เสนอ หมวดว่าเรื่อง “สิทธิและเสรีภาพในการสื่อสาร” หลักคิด1. มีความเท่าเทียม เป็นธรรม และทั่วถึง2. สนับสนุนสื่อที่หลากหลาย เน้นประโยชน์สาธารณะมากกว่าประโยชน์ทางการค้า3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทั้งกลุ่มเด็กเยาวชน เกษตรกร ผู้พิการ ชนกลุ่มน้อย กลุ่มผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ ในการสื่อสาร เนื้อหา1. รัฐต้องจัดให้มีวิทยุและโทรทัศน์บริการสาธารณะ2. รัฐต้องมีหลักประกันที่ส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่ใช่เป้าหมายหลักของธุรกิจสื่อเชิงพาณิชย์ อาทิเช่น เด็ก เยาวชน คนพิการ ชนกลุ่มน้อย ผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ เข้าถึงช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายในทุกระดับ ทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด และระดับชาติ3. ในการดำเนินงานสื่อเพื่อบริการสาธารณะของภาครัฐและสื่อภาคธุรกิจเอกชน รัฐต้องกำหนดสัดส่วนเนื้อหารายการสาระและบันเทิง รวมทั้งต้องเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนเข้าไปใช้เพื่อสื่อสาร บอกเล่าปัญหา และความต้องการของกลุ่มคนต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั่วถึง และเท่าเทียม4. ชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิเป็นเจ้าของสื่อ เพื่อประโยชน์สาธารณะของชุมชนท้องถิ่นนั้นๆ5. ประชาชนในฐานะเจ้าของทรัพยากรและผู้บริโภคสื่อ ต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดและตัดสินใจนโยบายที่เกี่ยวกับสื่อ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการจัดสรรคลื่นความถี่ และกำหนดเนื้อหา/ช่วงเวลา รายการที่สอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของกลุ่มคนที่แตกต่างหลากหลายในสังคมอย่างเพียงพอ6. ผลักดันให้มีกฎหมายลูก องค์กรอิสระ และกลไกต่างๆ ที่ทำให้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญใช้งานได้จริงใน 2 ปี7. ยืนยันให้แยกองค์กรอิสระที่จัดสรรและกำกับดูแลระหว่างกิจการวิทยุโทรทัศน์ กับกิจการโทรคมนาคมออกจากกัน8. รัฐต้องจัดตั้งกองทุนสื่อบริการสาธารณะ และกองทุนสื่อภาคประชาชน โดยที่มาของงบประมาณมาจากส่วนแบ่งรายได้ของการประกอบกิจการคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และงบประมาณแผ่นดิน9. รัฐต้องสนับสนุนการศึกษาและงานวิจัยสื่อสาธารณะ สื่อทางเลือก สื่อภาคประชาชน เพื่อประโยชน์สาธารณะ10. รัฐต้องจัดให้มีมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนสื่อที่ส่งเสริมความหลากหลายของชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ความเชื่อ ศาสนา ฯลฯ11. รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุนให้มีการพัฒนาศักยภาพการดำเนินการสื่อภาคประชาชนในด้านต่างๆ 12. ภาคประชาชนและสื่อมวลชนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการรับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน สามารถวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ13. รัฐต้องมีมาตรการป้องกันการแทรกแซงสื่อทุกประเภทจากกลุ่มการเมืองและกลุ่มธุรกิจ ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น โดยต้องจัดให้มีองค์กรอิสระด้านสิทธิเสรีภาพการสื่อสาร เพื่อป้องกันการแทรกแซง สั่งปิด และส่งเสริมจรรยาบรรณสื่อ และให้มีองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคด้านสื่อ14. รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มกันเองของผู้ประกอบการประเภทต่างๆ เพื่อให้เกิดการกำกับดูแลกันเอง15. ในการจัดสรรคลื่นความถี่ รัฐต้องแบ่งช่วงคลื่นตามสัดส่วนโดยแยกจากกันอย่างชัดเจน ระหว่างการประกอบกิจการบริการสาธารณะ ภาคธุรกิจ และภาคชุมชน/ประชาชน16. รัฐต้องแบ่งประเภทการประกอบกิจการเป็นบริการสาธารณะในระดับชาติ ภาคธุรกิจ และบริการชุมชน โดยในการประกอบกิจการภาคธุรกิจ ต้องมีการแบ่งขนาดการประกอบกิจการเป็นการประกอบกิจการขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม17. รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุนให้สื่อชุมชน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางสะท้อนปัญหาความต้องการของชุมชน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการดำเนินการสื่อชุมชน18. หลักเกณฑ์ทางเทคนิคเรื่องกำลังส่งและความสูงของเสาสัญญาณ ให้ขึ้นกับความต้องการและบริบทของชุมชน19. รัฐต้องสนับสนุนให้มีการจัดตั้งวิทยุชุมชนเชิงประเด็น ตามความจำเป็นและความต้องการขั้นพื้นฐานในการสื่อสารของกลุ่มคนที่หลากหลายทั่วถึง เท่าเทียม และเพียงพอ20. รัฐต้องสนับสนุนให้มีวิทยุชุมชนในระดับตำบล วิทยุภาคประชาชนในระดับอำเภอ, จังหวัด และประเทศ รวมถึงโทรทัศน์ภาคประชาชนในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ <div style="padding-right: 4pt; padding-left: 4pt; padding-bottom: 1pt; padding-top: 1pt; border: windowtext 1pt solid">ข้อเสนอต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาวิทยุชุมชนในระหว่างยังไม่มีรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ</div>1. ระงับการจับกุมดำเนินคดีผู้ประกอบการวิทยุขนาดเล็กและวิทยุชุมชน อันเนื่องมาจากการบังคับใช้ พรบ. วิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2498 และ พรบ.วิทยุคมนาคม 24982. รัฐต้องสนับสนุนวิทยุชุมชนที่ยึดหลักปรัชญาของวิทยุชุมชน ที่ไม่มีวัตถุประสงค์แอบแฝงทางธุรกิจและการเมือง ตามมาตรา 26 ของ พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 ตลอดทั้งเผยแพร่แนวคิด ปรัชญาวิทยุชุมชนที่ถูกต้องแก่สังคม3. ในระหว่างที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูแลกิจการวิทยุโทรทัศน์ฯ ให้มีคณะกรรมการพหุภาคีทำหน้าที่สำรวจสถานะ และแยกประเภทวิทยุชุมชนออกจากวิทยุขนาดเล็ก แก้ปัญหาคลื่นความถี่ทับซ้อน และวางกรอบนโยบายเกี่ยวกับการดำเนินการวิทยุชุมชนและวิทยุขนาดเล็ก ในระดับจังหวัด, ภาค และประเทศโดยเร่งด่วน ที่มาของคณะกรรมการดังกล่าว ให้มาจากตัวแทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยมีสัดส่วนกรรมการจากตัวแทนของประชาชนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้ราชการส่วนจังหวัดและระดับประเทศทำหน้าที่เป็นกองเลขาฯ ดูแลให้มีการสรรหาคณะกรรมการดังกล่าว การดำเนินการของคณะกรรมการดังกล่าว ต้องอยู่บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างทั่วถึงในการกำหนดนโยบาย โดยเปิดเผย โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาคลื่นความถี่ทับซ้อน ให้เป็นไปตาม พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2543 ในประเด็นสัดส่วนการเข้าถึงและเข้าไปใช้คลื่นความถี่ของภาคประชาชนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบ และการดำเนินการของภาคประชาชนต้องไม่เป็นการแสวงหากำไรในทางธุรกิจ <div style="padding-right: 4pt; padding-left: 4pt; padding-bottom: 1pt; padding-top: 1pt; border: windowtext 1pt solid">ข้อเสนอต่อทิศทางการเคลื่อนไหว</div> 1. จัดเวทีระดมความคิดเห็นการปฏิรูปสื่อภาคประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การปฏิรูปการเมืองรอบใหม่ ในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ2. การจัดกลไกการสื่อสารระหว่างเครือข่ายวิทยุชุมชน เครือข่ายสื่อภาคประชาชน เครือข่ายสื่อทางเลือก ฯลฯ ในการติดตามสถานการณ์ การส่งผ่านข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน อาทิ การจัดเวที, รายการวิทยุ, ช่องทางเว็บไซต์ต่างๆ เช่น www.thaicr.org ฯลฯ3. กิจกรรมรณรงค์เผยแพร่สื่อสารสองทางในระดับพื้นที่ ทั้งเผยแพร่สถานการณ์/ข้อเสนอ และเปิดระดมความคิดเห็นจากคนในชุมชนต่อการปฏิรูปสื่อ รวมถึงต่อการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่4. กิจกรรมรณรงค์เผยแพร่ ผลักดันนโยบาย เช่น การล่ารายชื่อเพื่อสนับสนุนข้อเสนอการปฏิรูปสื่อภาคประชาชน, การแสดงตัวตน/รวมพลัง, ดีเดย์ออกอากาศวิทยุชุมชนพร้อมกันในระดับจังหวัด, ภาค และประเทศ5. การสื่อสารข้ามเครือข่าย อาทิ เครือข่ายทรัพยากร เครือข่ายเกษตรกร เครือข่ายผู้บริโภค ฯลฯ ทั้งในระดับจังหวัด ภาค และประเทศ ประสานพลังร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ของสังคม เช่น เครือข่ายนักวิชาการ องค์กรวิชาชีพ องค์กรพัฒนาเอกชน และเครือข่ายภาคประชาชนทุกภาคส่วน ในการผลักดันข้อเสนอการปฏิรูปสื่อทั้งระบบ และต่อการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 6. การหนุนช่วยเพื่อนพ้องน้องพี่ในกรณีการถูกจับกุมดำเนินคดี <div style="padding-right: 4pt; padding-left: 4pt; padding-bottom: 1pt; padding-top: 0pt; border: windowtext 1pt solid">ข้อเสนอต่อสถานการณ์สื่อปัจจุบัน</div><p> 1. ต่อข้อเสนอให้ยุบรวม กสช./ กทช.ก. ไม่เห็นด้วย เสนอว่าต้องแยกองค์กรอิสระที่กำกับดูแลกิจการวิทยุโทรทัศน์ (กสช.) ออกจากองค์กรอิสระที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม (กทช.)ข. เพิ่มสัดส่วนภาคประชาชนในการคณะกรรมการสรรหา กสช.ค. ลดสัดส่วนตัวแทนหน่วยงานราชการในคณะกรรมการสรรหา กสช. ให้เท่ากันกับตัวแทนจากกลุ่มอื่นง. ป้องกันการแทรกแซงจากผู้ประกอบการในสัดส่วนตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อ ในคณะกรรมการสรรหา กสช. 2. ต่อข้อเสนอการจัดทำแผนแม่บทจัดสรรคลื่นความถี่ ไม่เห็นด้วยกับการจัดทำแผนแม่บทจัดสรรคลื่นความถี่ในปัจจุบัน ให้รอ กสช. มาทำหน้าที่ร่วมกับ กทช. ในระหว่างที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูแลกิจการวิทยุโทรทัศน์ฯ ให้มีคณะกรรมการพหุภาคีทำหน้าที่สำรวจสถานะ และแยกประเภทวิทยุชุมชนออกจากวิทยุขนาดเล็ก แก้ปัญหาคลื่นความถี่ทับซ้อน และวางกรอบนโยบายเกี่ยวกับการดำเนินการวิทยุชุมชนและวิทยุขนาดเล็ก ในระดับจังหวัด, ภาค และประเทศโดยเร่งด่วน ที่มาของคณะกรรมการดังกล่าว ให้มาจากตัวแทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยมีสัดส่วนกรรมการจากตัวแทนของประชาชนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้ราชการส่วนจังหวัดและระดับประเทศทำหน้าที่เป็นกองเลขาฯ ดูแลให้มีการสรรหาคณะกรรมการดังกล่าว การดำเนินการของคณะกรรมการดังกล่าว ต้องอยู่บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างทั่วถึงในการกำหนดนโยบาย โดยเปิดเผย โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ 3. ต่อข้อเสนอเรื่อง ร่าง พรบ.องค์การแพร่ภาพและกระจายเสียงสาธารณะ เห็นด้วยกับแนวคิด แต่ต้องดำเนินการให้มีการเผยแพร่ข้อมูลสู่ภาคประชาชนทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ในทุกรูปแบบ อาทิ การเผยแพร่ผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์กระแสหลัก สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ การจัดเวทีให้ข้อมูล ฯลฯ และต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนทั้งในระดับการรับฟังความคิดเห็น และระดับการพิจารณา/ตัดสินใจ 4. ต่อข้อเสนอเรื่อง ร่าง พรบ. ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ต้องดำเนินการให้มีการเผยแพร่ข้อมูลสู่ภาคประชาชนทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ในทุกรูปแบบ อาทิ การเผยแพร่ผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์กระแสหลัก สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ การจัดเวทีให้ข้อมูล ฯลฯ และต้องให้คำสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนทั้งในระดับการรับฟังความคิดเห็น และระดับการพิจารณา/ตัดสินใจ 5. ต่อร่าง พรบ. กองทุนสื่อฯ เด็กและครอบครัวเห็นด้วย และเสนอให้มีการเผยแพร่ข้อมูลและต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมจากประชาชนดังเช่นร่าง พรบ. ฉบับอื่นๆ </p>
ไม่มีความเห็น