ทำงานเพื่อชีวิต หรือ มีชีวิตอยู่เพื่องาน ?


 


วันนี้เข้าไปอ่านและแสดงความคิดเห็นไว้ที่บันทึกหนึ่ง ( นักโภชนาการกลุ้มใจ..ทำไมครูดีเด่นเป็นเช่นนี้) แล้วคงต้องขออนุญาตมาเก็บไว้ในบันทึกของตนเองสักหน่อย เผื่อสมาชิกท่านใดจะเข้ามา ลปรร เพื่อต่อยอด 

         

???????-????? 4 - wallcoo.com_valetine_03.jpg ???????-????? 2 - wallcoo.com_valetine_01.jpg ???????-????? 3 - wallcoo.com_valetine_02.jpg

                

แก่นหลักของบันทึกดังกล่าว นับว่าเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของ k-jira มานานแล้ว นับตั้งแต่ได้สติรู้สึกตัวขึ้นมา

และสิ่งนี้เองล่ะค่ะ  ที่ทำให้ทุกวันนี้รู้สึกสับสน

ว่าการที่เราทุ่มเท ทำงานทุกวันนี้เพื่ออะไรกันแน่ ?

ทำงานเพื่อชีวิต หรือว่า มีชีวิตอยู่เพื่องาน จนลืมตัวตนและคนที่เรารัก

???????-????? 8 - wallcoo.com_valetine_07.jpg

???????-????? 24 - wallcoo.com_valetine_23.jpg

???????-????? 5 - wallcoo.com_valetine_04.jpg

หน่วยงาน ยกย่องคนทุ่มเท เชิดชูเป็นบุคลากรตัวอย่าง  แต่จะตำหนิคนที่ เห็นแก่ครอบครัวเป็นหลัก ว่าเห็นแก่ตัว

เป็นคนดีขององค์กร แต่บางทีก็ต้องแลกด้วย การเป็นลูกที่ไม่สนใจพ่อแม่ (เพราะไม่ค่อยได้กลับบ้าน)  เป็นพ่อแม่ที่ทอดทิ้งลูก (เพราะมัวแต่ทำงาน) 

บางคนคิดว่า ทำงานเพื่อเงิน เพื่อชื่อเสียง เพื่อเกียรติยศ ..ทั้งนี้ก็เพื่อการมีชีวิตที่ดีขึ้น  เชิดหน้าชูตามาเชิดชูวงศ์ตระกูล มีเงินทองมาให้ครอบครัว เป็นทุนของลูกๆในอนาคต

แต่กว่าจะถึงวันนั้น บางทีเราก็ลืมไปว่า เราได้สูญเสียอะไรไปแล้วมากมายเบื้องหลัง  ความรักความผูกพันที่จางหายไปกับวันเวลา ..เมื่อหันหลังไปมองหา.. บางทีก็สายเกินแก้  สูญหายไปเกินกว่าจะไขว่คว้ากลับคืนมา

  

 เคยมีคนไข้เบาหวานคนหนึ่ง นอนร้องไห้ ..เขาไม่ได้เสียใจที่ตนเองถูกตัดขาพิการ แต่เขาเสียดายกับวันเวลาที่ผ่านมา ที่เขาพยายามทำงานตัวเป็นเกลียว ไม่เคยนึกหาความสุขใส่ตัว หรือให้กับคนรอบข้าง พยายามแต่ หาเงินมากมาย จนในที่สุด ได้สร้างบ้านหลังใหญ่ราคาหลายล้าน สุดท้ายเพิ่งถอยรถเบนซ์คันหรูป้ายออกมา แต่ไม่ถึงเดือน ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล โดนตัดขาเพราะแผลเบาหวาน

เขาเสียใจที่มีรถดีๆ แต่ไม่มีโอกาสได้ขับ  มีเงินก็ไม่มีโอกาสได้เที่ยว มีลูกหลายคนแต่เพราะมัวทำแต่งาน ไม่ค่อยได้มีความผูกพัน พอล้มป่วย ลูกๆก็เอาเงินของแก ไปจ้างพี่เลี้ยง ให้มาอยู่เฝ้า เนื่องจากลูกๆก็ถูกปลูกฝังค่านิยมการทำงาน มีความคิดว่าเวลาคืองาน งานคือเงิน  มิสู้เอาเงินมาจ้างคนมาดูแลพ่อแม่ดีกว่า ที่จะเอาเวลามาทำตรงนี้เอง

