองค์กร เพื่อความยั่งยืนขององค์กร มิใช่แต่พัฒนาคนในองค์กรเท่านั้นยังพัฒนาคนนอกองค์กรด้วยØ    การทำให้คนพึงพอใจในงานที่ทำ และงานที่ทำต้องเป็นงานที่ทำให้พนักงานมีความหวังในการเกิดความก้าวหน้าการใช้คน            คนมีหลายประเภทที่ผู้นำจะต้องเลือกใช้ให้ถูกกับงานและให้เกิดความพอใจและภาคภูมิใจกับพนักงานที่จะทำงานนั้น ๆ บางคนถ้าใจและกายเขาพร้อมทำงาน ก็ไม่มีปัญหาในการสั่งงานหรือมอบหมายงาน แต่บางคนจะต้องทำงานที่ตนเองชอบหรือถนัดอย่างเดียวคนพวกนี้ก็ต้องจัดให้ทำงานตามที่เขาถนัด หรือชอบงานนั้น ๆ จึงจะสำเร็จได้ด้วยดี บางคนก็ทำงานตามอารมณ์ของตนเอง คนพวกนี้ผู้นำจะต้องหาวิธีที่จะต้องใช้ให้เกิดประสิทธิ์ภาพในการทำงาน             ผู้นำต้องเข้าใจการบริหารมนุษย์ ในการบริหารมนุษย์นั้นจะต้องทำให้มนุษย์มีคุณภาพ การที่ทำให้มนุษย์มีคุณภาพ ก็คือต้องส่งเสริมด้านการศึกษา การปรับปรุงบุคคลิกภาพ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร  สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ และผู้นำจะต้องศึกษาของลูกน้องว่ามีความสามารถในทางไหนดังนี้นที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มนุษย์ก็คือเป็นต้นเหตุชนิดหนึ่ง            การเพาะปลูกสำคัญก็จริง แต่การเก็บเกี่ยวสำคัญกว่า ก็หมายความว่า การสร้างคนให้มีคุณภาพเท่าไหร่ก็แล้วแต่ สำคัญอยู่ว่าคนที่พัฒนาแล้วจะสร้างผลงาน สร้างความเจริญให้กับตัวเองและองค์กรได้แค่ไหนดังปรัชญาของเครือซีเมนต์ไทย ได้ยึดมั่นอุดมการณ์ 4 ประการ1.      ตั้งมั่นในความเป็นธรรม2.      มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ3.      เชื่อมั่นในคุณค่าของคน4.      ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม ยุทธศาสตร์ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาและสร้างความสามารถในการแข่งขัน คือการกำหนดวิสัยทัศน์ คือผู้นำจะต้องรู้โลกดี รู้ว่าโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปทางใดการลงทุนเน้นให้เกิด Competencies ใหม่ ๆ ได้แก่การพัฒนาและสร้างศักยภาพให้แก่ทรัพยากรมนุษย์และสุดท้ายการสร้างบรรยากาศดีเหมาะสมต่อการเรียนรู้โดยความรู้จะต้องทันสมัยใหม่ และสดเสมอ และนำไปใช้ได้จริงทฎษฎี 8 k’sk 1. Human  Capital                 =  ทุนมนุษย์k 2. Intelleetual  Capital           =  ทุนทางปัญญาk 3. Ethical  Capital                  =  ทุนทางจริยธรรมk 4. Happiness  Capital            =  ทุนแห่งความสุขk 5. Social  Capital                   =  ทุนทางสังคมk 6. Sustainable  Capital          =  ทุนแห่งความยั่งยืนk 7. Digital  Capital                   =  ทุนทาง ITk 8. Telented  Capital               =  ทุนทางความรู้ ทักษะ และทัศนคติ                        ปัจจัยที่จำเป็นต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้ประสบผลสำเร็จ 4 ปัจจัยหลักดังนี้1.      คุณภาพของคน ดูตั้งแต่คัดเลือกคนข้าทำงาน ตลอดจนเข้าทำงานไปแล้วดูแลตลอด2.      ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท คือผู้บริหารจะต้องเห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์เป็นอันดับหนึ่ง3.      ทัศนคติของฝ่ายจัดการ ต้องหมั่นฝึกอบรมพนักงานอยู่สม่ำเสมอโดยไม่เสียดายงบค่าอบรม หรือค่าใช้จ่ายในการพัฒนาคน4.      การปลูกฝังให้พนักงานพัฒนาตนเอง พนักงานเองก็ต้องใฝ่หาความรู้ หรือต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องบทสรุปก็คือทั้งหลายทั้งปวงทั้งสองท่านพูดเน้นไปในแนวทางการพัฒนามนุษย์เมื่อมนุษย์มีประสิทธิภาพทุกอย่างย่อมดีตามถ้าระบบดีคนดีต้องดีแน่    ระบบดีคนแย่ต้องแก้ไขระบบแย่คนดีพอดีได้       ฝากเอาไว้เป็นข้อคิดน๊ะมิตรเอย นายบุญยอด  มาคล้าย  MBA7  STAMFORD  หัวหิน 
นายบุญยอด มาคล้าย
  สวัสดีครับท่าน อ.จีระ อ.ยมและเพื่อนนักศึกษาผู้ไฝ่รู้ทุกท่านผมได้ตามส่งงานตามที่ท่าน อ.สั่งต้องขออภัยที่ส่งล่าช้าด้วยน๊ะครับ                           หัวข้อ  ผู้นำที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ  
๑. กำเนิดแห่งชีวิต ท่านอาจารย์พุทธทาส มีนามเดิมว่า เงื่อม นามสกุล พานิช เกิดเมื่อ วันอาทิตย์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ในสกุลของ พ่อค้าที่ตลาด พุมเรียง ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี บิดา ชื่อ เซี้ยง มารดาชื่อ เคลื่อน มีน้อง สองคน เป็นชาย ชื่อ ยี่เก้ย และ เป็นหญิง ชื่อ กิมซ้อย
บิดาของท่าน มีเชื้อสายจีน ประกอบอาชีพหลัก คือ การค้าขาย ของชำ เฉกเช่น ที่ชาวจีน นิยมทำกัน ทั่วไป แต่อิทธิพลที่ท่านได้รับจาก บิดา กลับเป็นเรื่องของความสามารถทางด้าน กวี และ ทางด้านช่างไม้ ซึ่งเป็นงาน อดิเรก ที่รักยิ่ง ของบิดา  ส่วนอิทธิพลที่ได้รับจากมารดา คือ ความสนใจ ในการศึกษาธรรมะ อย่างลึกซึ้ง อุปนิสัย ที่เน้น เรื่อง ความประหยัด เรื่องละเอียดละออ ในการใช้จ่าย และการทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด และต้องทำให้ดีกว่าครูเสมอ
ท่านได้เรียนหนังสือเพียงแค่ชั้น ม.๓ แล้วต้องออกมา ค้าขาย แทนบิดา ซึ่งเสียชีวิต   ครั้น อายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้บวชเป็นพระ ตาม คตินิยม ของชายไทย ที่วัด โพธาราม ไชยา ได้รับ ฉายา ว่า "อินทปัญโญ" แปลว่า ผู้มีปัญญา อันยิ่งใหญ่ เดิมท่านตั้งใจจะบวชเรียน ตามประเพณี เพียง ๓ เดือน แต่ ความสนใจ ความซาบซึ้ง ความรู้สึก เป็นสุข และสนุก ในการศึกษา และ เทศน์ แสดงธรรม ทำให้ท่าน ไม่อยากสึก เล่ากันว่า เจ้าคณะอำเภอ เคยถามท่าน ขณะที่ เป็น พระเงื่อม ว่า มีความคิดเห็น อย่างไร ในการใช้ชีวิต ท่านตอบว่า "ผมคิดว่า จะใช้ชีวิต ให้เป็น ประโยชน์ แก่ เพื่อนมนุษย์ ให้มากที่สุด" "..แต่ถ้า ยี่เก้ย จะบวช ผมก็ต้อง สึก ออกไป อยู่บ้าน ค้าขาย" ท่านเจ้าคณะอำเภอ ก็เลยไปคุย กับโยมแม่ ของท่าน ว่า ท่านควรจะ อยู่เป็นพระ ต่อไป ส่วนยี่เก้ย น้องชาย ของท่าน นั้น ไม่ต้องบวช ก็ได้ เพราะมีชีวิต เหมือน พระ อยู่แล้ว คือ เป็นคนมักน้อย สันโดษ การกินอยู่ ก็ เรียบง่าย ตัดผม สั้นเกรียน ตลอดเวลา นายยี่เก้ย ก็เลย ไม่ได้บวช ให้พี่ชาย บวช แทน มาตลอด
นาย ยี่เก้ย ต่อมา ก็คือ "ท่านธรรมทาส" ฆราวาส ผู้เป็นกำลังหลัก ของ คณะธรรมทาน ในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ของ สวนโมกขพลาราม  

๒. อุดมคติแห่งชีวิตพระเงื่อม ได้เดินทาง มาศึกษาธรรมะต่อ ที่ กรุงเทพฯ สอบได้ นักธรรมเอก แล้วเรียนภาษาบาลี จนสอบได้ เปรียญ ๓ ประโยค ระหว่างที่เรียน เปรียญธรรม ๔ อยู่นั้น ด้วยความที่ ท่านเป็น คนรัก การศึกษา ค้นคว้า จากพระไตรปิฎก และศึกษา ค้นคว้า ออกไปจากตำรา ถึงเรื่อง การปฏิรูป พระพุทธศาสนา ในประเทศศรีลังกา อินเดีย และ การเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ในโลก ตะวันตก ทำให้ท่าน รู้สึกขัดแย้ง กับ วิธีการสอน ธรรมะ ที่ยึดถือ รูปแบบ ตามระเบียบ แบบแผน มากเกินไป ความย่อหย่อน ในพระวินัย ของสงฆ์ ตลอดจน ความเชื่อที่ผิดๆ ของ พุทธศาสนิกชน ในเวลานั้น ทำให้ท่าน มีความเชื่อมั่นว่า พระพุทธศาสนาที่สอน ที่ปฏิบัติกัน ในเวลานั้น คลาดเคลื่อน ไปมาก จากที่ พระพุทธองค์ ทรงชี้แนะ ท่านจึงตัดสินใจ หันหลังให้กับการศึกษาของสงฆ์ เวลานั้น กลับไชยา เพื่อศึกษา และทดลองปฏิบัติ ตามแนวทาง ที่ท่านเชื่อมั่น โดยร่วมกับ นายธรรมทาส และ คณะธรรมทาน จัดตั้งสถานปฏิบัติธรรม "สวนโมกขพลาราม" ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ จากนั้น ท่านได้ศึกษา และปฏิบัติธรรมะ อย่างเข้มข้น จนเชื่อมั่นว่า ท่านมาไม่ผิดทางแน่ และได้ประกาศ ใช้ชื่อนาม "พุทธทาส" เพื่อแสดงว่า ให้เห็นถึง อุดมคติสูงสุด ในชีวิตของท่าน   จากบันทึกของท่าน เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ เขียนไว้ว่า "...ชีวิตของข้าพเจ้า สละทุกอย่างๆ มุ่งหมาย ต่อความสุขนี้ และประกาศ เผยแพร่ความสุขนี้ เท่านั้น ไม่มีอะไรดีกว่านี้ ในบรรดามีอยู่ใน พุทธศาสนา..."
ประวัติท่านพุทธทาส คัดจากหนังสือ พุทธสาสนา ปีที่ ๖๗ เล่ม ๒ พุทธศักราช ๒๕๔๒

๓. ปณิธานแห่งชีวิตอุดมคติ ที่หยั่งรากลึกลงแล้วนี้ ทำให้ท่านสนใจใฝ่หา ความรู้ทางธรรมะ ตลอดเวลา ไม่เฉพาะแต่ พระพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาท หรือ หินยาน แต่ครอบคลุม ไปถึงพระพุทธศาสนา แบบ มหายาน และ ศาสนาอื่น เช่น คริสต์ อิสลาม ฮินดู สิกข์ เป็นต้น จากความรอบรู้ ที่กว้างขวาง และลึกซึ้ง นี้เอง ทำให้ท่านสามารถ ประยุกต์ วิธีการสอน และปฏิบัติธรรมะ ได้อย่างหลากหลาย ให้คนได้เลือกปฏิบัติ ให้สอดคล้อง กับพื้นความรู้ และอุปนิสัยของตนได้ โดยไม่จำกัด ชนชั้น เชื้อชาติ และศาสนา เพราะท่านเชื่อว่า มนุษย์ ทุกคน ก็คือ เพื่อน ร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมด ทั้งสิ้น และหัวใจ ของทุกศาสนา ก็เหมือนกันหมด คือ ต้องการ ให้คน พ้นจากความทุกข์ ท่านจึง ได้ตั้ง ปณิธานในชีวิตไว้ ๓ ข้อ คือ๑. ให้พุทธศาสนิกชน หรือ ศาสนิกแห่งศาสนาใดก็ตาม เข้าถึง ความหมายอันลึกซึ้ง ที่สุดแห่งศาสนาของตน
๒. ทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
๓. ดึงเพื่อนมนุษย์ให้ออกมาเสียจากวัตถุนิยมแม้ในความพยายามที่จะทำตามปณิธานนี้ จะทำให้ บางคน ไม่เข้าใจท่าน ไม่ชอบท่าน ด่าว่าท่าน หาว่า ท่านจ้วงจาบ พระพุทธศาสนา เป็นเดียรถีย์ เป็นคอมมิวนิสต์ หรือ รับจ้าง คนคริสต์ มาทำลายล้าง พระพุทธศาสนา ก็ตาม แต่ท่านกลับรับฟัง คำวิจารณ์ เหล่านี้ด้วยใจเป็นกลาง ถือเป็นการแลกเปลี่ยน ทางความคิด ในเรื่อง เนื้อหา และ หลักการ มากกว่า ที่จะก่อความ ขัดแย้ง ส่วนตัว เพราะท่านมีหลัก ในการทำงานว่า " พุทธบุตร ทุกคน ไม่มี กังวล ในการ รักษา ชื่อเสียง มีกังวล แต่การ ทำความบริสุทธิ์ เท่านั้น เมื่อได้ทำความ บริสุทธิ์ มองเห็นชัดเจนใจ อยู่แล้วว่า นี่มันบริสุทธิ์ เป็นธรรมแท้ ใครจะชอบ หรือ ไม่ชอบก็ตาม เราต้องทำ ด้วยความ พยายาม อย่างสุดชีวิต จะมีชื่อเสียง หรือไม่นั้น อย่า นึกถึง เลย เป็นอันขาด จะกลายเป็น เศร้าหมอง และ หลอกลวง ไปไม่มาก ก็น้อย" ในที่สุด ท่านก็ได้รับการยอมรับ จากวงการ คณะสงฆ์ไทย วงการศึกษา ของไทย  และวงการศึกษาธรรมะของโลก ได้รับการยอมรับให้เป็นเสนาบดีแห่งกองทัพธรรมในยุคหลัง กึ่งพุทธกาล เยี่ยง พระมหากัสสป ในครั้งพุทธกาล สมณศักดิ์ที่ท่านได้รับ
๑. เป็นพระครูอินทปัญญาจารย์ พ.ศ. ๒๔๘๙
๒. เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระอริยนันทมุนี พ.ศ. ๒๔๙๓
๓. เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชชัยกวี พ.ศ. ๒๕๐๐
๔. เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพวิสุทธิเมธี พ.ศ. ๒๕๑๔
๕. เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมโกศาจารย์ พ.ศ. ๒๕๒๐แม้ท่านจะมีชื่อ สมณศักดิ์ ตามลำดับ หลายชื่อ แต่ท่านจะใช้ ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็น ต้องติดต่อ ทางราชการ เท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องอื่นแล้ว ท่านจะใช้ ชื่อว่า "พุทธทาส อินทปัญโญ" เสมอ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อม ถ่อมตัว ของท่าน ประการหนึ่ง ชื่อ พุทธทาสนี้ เป็นที่มา แห่งอุดมคติ ของท่านนั่นเองปริญญาทางโลก ที่ท่านได้รับ
๑. พุทธศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ จาก มหาจุฬา ลงกรณ ราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๒
๒. อักษรศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขา ปรัชญา และ ศาสนา จาก มหาวิทยาลัย ศิลปากร พ.ศ. ๒๕๒๘
๓. ปรัชญา ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขา วิชา ศึกษาศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัย รามคำแหง พ.ศ. ๒๕๒๘
๔. ศิลปศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขา ปรัชญา จาก มหาวิทยาลัย สงขลา นครินทร์ พ.ศ. ๒๕๒๙
๕. อักษรศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขา ปรัชญา จาก จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๐
๖. การศึกษา ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขา พัฒนศึกษาศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. ๒๕๓๒
๗. ศิลปศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๓๖ในระดับนานาชาติ ปัจจุบัน ทุกมหาวิทยาลัย ที่มีแผนก สอนวิชา ศาสนาสากล ทั้งในยุโรป และ อเมริกาเหนือ ล้วน ศึกษางานของท่าน หนังสือ ของท่าน กว่า ๑๔๐ เล่ม ได้รับการแปลเป็น ภาษาอังกฤษ, กว่า ๑๕ เล่ม เป็นภาษาฝรั่งเศส, และ อีก ๘ เล่ม เป็น ภาษาเยอรมัน นอกจากนั้น ยังแปลเป็นภาษา จีน อินโดนีเซีย ลาว และ ตากาล็อค อีกด้วย กล่าวได้ว่า ในประวัติศาสตร์ไทย ท่านอาจารย์พุทธทาส มีผลงาน ที่เป็น หนังสือแปล สู่ต่างประเทศ มากที่สุด 

๔. ผลงานแห่งชีวิต

ตลอดชีวิต ของ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านย้ำอยู่เสมอว่า "ธรรมะ คือ หน้าที่" เป็นการทำหน้าที่ เพื่อความอยู่รอด ทั้งทางฝ่ายกาย และฝ่ายวิญญาณ ของมนุษย์ และ ท่าน ได้ทำหน้าที่ ในฐานะ ทาส ผู้ซื่อสัตย์ ของ พระพุทธเจ้า ทุกอณู แห่งลมหายใจ เข้าออก จนแม้วาระสุดท้าย แห่งชีวิต จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า ผลงาน ที่ท่าน สร้างสรรค์ ไว้ เพื่อ เป็น มรดก ทางธรรมนั้น จะมีมากมาย สักปานใด ซึ่งจะขอนำมากล่าวเฉพาะ ผลงานหลักๆ ดังนี้ คือ๑. การจัดตั้ง สถานปฏิบัติธรรม สวนโมกขพลาราม และ สวนโมกข์นานาชาติ
๒. การร่วมกับ คณะธรรมทาน ในการออกหนังสือพิมพ์ "พุทธสาสนา" ราย ๓ เดือน นับเป็นหนังสือพิมพ์ ทาง พระพุทธศาสนา เล่มแรก ของไทย เริ่มตีพิมพ์ เมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๖ และ ต่อเนื่องมา จนถึง ปัจจุบัน เป็นเวลารวม ๖๑ ปี นับเป็นหนังสือพิมพ์ ทาง พระพุทธศาสนา ที่มีอายุยืนยาวที่สุดของไทย
๓. การพิมพ์หนังสือ ชุด "ธรรมโฆษณ์" ซึ่งเป็นหนังสือที่ รวบรวม พิมพ์ จาก ปาฐกถาธรรม ที่ท่านแสดงไว้ในวาระต่างๆ และ งานหนังสือเล่ม เล่มอื่นๆ ของท่าน โดยแบ่งออก เป็น ๕ หมวด คือ๑. หมวด "จากพระโอษฐ์" เป็นเรื่องที่ท่าน ค้นคว้า จาก พระไตรปิฎก ฉบับ ภาษา บาลี โดยตรง
๒. หมวด "ปกรณ์พิเศษ" เป็นคำอธิบาย ข้อธรรมะ ที่เป็นหลักวิชา และหลักปฏิบัติ
๓. หมวด "ธรรมเทศนา" เป็นคำบรรยายแบบเทศนา ในเทศกาลต่างๆ
๔. หมวด "ชุมนุมธรรมบรรยาย" เป็นคำขยายความ ข้อธรรมะ เพื่อให้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง
๕. หมวด "ปกิณกะ" เป็นการอธิบายข้อธรรมะ เบ็ดเตล็ด ต่างๆ ประกอบ ความเข้าใจปัจจุบัน หนังสือชุดนี้ ได้ตีพิมพ์ เป็นหนังสือ ขนาด ๘ หน้ายก หนาเล่มละ ประมาณ ๕๐๐ หน้า จำนวน ๖๑ เล่ม แล้ว ที่ยังรอการจัดพิมพ์ อีก ประมาณ ร้อยเล่ม 
๔. การปาฐกถาธรรม ของท่าน ที่ก่อให้เกิด กระแสการวิพากษ์ วิจารณ์ ทั้งในแง่วิธีการ และ การตีความ พระพุทธศาสนา ของท่าน กระตุ้น ให้ผู้คน กลับมาสนใจธรรมะ กันอย่างลึกซึ้ง แพร่หลาย มากขึ้น ครั้งสำคัญๆ ได้แก่ ปาฐกถาธรรม เรื่อง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" "อภิธรรมคืออะไร" "ปฏิจจสมุปบาท คืออะไร" "จิตว่าง หรือ สุญญตา" "นิพพาน" "การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม" "การศึกษาสุนัขหางด้วน" เป็นต้น๕. งานประพันธ์ ของท่านเอง เช่น "ตามรอยพระอรหันต์" "ชุมนุมเรื่องสั้น" "ชุมนุมเรื่องยาว" "ชุมนุมข้อคิดอิสระ" "บทประพันธ์ของ สิริวยาส" (เป็นนามปากกา ที่ท่านใช้ ในการเขียน กวีนิพนธ์) เป็นต้น

        ๖. งานแปลจากภาษาอังกฤษของท่านเล่มสำคัญ คือ"สูตรของเว่ยหล่าง""คำสอนของฮวงโป" ทั้งสองเล่ม เป็นพระสูตรที่สำคัญของพุทธศาสนา นิกายเซ็น เป็นต้นเกี่ยวกับ งานหนังสือนี้ ท่านเคยให้สัมภาษณ์ กับพระประชา ปสนฺนธมฺโม ว่า"เราได้ทำสิ่งที่มันควรจะทำ ไม่เสียค่าข้าวสุกของผู้อื่นแล้ว เชื่อว่า มันคุ้มค่า อย่างน้อย ผมกล้าพูดได้อย่างหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครในประเทศไทย บ่นได้ว่า ไม่มีหนังสือธรรมะอ่าน ก่อนนี้ ได้ยินคนพูดจนติดปาก ว่า ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน เราก็ยังติดปาก ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน ตอนนี้ บ่นไม่ได้อีกแล้ว"ท่านอาจารย์ พุทธทาส ได้ละสังขาร กลับคืน สู่ ธรรมชาติ อย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๖ สิริรวม อายุ ๘๗ ปี นับได้ ๖๗ พรรษา คงเหลือไว้แต่ ผลงาน ที่ ทรง คุณค่า แทนตัวท่าน ให้อนุชน คนรุ่นหลัง ได้ สืบสาน ปณิธาน ของท่าน รับมรดก ความเป็น "พุทธทาส" เพื่อ พุทธทาส จะได้ไม่ตาย ไปจาก พระพุทธศาสนา ดังบทประพันธ์ ของท่าน ที่ว่า 
พุทธทาส จักอยู่ไป ไม่มีตาย แม้ร่างกายจะดับไปไม่ฟังเสียง
ร่างกายเป็น ร่างกายไป ไม่ลำเอียง นั่นเป็นเพียงสิ่งเปลี่ยนไปในเวลา
พุทธทาส คงอยู่ไป ไม่มีตาย ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
สมกับมอบ กายใจ รับใช้มา ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย
พุทธทาส ยังอยู่ไป ไม่มีตาย อยู่รับใช้ เพื่อนมนุษย์ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ตามที่วางไว้อย่างเคย โอ้เพื่อนเอ๋ยมองเห็นไหมอะไรตายฯ
แม้ฉันตาย กายลับ ไปหมดแล้ว แต่เสียงสั่ง ยังแจ้ว แว่วหูสหาย
ว่าเคยพลอดกันอย่างไรไม่เสื่อมคลาย ก็เหมือนฉันไม่ตาย กายธรรมยัง
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน นั้นไม่ตาย ยังอยู่กับ ท่านทั้งหลายอย่างหนหลัง
มีอะไรมาเขี่ยไค้ ให้กันฟัง เหมือนฉันนั่ง ร่วมด้วย ช่วยชี้แจง
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน ไม่ตายเถิด
นายบุญยอด มาคล้าย
  1.  
  2.  
  3. สวัสดีครับท่าน อ.จีระ อ.ยมและเพื่อนนักศึกษาผู้ไฝ่รู้ทุกท่าน
  4. ผมได้ตามส่งงานตามที่ท่าน อ.สั่งต้องขออภัยที่ส่งล่าช้าด้วยน๊ะครับ                           หัวข้อ  ผู้นำที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ
  5.  
  6.  
