ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มทำโครงการเด็กไร้รัฐ เราตระหนักได้ถึงระดับความเข้าใจของกระทรวงศึกษาธิการต่อการจัดการปัญหาสิทธิการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทย เราจึงเสนอ มสช.ที่จะเข้าสำรวจสถานการณ์ด้านข้อเท็จจริงในสถาบันการศึกษาไทย และ มสช.ก็เห็นชอบให้เราทำได้ ด้วยโอกาสที่ได้รับจากคณะอนุกรรมาธิการศึกษาหามาตรการในการแก้ไขปัญหาเด็กไร้สัญชาติ วุฒิสภา เราจึงได้ทำการสำรวจสถานการณ์ในสถาบันการศึกษาไทยในโอกาสที่ติดตามการทำงานของคณะอนุกรรมาธิการดังกล่าวไปเปิดพื้นที่พูดคุยกับทีมบริหารของกระทรวงศึกษาธิการทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค[1] ตลอดจนเด็กและเยาวชนไร้รัฐและไร้สัญชาติในแต่ละสถาบันการศึกษาที่เราได้มีโอกาสตรวจเยี่ยม และตั้งวงเสวนา ในการทำงานวิจัยในขอบเขตนี้ เรามีข้อค้นพบหลายประการเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นไปของเด็กและเยาวชนไร้รับหรือไร้สัญชาติในสถาบันการศึกษาไทย
สถานการณ์ด้านสิทธิในการเข้าสู่การศึกษา
ในประการแรก เราพบว่า ผู้บริหารในระดับภาคราชการของกระทรวงศึกษาส่วนใหญ่มีความตระหนักรู้ในหน้าที่ของประเทศไทยที่จะต้องให้การศึกษาแก่มนุษย์ทุกคนโดยไม่คำนึงว่า มีสัญชาติหรือไม่ หรือมีเอกสารรับรองตัวบุคคลโดยรัฐหรือไม่ แต่ระดับความเข้าใจดังกล่าวมีไม่มากนักในระดับปฏิบัติการ เราพบปรากฏการณ์ที่เด็กและเยาวชนถูกปฏิเสธสิทธิที่จะเข้าการศึกษาใน ๒ รูปแบบ กล่าวคือ (๑) ไม่ได้รับการยอมรับให้เข้าศึกษาเลย และ (๒) ได้รับการยอมรับให้เข้าศึกษาในความเป็นจริง แต่ไม่ยอมให้ขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนนักศึกษา อันทำให้ไม่อาจได้รับใบรับรองวุฒิการศึกษาเมื่อศึกษาจบ เราทราบว่า มีเด็กและเยาวชนไร้สัญชาติจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการยอมรับจากสถาบันการศึกษาในกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการให้ศึกษาได้ แต่ก็มิได้นำชื่อของเด็กและเยาวชนไร้สัญชาติขึ้นทะเบียนนักเรียนหรือนักศึกษา จึงส่งผลให้ไม่อาจออกวุฒิการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนไร้สัญชาติได้เมื่อพวกเขาเรียนจบการศึกษา ในวันนี้ จึงมีข้อเสนอจากภาควิชาการและภาคประชาชนต่อกระทรวงศึกษาธิการที่จะสั่งการให้มีการนำเด็กไร้รัฐเด็กไร้สัญชาติที่เรียนอยู่จริง ในสถาบันการศึกษา แต่ไม่มีชื่อในทะเบียนนักเรียน เข้าบันทึกในทะเบียนนักเรียนภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาเด็กไร้รัฐฯ มสช. แต่เราจึงเลือกกรณีศึกษาดังต่อไปนี้มาทดลองผลักดันให้คนไร้รัฐหรือคนไร้สัญชาติได้รับการรับรองสิทธิในการเข้าสู่การศึกษา กล่าวคือ (๑) กรณีของนางสาวโอ๋ แห่งจังหวัดปทุมธานี[2] และ (๒) กรณีของนางสาวจันทรา เย็นใจ แห่ง กทม.[3]
สถานการณ์ด้านสิทธิในการประกันการศึกษา
เราพบว่า เด็กไร้รัฐหรือเด็กไร้สัญชาติไม่อาจใช้สิทธิกู้ยืมเพื่อการศึกษา เนื่องจากข้อ ๙(๑) แห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ว่าด้วย การดำเนินงาน หลักเกณฑ์ และวิธีการกู้ยืมเงิน กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๖ กำหนดให้เฉพาะคนสัญชาติไทยเท่านั้นที่จะมีสิทธิกู้ยืมเพื่อการศึกษาตามระเบียบนี้ ดังนั้น เด็กและเยาวชนไร้สัญชาติที่มาจากครอบครัวที่ยากไร้ จึงอาจขาดโอกาสทางการศึกษาหากครอบครัวไม่มีเงินส่งเสียให้ได้เรียน
ดังนั้น ภาคประชาสังคมจึงขอเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการเริ่มต้นกระบวนการแก้ไขระเบียบดังกล่าว โดยขยายโอกาสที่จะกู้ยืมไปยังเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ และในขณะที่การแก้ไขระเบียบดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ภาคประชาสังคมก็ขอเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการโปรดประสานงานเพื่อสำรวจว่า มีนักเรียนนักศึกษาที่ประสบปัญหาความขาดแคลนทางการเงินจนส่งผลกระทบต่อโอกาสทางการศึกษาหรือไม่ และดำเนินการประสานงานกับองค์กรเอกชนที่อาจช่วยเหลือได้ต่อไป ขอให้สังเกตว่า ปัญหามิใช่อยู่ที่ทัศนคติ แต่อยู่ที่ระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งจำกัดสิทธิให้เพียงแต่คนสัญชาติไทยเท่านั้น กรณีศึกษาหนึ่งที่เราเลือกขึ้นมาทำความเข้าใจกับสังคมไทยโดยรวม ก็คือ กรณีคุณเบญจวรรณ แห่ง วิทยาลัยมิชชั่น อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี[4]
นอกจากนั้น เรายังได้ค้นพบอีกว่า เด็กและเยาวชนไร้สัญชาติที่เกิดในไทย ซึ่งต่อมาได้สัญชาติไทย ก็ยังมีปัญหาที่สถาบันการศึกษาไม่ยอมให้สิทธิกู้เงินสงเคราะห์การศึกษา ทั้งนี้ เพราะระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงศึกษาไปบันทึกว่า บุคคลที่มีเลขประจำตัวประชาชนขึ้นตนด้วยเลข ๘ ไม่มีสัญชาติไทย จึงไม่ยอมที่จะให้สิทธิกู้ยืมเงินดังกล่าว เพื่อการนี้ เราจึงนำกรณีดังกล่าวมาบันทึกเป็นบทเรียน โดยผ่านกรณีนางสาวศิริพร จันศิริ[5]
สถานการณ์ด้านสิทธิในวุฒิการศึกษา
เราพบว่า มีเด็กและเยาวชนไร้สัญชาติจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาในสถาบันการศึกษาในกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ก็ไม่ได้รับวุฒิการศึกษาเมื่อจบการศึกษา ดังนั้น ภาคประชาสังคมจึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการโปรดสั่งการให้มีการออกวุฒิการศึกษาให้แก่เด็กไร้รัฐเด็กไร้สัญชาติที่จบการศึกษาไปแล้วแต่ไม่ได้รับวุฒิการศึกษา และกำชับให้มีการออกวุฒิการศึกษาแก่เด็กไร้รัฐเด็กไร้สัญชาติที่กำลังจะจบการศึกษา เราได้ทำกรณีศึกษาเกี่ยวกับการออกวุฒิการศึกษาให้แก่กรณีศึกษาหนึ่งของเรา เนื่องจากกรณีศึกษาของเราไม่อาจเรียนต่อในการศึกษาระดับสูงขึ้นไปได้ ด้วยว่าโรงเรียนในระดับประถมศึกษาไม่ยอมออกใบรับรองผลการศึกษาให้ เราได้ประสานงานกับโรงเรียนดังกล่าวให้ออกใบรับรองวุฒิการศึกษาให้แก่กรณีศึกษาของเรา ใช้เวลาประสานงานอยู่ ๒ เดือนเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่คณะผู้บริหารโรงเรียนดังกล่าว แต่เราก็มิได้มีการสรุปบทเรียนของเราออกมาเป็นงานเขียนและเผยแพร่ต่อสาธารณะ เนื่องจากกรณีศึกษาของเราไม่อยากให้เราเผยแพร่เรื่องนี้ ด้วยเหตุที่กลัวว่า ครูในโรงเรียนจะเกลียดชัง ด้วยความเคารพในการตัดสินใจของกรณีศึกษาของเรา เราจึงไม่อาจเล่ากรณีศึกษาดังกล่าวในรายละเอียด
สถานการณ์ด้านสิทธิที่จะใช้ประโยชน์วุฒิการศึกษา
เราพบว่า มีคนไร้รัฐหรือคนไร้สัญชาติจำนวนไม่น้อยที่เรียนจบในสถาบันการศึกษาที่อยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ไม่อาจที่จะประกอบอาชีพตามวุฒิการศึกษาที่ตนได้เล่าเรียนมา อันทำให้ประเทศไทยเสียประโยชน์จากการใช้ประโยชน์ทุนทางสังคมที่มีอยู่แล้วในสังคมไทย
ภาคประชาสังคมจึงขอเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการประสานงานให้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมมีประกาศตามมาตรา ๑๒ แห่ง พ.ร.บ.การทำงานคนต่างด้าว พ.ศ.๒๕๒๑ เพื่ออนุญาตให้เด็กและเยาวชนไร้สัญชาติที่สำเร็จการศึกษาในสถาบันการศึกษาไทยมีสิทธิทำงานได้ตามวุฒิการศึกษาที่ตนเล่าเรียนมากรณีศึกษาที่เรานำมาศึกษาเป็นตัวอย่าง ก็คือ (๑) กรณีนางสาวเดือน อุดมพันธ์ แห่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย[6] (๒) กรณีนางสาวชนานันท์ เชอมือ แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่[7] และ (๒) กรณีนางสาวลืนหอม สายฟ้า แห่ง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร (พิษณุโลก)[8]
สถานการณ์ด้านสิทธิในการออกนอกพื้นที่เพื่อการศึกษา
เราพบว่า นักเรียนนักศึกษาไร้รัฐไร้สัญชาติซึ่งจำเป็นต้องเดินทางออกนอกพื้นที่เพื่อการศึกษา แต่ประสบปัญหาที่เจ้าหน้าที่อำเภอไม่ยอมอนุญาตหรืออนุญาตให้ในเวลาที่จำกัดมาก มิได้เป็นไปตามหลักสูตรการศึกษา อันทำให้นักเรียนนักศึกษาไร้รัฐไร้สัญชาติประสบอุปสรรคอย่างมาก เพราะอาจถูกจับโดยตำรวจ
ภาคประชาสังคมจึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการโปรดประสานงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมการปกครอง เพื่อรับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๘ ที่กำหนดให้กระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้นักเรียนนักศึกษาไร้รัฐไร้สัญชาติสามารถเดินทางไปศึกษาได้เป็นระยะเวลาตามหลักสูตรนั้นๆ โดยไม่ต้องขออนุญาตเป็นครั้งคราว[9] และขอให้สั่งการให้แต่ละสถาบันการศึกษาในการกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการสำรวจว่า เด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติได้รับใบอนุญาตให้ออกพื้นที่เพื่อศึกษาตลอดหลักสูตรตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้วหรือยัง หากยัง ก็ขอให้ประสานงานกับอำเภอที่เกี่ยวข้องออกหนังสืออนุญาตให้นักเรียนและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติของตน กรณีศึกษาที่เราใช้ในการทดลองสิทธิดังกล่าว ก็คือ กรณีของนางสาวลืนหอม สายฟ้า[10]
สถานการณ์ด้านความผิดเกี่ยวกับเอกสารรับรองตัวบุคคลที่มิชอบด้วยกฎหมาย
เราพบว่า มีเด็กและเยาวชนจำนวนหนึ่งซึ่งอาจมีเอกสารรับรองตัวบุคคลที่มิชอบด้วยกฎหมาย อาทิ ทร.๑๔ หรือ ทร.๑๓ ปลอม จึงทำให้ถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนราษฎร จนตกเป็นบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร นอกจากนั้น ยังมีเด็กและเยาวชนอีกจำนวนหนึ่งซึ่งใช้เอกสารรับรองตัวบุคคลของบุคคลอื่นมาใช้ในการสมัครเรียน ซึ่งเมื่อความเป็นจริงปรากฏ ผู้บริหารสถาบันการศึกษาก็จะไล่เด็กและเยาวชนซึ่งตกเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติออกจากสถาบันการศึกษา ซึ่งภาคประชาสังคมไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติเช่นนั้นของสถาบันการศึกษา เรื่องของสิทธิในสถานะบุคคลและสิทธิในการศึกษาเป็นคนละเรื่องกัน การกระทำผิดที่เกี่ยวกับสิทธิในสถานะบุคคลย่อมดำเนินการไปได้ แต่ไม่ควรจะส่งผลให้เด็กและเยาวชนขาดโอกาสทางการศึกษา ซึ่งในกรณีส่วนใหญ่ ผู้ที่ปลอมแปลงเอกสารหรือแอบอ้างใช้เอกสารของบุคคลอื่นจะเป็นบุพการี มิใช่ตัวเด็กและเยาวชนเอง การกระทำผิดของบุพการีจึงไม่บังควรที่จะส่งผลกระทบต่อสิทธิทางการศึกษาของเด็กและเยาวชน ภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องจึงขอเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้แต่ละสถาบันการศึกษาในการกำกับดูแลไม่มีการกระทำที่ตัดโอกาสของเด็กและเยาวชนไร้สัญชาติในสถานการณ์ดังกล่าว กรณีศึกษาของเยาวชนที่ได้รับผลกระทบด้านสิทธิทางการศึกษาเพราะใช้สูติบัตรปลอมในการสมัครเรียน ก็คือ กรณีของนายศรชัย อามอ แห่งจังหวัดลำปาง[11]
สถานการณ์ด้านกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับสิทธิทางการศึกษา
ในช่วง พ.ศ.๒๕๔๗ – ๒๕๔๘ เราได้เป็นประจักษ์พยานของการที่กระทรวงศึกษาธิการได้ยอมรับที่จะผลักดันหลัก Education for all ให้มีผลในความเป็นจริง ซึ่งการผลักดันดังกล่าวได้ถูกเสนอขึ้นโดยคณะอนุกรรมาธิการศึกษาหามาตรการในการแก้ไขปัญหาเด็กไร้สัญชาติ วุฒิสภา ซึ่งเป็นเวทีทำงานร่วมกันของภาคประชาสังคมที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวซึ่งประสบปัญหาความไร้สัญชาติ[12] เราจึงอาจสรุปสถานการณ์ด้านข้อเท็จจริงประการหนึ่งได้ว่า ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันตระหนักได้ว่า เมื่อพิจารณาทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย และกฎหมายระหว่างประเทศที่ผูกพันประเทศไทย สิทธิในการศึกษาเป็นสิทธิมนุษยชนอย่างไม่ต้องสงสัย[13] ดังนั้น รัฐบาลไทยในยุคนี้จึงมีภารหน้าที่ที่จะต้องให้สิทธิในการศึกษาของมนุษย์ทุกคนบนแผ่นดินไทยให้ได้รับการคุ้มครองและรับรอง เราพบว่า หลัก Education for all นี้ได้กลายเป็นหลักการที่ปรากฏในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๘ และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ.๒๕๔๘ แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เราก็พบต่อไปว่า หน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงระเบียบดังกล่าว
เราจึงพบเช่นกันว่า ภาคประชาสังคมจึงเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการมอบหมายให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งในกระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานหลักที่เข้ารับผิดชอบในการประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการเข้าใจระเบียบดังกล่าว รวมตลอดถึงผลักดันความมีผลได้จริงของระเบียบดังกล่าวต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ซึ่งการจัดการสัมมนาปฏิบัติการให้แก่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการในทุกระดับเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้การศึกษาในหลัก Education for all และในหลักกฎหมายและนโยบายที่อาจช่วยแก้ปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติให้แก่เด็กและเยาวชนของตน นอกจากนั้น การสัมมนาเชิงปฏิบัติการในลักษณะนี้ย่อมมีผลเป็นการปรับทัศนคติที่อาจไม่ถูกต้องนักของบุคคลากรในสถาบันการศึกษาต่อเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ
ในช่วงเวลาเดียวกัน เรายังได้เป็นประจักษ์พยานของการเกิดขึ้นของ “ยุทธศาสตร์จัดการสิทธิและสถานะบุคคลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘” ซึ่งกำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานที่ข้อ ๔.๔.๓. แห่งยุทธศาสตร์นี้ได้กำหนดให้เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลักอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่ประสานการดำเนินการร่วมกันเพื่อมุ่งไปสู่การบรรลุวัตถประสงค์ของยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะมาตรการระยะยาวในการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานแนบท้ายยุทธศาสตร์ฯ ที่กำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริการทางด้านการศึกษาในประเทศไทยสำหรับบุคคลที่มีปัญหาสิทธิและสถานะบุคคล และจะต้องดำเนินการในทันที
สถานการณ์ด้านสิทธิของในทะเบียนราษฏรของรัฐไทยของนักเรียนไร้รัฐ
เราพบว่า ยังปรากฏมีนักเรียนนักศึกษาไร้รัฐจำนวนไม่น้อยในสถาบันการศึกษา และไม่ปรากฏความคืบหน้ามากนักในความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทยเพื่อสำรวจจำนวนนักเรียนนักศึกษาที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเพื่อใช้เป็นข้อมูลจัดทำเลขประจำตัว ๑๓ หลักประสานงานให้กระทรวงมหาดไทยลงรายการสถานะบุคคลใน ทร.๓๘ ให้แก่เด็กและเยาวชนในสถาบันการศึกษาซึ่งไม่มีสถานะทางทะเบียน ภาคประชาสังคมจึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการโปรดประสานงานกับกรมการปกครอง เพื่อมิให้มีเด็กและเยาวชนไร้รัฐซึ่งไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎรในสถาบันการศึกษาไทยเลยแม้แต่คนเดียว
ในที่สุด เราสรุปได้ว่า ยังมีปัญหาด้านสิทธิทางการศึกษาปรากฏแก่เด็กและเยาวชนไร้รัฐและหรือไร้สัญชาติ แต่ก็ยังปรากฏมีทางออกของปัญหาดังกล่าว สถานการณ์มิได้ตีบตันสำหรับเจ้าของปัญหาแต่อย่างใดในขั้นตอนต่อไป ด้วยแนวคิดเชิงญานวิทยาในการทำงานวิจัยและพัฒนาของเรา เรามิได้ทำตัวเป็นเพียง “ผู้พบเห็น” เท่านั้น เรายังทำตัวเป็น “ผู้แก้ปัญหา” อีกด้วย ทั้งนี้ เพราะ “การทดลองเข้าแก้ปัญหา” ก็คือ “การสร้างห้องทดลองสังคม” ซึ่งเรานักวิจัยอาจใช้เป็น “พื้นที่เพื่อการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้” อันจะนำไปสู่การค้นพบ “ต้นแบบในการแก้ปัญหา” ซึ่งเจ้าของปัญหาอาจเรียนรู้และนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาของตนเองได้ ตลอดระยะเวลาที่ทำงานภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาเด็กไร้รัฐฯ มสช. เราจึงพยายามที่จะสอดแทรกเข้าร่วมในการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านลบต่อสิทธิทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนไร้รัฐและหรือไร้สัญชาติ ตัวอย่างเช่น ข้อเสนอของนางสาวสรินยา กิจประยูร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักกฎหมายธรรมสติ ที่อาสามาร่วมงานวิจัยภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนา เด็กไร้รัฐฯ[14]
---------------------------------------------------------
โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
วันจันทร์ที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
พวกพี่ๆ ที่ไปเข้าค่ายภาษาอังกฦษที่ค่ายหัตถวุฒิสนุมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ หนูมีคำถามที่จะถามพี่เคนว่า ผึ่งอะไรตาบอด ตอบได้ไหมค่ะ ถ้าตอบไม่ได้หนูเฉลยแล้วนะ เฉลย ผึ่ง (เพิ่ง) รู้ว่าผมรักคุณ 55555555 ผมมีอะไรจะถามพี่แชมป์ว่า พี่แชมป์อย่าเปิดพัดลมนะครับ เดียวลมจะพัดเอาหัวใจผมไปอยู่ในหัวใจพี่ซูเรียนะครับหล่อนเล่นครับ เจม กับ โบว์จะเอารูปครูมาให้พี่แชมป์กับพี่เคนดูนะครับนะค่ะไม่มีรูปครูมีแต่รูปโรงเรียนนะมีแต่ตราโรงเรียนนะเอาเปล่าและเบอร์โทรโรงเรียน 036-340112
เอาเบอร์โทรโรงเรียนก็พอและชื่อครูก็พอ ชื่อเล่น ครูพอน ชื่อจริงชื่อ อาจารย์ปรียาพร โพธิรินทร์