เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทุกองค์กร ย่อมมีบุคลากรที่มีความแตกต่างกัน ทั้งพรสวรรค์ และขีดความสามารถ ดังนั้น การบ่มเพาะบุคลากรจำเป็นต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกันไป จึงจะสามารถดึงพลังที่ซ่อนเร้นของแต่ละบุคคลออกมาได้อย่างเต็มที่....
พวกที่มีคุณสมบัติอยู่ในเกณฑ์ดี... เพียงแต่ช่วยไขความคิดให้แตกฉาน ก็สามารถใช้งานได้แล้ว เพราะพวกนี้จะมีพรสวรรค์อยู่แล้ว เมื่อความคิดถูกไข ก็จะสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องคอยสั่ง คอยควบคุม การบ่มเพาะบุคคลประเภทนี้จึงใช้เวลาไม่มากนัก
ส่วนพวกที่มีคุณสมบัติอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง... อาจจะใช้เวลาในการบ่มเพาะ แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถเพาะขึ้นมาได้
ส่วนพวกสุดท้าย... พวกนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคอยเคี่ยว บ่มเพาะแบบช้า ๆ เหนื่อยหน่อย แต่เชื่อได้ว่าไม่เสียเที่ยว
ส่วนพวกที่ไม่พูดถึง... ถือว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีทางเพาะขึ้นแน่นอน เม็ดพันธุ์เน่าเสีย ทิ้งไปเถอะครับ... อย่าไปเสียดาย ถ้าเอามาเก็บรวมกันไว้เชื้อราอาจแพร่กระจายไปเมล็ดอื่นได้....
และอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ อย่าลืมว่า... ถ้าองค์กรใดมีแต่พวกอัจฉริยะเต็มไปหมด พวกที่เก่งเกินไปก็อาจเป็นตัวปัญหาได้เช่นกัน ดังนั้น... จะเห็นว่าองค์กรใดที่มีแต่คนเก่ง ๆ มักจะหาความสมดุลไม่ค่อยได้
ในสังคมย่อมมีทั้งคนเก่ง คนไม่เอาไหน คนฉลาด คนโง่ คนขยัน คนขี้เกียจ คนดี และไม่มีคละเคล้ากันไป แต่เมื่อคนทุกประเภทที่กล่าวมาแล้วนั้น ร่วมแรงร่วมใจกันพลักดันพาสังคมไปสู่ความรุ่งเรือง ก็จะทำให้สังคมนั้นเจริญขึ้น
องค์กรก็เช่นเดียวกัน... มักจะประกอบไปด้วยคนหลายแบบ เพราะด้วยเหตุที่ว่า องค์กรไม่สามารถเลือกสรรแต่คนที่เก่ง ๆ ดี ๆ เข้ามาทำงานในที่เดียวกันได้ทั้งหมดหรอก ดังนั้น หน้าที่สำคัญขององค์กรอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือ “การสร้างคน” บ่มเพาะบุคลากรให้มีความสามารถตามที่ตั้งเป้าหมายไว้...
และการที่จะทำให้บุคลากรแสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่ได้นั้น... ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย แต่นั่นแหละที่องค์กรจะเป็นสิ่งที่ต้องทำ ผู้นำองค์กรก็เป็นตัวแปลสำคัญที่จะต้องเป็นผู้บ่มเพาะด้วย และอาจลงแรงลงใจให้มากกว่าด้วยซ้ำไป และเมื่อได้บุคลากรตามที่ตั้งเป้าหมายไว้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเก่งเกินใคร แต่ขอให้รักการทำงานและรักองค์กรของตนเอง องค์กรก็จะก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างแน่นอน...