เศร้าใจค่ะ T_T

???????-????? 7 - wallcoo.com_valetine_06.jpg

???????-????? 10 - wallcoo.com_valetine_09.jpg

???????-????? 28 - wallcoo.com_valetine_27.jpg

   

???????-????? 13 - wallcoo.com_valetine_12.jpg ???????-????? 20 - wallcoo.com_valetine_19.jpg ???????-????? 15 - wallcoo.com_valetine_14.jpg

 ทุกวันนี้.. จึงพยายามที่จะอยู่ทางสายกลาง ทำงานให้ดีที่สุด แต่ก็ไม่ถึงกับทุ่มเทจนหมดตัวไปทั้งชีวิต หากแต่แบ่งเวลาส่วนหนึ่ง สำหรับตัวเอง สำหรับความฝัน และสิ่งที่ตนเองอยากจะทำค่ะ

เพื่อว่าสักวันหนึ่ง ที่เกิดอะไรขึ้นอย่างกระทันหัน ต้องจากโลกนี้ไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จะได้ไม่รู้สึกเสียใจค่ะ

.................................

 

ของแถมท้ายบันทึกค่ะ

เห็นรูปสวยๆหวานๆ ที่เอามาแต่งบล็อกไหมคะ รูปเหล่านี้เป็นของฝากสำหรับสาวหวานๆชาว G2K นะคะ  โดย

    1. ชอบรูปไหน ให้คลิกที่รูปนั้นเพื่อเปิดหน้าใหม่
    2. รอให้รูปใหญ่โหลดจนเต็มรูป
    3. จากนั้นคลิกขวาที่รูปใหญ่ เลือกคำสั่ง save picture as..
    4. เปลี่ยนชื่อรูปเป็นอะไรก็ได้ เพื่อ save เก็บไว้ใช้ในเครื่อง
    5. ถ้าต้องการเอาขึ้นทำเป็น desktop ก็เลือกที่  Set as Background

 

หมายเลขบันทึก: 74954เขียนเมื่อ 28 มกราคม 2007 15:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 09:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)
เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ ถึงจุดมุ่งหมายเราจะสูงส่งแค่ไหน แต่ต้องคำนึงเสมอว่าเราไม่ใช่เราโดดๆ เรามีคนเคียงข้างที่ต้องดูแล 
หลายคนเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง แต่พอมองครอบครัว ไม่มีความสุขเลย ผมว่าเขาล้มเหลวครับ

เป็นความคิดเห็นที่น่าชื่นชมมากครับ คนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ประสบความล้มเหลวในครอบครัว มีเยอะครับ ผมว่ามีความคิดเห็นดีๆ แบบนี้น่าเผยแพร่ครับ มันเป็นอะไรที่ทำให้คนเรามีสำนึกที่ดีขึ้นต่อการทำงานและต่อครอบครัวครับ....ขอเป็นกำลังใจให้นำเสนอข้อคิดเห็นดีๆ...เหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ....ครับ

  • น่าสนใจมากครับ บทความนี้
  • กำลังคิดเหมือนกัน ว่าทางสายกลางที่พอดีนั้น มันเอาอะไรมาชี้วัด
  • ขอบคุณครับ

 


  • ใช่เลยค่ะ คุณหมอ มาโนช  คนอยู่ในยุทธภพย่อมไม่เป็นตัวของตัวเอง  อุ๊ย ไม่ใช่.. เผลอหนังจีนไปหน่อย  เอ่อ.. คนทุกคนอยู่ในสังคม ย่อมไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยว และเพราะมนุษย์ไม่ได้อยู่ในสังคมเดียว แต่ยังมี sub-set อีก  การทำตัวให้อยู่ตรงกลาง โดยไม่ให้รู้สึกขัดแย้ง บางทีก็วางตัวลำบากเหมือนกัน

 

คุณ  นริศ ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ  เพราะมีกำลังใจจากผู้อ่าน   และความคิดเห็นที่เข้ามาช่วยจุดประกาย จึงทำให้มีไอเดีย ออกมาเขียนได้เรื่อยๆ ทั้งหมด คงต้องยกความดีความชอบให้กับทุกท่านด้วยเหมือนกันค่ะ  ^__^

 

  • น้อง บีเวอร์  คะ  พี่คิดว่า ทางสายกลางจริงๆระหว่างสองฝั่ง มันไม่มีหรอกค่ะ  ยิ่งถามตัวชี้วัด ยิ่งไม่สามารถบอกออกมาได้แน่ๆ  คำว่าทางสายกลาง จึงต้องระบุลงไปว่า สำหรับของใคร  อย่างเช่นของพี่.. ทางสายกลางสำหรับพี่คือ การกระทำใดใดก็ตาม ที่พี่สูญเสีย หรือเดือดร้อนน้อยที่สุด และส่วนรวมหรือองค์กรเสียผลประโยชน์น้อยที่สุดเช่นกัน

อย่างเช่น ถ้ามีงานให้พี่ทำส่ง แต่วันนั้นพี่จำเป็นต้องกลับบ้าน  พี่ก็จะดูว่า งานนั้นมีความสำคัญแค่ไหน ต้องส่งวันนั้นเลยไหม หรือว่าส่งวันอื่นก็ได้ และสำหรับตัวพี่ การที่จะต้องกลับบ้าน มีธุระจำเป็นมากไหม เลื่อนไปวันอื่นได้ไหม  ชั่งน้ำหนักกัน ว่าอย่างไหนสำคัญที่สุด  แต่ถ้าหาก งานนั้นก็สำคัญ และพี่ก็จำเป็นต้องกลับบ้าน เช่นเป็นงานทำบุญวันเกิดคุณพ่อ มันเลื่อนจัดวันอื่นไม่ได้ พี่ก็จะเลือกคุณพ่อค่ะ เพราะว่า หนึ่งปี มันมีวันเดียว ส่วนงานถ้าเลื่อนไม่ได้ ก็ยกให้คนอื่นไปทำสิ เพราะว่าทั้งหน่วยงานไม่ได้มีเราคนเดียว

 

  • งานทุกอย่างมันต้องมีคนทำแทนกันได้ เพราะว่าไม่งั้น เราก็จะตายไม่ได้น่ะสิ  (อิอิ)  และถ้าเกี่ยวกับการพิจารณาความดีความชอบ ก็ตัดใจไม่เอามันซะ เพราะสำหรับพี่ เลือกที่จะทำอย่างมีความสุข มากกว่าที่จะเลือกทำงานเพื่อความก้าวหน้า

 

เพราะถือคติว่า ถ้าทำงานด้วยใจรัก ทุ่มเทควบคู่ไปกับการทำด้วยความสุข  ความก้าวหน้าก็ย่อมมาเอง (ถ้าไม่มาก็แล้วไป) แต่ถ้าคนเรา ทำอะไรมุ่งแต่ผลงาน มุ่งแต่ความก้าวหน้า บางทีเราอาจจะลืมตัว และลืมมองอะไรรอบๆตัว จนเผลอทำอะไรที่มีค่าในชีวิตสูญหายไประหว่างทางได้

 

สุกท้ายนี้ ขอขอบคุณสำหรับทุกความเห็นค่ะ

^____^

สวีสดีครับ....

           เข้ามาเยี่ยมครับ...ใหนๆมาแล้วก็ขอ  ลปรร สักหน่อยนะครับ

           ช่วงเวลา...แต่ละวันมันช่างสั้นนัก... แม้คนเราจะทำอะไรต่อมิอะไร ทั้งเลว ร้าย ชั่วดี สักแค่ใหน แต่คิดว่าเมื่อวาระสุดท้ายมาถึงก็ต้องเสียดายสิ่งที่ทำไปอยู่ดี คนที่ทำเรื่องร้ายๆ ก็เสียดายที่ไม่ได้ทำเรื่องดี ๆ ส่วนคนที่ ทำเรื่องดีๆ ก็เสียดายที่ไม่ได้อยู่ชื่นชมความดีนั้นตลอด  เพียงแต่ว่า ทั้งสองสิ่งเราตั้งใจทำหรือไม่ก็เท่านั้น... แม้แต่การทำงานเหมือนที่ท่านบอก... เหมือนกับว่าได้อย่างเสียอย่าง  ก็ไม่มีใครคนใหนที่มีเพียบพร้อมไปทุกอย่างจริงมั้ยครับ... สิ่งสำคัญ...คือทำวันน้ีให้ดีที่สุด...ทั้งที่ทำให้ตนเอง และให้กับคนใกล้ชิด... ส่วนที่เหลือก็ให้กับชุมชนสังคมบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวยนะครับ...

