คนไร้บ้าน คนเร่ร่อนในพื้นที่สาธารณะ เรื่องเก่าที่แก้ไม่จบ
ได้มีโอกาสพูดคุยกับสื่อมวลชน สองสามคน เกี่ยวกับ การนำเสนอเรื่องราวของคนชายขอบ คนไร้บ้าน คนเร่ร่อน ว่าทำไมไม่ได้รับการเอาใจใส่ หรือนำเสนออย่างจริง ๆ จัง ๆ เสียที คำตอบที่ได้รับ ฟังแล้วน่าแปลกใจ ระคนกับน่าใจหาย คือ เรื่องมันเก่า ประเด็นเดิม ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ นั่นคือ คำที่หลุดมาจากสมองที่สั่งการให้พิมพ์ข้อความโต้ตอบมาทาง MSN พาให้นึกไปถึงจรรยาบรรณ หรือ เป้าหมายของการเป็นสื่อสารมมวลชนที่เขาเหล่านั้นร่ำเรียนมา ว่าเข้าเรียนกันมาอย่างไร ??
อิสรชน พยายามนำเสนอรูปแบบการทำงานกับคนไร้บ้านที่ เชื่อได้ว่า ไม่มีใคร เสนอแนวคิดการทำงานแบบนี้แน่นอน เราพยายามเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐ เปลี่ยนวิธีคิด และความเชื่อเดิม ๆ ในการทำงานกับคนไร้บ้าน คนเร่ร่อนจากที่เคยเชื่อว่า คนไร้ที่พึ่งส่วนใหญ่หรือทั้งหมดเป็นคนเสียสติ คนบ้าน คนขี้เกียจ ให้มองคนกลุ่มนี้ป็นคนที่มีทุกสิ่งทกอย่างเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ในสังคม เพียงแต่เขาขาดโอกาสในการที่จะมีบ้าน หรือโอกาสที่จะอยู่ในบ้านอย่างมีความสุข และถ้าหากรัฐคิดจะ เปิดบ้าน หรือ เปิด ศูนย์พักพิง สถานสงเคราะห์ เพื่อดูแลคนกลุ่มนี้ ก็ควรจะปรับวิธีคิดใหม่ไปพร้อมกันด้วย เพราะการเปิดบ้าน หรือสถานสงเคราะห์แล้วมีวัตถุประสงค์เพื่อกวาดจับคนกลุ่มนี้เข้าไปอยู่รวมกันแล้วหาข้าวให้กิน หาที่ให้นอน มีงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านที่เปิดก็ให้ทำไป ถึงเวลาก็ส่งกลับภูมิลำเนา เพราะนั่นไม่ใช่ทางแก้ที่ถูกทางหรือตรงความต้องการของพวกเขาเหล่านั้น
บ้านหรือศูนย์ที่จะเปิด ควรที่จะเป็นไปในรูปแบบของ บ้านเปิด ที่ใครก็ตามที่เป็นคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน สามารถเดินเข้าเดินออกด้ตามความสมัครใจ ไม่ใช่การกวาดจับ เพื่อรอการส่งกลับภูมิลำเนา บ้านเปิด ที่ จะต้องมีทางเลือก มีช่องทางที่จะนำเขาไปสู่ทางเลือกที่หลากหลาย ต้องเป็นทั้งศูนย์ฝึกอาชีพ สถานพยาบาล ที่นอน ที่อาบน้ำ ที่พักฟื้นหลังจากการรับการรักษาอาการเจ็บป่วย และเป็นที่ที่สามารถส่งต่อไปยังหน่วยงานอื่น ๆ ตามความสมัครใจของเขาได้ตลอดเวลา รูปแบการทำงานต้อง ให้เป็นรูปแบบพิเศษ คือ ภาครัฐและเอกชน ต้องร่วมกันบริหาร แบ่งช่วงเวลากัน บริหารจัดการ ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน กรทำงาน้องเน้น ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ต้องมีความพร้อมที่จะเปิดรับสถานการร์ที่หลากหลายมาตรฐานการให้บริการทั้งในและนอกเวลาราชการต้องอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน ถ้าจะให้ดี ต้องเปิดให้ องค์กรพัฒนาเอกชน เข้าไปเป็นผู้จัดการวางระบบการทำงานและระบบการจัดการให้บริการและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้ามาสังกัดหน่วนงานนี้ก็ควรที่จะเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความมุ่งมั่นและเปิดกว้างในการเรียนรู้และการทำงานอย่างแท้จริง
รูปแบบของการให้บริการที่กล่าวมาข้างต้นนี้นั้น ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีมาในระบบราชการไทย เคยมีและกำลังดำเนินอยู่ทุกวันนี้ ตัวอย่างก็ได้แก่ บ้านกาญจนาภิเษก ที่ เป็นหน่วยงานของรัฐที่ เปิดให้ องค์กรพัฒนาเอกชน เข้าดำเนินการบริหารภายใต้เงื่อนไขและรูปแบบการทำงานแบบพิเศษ ซึ่งในช่วงแรก ก็เกิดปัญหาความไม่เข้ากันของระบบข้าราชการและระบบ NGOs แต่เมื่อได้มีการลองผิดลองถูกและปล่อยให้การดำเนินกิจกรรมผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็พบว่า เป็นรูปแบบที่ยึดเป็นแนวทางในการทำงานในรูปแบบที่คล้าย ๆ กันได้ และกำลังขยยรูปแบบออไปในส่วนต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น
คนไร้บ้าน คนเร่ร่อน คนชายขอบของสังคมไทย สมควรที่จะได้รับการกล่าวถึงอยู่เนือง ๆ และตลอดเวลา เพาะเสียงของคนกลุ่มนี้ แผ่วเบา อยู่เป็นทุนแล้ว หากไม่ได้รับการใส่ใจ หรือ ละเลย เพียงเพราะ ทัศนคติ ที่ไม่เปิดกว้าง หรือไม่ให้โอกาสเสียแล้ว แล้วเมื่อไหร่ สังคมจะเข้าใและให้ความสำคัญในการร่วมไม้ร่วมมือแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดปัยหาเหล่านี้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ??
สื่อมวลชน ต้องตระหนักรู้และ ยอมรับว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและดำรงสภาพปัญหาอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงก็เพราะส่วนหนึ่งนั้นมาจากสื่อมวลชนเองที่ไม่ได้ให้ความสำคัญในการนำเสนอเรื่องราวอย่างต่อเนื่องและจริงจัง แถมด้วยสื่อมวลชนบางคนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน อยู่เป็นทุน ยิ่งไม่ต้องหวังเลยว่า จะเกิดมุมมองสะท้อนกลับในเชิงบวกกับคนกลุ่มนี้ หนำซ้ำจะถูกปิดกั้น และสำทับด้วยคำว่า เรื่องเก่า ประเด็นเดิม แบบไม่ลืมหูลืมตา อยู่ร่ำไป คงไม่ต้องปลุกระดมให้คนไร้บ้าน คนเร่ร่อน ออกมาเดินขบวนประท้วงเรียกร้องให้มีการ กำหนด เรื่องการให้ความช่วยเหลือ ดูแล คนไร้บ้าน คนเร่ร่อน ในรัฐธรรมนูญหรอกนะครับ สังคม ถึงจะมองเห็นเขาเหล่านี้