  7. ๑. กำเนิดแห่งชีวิต ท่านอาจารย์พุทธทาส มีนามเดิมว่า เงื่อม นามสกุล พานิช เกิดเมื่อ วันอาทิตย์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ในสกุลของ พ่อค้าที่ตลาด พุมเรียง ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี บิดา ชื่อ เซี้ยง มารดาชื่อ เคลื่อน มีน้อง สองคน เป็นชาย ชื่อ ยี่เก้ย และ เป็นหญิง ชื่อ กิมซ้อย
    บิดาของท่าน มีเชื้อสายจีน ประกอบอาชีพหลัก คือ การค้าขาย ของชำ เฉกเช่น ที่ชาวจีน นิยมทำกัน ทั่วไป แต่อิทธิพลที่ท่านได้รับจาก บิดา กลับเป็นเรื่องของความสามารถทางด้าน กวี และ ทางด้านช่างไม้ ซึ่งเป็นงาน อดิเรก ที่รักยิ่ง ของบิดา  ส่วนอิทธิพลที่ได้รับจากมารดา คือ ความสนใจ ในการศึกษาธรรมะ อย่างลึกซึ้ง อุปนิสัย ที่เน้น เรื่อง ความประหยัด เรื่องละเอียดละออ ในการใช้จ่าย และการทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด และต้องทำให้ดีกว่าครูเสมอ
    ท่านได้เรียนหนังสือเพียงแค่ชั้น ม.๓ แล้วต้องออกมา ค้าขาย แทนบิดา ซึ่งเสียชีวิต   ครั้น อายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้บวชเป็นพระ ตาม คตินิยม ของชายไทย ที่วัด โพธาราม ไชยา ได้รับ ฉายา ว่า "อินทปัญโญ" แปลว่า ผู้มีปัญญา อันยิ่งใหญ่ เดิมท่านตั้งใจจะบวชเรียน ตามประเพณี เพียง ๓ เดือน แต่ ความสนใจ ความซาบซึ้ง ความรู้สึก เป็นสุข และสนุก ในการศึกษา และ เทศน์ แสดงธรรม ทำให้ท่าน ไม่อยากสึก เล่ากันว่า เจ้าคณะอำเภอ เคยถามท่าน ขณะที่ เป็น พระเงื่อม ว่า มีความคิดเห็น อย่างไร ในการใช้ชีวิต ท่านตอบว่า "ผมคิดว่า จะใช้ชีวิต ให้เป็น ประโยชน์ แก่ เพื่อนมนุษย์ ให้มากที่สุด" "..แต่ถ้า ยี่เก้ย จะบวช ผมก็ต้อง สึก ออกไป อยู่บ้าน ค้าขาย" ท่านเจ้าคณะอำเภอ ก็เลยไปคุย กับโยมแม่ ของท่าน ว่า ท่านควรจะ อยู่เป็นพระ ต่อไป ส่วนยี่เก้ย น้องชาย ของท่าน นั้น ไม่ต้องบวช ก็ได้ เพราะมีชีวิต เหมือน พระ อยู่แล้ว คือ เป็นคนมักน้อย สันโดษ การกินอยู่ ก็ เรียบง่าย ตัดผม สั้นเกรียน ตลอดเวลา นายยี่เก้ย ก็เลย ไม่ได้บวช ให้พี่ชาย บวช แทน มาตลอด
    นาย ยี่เก้ย ต่อมา ก็คือ "ท่านธรรมทาส" ฆราวาส ผู้เป็นกำลังหลัก ของ คณะธรรมทาน ในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ของ สวนโมกขพลาราม  
  8. ๒. อุดมคติแห่งชีวิตพระเงื่อม ได้เดินทาง มาศึกษาธรรมะต่อ ที่ กรุงเทพฯ สอบได้ นักธรรมเอก แล้วเรียนภาษาบาลี จนสอบได้ เปรียญ ๓ ประโยค ระหว่างที่เรียน เปรียญธรรม ๔ อยู่นั้น ด้วยความที่ ท่านเป็น คนรัก การศึกษา ค้นคว้า จากพระไตรปิฎก และศึกษา ค้นคว้า ออกไปจากตำรา ถึงเรื่อง การปฏิรูป พระพุทธศาสนา ในประเทศศรีลังกา อินเดีย และ การเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ในโลก ตะวันตก ทำให้ท่าน รู้สึกขัดแย้ง กับ วิธีการสอน ธรรมะ ที่ยึดถือ รูปแบบ ตามระเบียบ แบบแผน มากเกินไป ความย่อหย่อน ในพระวินัย ของสงฆ์ ตลอดจน ความเชื่อที่ผิดๆ ของ พุทธศาสนิกชน ในเวลานั้น ทำให้ท่าน มีความเชื่อมั่นว่า พระพุทธศาสนาที่สอน ที่ปฏิบัติกัน ในเวลานั้น คลาดเคลื่อน ไปมาก จากที่ พระพุทธองค์ ทรงชี้แนะ ท่านจึงตัดสินใจ หันหลังให้กับการศึกษาของสงฆ์ เวลานั้น กลับไชยา เพื่อศึกษา และทดลองปฏิบัติ ตามแนวทาง ที่ท่านเชื่อมั่น โดยร่วมกับ นายธรรมทาส และ คณะธรรมทาน จัดตั้งสถานปฏิบัติธรรม "สวนโมกขพลาราม" ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ จากนั้น ท่านได้ศึกษา และปฏิบัติธรรมะ อย่างเข้มข้น จนเชื่อมั่นว่า ท่านมาไม่ผิดทางแน่ และได้ประกาศ ใช้ชื่อนาม "พุทธทาส" เพื่อแสดงว่า ให้เห็นถึง อุดมคติสูงสุด ในชีวิตของท่าน   จากบันทึกของท่าน เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ เขียนไว้ว่า "...ชีวิตของข้าพเจ้า สละทุกอย่างๆ มุ่งหมาย ต่อความสุขนี้ และประกาศ เผยแพร่ความสุขนี้ เท่านั้น ไม่มีอะไรดีกว่านี้ ในบรรดามีอยู่ใน พุทธศาสนา..."
    ประวัติท่านพุทธทาส คัดจากหนังสือ พุทธสาสนา ปีที่ ๖๗ เล่ม ๒ พุทธศักราช ๒๕๔๒
  9.  

    ๔. ผลงานแห่งชีวิต

    ตลอดชีวิต ของ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านย้ำอยู่เสมอว่า "ธรรมะ คือ หน้าที่" เป็นการทำหน้าที่ เพื่อความอยู่รอด ทั้งทางฝ่ายกาย และฝ่ายวิญญาณ ของมนุษย์ และ ท่าน ได้ทำหน้าที่ ในฐานะ ทาส ผู้ซื่อสัตย์ ของ พระพุทธเจ้า ทุกอณู แห่งลมหายใจ เข้าออก จนแม้วาระสุดท้าย แห่งชีวิต จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า ผลงาน ที่ท่าน สร้างสรรค์ ไว้ เพื่อ เป็น มรดก ทางธรรมนั้น จะมีมากมาย สักปานใด ซึ่งจะขอนำมากล่าวเฉพาะ ผลงานหลักๆ ดังนี้ คือ๑. การจัดตั้ง สถานปฏิบัติธรรม สวนโมกขพลาราม และ สวนโมกข์นานาชาติ