จะติดตามบันทึกต่อไปนะครับ...

                    ครูราญเมืองคอน คนนอกระบบ

 

        อืม บทความนี้โดนใจมากๆเลยค่ะ ตัวดิฉันเองเคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน บ้างานมากๆ จนละเลยความใส่ใจคนในครอบครัวไป
  • สวยงามบนความคลาสสิคค่ะ
  • ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ทุ่มเทชีวิต จิตใจให้กับงานค่ะ
  • งานส่วนตัว ทุ่มเทไปเท่าใด ก็ได้กลับมาเท่านั้น เรากำหนดเอง
  • งานมือปืนรับจ้าง (รับบริหารให้เขา) ทุ่มเทไปเท่าใด ผลลัพท์ที่ได้ ก็ได้แก่นายจ้าง เค้าจะให้เราหรือไม่ อยู่ที่ปากกาของเค้า  บางครั้งเราคาดหวัง เราทุ่มเท แต่ผลสุดท้าย เค้าโกงเราเอาดื้อๆ ก็มีค่ะ
  • เห็นด้วยกับการเดินสายกลาง และการป้องกัน/ตั้งรับให้ดี สมัยนี้ผู้คนเอาน้ำตาลเคลือบลิ้นไว้เยอะค่ะ
  • ดิฉันเมื่ออยู่ในบทบาทของนายจ้าง จึงระมัดระวังที่จะไม่เอารัดเอาเปรียบลูกจ้าง ให้ความยุติธรรมกับเขา ดูแลเขาให้ดีที่สุด เพราะเค้าทำงานให้เรา ดูแลผลประโยชน์ให้เราค่ะ

สวัสดีค่ะ

save ภาพไปหลายรูปเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ

หัวข้อนี้จะว่าไป คุยกันได้อีกยาวเลยค่ะ เรื่องของการทำงานจนลืมเอาเวลาไปดูแลคนที่รัก บางครั้งพื้นฐานทางการเงินก็อาจจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องทำงานเพื่อจะหาเงิน ส่งเสียเลี้ยงดูให้บุตรได้เล่าเรียน อันนี้ไม่รวมที่ทำงานเกินไป หาเงินเกินไปจนเลี้ยงลูกด้วยเงิน (ไม่ใช่ความใกล้ชิด)

สมัยตอนเป็นเด็กช่วงประถม-มัธยมต้น จำได้ว่าต้องเป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ทำงานอย่างหนัก นั่งรถเมล์กลับมาบ้านต้องหาซื้ออาหารถุงจากตลาดเข้ามาทานกับน้องชายกันเอง (คุณพ่อให้เงินไว้) เป็นอย่างงี้อยู่หลายปี แต่ก็เข้าใจว่าท่านทำงานเพื่อให้มีเงินพอที่จะไม่ทำให้ลำบาก

พอเราโตขึ้น พอมีพอใช้ ท่านก็ไม่ได้มุงานหักโหมเหมือนตอนหนุ่มๆ เริ่มมีเวลาให้ลูกเห็นหน้าบ้าง 555 แต่ลึกๆ เหมือนเป็นเด็กขาดความอบอุ่นนิดๆ แต่ตอนนี้ได้ใกล้ชิดมากขึ้น ได้ทำงานเอง เริ่มเข้าใจว่าทำไมท่านถึงต้องทำงานหนัก

ในความคิด ถ้าคุณพ่อคุณแม่ต้องทำงานจนไม่มีเวลา อย่างน้อยๆ อธิบายให้ลูกๆ ฟัง ไม่ว่าจะเด็กแค่ไหน เค้ารับรู้และจำได้เสมอนะคะ เมื่อเวลาพัก ควรจะพัก อย่าเอามาปนกัน ซึ่งก็ยากนะคะ

เคยอ่านบทความเค้าบอกไว้ว่า

เราควรจะแบ่งเวลาออกเป็นสามส่วนเท่าๆ กัน และให้ความสำคัญเท่าๆ กัน เพราะความสมดุลย์กัน

1. เวลาให้กับครอบครัว
2. เวลาให้กับงาน
3. เวลาให้กับตัวเอง

ซึ่งบางครั้ง บางคนอาจจะกล่าวว่า เวลาที่ให้กับตนเองคือการอยู่กับครอบครัว ฉะนั้นเราก็อาจจะจัดสรรค์สัดส่วนใหม่ได้ ไม่มีกฎตายตัวหรอกค่ะ ขอแค่ความสมดุลย์

ฮืม...ว่ามั้ยคะ

^____^

 

ขอโทษที่เข้ามาตอบ comment ล่าช้านะคะ ^__^

 

สวัสดีค่ะ  ครูราญเมืองคอน

  • ขอบคุณที่แวะเข้ามาทักทายและ ลปรร กันนะคะ
  • เห็นด้วยค่ะว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การทำวันนี้ให้ดีที่สุด  เพื่อว่าหากไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป เราก็จะได้ไม่รู้สึกเสียดาย หรือเสียใจ ^_^

 

 

สวัสดีค่ะคุณ Bright Lily

  • ขอบคุณสำหรับ ลปรร ค่ะ ^__^
  • อ่านตอนแรกตกใจเลย  มือปืนรับจ้าง นึกว่าจ้างมือปืนไว้ พออ่านในวงเล็บถึงร้อง อ๋อ
  • อิอิ  ^____^

 

 

สวัสดีค่ะ น้อง IS

  • ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ สบายดีหรือ  ^__^
  • ที่เวบนั่น รูปเยอะมากๆ พี่เซฟไปเป็นพันรูปเลยค่ะ สวยๆทั้งนั้น 
  • เอามาทำวอลเปเปอร์ให้ desktop ก็ได้ดัดแปลงทำภาพพื้นหลังสวยๆให้ powerpoint ก็ได้  บางรูปย่อเล็ก หรือตัดบางส่วน มาตกแต่งเวบ หรือบันทึกก็สวยค่ะ  ใช้เล่นกับ photoshop สนุกมาก ^__^   
  •  เห็นด้วยค่ะว่า ตัวเราเองเป็นสมาชิกของสังคมหลายสังคมที่อยู่รอบด้าน  บางครั้งสังคมเหล่านั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แต่ต้องมา intersection กัน โดยตัวเรา  ดังนั้น เพื่อให้ตัวเราสามารถเป็นสมาชิกของแต่ละสังคมตลอดไป จึงต้องแบ่งเวลาให้ดีๆ
  • ^__^

 

  • ผมเองก็เคยตั้งคำถามนี้กับตัวเอง  ทำงานเพื่อชีวิต หรือว่า มีชีวิตอยู่เพื่องาน จนลืมตัวตนและคนที่เรารัก
  • รวมถึงการขบคิดว่าทางสายกลางของเราคืออะไร ทั้งทางสายกางในโลกการทำงานและโลกแห่งการใช้ชีวิต
  • บล็อกสวยใส  อีกทั้งเพลงก็ไพเราะมากครับ

 

สวัสดีค่ะคุณ แผ่นดิน

  • เพิ่งกลับมาจากไปอ่านบันทึกของคุณ ก็มาพบ comment ตรงนี้ ดีใจจัง ^__^
  • สำหรับตนเองคิดว่า.. ทางสายกลางคงไม่มีเครื่องมือวัดหาค่าความสมดุลย์  สมดุลย์อย่างไรคงอยู่ที่ใจเราตัดสินเอง ว่าตรงไหนที่สังคมยอมรับและเราพอใจ คิดว่าตรงนั้นล่ะคือทางสายกลาง
  • ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ
  • ในฐานะที่ทางมหาสารคามฮิตเรื่องหนังสือทำมือ จึงอยากให้คุณเขียนถึงวิธีทำหนังสือทำมือจังค่ะ  อย่างเช่น ขั้นตอนการรวมกลุ่ม วิธีการทำหนังสือ  และในฐานะที่ตนเองทำ(เล่น)อย่างโดดเดี่ยว ไว้ขอเป็นคนเข้าไปร่วมแจมดีกว่า ถือว่าเป็นการ ลปรร และเป็น best practice กัน  ดีไหมคะ ^__^
  • ว่าแต่  เอ.. คุณแผ่นดินจะแวะเข้ามาอ่าน ตอบ comment นี้รึเปล่านะนี่  ^____^'
.ใช่การทำงานเพื่อชีวิต หรือว่า มีชีวิตอยู่เพื่องาน จนลืมตัวตนและคนที่เรารัก เมื่อถึงเวลาเราจะย้อนนึกถึงเวลาที่ผ่านมาก

 

สวัสดีค่ะคุณ Nuttita&SASI

  • ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ
  • เสียดายจังที่คุณไม่ได้ล็อคอิน ไม่งั้นจะได้แวะไปเยี่ยมที่บันทึกของคุณมั่ง ^__^

ตั้งแต่เกิดมา  พ่อเคยมาส่งที่โรงเรียนไม่ถึง 5 ครั้ง  เราไม่เคยได้ไหว้พ่อกับแม่ก่อนไปโรงเรียนเลย  ทั้งๆ ที่พ่อกับแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่ทั้ง  2  คน  เราอยากอยู่กับพ่อแม่ใจจะขาด  แต่ด้วยความจำเป็นบางอย่างเราจึงไม่สามารถจะอยู่กับพ่อแม่ได้  ส่วนพ่อแม่เองก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อเติมเต็มให้กับเรา  เราก็เข้าใจพ่อกับแม่ดี  แต่ในใจลึกๆ ของเรานั้นก็ยังโหยหาความสุขเหล่านั้นอยู่  เราจึงพยายามทำทุกๆ อย่างเพื่อให้ได้พ่อกับแม่กลับมา  แต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง  แต่เราก็จะพยายามต่อไป  เพื่อครอบครัวของเรา  เราจะทำชีวิตให้ดีที่สุด  เพื่อไม่ให้ลูกต้องเป็นแบบเรา

อืมเรากำลังเข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่า เป็นเพราะทุนนิยมหรือว่าเราคิดไม่ได้เอง หรือว่ามันไม่มีทางจะเป็นแบบอื่นอีกต่อไป เราทำงานเพื่อใช้ชีวิตหรือเราใช้ชีวิตเพื่อทำงาน ดูคำคล้ายกันแต่ต่างกันอย่างมาก

มีงานก็มีชีวิตที่ดีได้ทำงานที่ดีที่เหมาะสมเราก็จะมีเวลาใช้ชีวิตเพื่อตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้นแล้วอาจส่งผลถึงสังคมเลยก็ได้

เวลาทั้งหมดหมดไปกับงาน จะกระดิกตัวไปไหนต้องไม่ทิ้งงานห่างจากงานได้ไม่มาก เพื่อจะได้มีเงินใช้จ่ายเสพสุขในแบบทุนสร้างมา พักหายใจยังไม่โล่งท้องก็ต้องกลับมางมมาจมกับงานอีก

บางทีอาจมีคำตอบที่ดีพอให้กับสิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้ คุณจะก้าวไปเป็นแบบไหนหรือเป็นอยู่ล่ะ พอใจไหมหรือว่าใครๆก็เป็นกัน ถามอีกครั้ง พอใจไหมกับชีวิตแบบนั้นน่ะ ....

ถูกต้องที่สุดครับ บทความที่อ่านเจอตรงนี้เป็นบทความที่มีความสำคัญและน่าสนใจอย่างมาก.....

เงินถูกต้องเป็นสิ่งที่ต้องหามาด้วยความขยันหมั่นเพียร และ ตั้งใจ มีความตั้งใจมากกับการทำงานกลัวถูกอย่าง กลัวนายด่าว่า,กลัวงานออกมาไม่ดี,กลัวนั้น กลัวนี่ บางทีนอนก็ไม่ค่อยหลับทำให้ร่างกายทรุดโทรม สุดท้ายเงินที่หามาได้ก็ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควรผมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่อยู่ในประเภทนี้ทำงานให้บริษัทมากกว่าเป็นห่วงพ่อกับแม่และครอบครัวตัวเอง แล้วปัญหาหลายๆอย่างก็ตามมาทำให้ยากที่จะแก้ไข และแล้วจนถึงวันนี้ผมถึงเข้าใจอย่างท่องแท้ว่าอะไรสำคัญที่สุด เงินควรมีพอประมาณแล้วควรหาความสุขให้ตัวเองพร้อมครอบครัวให้เวลาตัวเองและครอบครัวให้มากและความสุขก็จะมีมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นอยู่แบบปัจจุบัน วันนี้ขอสวัสดีทุกท่าน ณ ตรงนี้ครับ...,...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท