เมื่อ 3 ตค.45 ประเทศไทยได้เริ่มให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในระบบราชการอย่างขนานใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่การปรับปรุงโครงสร้างและระบบบริหารงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับเปลียนพฤติกรรม ทัศนคติ และกระบวนทัศน์ของข้าราชการให้เข้ากับพลวัตการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัฒน์ ทั้งนี้ เนื่องมาจาก กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะระบบเศรษบกิจเสรีที่มีการแข่งขันระหว่างประเทศ บริบทของสังคมก้าวไปสู่สังคมแห่งความรู้ ในสังคมโลกที่กำลังเปลี่ยนมาใช้ความก้าวหน้าของฐานความรู้ และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ เป็นปัจจัยชี้นำให้เกิดการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้สามารถก้าวตามโลกได้อย่างรู้เท่าทัน ในขณะที่โครงสร้างการผลิตทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมยังเน้นการผลิตโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานเป็นหลัก อีกทั้งความสามารถในการบริหารจัดการยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับพื้นฐานการศึกษาของคนไทยและการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังอ่อนแอ ทำให้ต้องพึงพาต่างประเทศสูง เมื่อปี 2540 ประเทศไทยไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก จึงประสบกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจมาแล้ว
สำหรับระบบราชการ กระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้งานของภาครัฐมากขึ้นและยากขึ้น ในขณะที่รัฐจะต้องเล็กลง ใช้คนให้น้อยลงเพื่อความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจและกระแสประชาธิปไตยเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ภาคประชาชนจัดบริการแทนภาครัฐมากขึ้น สภาพของระบบราชการที่ผ่านมาเป็นการขยายอำนาจ ขยายการบริโภคทรัพยากรแต่ขาดประสิทธิภาพ มีความล่าช้า เฉื่อยชา ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและทำลายศักยภาพของคนที่อยู่ในระบบ ทำให้ระบบราชการกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศให้ทันกับการแข่งขันของนานาอารยประเทศ จึงได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ซึงได้แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2535 บัญญัติว่า "ในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คำนึงถึงความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของประชาชน การเปิดเผยข้อมูล การติดตามตรวจสอบ และการประเมินผลการปฏิบัติงาน ทั้งนี้เป้าหมายสูงสุดก็เพื่อประโยชน์สูขของประชาชน และได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (พ.ศ.2546-2550) อันประกอบด้วย 7 ยุทธศาสตร์ คือ
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การปรับเปลี่ยนกระบวนการและวิธีการทำงานยุทธศาสตร์ที่ 2 การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินยุทธศาสตร์ที่ 3 การรื้อปรับระบบการเงินและงบประมาณ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างระบบบริหารงานบุคคลและค่าตอบแทนใหม่ยุทธศาสตร์ที่ 5 การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และค่านิยม ยุทธศาสตร์ที่ 6 การเสริมสร้างระบบราชการให้ทันสมัย ยุทธศาสตร์ที่ 7 การเปิดระบบราชการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
การพัฒนาระบบราชการได้นำเอากระบวนการบริหารเชิงยุทธศาสตร์เข้ามาใช้ในวงราชการของไทยอย่างจริงจังเพื่อเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเสริมสร้างขีดสมรรถนะระบบราชการของไทยให้เข้มแข็ง แต่ในทางปฏิบัติยังคงประสบปัญหาเกี่ยวกับวิธีการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุผล
อยากเห็นคนกรมป่าไม้ที่เข้าใจ รู้และนำเอาความรู้นี้ไปปฏิบัติในทุกระดับ น่าเป็นห่วงหากองค์กรที่มีอายุกว่าร้อยปีที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง วอนผู้บริหารและกลุ่มพัฒนาระบบพิจารณา
-ตรวจทานด้วยว่าคนกรมเราเข้าใจ มีความรู้เรื่องการบริหารภาครัฐแนวใหม่หรือไม่ ระดับใด จะปรับเปลี่ยนอย่างไรดี การพัฒนาจำเป็นต้องเริ่มจากคนภายในองค์กรก่อน เราเริ่มหรือยัง
-ที่ผ่านมากรมป่าไม้พัฒนาบุคคลากรปีละกว่า 100 ครั้ง มากกว่าปีละ 500 คน หลากหลายองค์ความรู้ได้รับการถ่ายทอดสู่บุคคลากรกรมจึงทำให้องค์กรขับเคลื่อนสู่ผลสัมฤทธิ์ตามเป้าประสงค์ได้ แต่ที่ผ่านมาหยุุดการพัฒนาชนิดเหวี่ยงกลับอย่างรุนแรงใครช่างใจร้ายกับกรมป่าไม้เหลือเกิน จะหวังให้เรียนรู้เอง หรืออย่างไร แล้วเมื่อไหร่เราจึงจะเห็นฝั่ง