    ๒. การร่วมกับ คณะธรรมทาน ในการออกหนังสือพิมพ์ "พุทธสาสนา" ราย ๓ เดือน นับเป็นหนังสือพิมพ์ ทาง พระพุทธศาสนา เล่มแรก ของไทย เริ่มตีพิมพ์ เมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๖ และ ต่อเนื่องมา จนถึง ปัจจุบัน เป็นเวลารวม ๖๑ ปี นับเป็นหนังสือพิมพ์ ทาง พระพุทธศาสนา ที่มีอายุยืนยาวที่สุดของไทย
    ๓. การพิมพ์หนังสือ ชุด "ธรรมโฆษณ์" ซึ่งเป็นหนังสือที่ รวบรวม พิมพ์ จาก ปาฐกถาธรรม ที่ท่านแสดงไว้ในวาระต่างๆ และ งานหนังสือเล่ม เล่มอื่นๆ ของท่าน โดยแบ่งออก เป็น ๕ หมวด คือ๑. หมวด "จากพระโอษฐ์" เป็นเรื่องที่ท่าน ค้นคว้า จาก พระไตรปิฎก ฉบับ ภาษา บาลี โดยตรง
    ๒. หมวด "ปกรณ์พิเศษ" เป็นคำอธิบาย ข้อธรรมะ ที่เป็นหลักวิชา และหลักปฏิบัติ
    ๓. หมวด "ธรรมเทศนา" เป็นคำบรรยายแบบเทศนา ในเทศกาลต่างๆ
    ๔. หมวด "ชุมนุมธรรมบรรยาย" เป็นคำขยายความ ข้อธรรมะ เพื่อให้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง
    ๕. หมวด "ปกิณกะ" เป็นการอธิบายข้อธรรมะ เบ็ดเตล็ด ต่างๆ ประกอบ ความเข้าใจปัจจุบัน หนังสือชุดนี้ ได้ตีพิมพ์ เป็นหนังสือ ขนาด ๘ หน้ายก หนาเล่มละ ประมาณ ๕๐๐ หน้า จำนวน ๖๑ เล่ม แล้ว ที่ยังรอการจัดพิมพ์ อีก ประมาณ ร้อยเล่ม 
    ๔. การปาฐกถาธรรม ของท่าน ที่ก่อให้เกิด กระแสการวิพากษ์ วิจารณ์ ทั้งในแง่วิธีการ และ การตีความ พระพุทธศาสนา ของท่าน กระตุ้น ให้ผู้คน กลับมาสนใจธรรมะ กันอย่างลึกซึ้ง แพร่หลาย มากขึ้น ครั้งสำคัญๆ ได้แก่ ปาฐกถาธรรม เรื่อง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" "อภิธรรมคืออะไร" "ปฏิจจสมุปบาท คืออะไร" "จิตว่าง หรือ สุญญตา" "นิพพาน" "การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม" "การศึกษาสุนัขหางด้วน" เป็นต้น๕. งานประพันธ์ ของท่านเอง เช่น "ตามรอยพระอรหันต์" "ชุมนุมเรื่องสั้น" "ชุมนุมเรื่องยาว" "ชุมนุมข้อคิดอิสระ" "บทประพันธ์ของ สิริวยาส" (เป็นนามปากกา ที่ท่านใช้ ในการเขียน กวีนิพนธ์) เป็นต้น

            ๖. งานแปลจากภาษาอังกฤษของท่านเล่มสำคัญ คือ"สูตรของเว่ยหล่าง""คำสอนของฮวงโป" ทั้งสองเล่ม เป็นพระสูตรที่สำคัญของพุทธศาสนา นิกายเซ็น เป็นต้นเกี่ยวกับ งานหนังสือนี้ ท่านเคยให้สัมภาษณ์ กับพระประชา ปสนฺนธมฺโม ว่า"เราได้ทำสิ่งที่มันควรจะทำ ไม่เสียค่าข้าวสุกของผู้อื่นแล้ว เชื่อว่า มันคุ้มค่า อย่างน้อย ผมกล้าพูดได้อย่างหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครในประเทศไทย บ่นได้ว่า ไม่มีหนังสือธรรมะอ่าน ก่อนนี้ ได้ยินคนพูดจนติดปาก ว่า ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน เราก็ยังติดปาก ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน ตอนนี้ บ่นไม่ได้อีกแล้ว"ท่านอาจารย์ พุทธทาส ได้ละสังขาร กลับคืน สู่ ธรรมชาติ อย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๖ สิริรวม อายุ ๘๗ ปี นับได้ ๖๗ พรรษา คงเหลือไว้แต่ ผลงาน ที่ ทรง คุณค่า แทนตัวท่าน ให้อนุชน คนรุ่นหลัง ได้ สืบสาน ปณิธาน ของท่าน รับมรดก ความเป็น "พุทธทาส" เพื่อ พุทธทาส จะได้ไม่ตาย ไปจาก พระพุทธศาสนา ดังบทประพันธ์ ของท่าน ที่ว่า 
    พุทธทาส จักอยู่ไป ไม่มีตาย แม้ร่างกายจะดับไปไม่ฟังเสียง
    ร่างกายเป็น ร่างกายไป ไม่ลำเอียง นั่นเป็นเพียงสิ่งเปลี่ยนไปในเวลา
    พุทธทาส คงอยู่ไป ไม่มีตาย ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
    สมกับมอบ กายใจ รับใช้มา ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย
    พุทธทาส ยังอยู่ไป ไม่มีตาย อยู่รับใช้ เพื่อนมนุษย์ไม่หยุดเฉย
    ด้วยธรรมโฆษณ์ตามที่วางไว้อย่างเคย โอ้เพื่อนเอ๋ยมองเห็นไหมอะไรตายฯ
    แม้ฉันตาย กายลับ ไปหมดแล้ว แต่เสียงสั่ง ยังแจ้ว แว่วหูสหาย
    ว่าเคยพลอดกันอย่างไรไม่เสื่อมคลาย ก็เหมือนฉันไม่ตาย กายธรรมยัง
    ทำกับฉัน อย่างกะฉัน นั้นไม่ตาย ยังอยู่กับ ท่านทั้งหลายอย่างหนหลัง
    มีอะไรมาเขี่ยไค้ ให้กันฟัง เหมือนฉันนั่ง ร่วมด้วย ช่วยชี้แจง
    ทำกับฉัน อย่างกะฉัน ไม่ตายเถิด ย่อมจะเกิด ผลสนอง หลายแขนง
    ทุกวันนัด สนทนา อย่าเลิกแล้ง ทำให้แจ้ง ที่สุดได้ เลิกตายกันฯ
    พุทธทาส อินทปัญโญ
    ประวัติท่านพุทธทาส คัดจากหนังสือ พุทธสาสนา ปีที่ ๖๗ เล่ม ๒ พุทธศักราช ๒๕๔๒

     

     

         
  10.  
