สวัสดีครับผม
เคยตั้งคำถามกันเล่นๆ ไหมครับ หากเขียนบทความกันทุกวัน วันละบทความหรือมากกว่า แล้วเรื่องในสมองเราจะหมดไหม?
ท่านเคยตั้งคำถามเหล่านี้ไหมครับ สำหรับไม่ว่าจะมือใหม่หัดขับอย่างผมอย่างเราๆ
ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่เราพบเจอในอดีต แนวคิดในอนาคต หรือประพจน์ในปัจจุบัน ที่เราเจอกันอยู่ทุกวัน เราจะหมดเรื่องคุยใน GotoKnow จริงหรือ
จริงๆ แล้วมนุษย์ ธรรมชาติได้ถูกพัฒนาให้เป็นผู้ช่างคิดที่มีเนื้อสมองเยอะ มีระบบลอจิกที่น่าสนใจ ผมมองว่าความรู้ก็เหมือนการทำถนน ที่เค้าว่ากันว่า ยิ่งตัดยิ่งยาว ยิ่งเราตัดเรื่องราวหรือองค์ความรู้ ตัดออกมาใส่ในบล็อกนะครับ ตัดมาใส่แล้วมีคนช่วยต่อยอด ได้ต่อยอด ได้เพิ่มเติมออกไปอีก ทำให้คิดต่อ ทำต่อ เสริมต่อ ปรับปรุง พัฒนา วนเวียนจนเกิดเป็นองค์ความรู้ขึ้นมานำเสนอใหม่อยู่ดี
มีคนยืนอยู่ที่มุมของรูปสามเหลี่ยม มุมละคน และมีลูกบอลลูกหนึ่งวางอยู่ตรงกลาง ระบายสีต่างๆ กัน แล้วถามแต่ละคนว่าที่เห็นนั่นคืออะไร โดยไม่เคลื่อนที่ แต่ละคนจะกล้ายืนยังว่ามันเป็นทรงกลมหรือลูกบอลไหมครับ แต่หากเอาสามคนมารวมกัน แล้วตอบร่วมกัน คงได้องค์ที่น่าจะสรุปได้ว่า น่าจะเป็นลูกบอลที่กลมหรือแหว่ง เพราะมองกันคนละมุมแต่มองสิ่งเดียวกัน แยกกันหรือประกอบกัน ความหนักแน่นต่างกัน
อีกนัยหนึ่งทำให้เราต้องวิ่งไปหาเรื่องอยากรู้อยากเห็นเพื่อจะนำมาเขียนกันต่อ ซึ่งก็เป็นการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้กันต่อไป ได้เช่นกัน จากสิ่งที่เคยรู้หล่ะหลวม หรือรู้แบบหลวมๆ พอมีคนมาช่วยมอง ก็จะช่วยอุดช่องโหว่งได้มากขึ้น การไปหาข้อมูลอื่นมาเพิ่มเติม แล้วประมวลออกมาอีกรอบที่แน่นกว่าเดิม
องค์ความรู้ในโลกนี้ ทั้งที่ค้นพบแล้วและยังไม่ค้นพบ ยังมีอยู่อีกเยอะ บางอย่างเทคโนโลยีวิ่งไปไม่ถึง สิ่งที่จะทำก็ต้องรอก่อน ดังนั้นข้อจำกัดบางๆ ที่เราเจอ ก็จะเป็นตัวที่ทำให้เราคิดหาหนทางในการนำไปสู่คำตอบที่ดีกว่า แล้วเกิดเป็นแขนงของแนวคิดที่นำไปสู่การพัฒนาและเป็นแนวทางในการวิ่งไปสู่ความทนทานที่แข็งแกร่งมากขึ้น
ยิ่งตัดยิ่งยาว ยิ่งสาวยิ่งยืด ยิ่งอ่านยิ่งงอก ยิ่งพอกยิ่งพูน ยิ่งคูณยิ่งมหาศาล
แล้วคุณหล่ะครับ มีความเห็นอย่างไรครับ ยินดีทุกความเห็นครับผม
ขอแสดงความนับถือ
สมพร ช่วยอารีย์
ขอตอบยาวๆ ว่า เห็นด้วยครับ
ที่ตอบยาวมากนี่ เพราะทำงานไม่ทันครับ ให้งานเขาไว้เยอะ ตรวจจะไม่ทันอยู่แล้ว .. โธ่ ..กรรมใดใครก่อ !
สวัสดีครับคุณสมพร
น่าคิดมากทีเดียวนะครับว่าเรื่องในสมองจะหมดไหม ถ้าเราเขียนกันวันละ 4-5 บทความ
ผมมองว่า ถ้าเกิดเราเขียนอย่างเดียวแต่ไม่มีคนมาคุยมาตอบ เรื่องในสมองคงไม่หมดครับ แต่มันจะไม่มีอะไรใหม่เพิ่มมากขึ้น
ในตอนแรกที่เราเขียนเราอาจจะรู้สึกว่า ว้าววว มีเรื่องอยู่ในสมองเต็มไปหมด แต่พอมาเรื่องที่ 3 ผมเชื่อว่าตามหลักของ diminishing returns เรื่องมันคงจะหมดไปอย่างแน่นอนครับ
แต่ถ้ามีคนมาอ่านบทความและเขียนต่อความเห็นไปเรื่อยๆ มันก็หมดอยู่ดีแหละครับตามหลักของ diminishing returns เพียงแต่ว่าอาจจะใช้เวลานานหน่อย อาจจะไม่ใช่แค่ 4-5 บทความ
จะเป็นเท่าไร อืมมม อันนี้น่าสนใจครับ เพราะว่ามันเป็นฟังก์ชั่นของกลุ่มประชากรที่มาแลกเปลี่ยนความรู้และจำนวนความคิดที่มีอยู่ของตัวประชากรแต่ละคน
สมมติว่าในกลุ่มนี้มีผมและคุณสมพรสองคนนะครับ สมมติต่อไปว่าเราเขียนได้ 5 บทความต่อวัน แต่เมื่ออ่านบทความของใครคนใดคนหนึ่งเราจะสามารถต่อยอดได้ 5 บทความ จากนั้นก็ 4, 3, 2, 1 ไปเรื่อยๆ ตามหลักของ law of deminishing returns
ผมคิดว่าเราสองคนคงจะแตกบทความต่อไปได้
(5 ของคุณสมพรเป็นคนเริ่มคิด * 5 ที่ผมแตกได้ * 4 ที่คุณสมพรอ่านแล้วแตกความคิดต่อออกมา * 4 *......* 1 ที่ผมอ่านแล้วแตกความคิดที่ต่อยอดออกมาของคุณสมพร)^2
กำลังสองเพราะว่าอีกอันเป็นเรื่องที่ผมเริ่มคิดก่อนครับ
เราสามารถ generalize ออกมาได้ว่า ถ้าให้
N คือคนที่อยู่ในกลุ่มประชากรที่มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
M คือความคิดที่แต่ละคนจะแตกต่อยอดออกมาได้
จำนวนบทความที่มากที่สุด ที่จะเกิดขึ้นได้คือ (M!)^N ครับ
อาจารย์เม้ง...
เคยคิดเหมือนกัน แต่เฉพาะคำบาลี...
เขียนปรกติวันละคำ (อาจหยุดบ้างถ้ายุ่งๆ ) คงจะมรณภาพเสียก่อน คำยังไม่หมด...
ประมาณนั้น
เจริญพร
ขอโทษทีครับ ผมมาอ่านคอมเม้นท์ที่ผมคิดแล้วผมงง นิดหน่อย
ผมมองว่าเรื่องไม่หมดไปจากสมอง เพราะว่า เรื่องมันอยู่ในสมองอยู่แล้วครับ
แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง จะไม่มีเรื่องใหม่เพิ่มขึ้นครับ
แล้วเราสามารถที่จะ generate ได้มากที่สุดประมาณ (M!)^N ครับ
ข้อสมมติฐานหลักคือ law of deminishing returns นั้น applies กับความคิดของคนครับ แล้วก็ applies linearly ด้วยคือ เป็นไปในทางเชิงเส้นเท่านั้นครับ
กราบนมัสการหลวงพี่
สวัสดีอาจารย์สมพรอีกครั้งครับ
Eistien เคยพูดไว้ว่า "As far as the laws of mathematics refer to reality, they are not certain; and as far as they are certain, they do not refer to reality." ด้งนั้นถ้าไม่ตั้งสมมติฐานเรื่อง diminishing returns ความรู้ก็อาจจะต่อยอดไปได้เรื่อยๆครับ
แต่บางทีก็อาจจะมีความรู้บางอย่างนั้นมีอยู่แล้วครับไม่ได้เป็น concept ใหม่ แต่กลับมีคำศัพท์ (jargon) ออกมาที่ทำให้ concept เป็น concept ที่ใหม่ ยกตัวอย่างนะครับ เรื่องเทคนิคการผลิตที่เรียกว่า Just in Time
concept ของ Just in Time นี่มาจาก supermarket ครับ คือถ้าสินค้าที่วางขายหมด หรือใกล้หมด ก็จะมีคนเอามาเติม คนญี่ปุ่นไอเดียดีมาเห็น ก็เลยคิดระบบการผลิตแบบ Just in Time ขึ้นมาครับ
ผมเคยไปนั่งฟังสัมนาจากอาจารย์ท่านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่อง algebra ครับ ผมจำไม่ได้ว่าท่านพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร แต่ท่านบอกว่า ท่านจะไม่แปลกใจเลยถ้าเรื่องที่ท่านทำอยู่นี้ จะมีคนไปหาเจอ แล้วบอกว่ามันมีคนมาทำเป็นร้อยปีมาแล้ว ท่านบอกว่า concept ไม่มีอะไรใหม่ เพียงแต่ว่าตอนนี้นั้น ท่านบอกว่า ยังไม่เคยเห็นว่ามีใครทำ แล้วเท่าที่ศึกษามาจาก set ที่จำกัด ก็ยังไม่เจอคนทำ
ดังนั้นคำตอบว่าข้อสมมติฐานของ law of deminishing returns คงกลับมาที่ว่าเรา define คำว่าองค์ความรู้ใหม่ไว้ว่าอย่างไรครับ
เรื่องไม่หมดหรอกครับ
แต่เวลาหมดครับ ไม่ต้องทำอะไรอีกเลย
และวิถีชีวิตท่านจะเปลี่ยน
วิธีคิดก็จะค่อยเปลี่ยนครับ
ระบบสังคมก็จะค่อยๆเปลี่ยน
การทำงานจะค่อยๆเปลี่ยน
ต้องมีสติครับ
ไม่งั้นระบบชีวิตกระเทือนแน่นอน
ด้วยความหวังดีครับ
ใช่ครับ ดร.แสวง
สวัสดีครับพี่อัมพรที่เคารพ
สวัสดีครับคุณน้องนิว
ตอนนี้เรามีข้อมูลเยอะขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นการจัดการจึงต้องเข้ามามีบทบาท ก่อนที่เราจะจมทะเลแห่งข้อมูลไปเสียก่อน
ฝากพี่เม้งเป็นหัวห(ง)อกละกันครับ ส่วนผมจะเป็นเชียร์หรีิดเดอร์ให้ครับ
สู้ๆๆๆๆ
สวัสดีครับ คุณนิดหน่อย
สวัสดีครับ น้อง
การเขียนเยอะ ๆ ช่วยพัฒนาสมอง...
ยิ่งเขียนเยอะความคิดยิ่งต่อยอดครับ...
ที่สำคัญพัฒนาทักษะการเขียนและการคิดที่เป็นระบบด้วยครับ...
เห็นด้วยครับ คุณดิเรก แต่ของผมเขียนประมาณว่า นึกได้นึกเขียนครับ อิๆๆ ยังไม่ได้จัดระบบไรเลยครับ ต้องพัฒนาอีกเพียบเลยครับ ประมาณ นั่งพิมพ์ ก็รั่วออกมาจากสมอง ไหลผ่านไปทางมือ บางทีพิมพ์แล้วมาอ่านใหม่ ตลกมากเลยครับ พิมพ์ช้ากว่าคิดไงครับ เพราะว่าคิดไปไกลแล้วพิมพ์ไม่ทัน เลยตกๆ หล่นๆ