|
||
2 วันมานี้ (17-18 พ.ย.48) ได้แอบไป (สังเกตการณ์) เข้าร่วมงานมหกรรมการจัดการความรู้ ดังภาพ วันแรกไปได้แค่ช่วงเช้า ส่วนวันที่สองไปได้แค่ถึงพักเบรกแรก แต่แค่นี้ก็มีเรื่องมาให้เขียนบันทึกมากมาย |
|
|
วันที่สอง ผู้ร่วมงานคงจะมาสายกันไปหน่อย เริ่มแรกเลยมีการบรรเลงเพลงไทยโหมโรง โดยท่านอาวุโส (จริง) ทั้งวงมีอายุรวมกันเกือบพันปี ไม่เชื่อก็ลองดูจาก 2 ภาพ นี้
|
||
|
||
ต่อจากนั้นก็มีการเสวนากันในหัวข้อ "ทิศทางการจัดการความรู้ในชุมชน" โดยมีอาจารย์ประพนธ์ ผาสุขยืด เป็นผู้ดำเนินรายการ วิทยากรประกอบด้วยใครบ้างเชิญชมจากภาพกันครับ
|
||
ภาพจากซ้ายไปขวา
|
ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์เปิดประเด็นในทำนองปุจฉา วิสัชชนา ว่า (ผมแต่งเติมเอง)
ปุจฉา |
วิสัชนา |
||
ทำไมชุมชนต้องสกัดความรู้ | เพราะความรู้ทำให้พัฒนาชุมชนได้ดีขึ้น | ||
ทำไมต้องเอาความรู้ไปพัฒนาชุมชน |
เพราะโลกปัจจุบันเข้าสู่ยุคต้องใช้ความรู้เป็นฐาน หรือ ยุค Knowledge based Society ต้องรู้จักเอาความรู้และประสบการณ์ของชุมชนมาแลกเปลี่ยนกัน สกัดเป็นขุมความรู้ แล้วเอาความรู้เหล่านั้นกลับไปใช้ใหม่ เรียกว่าเป็น "วงจรความรู้" |
||
KM คือ อะไรหรือเป็นอย่างไร | KM ก็คือ การจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือให้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข | ||
ทำไม KM จึงทำให้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข | เพราะ KM เป็นศีลธรรม (หมอประเวศ วะสี) ทำให้เห็นคุณค่าของความเป็นคนมีความรู้ ทำให้เกิดความเคารพซึ่งกันและกัน | ||
KM มีหลักการอะไรหรือไม่ |
KM มีหลักการที่สำคัญประการหนึ่ง คือ เชื่อว่าทุกคนมีความรู้ แต่เน้นความรู้ภาคปฏิบัติ เรียกว่า "actionable Knowledge" เป็นความรู้ในทางปฏิบัติหรือประสบการณ์ที่เรียกว่า "Tacit Knowledge" หรือ "ความรู้ฝังลึก" ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในบุคคล เราต้องเอาความรู้เหล่านี้ออกมา โดยใช้เทคนิคในการเล่าเรื่องเรียกว่า "Story telling" ความรู้เหล่านี้จะได้มาต้องฝึกสังเกต และเมื่อสังเกตได้ความรู้แล้ว สิ่งสำคัญก็คือ "การจดบันทึก" (จุดสำคัญอยู่ที่ตรงจดบันทึกนี่ด้วย ถ้าไม่มีการจดบันทึก story telling ก็จะหายไป ความรู้ที่จะนำกลับไปถ่ายทอดต่อไปก็จะไม่เกิด วงจรความรู้ก็จะถูกตัดขาด) |
||
ทราบมาว่า KM เป็นของต่างประเทศแล้วเราเอามาปรับใช้ มีความแตกต่างกันหรือไม่ |
การจัดการความรู้ หรือ KM ในต่างประเทศส่วนมากเขาทำกันในหน่วยงาน และเขาระแวงกันเรื่อง "ความรู้" เพราะเขาถือว่า "ความรู้คืออำนาจ" แต่ของไทยเรากลับนำระบบการจัดการความรุ้เข้าสู่ชุมชน (เป็นผู้นำทางด้านนี้) แล้วพบว่ามีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ดี สนุก และไม่มีการหวงความรู้ และความรู้เหล่านั้นเมื่อนำมาสกัดเป็นขุมความรู้ แล้วก็นำกลับไปถ่ายทอดให้กับชุมชน เรียกได้ว่า ไม่มีการหวงวิชากัน (ผิดกับสมัยก่อนมีการหวงวิชา และขาดการบันทึก ทำให้ประเทศไทยพัฒนาไปได้ช้ากว่าประเทศตะวันตก..beeman) (ref : Geoff Parcell) |
||
การจัดการความรู้ในชุมชนก่อให้เกิดความรู้ได้อย่างไร |
จริง ๆ ตัวความรู้มันมีอยู่แล้วในระดับปัจเจกหรือระดับบุคคลในชุมชน มันซ่อนอยู่เป็นความรู้ฝังลึก หรือ Tacit Knowledge เรา (คุณเอื้อ/คุณอำนวย) เพียงแต่ไปค้นหาให้พบ นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สกัดออกมาเป็นขุมความรู้ (ถอดบทเรียน/ถอดหลักสูตร/ถอดความรู้) แล้วก็เอาความรู้นั้นกลับไปถ่ายทอดให้ชุมชน (เช่น เป็นโรงเรียนเกษตรกร โรงเรียนชาวนา ฯลฯ สอนกันเป็นรุ่น ๆ เรียกว่า "วิทยากร" เป็นวิทยากรแถว 1 แถว 2 แถว 3 แถว 4) ชุมชนก็ได้เรียนความรู้ที่เป็นของตัวเอง ได้พึ่งพาตัวเอง ภูมิปัญญาของตัวเอง ใครจะไปรู้เรื่องตนเองได้ดีกว่าเรา เพราะว่าถ้าเรามัวหวังพึ่งคนอื่น สังคมก็จะถึงซึ่งอันตราย |
||
แค่ผมสกัดความรู้จากวิทยากรเพียงท่านเดียว ก็ใช้เนื้อที่มากแล้ว คงต้องมีตอน 2 ต่อไปกับวิทยากรอีก 2 ท่าน หรือ อาจจะต้องมีตอน 3 ครับ.....