หลายครั้งที่ได้พบเห็นเจอะเจออะไรมาในชีวิตประจำวัน ตอนนั้นก็เกิดความคิดว่าอยากจะเขียน แต่พอกลับถึงห้อง ก็ลืมอารมณ์อยากเขียนก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น ทำให้ต้องหาใส่สมุดบันทึกเล่มเล็กๆไว้ติดตัว พอคิดอยากจะเขียน ก็รีบหยิบออกมาจดๆไว้ พอมีเวลาก็จะได้หยิบมาอ่านทบทวน...ว่าวันนี้เรามีอารมณ์อะไรบ้าง
.แต่บางครั้งก็มีเหมือนกันที่.. มันวุ่นๆจดโน้ตอะไรไม่ทัน บางทีมือมันไม่ว่างบ้าง.. หรือไม่ก็จดไม่ทันความคิดบ้าง
ทำให้เกิดไอเดียว่า.. สงสัยต้องหาเทปบันทึกเสียงซะแล้วมั้งเนี่ย คือ คิดอะไรได้ ก็ให้พูดออกไปบันทึกไว้ เพราะปากพูดบันทึกคงเร็วกว่ามือเขียนอย่างแน่นอน (เนาะ)
พูดถึงสมุดบันทึก.. ตนเองก็จะมีสมุดบันทึกเล่มเล็กๆติดตัวไว้ 2- 3 เล่ม ใส่ไว้ในกระเป๋าโน้นกระเป๋านี้ เผื่อว่าเห็นอะไร..ติดใจอะไร จะได้คว้าขึ้นมาจดบันทึก บางครั้งอยู่ในลิฟต์นึกประโยคเด็ดอะไรขึ้นมาก็รีบดึงสมุดขึ้นมาเขียน
จนเพื่อนที่มาด้วยกันมองหน้าอย่างงงๆ ถามว่า "จดอะไรน่ะ ? "
เราก็ได้แต่ยิ้มไม่รู้จะตอบว่ายังไง ได้แต่บอกว่า
" คิดอะไรออก แล้วจดไว้กันลืมน่ะ"
นิสัยที่ต้องมีสมุดพกเล่มเล็กๆ 1 เล่ม กับถ้าหากกระเป๋าสะพายมีที่ว่างพอ ก็จะพกกล้องดิจิตอลติดตัวไว้ด้วย เผื่อเห็นภาพอะไรน่าสนใจก็จะรีบกดแชะ ถ่ายไว้ทันที ถูกสร้างให้ติดตัวไว้มา 2-3 ปีแล้ว หลังจากที่เราอยากจะพัฒนาตนเองในการเขียนหนังสือ (นิยาย) แล้วก็ได้ค้นพบคุณประโยชน์ของคาถานักปราชญ์ " สุ จิ ปุ ลิ "
การจะเป็นนักเขียนนั้น.. ต้องยึดหลักปฏิบัติตนโดยใช้ " สุ จิ ปุ ลิ " กล่าวคือ
สุ มาจาก สุตะ คือ ฟัง รวมถึงการอ่าน สำหรับตัวเรายังหมายรวมไปถึงการดู หรือการสังเกตด้วย หากเรารักที่จะเขียน ไม่ว่าจะเป็นบทความ หรือนิยายก็ตาม ต้องฟังให้มาก อ่านให้มาก เพื่อสะสมคำ สะสมรูปประโยค วิธีการใช้คำ สำนวนเก็บไว้ในคลังสมองของเรา อีกทั้งยังต้องสังเกตทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นกิริยา สีหน้าของคนในอารมณ์ต่างๆ ต้นไม้ ท้องฟ้า บรรยากาศต่างๆ
มองแล้วถามตนเอง บอกให้ได้ว่าเรามองเห็นอะไร เห็นเป็นอย่างไร เห็นแล้วรู้สึกยังไง เมื่อรู้สึกแล้วจะมีปฏิกิริยาต่อไปเช่นไร คนอื่นทั่วไปอาจจะรู้สึกว่ามันธรรมดาสามัญ ...แต่ความจริงแล้วมันสำคัญ เพราะเมื่อเราจำเป็นต้องเขียนถึงสิ่งๆนั้น เราจะสามารถบรรยายออกมาให้คนอ่านเห็นภาพที่สมจริงได้
ตัวอย่างเช่น..คุณเคยเห็นใบไม้ที่กำลังร่วงลงมาไหม ...?
ใบไม้ซึ่งถูกสายลมปลิดจนหลุดจากขั้ว ร่วงตกลงมาจากต้น.. ร่อนล้อลมไปมาก่อนที่จะตกลงสู่พื้น นักเขียนที่เคยมองมันอย่างสังเกต คิดและจดจำภาพนั้นไว้ในจินตนาการได้
เมื่อต้องเขียนถึง ก็จะสามารถบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้อย่างสวยงามและเห็นภาพ
คุณเคยเห็นคนวิ่งไหม... ?
เวลาเขาวิ่ง เขามีสีหน้าอย่างไร คุณคิดว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาหายใจอย่างไร ก้าวขาอย่างไร พอถึงเส้นชัย เขาทำท่าแสดงสีหน้าอย่างไร ลองหลับตานึกภาพ..นึกออกไหม
เมื่อเรานึกไม่ออก..เราก็ย่อมเขียนบรรยายถึงคนกำลังวิ่งไม่ได้ แต่ถ้าเราเคยมอง "คนวิ่ง" อย่างพิจารณา มองแล้วสังเกต คิดตาม.. ภาพนั้นก็จะถูกบันทึกอยู่ในใจอยู่ในสมองของคุณ
เมื่อคุณต้องเขียนถึงคนกำลังวิ่ง คุณยิ่งเก็บภาพมาได้ละเอียดแค่ไหน เก็บลึกเข้าไปถึงความรู้สึกของ "คนที่กำลังวิ่ง" แค่ไหน คุณก็จะสามารถเขียนบรรยาย ให้คนอ่านมองเห็น "คนวิ่ง" ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉันใดก็ฉันนั้น !
และการใช้จิตคิดตรงนี้เอง ก็คือคาถาคำต่อไปของคำว่า "จิ"
จิ มาจาก
จินตะ คือ คิด พินิจพิจารณา วิจารณญาณ
เมื่อเราอ่านหรือมอง สังเกตทุกสิ่งรอบกายเราอย่างพิจารณา
เราจะจดจำมันได้
และบันทึกภาพทุกอย่างที่เราเคยเห็นไว้ในจินตนาการของเรา
ปุ มาจาก ปุจฉา คือ ถาม เพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้ง เมื่อเกิดความสงสัยไม่เข้าใจ "ปุ" ไม่จำเป็นต้องถามเอาจากผู้รู้ แต่อาจจะหมายถึง การค้นคว้า ถามหาจากตำรา search หาเอาจากท่านกูเกิ้ล (google.com) ในการเขียน หากเราต้องการเขียนอะไรให้คนอ่านเขาเข้าใจ ..และเห็นภาพ คนเขียนจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ตนเองเขียนอย่างชัดแจ้งก่อน ดังนั้นหากยังมีอะไรที่คลุมเครือ..ในสิ่งที่จะต้องเขียน เราจะพบว่าเราจะเขียนเรื่องๆนั้นไม่ออก หรือไม่ลื่น
จากนั้น..การบันทึก ก็จะเป็นกิจกรรมในลำดับต่อมา
ซึ่งก็คือ "ลิ" ซึ่งมาจาก ลิขิต ก็คือ เขียน หรือสามารถสรุปความรู้ได้
ดังนั้น.. การจดบันทึกสิ่งต่างๆไว้ในสมุดโน๊ตเล็กๆ เป็นโครงร่าง เป็นพล็อตของความคิด เป็นไอเดียสั้นๆ เอาไว้จุดประกายกันลืม คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง... จากนั้นให้หาเวลามาเขียนขยายความ..เพื่อบันทึกไว้ในสมุดบันทึกเล่มโต ในบล็อก..คือกิจกรรมที่จำเป็น ของผู้รักการเรียนรู้อย่างแท้จริง
ไม่จำเป็นที่เราจะต้องใช้ " สุ จิ ปุ ลิ " เพื่อเป็นนักเขียน แต่เราสามารถนำ " สุ จิ ปุ ลิ " มาใช้ในการเป็นนักอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา นักวิจัย นักทำงาน นักบริหาร ล้วนสามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมดทั้งสิ้น