  11.  
  12.  
จริยา ลิ้มธรรมรักษ์
สวัสดีครับ/ค่ะท่านศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์/.ยม นาคสุขและเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน จากที่ได้รับมอบหมายจาก อ.ยม ให้ศึกษาและสรุปเรื่องผู้นำแห่งอนาคตจัดทำโดย….สมาชิกกลุ่มที่ 41.นันทพล เถาลิโป้       2.ประเสริฐ ชัยยยะศิริสุวรรณ3.ราเชนทร์ แดงโรจน์4.เสาวนีย์ ทวีเผ่า5.จริยา ลิ้มธรรมรักษ์6.กนกลักษณ์ เร้าเลิศฤทธ์7.วิวัฒน์ นาเวียงซึ่งกลุ่ม 4 สรุปได้ดังนี้การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันกำลังมีการเปลี่ยนแปลง  ถึงแม้จะไม่น่าจะเป็นจุดกำเนิดของการสังเกตการณ์ แต่มันก็เป็นข้อบ่งชี้บางอย่างแสดงถึงความรวดเร็วกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นปัจจัยที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงมีดังนี้1.หนทางที่ซึ่งการติดต่อดำเนินธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเทคโนโลยีเป็นสาเหตุหลัก เช่น internet2.พื้นที่ในการดำเนินธุรกิจที่ขยายวงกว้าง3.ความคาดหวังของผู้บริโภคมีมากขึ้น และความคาดหวังของพนักงานจากที่ทำงานก็มีมากขึ้นเช่นกันซึ่งทำให้การปฏิบัติงานมีความแตกต่างกันออกไป4.การพึ่งพาอาศัยกันเป็นเรื่องที่ใหญ่และซับซ้อนมากขึ้นความเป็นผู้นำเป็นเรื่องที่สำคัญ องค์กรในปัจจจุบัน(การพาณิชย์ องค์กรที่ไม่มุ่งหวังผลประโชน์ทางกำไร รัฐบาล) ต่างต้องการผู้นำที่มีทักษะแตกต่างกันออกไป  ที่จะนำองค์กรเหล่านั้นไปสู่อนาคตข้างหน้าหน้าที่สำหรับผู้นำที่จะประสบผลสำเร็จในนาคต1.การสร้างพันธกิจแบบจุดประกายพันธกิจเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งผู้นำเป็นผู้ที่กำหนดพันธกิจขององค์กร และถ้าพันธกิจที่ตั้งไว้ไม่ถูกซึมซับอย่างลึกซึ้ง ผู้ตามก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้เพียงเล็กน้อย พันธกิจควรจะถูกซึมซับและมีความเข้าใจที่กระจ่างสำหรับการดำเนินธุรกิจขององค์กรนั้นๆจุดประสงค์หลักของการดำเนินธุรกิจคือการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ที่มาติดต่อได้รับศักยภาพสูงสุดรวมไปถึงพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ผู้ให้กู้ ผู้ถือหุ้น และชุมชน2.แสวงหาผลกำไรหลังจากพันธกิจ        กำไรหรือผลตอบแทนจากการดำเนินธุรกิจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของธุรกิจที่จะประสบผลสำเร็จ ตามด้วยพันธกิจและเป้าหมายหลักตามที่องค์กรนั้นกำหนด3.ผลตอบแทนที่ยุติธรรมเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ผู้นำในอนาคตจะไม่ค้นหาค่าตอบแทนที่มากเกินไป และทำให้มั่นใจว่ารายได้นั้นไม่ผิดสัดส่วนมากเกินไปจากค่าเฉลี่ยทั้งหมดของพนักงานคนอื่นๆในบริษัทผลตอบแทนของหัวหน้างานควรมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน โดยมีเรื่องของศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง  ค่าตอบแทนที่มากเกินไปสำหรับผู้บริหารระดับสูง สะท้อนให้เห็นถึงการนำพลังมาใช้อย่างผิดวิธี ผู้นำที่ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดความเคารพได้ด้วยความดีของตนเอง จะไม่สามารถนำทางผู้ตามได้อย่างง่าย4.กำจัดคนที่ไม่มีแรงจูงใจและอุปสรรคต่างๆการทำงานของผู้นำไม่ใช่การสร้างแรงจูงใจต่อพนักงาน แต่การทำงานของผู้นำนั้นคือการชี้ให้เห็นถึงการลดแรงจูงใจ และกำจัดออกไป  นี่คือสิ่งที่ผู้นำในอนาคตต้องให้ความใส่ใจ โครงสร้างการบริหารงานและการดำเนินงานที่ครั้งหนึ่งเคยมีประโยชน์ สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอุปสรรคได้ ผู้นำควรตรวจสอบและจัดการกับอุปสรรคต่างๆให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด5.พร้อมให้บริการและไม่ใช้อำนาจส่วนตัวบทบาทหน้าที่ของผู้นำคือการพร้อมให้การบริการ พร้อมให้ความช่วยเหลือต่างๆ ให้คำแนะนำอย่างจริงจังทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เพื่อที่จะสร้างกำลังใจให้แก่พนักงานให้สามารถทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด6.การแสดงออกถึงพันธะผูกพันต่อชุมชน        ผู้นำที่ดี ควรจะสร้างให้สมาชิกในองค์กรมีความรู้สึกถึงการอยู่ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในชุมชน โดยมีมุมมองดังนี้        -ห่วงใยในความแตกแยก ชุมชนมีความห่วงใยในตัวเอง ความพยายามที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้โอกาสแก่สมาชิกได้อยู่รวมและอาศัยในบรรทัดฐานของสังคม        -แบ่งปันความทุกข์ยาก เมื่อถึงเวลาเลวร้ายอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ชุมชนจะรวมตัวกันและแบ่งปันความทุกข์ยากนั้นๆ        -ความหลากหลาย ให้ค่านิยมที่แบ่งปันกัน  ความหลากหลายคือสิ่งที่สร้างให้ชุมชนเกิดการเคลื่อนไหว        -ความแข็งแกร่งของที่ตั้ง ผู้นำต้องมั่นใจว่ามีผู้ที่มีความสามารถหลายคน คนคนนั้นควรจะให้ความสนับสนุนต่อชุมชน7.สร้างพันธะผูกพันเพื่อการเรียนรู้และเพื่อความยุติธรรม         ผู้นำต้องทำให้พนักงานสามารถพัฒนาทักษะความสามารถและมีความมั่นใจมากพอและได้รับความยุติธรรม จะทำให้เกิดพันธะผูกพันกับพันธกิจของบริษัท และความสามารก็จะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่

 

สรุป                    ผู้นำที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต ต้องสร้างพันธกิจ แบบจุดประกายแสวงหาผลกำไรรองจากพันธกิจ แน่ใจว่าผลตอบแทนที่ทุกคนได้รับนั้นมีความยุติธรรมพอสำหรับพนักงานทุกระดับ ผู้นำต้องสามารถกำจัดจุดที่จะก่อไม่ให้เกิดแรงจูงใจ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคและพร้อมให้บริการเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช้อำนาจข่มผู้อื่น และแสดงออกถึงพันธะผูกพันต่อชุมชน พร้อมทั้งเรียนรู้ และมีความยุติธรรม
นางสาวหยาดอรุณ อาสาสำเร็จ
สวัสดีค่ะท่าน ศ.ดร.จีระ อาจารย์ยม และเพื่อนๆทุกคน นี่เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ศ.ดร. จีระ และอาจารย์ยม ได้มอบหมายให้กลุ่มแปลและทำความเข้าใจโดยการผนวกกับภาวะผู้นำ ซึ่งสมาชิกในกลุ่มมีดังนี้ค่ะ นายชูศักดิ์ ลาภส่งผล ID:106142001 นายณัฐพงศ์ ขุมนุมพันธ์ ID:106142003 นางสาวเตชสิทธิ์ หอมฟุ้ง ID:106142005 น.ส.นภาพร พิพัฒน์ ID:106142007 นางสาวพนาวัลย์ คุ้มสุด ID:106142010 นายสราวุฒิ ฉายแสง ID:106142011 นางสาวหยาดอรุณ อาสาสำเร็จ ID:106142012 งานที่มอบหมายให้ มีใจความดังนี้ค่ะ ปราชญ์การเป็นผู้นำ Charles Handy เป็นนักเขียน นักวิทยุโทรทัศน์และผู้บรรยาย หนังสือของเขาที่ชื่อ The Age of Unreason ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเงินและมีผลต่อชีวิตของพวกเขาและองค์กร หนังสือนี้มียอดขายกว่าหนึ่งล้านเล่มรอบโลก ผลงานล่าสุดของเขาที่ออกตีพิมพ์ คือ Myself and Other More Important Mattes เป็นเรื่องราวที่สะท้อนเกี่ยวกับอาชีพของเขา ถูกตีพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม ปี 2006 Handy เป็นผู้บริหารปั๊มน้ำมัน Shell เป็นนักเศรษฐศาสตร์และเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรงเรียนธุรกิจที่ลอนดอน เป็นอธิการบดีของ St. George’s House ใน Windsor Castle (เป็นศูนย์กลางการศึกษาทางด้านสังคมและจริยธรรม) และเป็นประธานของ Royal Society of Arts ในลอนดอน เขาเป็นคน Irish และเติบโตใน Kildare แต่ปัจจุบันอาศัยและทำงานอยู่ที่ลอนดอน ตอนที่ Plato ได้ตัดสินใจบรรยายความคิดของเขาในที่สาธารณะว่า เขาได้ให้กฎสูงสุดกับบุคคลที่เขาเรียกว่าเจ้าแห่งนักปราชญ์ ผู้ปกครองเหล่านั้นที่ได้รับฉายานี้ ต้องการที่จะมีการศึกษาขั้นพิเศษ เพื่อที่จะทำให้พวกเขาเหมาะกับงานและภาระหน้าที่ของพวกเขา มีความเชื่อมั่น มีทัศนะคติ มีความเข้าใจ และความสามารถตัดสินใจและเข้าใจ เพื่อทำการตัดสินใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดเหล่านั้นกับประชากรที่พวกเขาใส่ใจดูแล ที่จริงแล้วผู้ที่ปฏิบัติก็คือ ทหาร ผู้ค้าขายและผู้ใช้แรงงาน สิ่งที่จำเป็นที่สุดของพวกเขาก็คือการลงมาสู่ระดับล่างของชั้นปกครอง ถ้าขณะนี้ Plato ยังอยู่ เขาคงทำให้คนที่เป็นผู้ปกครองประหลาดใจไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ชื่อที่ดีกว่า CEO คือคุณอาจจะคิดว่า องค์กรของเรามีการเตรียมตัวอย่างเพียงพอสำหรับประเด็นใหญ่ๆของจิตวิทยาในปัจจุบันนี้ ปรัชญาการเป็นผู้นำในองค์กรมีหลัก 3 ข้อ ที่เกี่ยวกับผู้นำในปัจจุบันนี้นั่นก็คือ แสดงความ รู้สึกนั้นที่พวกเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม การฝึกให้พวกเขาได้เป็นนักปราชญ์เรียบร้อยแล้ว คำถามคือ เขาจะทำมันได้ดีกว่านี้ไหมถ้าเขามีการเตรียมตัวที่ดีสำหรับสิ่งนั้น ประเด็นที่หนึ่ง : งานหลักขององค์กร (Mission Statement) ทุกๆหน่วยงานมีแผนงานหลักขององค์กร อาจจะเป็นเพียงเอกสารแจ้งหรือประกาศเป็นหลักการ ข้อตกลงตามหลักการขององค์กร และยังเป็นหนึ่งในข้อสงสัยที่ดีของหลักปรัชญา วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพวกเรา ความสงสัยและไม่แน่ใจเป็นคำที่ถูกต้องที่จะใช้ในการพิจารณาของทุกๆหลักปรัชญา เพราะปรัชญาไม่สามารถที่จะใช้ตอบคำถามได้ เพียงแต่ใช้คลี่คลายและสำรวจผลของทางเลือกในการที่จะตอบสนอง ในที่สุดทุกๆการกระทำหรือการตอบสนองก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ส่วนบุคคลของพวกเขา ถ้าดูเหมือนว่าปรัชญาให้คำตอบได้ มันจะวนเวียน ปิดบังคำถามให้ไกลออกไป เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์จริงหรือ ครั้งแรกที่เห็นอาจจะใช่ แต่ปรัชญาไม่ใช่ เอกสารคำตอบของปัญหาชีวิต มันเป็นแค่เส้นทางที่จะทำให้คิดถึงสิ่งเหล่านั้น พิจารณาจากงานหลักขององค์กรนั้น บางปรัชญาให้ข้อเสนอว่า หลักการหลักขององค์กร ไม่ได้เป็นจุดประสงค์ที่สำคัญสำหรับชีวิต หรือทำให้องค์กรของเราขยายกว้างออกไป ชีวิตของเรามักจะมีเหตุฉุกเฉิน เป็นไปตามรูปแบบของชีวิต ดังนั้นเราเพียงแค่สนุกกับมัน อยู่รอดกับมันให้ได้นานที่สุดเท่าที่พวกเราจะทำได้ ซึ่งแน่นอน มักจะมีคำถามที่กว้างขึ้นเรื่อยๆว่าอะไรคือความสนุกสนาน สามารถนำสิ่งนั้นมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ และคุณต้องอภิปรายสิ่งนั้นนานเท่าที่ธุรกิจยังคงอยู่ สิ่งแรกคือ พวกเราต้องทำให้แน่ใจว่ามันจะอยู่รอด และทำงานให้มากเท่าที่จะทำได้ และยกสิ่งเหล่านี้ให้เป็นพลังที่สมสมไว้ให้มากๆของพวกเขา ดูเหมือนว่าหลายๆธุรกิจจะนำหลักปรัชญานี้มาใช้ อย่างไรก็ตาม นักปรัชญาหลายคนได้กังวลเกี่ยวกับความคิดของความสนุกสนานเพลิดเพลิน Aristotle เรียกมันว่า ความสุขที่เกิดจากการใช้ชีวิตที่ควบคุมด้วยเหตุผล ซึ่งโดยปกติแล้วเราอาจจะเรียกว่า อยู่อย่างมีความสุขที่มีงานทำก็ได้ ในความคิดของ the American Declaration เชื่อว่า คนที่เชื่อมั่นในตนเองเป็นสิ่งที่ถูกต้องของประชากรทั้งหมด Aristotle กำลังพูดถึงสิ่งที่แปลอย่างถูกต้องแม่นยำ มากกว่าความมั่นคงที่ยังไม่สามารถตอบคำถามได้หรือเปิดเผยได้มากกว่านี้ หมายความว่าให้คุณทำในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถทำได้ ในระดับแรกของ Aristotle ดูเหมือนจะเป็นการคาดหวังถึงจะมีความสง่างามอย่างไรก็ตาม แนวคิดของแก่นอำนาจความสามารถหรือคำสั่งของ Tom Peters ต่อ “Stick to the Knitting ” เจาะลึกลงไปถึงแนวคิดของการเสนอแนะความสุขของพวกเรา แต่ละคนหรือองค์กร ควรจะพัฒนาพรสวรรค์พิเศษของพวกเรา และความเฉียบแหลมย่อมเป็นเหมือนสิ่งที่เราสามารถทำได้ เราได้รับสิ่งต่างๆที่ดีในชีวิตและควรจะยังคงอยู่ต่อไป เพื่อที่จะชี้แนะให้พวกเราควรจะค้นพบวัตถุประสงค์ของเราในสังคม ความสามารถพิเศษของแต่ละคนอาจจะมีขอบเขตจำกัด มีรูปแบบที่แสดงออกมาได้ สังเกตได้ว่าจะเป็นอะไร และเกิดขึ้นด้วยตัวของพวกเราเอง ซึ่งกลายเป็นการท้าทายหลักในชีวิต สำหรับผู้นำขององค์กร มันไม่มีความแตกต่างในปรัชญานี้ แต่ละองค์กรต้องการวัตถุประสงค์ที่พิเศษของมัน วัตถุประสงค์นั้นจะผลักดันได้มากกว่าการแบ่งปันของผู้ที่มีมากกว่า ผู้นำจะต้องมีความอดทนในหัวใจในภาระหน้าที่ที่ได้รับ ถ้าพวกเขายอมรับในเหตุผลนี้เกี่ยวกับความเป็นความตายของพวกเรา ทำให้แน่ใจว่าแต่ละคนที่ทำงานด้วยนั้นมีความมั่นใจและตั้งใจในการทำงาน มีโอกาสตัดสินใจในวัตถุประสงค์ที่พิเศษ และพัฒนาศักยภาพของพวกเขาให้บรรลุผลสำเร็จ คนเราไม่สามารถมีเพียงกฎเกณฑ์เดียวในตัวเองและยังคงมีสิ่งอื่นๆอีกที่จะยับยั้งได้ ทุกสิ่งเป็นความถูกต้องที่กว้างใหญ่ดุจจักรวาล และมีพัฒนาการด้วยตนเอง การชี้แจงของการมีความสุขนี้ อาจจะเป็นเสียงเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของความขัดแย้งเหล่านั้นกับรายละเอียดปลีกย่อยในแต่ละวันของชีวิตและการทำงาน พวกเราบางคนมีการจัดการกับภาระหน้าที่ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก Voltaire เป็นนักปราชญ์อีกคนหนึ่งที่มีความคิดดีๆ กล่าวคือ ทำอย่างไรจึงจะมีความสำคัญไม่สิ้นสุดของทุกๆอย่างที่ทำ แต่ความไม่มีที่สิ้นสุดมีความสำคัญอย่างไรจึงต้องทำมัน ผู้นำควรจะรู้ดีว่า ทุกคนที่เป็นคนทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของพวกเขา มีสิทธิเสรีภาพที่จะรู้สึกแบบนี้ แน่นอน การชี้แจงอื่นๆที่ว่า ทำไมพวกเรายังคงอยู่และอะไรคือจุดประสงค์ในชีวิตของพวกเราที่ควรจะเป็น นักปราชญ์ชาวคริสต์อาจจะโต้แย้งสิ่งนั้น “มีสิ่งที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของพระผู้เป็นเจ้า” พวกเราต้องการที่จะเป็นหุ้นส่วนในความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาตลอดไป ถ้าคุณยึดมั่นในสิ่งที่คุณพบเห็นเป็นประการแรก สร้างความมั่นใจให้องค์กร มีการตอบสนองในทางบวก มีความระมัดระวังในการทำงานของคุณเอง มนุษย์เปรียบเหมือนจินตนาการของพระผู้เป็นเจ้า และจะต้องดำเนินการและพูดให้คุณเชื่อว่า ผู้คนมีความต้องการเต็มความสามารถของผู้นำมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีข้อบกพร่อง ที่นั่นไม่ควรจะมีการแบ่งแยก(ความแตกต่าง)ระหว่างความเชื่อส่วนบุคคลของคุณและพฤติกรรมของคุณในทุกที่และทุกเวลา ควรมีความสำเร็จเรื่องความเชื่อมั่นในการสร้างสิ่งต่างๆ ความเชื่อมั่นในการผูกมัดสิ่งที่จะตามมาของผู้นำของพวกเขา ประเด็นที่สอง : ข้อตกลงทางสังคม อะไรคือบทบาทของรัฐและความเป็นอยู่ของบทบาทองค์กร ซึ่งตัวของมันเองจะเป็นเพียงส่วนเล็กๆก็ตาม ความสัมพันธ์ของแต่ละบุคคลในองค์กรที่ใหญ่โตที่สุดที่ควรยึดถือไว้คืออะไร Hobbes คิดว่านั่นเป็นแค่ภาระหน้าที่ของรัฐ ที่จะหยุดพวกเราไม่ให้ทำให้สิ่งอื่นๆที่เสียหาย กฎหมายและระเบียบเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกๆสังคม หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเองว่า เขาไม่ควรทำ อย่างไรก็ตาม มันควรเป็นการคาดหวังในเหตุและผล ในทางที่เหมาะสมของโลกมนุษย์ว่าไม่ควรทำสิ่งที่น่ารังเกียจ ต่ำทรามเยี่ยงสัตว์และหุนหัน หลายๆคนที่ประกอบธุรกิจอาจจะเน้นในกฎเกณฑ์หลักของชีวิตโดยปราศจากความโหดร้ายทารุณเยี่ยงสัตว์ แต่โลกนี้ชอบที่จะเชื่อใจในการตลาดมากกว่าการที่รัฐบาลจะทำอะไร ในแต่ละคนก็เช่นกัน อาจจะเหมือนกันในสิทธิของงานได้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ และการควบคุมย่อมเหนือกว่าเงินของพวกเขา และชีวิตย่อมมีการเปลี่ยนแปลงในสังคมที่ปลอดภัย อย่างไรก็แล้วแต่ สิทธิเสรีภาพยังเป็นศัตรูของความเสมอภาคอย่างที่เขาเคยเป็น อยู่บ่อยๆ สิทธิเสรีภาพส่วนมากเป็นต้นกำเนิดของความเห็นแก่ตัว และความไม่เสมอภาคก็เป็นส่วนของผลลัพธ์ที่แสดงออกมา Marx และทายาทของเขากล่าวถึงความสามารถที่ชัดเจนจัดเรียงลำดับได้ในเศรษฐกิจของชาวตะวันตก ดังนั้นพวกเขาจึงได้สร้างรัฐขึ้นในประเทศของเขาเหมือนกับรัสเซียและจีน ซึ่งมีความรับผิดชอบในทุกๆด้านของชีวิตของประชาชน แต่นั่นก็กลายเป็นการบ่มเพาะความเห็นแก่ตัวอีกประเภทหนึ่ง เหมือนกับการที่ยกระดับเป็นรัฐ และหลังจากนั้นก็คอยดูแลเพื่อนบ้านและสิ่งแวดล้อมของตน ความรับผิดชอบของพวกเขาภายในขอบเขตของความอิสระเพียงเล็กน้อยนั้น เพื่อยกระดับชีวิตของพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็ได้ค้นพบว่า เขาไม่ได้บรรลุผลสำเร็จทั้งสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคในระบบการปกครองส่วนใหญ่ของประเทศ เช่น ความยุ่งเหยิง ความสับสน อย่างไรก็ตาม พวกเขาเหมือนได้รับมรดกสืบทอดต่อกันมา หรือการถูกปลดปล่อยจากการถูกผูกมัดของพวกเขา คนที่อาศัยอยู่ในรัสเซียและจีนมีการให้อิสระในข้อบังคับใหม่ๆของพวกเขา แต่ยังคงอยู่นอกความสนใจของสังคมอย่างกว้างขวาง รัฐสามารถดูแลได้ไม่นานในสิ่งที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าของสังคมที่ต้องใส่ใจดูแลของประเทศเหล่านั้น แต่ผู้นำขององค์กรกล่าวว่า มันไม่มีในธุรกิจของพวกเราเลย ความเห็นที่พวกเรามีต่อสัญญาของสังคม คือ กุญแจสำคัญในหลักของปรัชญาการเมือง จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพวกเราจะทำอะไรเกี่ยวกับกระบวนการและอำนาจในการปกครองของบริษัท ความคิดที่ทันสมัยที่สุดของความรับผิดชอบในสังคมของบริษัท ในหน่วยงานระดับทรรศนะของผู้นำมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและพนักงาน( workforce) มันเป็นการประชดประชันของบริษัทเหล่านั้นที่จะแก้ต่างหลักปรัชญาของการตลาด (open markets) และประเทศมีระบบของการประยุกต์อย่างเผด็จการ อำนาจระบบการปกครองเป็นขององค์กรของพวกเขา โดยได้ กำหนดบทบาทของแต่ละคน จัดระเบียบชีวิตประจำวันของพวกเขาและในบางกรณี คำสั่งเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือของพวกเขา มันอาจจะเป็นความดูแลเอาใจใส่ และเป็นมาตรวัดสิทธิเสรีภาพในการทำการค้าขายของแต่ละบุคคล สำหรับการมีประสิทธิภาพถ้าไม่มีความเสมอภาค ผู้นำต้องถามตัวเองว่าทรรศนะของข้อตกลงทางสังคมมีความสม่ำเสมอในทุกๆด้านขององค์กร พวกเขาไม่มีสิทธิเสรีภาพนำพาไปสู่ความรับผิดชอบ ถ้าเขาไม่สนใจสิทธิเสรีภาพที่มีอยู่ในใจของผู้นำเขาอาจจะไม่ได้อยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น ความก้าวหน้าของกฎเกณฑ์ระบอบการปกครองเป็นสัญญาณหนึ่งที่ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสำหรับสิ่งต่างๆที่ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างชอบธรรมของแต่ละบุคคล ที่จะบอกว่าพวกเขาจะถูกปกครองอย่างไรและโดยใคร ถ้าผู้นำเชื่อมั่นในข้อตกลงตามกฎหมายของสังคม พวกเขาควรจะค้นหาหนทางที่คาดว่าถูกต้องในตัวของมันเองขององค์กรของพวกเขา ภายใต้มาตรฐานของบริษัท รวมไปถึงบุคคลที่ทำเรื่องการเงินมีสิทธิพิเศษอย่างชอบธรรม มันอาจจะดูว่าไม่ยุติธรรม โดยปกติผู้ที่ซื้อหุ้นและเป็นเจ้าของจะมาจากผู้ลงทุนมากกว่าคนอื่นที่มีหุ้นอยู่ในองค์กร ไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับองค์กร พวกเขาชอบที่จะเป็นนักพนันในสนามแข่งมากกว่า โดยพนันกับม้าหรือสุนัขที่พวกเขาชอบ แต่ในสนามแข่งขันนักพนันไม่มีสิทธิโดยชอบธรรมในการขายหรือฆ่าม้าถ้ามันแพ้การแข่งขัน และก็ไม่สามารถที่จะไล่ครูฝึกออกจากงานได้ ผู้ถือหุ้นสามารถทำได้ ถ้าพวกเขาทำงานร่วมกัน และประสานกัน ไม่มีสัญญาอื่นใดของสังคมที่จะยอมรับให้เรารวยอำนาจมากมายเหนือประชาชนทั่วไป แต่ถ้าเมื่อไหร่มีการทำแบบนี้ เราจะเรียกมันว่า “การปกครองแบบเผด็จการ” ประเด็นที่สาม : ความยุติธรรม และตรงไปตรงมา ผู้นำส่วนใหญ่มักคิดว่าพวกเขามีความถูกต้องและมีความตรงไปตรงมาตามนโยบายของพวกเขา ความยุติธรรมกลายเป็นสิ่ง ทั่วๆไปที่มีความหลากหลาย มันเป็นการให้ในสิ่งที่ประชาชนควรจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นรางวัล หรือการลงโทษ การจ่ายสำหรับการดำเนินการเป็นผลประโยชน์อย่างหนึ่งตามหลักของความยุติธรรม แต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความตรงไปตรงมาและความถูกต้องที่ประชาชนต้องการ ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถ และขึ้นอยู่กับความต้องการของพวกเขา เป็นสิ่งที่พวกคอมมิวนิสต์ต้องการ แต่คุณไม่จำเป็นต้องกลายเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะต้องเชื่อในเรื่องต่างๆทั้งหมด John Rawls เชื่อเกี่ยวกับปรัชญาของอเมริกาที่ได้หายสาบสูญไปเมื่อเร็วๆนี้ ที่แสดงให้เห็นว่าความยุติธรรมเป็นการกระทำที่ทุกๆคนมีอยู่เท่าๆกัน นอกจากว่าคุณจะจินตนาการว่าคุณยืนอยู่ด้านหลัง ซึ่งเรียกว่าการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอยู่หลังฉาก โดยปราศจากการมีอคติใดๆ การท้าทายภาวะผู้นำยุคใหม่ องค์กรเป็นลักษณะทางการเมืองใหม่อีกแบบหนึ่ง องค์กรเป็นเสมือนพลังในการขับเคลื่อน ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถาบันทางสังคม ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราไม่สามารถให้รัฐบาลนำทางเราได้ตลอดเวลา ในระบบประชาธิปไตยรัฐบาลจะต้องมาจากความเห็นของสาธารณชน หรือพวกเราจะไม่แสดงความคิดเห็นก็ได้ รัฐบาลจำเป็นต้องฟัง/ทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มากกว่าการเป็นผู้นำ, การออกเสียง และทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย (อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้ว ประชาชนอาศัย และทำงานที่ไหน) ประชาชนทำงานในองค์กรมากกว่าการที่จะมัวยุ่งอยู่กับการออกเสียง ปัจจุบันมีการคาดหวังให้ “ตลาด (ค้าความสามารถ)” เป็นสถานที่สำหรับออกเสียง/ลงคะแนน เพื่อให้ได้รู้ว่าอะไรที่พวกเขาต้องการองค์กรเป็นผู้ที่ทำหน้าที่/ให้บริการใน “ตลาด (ค้าความสามารถ)” อีกนัยหนึ่ง แม้นว่าความเป็นอิสระส่วนใหญ่ของพวกราที่มีอยู่ จะทำให้เชื่อมั่นว่าองค์กรจะสามารถตอบสนองความต้องการของเราได้ องค์กรเป็นเรื่องที่สำคัญ ในปัจจุบันองค์กรสำคัญมากกว่าสิ่งต่างๆที่พวกเขาทำ แม้นจะมีบางส่วนที่ขัดแย้งอยู่บ้างก็ตาม เพราะบ่อยครั้งที่พวกเขาก็ดี, ถ้าไม่ใช่หนึ่งเดียว, หน้าที่ในการแสดงออกทางด้านวามคิดเห็นของพวกเรา และการแสดงถึงความสามารถได้เต็มที่ในการขับเคลื่อนองค์กรของพวกเรา ในโลกของความไม่แน่นอน และมีการเปลี่ยนแปลง องค์กรได้มีการยื่นข้อเสนอที่ค่อนข้างมั่นคง โดยทั่วไปองค์กรก็เป็นสังคมหลักของพวกเขา พวกเราจะต้องพิจารณาองค์กร เช่นเดียวกับสังคม, ไม่ใช่ให้มนุษย์ทำงานเป็นเหมือนเครื่องจักร ภาวะผู้นำ เป็นคำที่ยืมมาจากทฤษฎีทางการเมือง การจัดการมาจากหลักวิศวกรรม/วางแผนและควบคุมอย่างชำนาญ เราจะพูดถึงสิ่งที่ต้องจัดการ คือ ข้อมูล ช่วงเวลาและกระบวนการ เราได้เป็นผู้นำคน แนะนำคนให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งพวกเขาสามารถจัดการได้เหมือนกับรถบรรทุกยกของที่เคลื่อนที่ไปได้โดยรอบ ให้บริการและจัดการตามความต้องการขององค์กร คุณไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม จะพูดถึงความถูกต้องของคนที่จะเป็นผู้นำต้องมีอำนาจสั่งการ บริการหรือจัดการได้ การสั่งการไม่สามารถใช้ดำเนินงานได้ เพราะว่าแนวคิดไม่สามารถดำเนินงานได้ในปรัชญาการเมือง คำพูดเป็นเสียงสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ปรัชญาขององค์กรเปลี่ยนแปลงได้เปรียบเสมือนจมูกที่ยื่นยาวออกไป (in front of our noses) มันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกมาก ถ้าองค์กรในสังคมยุคใหม่มีการเดินไปข้างหน้าพร้อมๆกับการได้รับการสนับสนุนจากคนในสังคม ผู้นำของพวกเขาอาจจะมีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการกระทำ และการตัดสินใจของพวกเขาเพิ่มขึ้นไปทุกที พวกเขาอาจจะให้เหตุผลได้มากขึ้นไม่ใช่แค่เพียงพนักงานจ่ายเงิน แต่รวมถึงประชากรของพวกเขา เพื่อนบ้านและสังคมที่ใหญ่ของเขาด้วย ความโปร่งใสจะเป็นความต้องการของพวก ซึ่งนับเป็นหลักปรัชญาหนึ่งในปัจจุบันนี้ การกระทำของพวกเขาจะเหมาะสม และเข้ากันได้กับชนิดของคำในประเภทของจริยธรรมการตรวจสอบบัญชี แน่นอนที่สุด ความวิตกกังวลกับจริยธรรมในห้องประชุมคณะกรรมการ อันเป็นเพียงหนึ่งสัญญาณที่ดำเนินการหลักปรัชญาของผู้นำของเรา ปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมดูแล เราต้องการอะไร อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้เป็นหนังสือแนะนำที่ดีของจริยธรรม แต่เป็นแนวทางของความคิดที่เปิดเผยเกี่ยวกับความสงสัยพื้นฐานของชีวิตมากขึ้น นั่นเป็นหลักปรัชญาของ Plato ที่ได้เปิดเผยปรัชญาของเขาโดย อภิปรายกับ Socrates อย่างน่ารำคาญ แต่เป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ผู้ปกครองขององค์กรในอนาคตอาจจะต้องการให้ Socrates เป็นคนที่ท้าทายความคิดของพวกเขา และมีการช่วยเหลือกันทำงาน สิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นพื้นฐานที่ดีของชีวิตและสังคมขององค์กร มีการปรับใช้หลักปรัชญากับชีวิตของพวกเขาในองค์กรของเขา นั่นเป็นพฤติกรรมที่ท้าทายอย่างแท้จริงสำหรับผู้นำในอนาคต จากความเห็นของกลุ่มได้เห็นว่า เนื้อหาข้างต้นมีความสัมพันธ์คล้ายคลึงกับทฤษฏี 3 วงกลม คือ 1. Context ซึ่งเกี่ยวกับโครงสร้างขององค์กร ซึ่งเน้นการบริหารแบบคล่องตัว และองค์กรที่ดีนั้นจะต้ององค์ทีดีนั้นจะต้องมีการส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดเวลา 2. Competencies คือสมรรถนะที่คนในองค์กรจะต้องมีทักษะ ได้แก่ ความรู้เฉพาะทาง ความรู้เชิงบริหาร ความรู้ของผู้ประกอบการ ความรู้ด้านการเป็นผู้นำ และความรู้ในการเปลี่ยนแปลงของโลก (รู้แบบกว้างไกล) 3. Motivation เป็นการสร้างแรงจูงใน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญต่อคนที่อยู่ในองค์การ และนอกองค์กร อย่างไรก็ตามหลักการหลักขององค์กร ก็เป็นเสมือนจุดประสงค์ที่สำคัญสำหรับชีวิตของคนทุกๆคนในองค์กร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้องค์กรเติบโตได้ย่างมั่นคง ซึ่งการที่จะทำให้องค์กรมีความมั่นคงนั้น ทุกคนในองค์กรจะต้องมีความสุขที่เกิดจากการใช้ชีวิตที่ควบคุมด้วยเหตุผล และจะต้องมีสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยที่ทัดเทียมกันด้วย นอกจากนี้แล้วกุญแจที่สำคัญในหลักของปรัชญาการเมือง คือความคิดเห็นของคนในองค์กร ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าใครควรจะทำอะไรเกี่ยวกับกระบวนการและอำนาจในการปกครองขององค์กร เรื่องที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้นำที่ดีคือ การที่มีพื้นฐานที่ดี ทั้งทางด้านชีวิตและสังคม รวมถึงผู้นำตจะต้องมีหลักจรรยาบรรณ รู้จักแบ่งปัน รู้จักการให้ และรู้จักให้อภัยในเรื่องต่างๆกับคนในองค์กร
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท