KM กับงานส่งเสริมการเกษตร [ 1 ]


หลุมดำที่ตกด้วยความมืดบอด

         กรมส่งเสริมการเกษตร จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "แนวทางการปกิบัติงานสำหรับผู้รับผิดชอบงานส่งเสริมการเกษตร ปี 2550" ช่วงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2550  ณ โรงแรมหลุยส์ แทรเวิร์น กรุงเทพ ฯ

        

ผมได้รับการติดต่อจากคุณสำราญ สารบรรณ์ กองวิจัยกรมส่งเสริมการเกษตรมาล่วงหน้าหลายวัน  เพื่อให้เตรียมตัวเดินทางไปร่วมสัมมนาและเป็นวิทยากรด้วยช่วงท้าย การสัมมนา เพราะจะพูดคุยกันเรื่อง KM หลังจากรับทราบการชี้แจงงานโครงการแล้ว

         ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมสัมมนา 300 คน มีนักวิชาการส่วนกลาง นักวิชาการเขต และนักวิชาการจากทุกจังหวัด ๆ ละ 3 คน ยกเว้นนครศรีธรรมราช 4 คน

         ขอยกยอดไปที่บันทึกที่น่าอ่าน ของ คุณพี่นันทา ติงสมบัติยุทธ์ 5 ตอน ที่นี่ครับ>>> [ 1 ] [ 2 ] [ 3 ] [ 4 ] [ 5

         ในส่วนของผมมีมาเล่าให้ฟัง  ในช่วงวันที่เป็นวิทยากร ร่วมกับ พี่ทวี มาสขาว  จากนครพนม  พี่สายัณห์ ปิกวงศ์ จากกำแพงเพชร และคุณ อ้อย อุษา ทองแจ้ง กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นผู้ดำเนินการ โดยก่อนหน้าที่เรา ทั้ง 4 คนจะขึ้นเวที  ได้มีการนำเสนอ  VCD เครือข่าย KM ประเทศไทย ให้ที่สัมมนาชม   และต่อด้วยการบรรยายพิเศษ "หลุมดำ...การจัดการความรู้"  โดย ท่าน อาจารย์ ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด   ฟังแล้วหลุมนั้นยังมีให้ตกอีกเยอะหลุมมาก ๆ  เพราะในความเป็นคนของคนนี่มีอะไรลึก ๆ ที่ติดยึด  ติดยึดในส่วนของกายไม่น่ากลัว  แต่ติดยึดอยู่ในใจนี่  ต้องใช้เวลาในการแก้และต้องเยียวยาหนักและนาน กว่าจะหายป่วยได้   และอาจไม่หายได้ในบางคนด้วยซ้ำ

          แต่แปลกนะครับ  คนที่เคยป่วยเป็นโรคเบื่อหน่าย KM นั้นถ้ารักษาให้หายได้จะฟื้นตัวมีพลังมาก ๆ เป็น 10 เท่า  และเป็นพลังแห่งคุณภาพ ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะเจอทางสว่าง และมีปัญญา

          คำ และ ความหมาย ตามที่ท่านอาจารย์ประพนธ์ ได้พูดถึง ผมเองจะเจอบ่อยมาก  ในส่วนของคนที่มีใบยืนยันความรู้ติดอยู่ที่ฝาบ้าน  แต่สำหรับชาวบ้านหรือเกษตรกรไม่มีปัญหาติดตรงนี้  ช่างขี้สงสัยและอยากรู้มาก ๆ จริงๆ ในเรื่องนี้สำหรับคนวุฒิสูง   

          อยากให้เราอธิบายให้ได้  อธิบายแล้ว ก็ไม่ไตร่ตรองกลับวิ่งหนีมันอีก และตกหลุมดำด้วยความมืดบอดในที่สุด 

          ชอบนำปัญหามาขบคิด  เหมือนติดเป็นธรรมเนียมในการพูดคุย เมื่อคิดจะทำอะไร  จนในที่สุดพ่ายแพ้แก่ปัญหาไปเลย  ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ลงมือทำ เหมือนที่เขาพูดกันว่า "ตีตนไปก่อนไข้ "  ดู ๆ แล้ว KM นั้นเกี่ยวข้องกับความรู้สึกจิตใจเป็นส่วนสำคัญ  จิตใจฝ่อก่อนอย่างอื่นก็ฝ่อตาม 

หมายเลขบันทึก: 81785เขียนเมื่อ 3 มีนาคม 2007 21:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:51 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อ.ชาญวิทย์ ครับ

              แหมผมเพิ่งทราบจากบันทึกนี้นี่เองว่าที่อาจารย์หายไปจากหน้าจอหลายวัน ที่แท้ก็ไปทำหน้าที่ที่กรุงเทพฯมา ชอบข้อความนี้มากเลยครับ คนที่เคยป่วยเป็นโรคเบื่อหน่าย KM นั้นถ้ารักษาให้หายได้จะฟื้นตัวมีพลังมาก ๆ เป็น 10 เท่า  และเป็นพลังแห่งคุณภาพ ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะเจอทางสว่าง และมีปัญญา 

            ข้อความนี้มันช่างสอดคล้องเหลือเกินกับคำพูดของคุณวิชาญ หนูกัน นักวิชาการสาธารณสุข สสจ.นครศรีฯ พูดแสดงความคิดเห็นให้กับคณะจากศูนย์อนามัยเขต 12 ยะลา ที่มาดูงาน KM เมืองนคร เมื่อ 27 ก.พ. คุณวิชาญ ได้เพิ่มตัวละคอนในการทำ KM เข้าไปอีกหลายตัว เช่น คุณอาด คือคนที่อยากทำงานแนวนี้ คุณหนาว คือคุณเอื้อที่ไม่ยอมเห็นดีเห็นงามด้วยกับการทำงานแนว KM ซึ่งคุณเอื้ออย่างนี้จะรู้สึกหนาวเหมือนว่ามีภัยจะมาเยือนหน้าในไม่ช้า หนาวเพราะภายนอกกดดันให้จำเป็นต้องทำ จนตรอกประมาณนั้น  จึงอยู่ในอาการหนาวใจ อีกตัวละคอนหนึ่งคือคุณร้อน ร้อนใจแบบตาลีตาเลือกที่จะทำงานแบบ KM ขึ้นมาแล้ว ไม่ทำไม่ได้แล้ว เพราะรู้ชัดแล้วว่าต้องทำงานแบบ KM ฝึกฝนตนเองเป็นการใหญ่ ใจมาแล้วทีนี้

          ผมจึงคิดว่าคุณร้อนนี้น่าจะประมาณข้อความที่ อ.ชาญวิทย์ กล่าวครับ "คนที่เคยป่วยเป็นโรคเบื่อหน่าย KM นั้นถ้ารักษาให้หายได้จะฟื้นตัวมีพลังมาก ๆ เป็น 10 เท่า  และเป็นพลังแห่งคุณภาพ ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะเจอทางสว่าง และมีปัญญา"

           

เรียน อ.จำนงครับ

  • เดินทางมากขึ้นครับ  วันก่อนมาเปิดคอมพิวเตอร์ แทบเข้า GotoKnow ไม่ถูก เพราะ ทางนี้พัฒนาไปเยอะแล้ว แต่ผมไม่ค่อยได้เข้ามาใช้
  • ทุกคนเรียนรู้เรื่อง KM กันไป ก็มีคำเข้ามาเป็นการสมมติเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการเรียนรู้
  • คุณหนาวจะยิ่งหนาวมากขึ้น  ถ้ายังห่มผ้าจนตัวกลม ครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท