เห็นมาหลายที่หลายอย่าง ที่คนอื่นฝันแทนชุมชนอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทุ่มใจจากภายนอกไม่ใช่ใจชุมชน ทุ่มทุนจากภายนอกไม่ใช่ทุนชุมชน คนนอกดันเคลื่อนไปแต่ช้าและฝืดหยุดดันหยุดเคลื่อนหยุดเดิน คนดันเริ่มเหนื่อยล้าและทิ้ง
เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นหลายที่ เกิดเพราะเป็นความฝันที่เป็นคนอื่นไม่ใช่ชุมชนความเร่งรีบจะให้เกิดจนไปกระทบกับวิถีชีวิตปกติของชุมชน ถึงจุดหนึ่งชุมชนก็มองว่าคนนอกไม่จริงจัง คนนอกที่เข้าไปก็มองว่าชุมชนขับเคลื่อนยากและละทิ้งไปในที่สุด
ผมเริ่มต้นอ่านดูแล้วค่อนข้างสับสน แต่มันเกิดจากความรู้สึกที่วันนี้ ขับรถผ่านมาในพื้นที่ที่เคยรับผิดชอบ ทำงานกับชุมชน สิ่งที่จะนำมาเล่าก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยเป็นธรรมชาติของชุมชนโดยไม่มีใครไปขับเคลื่อน สิ่งนั้นจะยั่งยืนและมีแต่จะเติบโต ยากจะอธิบายให้เข้าใจว่า ชุมชนมีหลายใจ มีหลายอายุ มีหลายความคิด มีหลากหลายความต้องการ นอกจากชุมชนเองแล้วไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขา
ตลาดนัด "ผู้ใหญ่เสม" เกิดขึ้นแค่จุดเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ที่ประชุมศาลาหมู่บ้านเมื่อ 3 -4 ปี ที่ผ่านมาตอนผมออกพื้นที่ในช่วงนั้น เปลียนแปลงเอาแค่ 2- 3 เดือนเท่านั้น อยู่มา ๆ ก็เกิดร้านขึ้นมากมาย ผมเองยังงง ๆ อยู่ในช่วงนั้นว่าเกิดขึ้นมาอย่างไร ใครเป็นคนทำให้เกิด
จึงนั่งคุยกับผู้นำชุมชนถามไปเรื่อย ๆ ก็ได้ความว่า มีป้าคนหนึ่งแกนึกสนุก ๆ ขึ้นมาเอากล้วยมาทอดขายเล่น ๆ วันแรกขายหมด วันที่สองแกก็มาขายอีก ขายหมดขายดีแกก็ขายมาเรื่อย ๆ คนอื่นเห็นก็ลองบ้าง เอาไก่ทอด เอาถั่วต้ม เอาปลา เอาเนื้อหมู เอาผักมาขายก็ขายได้ ก็กลายเป็นธรรมชาติวิถีชีวิต ผู้ซื้อเองที่ต้องการก็บอกว่าเออดีเหมือนกันไม่ต้องไปซื้อไกล ได้วันเวลาก็ออกมาชื้อ คนขายก็รู้ว่าคนจะมาซื้อก็รีบเอามาหามาขาย กลายเป็นตลาดนัดชุมชนไปในตัวในที่สุด
ที่ว่านี้เกิดขึ้นที่บ้านไสใหญ่ หมู่ที่ 12 ต.ช้างซ้าย อำเภอพระพรหม นครศรีธรรมราช (อดีตคือหมู่ที่ 4แยกออกมาครับ) ผู้ใหญ่เสมที่กล่าวถึงคือ นายเกษม ชูสินธ์ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ปัจจุบันท่านลาออกแล้ว แต่ชาวบ้านก็ยังเรียกว่าผู้ใหญ่เสมติดปากเหมือนเดิม ตลาดนัดเกิดขึ้นที่หน้าบ้านของท่านครับ โดยไม่มีใครผลักดัน แต่ท่านในฐานะเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่ขัดขวาง ทั้งคอยหนุน โดยให้ใช้พื้นที่หน้าบ้าน ให้สร้างโรง หลังคาได้ ปัจจุบันตลาดนัดแห่งนี้ติดลมบนแล้ว
ผมกับผู้ใหญ่เสมทำงานร่วมกันมาในหลายกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องชุมชน และเป็นผู้นำคนหนึ่งที่เข้าใจในเรื่องกระบวนการชุมชน เวลาคุยกับท่านหรือทีมงาน จะสนุกสนานมีรสชาด ได้สาระ
ผมถึงเกริ่นไว้แต่ต้นว่า ถ้าเป็นคนนอกฝันแทนฝันเป็นจริงได้ยาก อยู่คลุกคลีกับชุมชนหลายปีก็เข้าใจชุมชนได้ไม่หมดครับ ในหลายเรื่อง เรายิ่งดันจะมีแรงต้าน ถ้าเราดึงให้ถอยจะไปข้างหน้า เพื่อนผมเคยเปรียบว่า "เหมือนดึงหางแมวเราดึงมันไปข้างหน้า เราผลักมันถอยหลัง"
กระบวนการเรียนรู้ชุมชนแบบมีส่วนร่วม การพัฒนาต้องใช้ความใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไปเหมือนปลูกต้นไม้ มันต้องเป็นธรรมชาติของมันมันจึงจะโตได้อย่างมั่นคงแข็งแรง สู่แดดสู่ลมได้โดยไม่หวั่น แต่หากเราปลูกต้นไม้กิ่งตอนเพราะเราใจร้อนอยากกินลูก ลมพัดมาแรง ๆ มันจะล้มครืนเพราะไม่มีรากแก้วที่มั่นคง
เรียน อ.ขจิต
เรียน โอ๋-อโณ
เรียน คุณสิงห์ป่าสัก
นี่แหละที่น่าจะเรียกว่า KM ธรรมชาติ ที่ควรควรเสริมช่วยเขาในการพัฒนา
แต่น่าเสียดายว่าหลายหน่วยงานไปเด็ดยอดมาขยี้เล่น ไม่เข้าไปเรียนรู้ หรือบางทีก็ยังเยีบย่ำ ทับถมความรู้พื้นบ้านเสียอีก
ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่เขาจะเริ่มเรียนรู้ว่า "ถ้าชาวบ้านไม่ดีจริง เก่งจริง เขาอยู่มาไม่ได้ขนาดนี้หรอก
ไม่ช่วย แล้วยังไปทำลาย เขายังไม่ตายเลยครับ
ถ้าเขาตายขึ้นมา มีใครสักคนไหมที่กล้ารับผิดชอบการกระทำของตนเอง
มีแต่จะปัดความรับผิดชอบอย่างเดียวนั่นแหละ
(ขอโทษยังไม่จบ)
ผมคิดว่าเราน่าจะช่วยกันกระพือเรื่องนี้ ให้นักวิชาการปากคาบคัมภีร์ทั้งหลายได้รู้ และตระหนักในเรื่องนี้ครับ
ขอบคุณมากครับ
เรียน ท่าน อ.ดร.แสวง