มีเหตุผลอธิบายมากมายเมื่อถามพี่น้องชนเผ่าม้ง,เมี่ยน หรือชนเผ่าอื่นๆว่า ทำไม? ถึงไม่ชอบแต่งกายในชุดประจำเผ่ากันแล้ว ที่ตอบมาแล้วสะเทือนใจที่สุด ออกจากปากของผู้หญิงม้งวัยกลางคนคนหนึ่ง บอกว่า “ ที่ไม่แต่งชุดม้งเพราะถูกคนรังเกียจ เขาเห็นว่าเป็นม้งก็ไม่ยอมนั่งใกล้ บอกว่าตัวเหม็น เป็นม้ง ตัวเหม็น.!?!.”
ประเด็นนี้สำคัญ มันสะท้อนถึงการแบ่งแยกชนเผ่าชนชั้น และระดับจิตสำนึกด้านสิทธิมนุษยชนของคนในสังคม
บางทีมันอาจเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล เกี่ยวกับชาวเขาคนหนึ่ง กับใครก็ตามอีกคนหนึ่ง เพราะว่าในสังคมจริงๆ คงไม่ถึงกับมีท่าทีกันตรงๆ ซึ่งหน้าอย่างนั้นในวงกว้าง คนม้งที่หน้าตาดีมีถมไป ดูดีกว่าคนในเมืองด้วยซ้ำ ผมเห็นหนุ่มสาวชาวม้ง เมี่ยน รุ่นใหม่หลายคน หน้าตายังกะดาราฮ่องกง เกาหลี ยิ่งทุกวันนี้จากผลการพัฒนาโดยศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา และองค์กรหน่วยงานที่ดำเนินงานในชุมชนบนพื้นที่สูงมายาวนานในรอบสี่ทศรรษที่ผ่านมา หลายชุมชนบนพื้นที่สูงมีระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมากแล้ว มีถนนหนทางดีไม่มีฝุ่น มีน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาด มีอาหารการกินดี มีที่อยู่อาศัยที่อบอุ่นมั่นคง มีเสื้อผ้าสะอาดๆสวมใส่ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องชาวม้งตัวเหม็นนั้น เป็นความคิดเชิงอคติของคนบางกลุ่มบางคน มากกว่าวิญญูชนที่เปิดใจรับสภาพความเป็นจริง และคำนึงถึงความเท่าเทียม ในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ผมรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ในสังคมไทยที่ต้องการความสมานฉันท์ ไม่ควรเหลือพื้นที่หัวใจสำหรับการโกรธเกลียด หรือขัดแย้งใครโดยไร้เหตุผล และอย่าจุดชนวนความขัดแย้งขึ้นมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ห้วงเวลานี้ สังคมต้องการความรัก ความเอื้ออาทร อยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข มีความอดทนต่อปัญหา อดทนต่อกันและกันให้มากที่สุด
ผมได้แต่ปลอบผู้หญิงม้งคนนั้น ไปด้วยความเห็นใจว่า เราอย่าไปโกรธไปเกลียดเขาตอบเลย เขาอาจพูดหรือแสดงท่าทาง ด้วยความเข้าใจผิด ด้วยการไม่รู้ว่าสภาพชีวิตเราปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร เราต้องมาดูถึงเหตุถึงผล เราตัวเหม็นจริงหรือเขาจึงว่าเช่นนั้น ถ้าฉะนั้นเราก็แก้ด้วยการอาบน้ำ แต่งกายให้สะอาด แต่ถ้าตัวเราไม่เหม็นจริง แต่เขารู้สึกรังเกียจเราด้วยอคติเดิมๆ เราก็ต้องก็ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่เขา ให้เขาได้รับทราบและเข้าใจว่าเราพัฒนาความเป็นอยู่แล้ว ด้วยบางคนอาจยังติดภาพเก่าๆในอดีต เรายิ่งต้องแสดงออกทางด้านศิลปวัฒนธรรมชนเผ่า เผยแพร่เอกลักษณ์ความโดดเด่นดีงามออกไปให้เป็นที่รู้จัก และเป็นที่ยอมรับ การที่เรากลัวว่าเขาจะรู้ว่าเราเป็นม้งแล้วรังเกียจ เลยไม่แต่งกายชุดประจำเผ่าเลยนั้น เป็นสิ่งที่ทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนเผ่าเรา เท่ากับว่าเรายอมให้สังคมภายนอกเข้ามาทำลายสิ่งดีงามที่บรรพบุรุษเขาได้สั่งสมถ่ายทอดกันมา
ผู้หญิงม้งคนนั้น ทำท่าเหมือนเข้าใจ และกล่าวเสริมว่า “เขาว่าเราตัวเหม็น เราตัวเหม็นเพราะการทำงานในไร่ หมู่บ้านเราอยู่ไกลน้ำ ชาวเมืองเขาก็เหม็นเหมือนกัน ไปนั่งใกล้ๆ แล้วก็เหม็นขี้ห่าเหล้า เหม็นบุหรี่ เหม็นซะป๊ะ เขาว่าเราเหม็น เขาก็เหม็นเหมือนกัน....”
ครับสุดท้าย เลยไม่รู้ว่า ใครเหม็นใคร !?! แต่อย่างน้อยหัวใจที่บริสุทธิ์ ปราศจากอคติด้านชนเผ่า น่าจะสร้างความสมานฉันท์ และสังคมที่สันติสุขได้อย่างยั่งยืนเชื่อเช่นนั้น หรือเปล่าครับ...
ในซอกมุมหนึ่งชองชีวิต ..หน้าที่การทำงานบวกกับใจอาสาทำให้ได้เข้าไปใกล้ชิดคลุกคลีกับกลุ่มชนบนพื้นที่สูง
เราไม่คิดว่าเขามีความเป็นมนุษย์ต่างไปจากเราหรือคนที่อยู่ในเมือง เขาก็มีความคิด มีสมอง มีปัญญาเท่ากับมนุษย์คนอื่น และเขาก็ใช้สิ่งเหล่านั้นบนพื้นที่ของเขา
ใครที่เรียนรู้และเปิดกว้าง จะรู้สึกว่าสังคมของพี่น้องชนเผ่านั้นน่าสนใจและมีคุณค่าเหลือเกิน ควรที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเขา รู้เขารู้เราเพื่อการอยู่ร่วมกันในโลกใบนี้ ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน
ความแตกต่างทางสังคม หรือทางชาติพันธุ์ ระหว่างชนเผ่ากับชาวเมืองไม่น่าจะเป็นข้อแบ่งแยกชนชั้น เพราะคนที่อยู่ในเมืองก็คือชนเผ่าเช่นกันแต่เพราะถูกกลืนกินจากชนเผ่าที่เข้มแข็งกว่ามาก่อน แม้แต่ปัจจุบันนี้ก็ยังถูกกลืนกิน แต่กลับภาคภูมิใจ...