เนื่องจากชาวยางคำเป็นเจ้าภาพ ชาวยางคำจึงต้องเตรียมตัวเรื่องการแสดงที่ชัดเจนเป็นพิเศษ ขณะที่บ้านอื่นก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก
กลุ่มยางคำเลือกแสดงการ ลงข่วงเข็ญฝ้าย ส่วนหนึ่งเพราะว่าการทอผ้ากับชาวภูไทมีสัมพันธภาพที่แนบแน่นโดยเฉพาะผ้าคราม
เย็นวันที่จะแสดงนั้น ชาวยางคำก็มาจัดเตรียมสถานที่ บรรยากาศ มีการนำผ้ามาตกแต่งแขวนห้อยปล่อยชายยาวจากต้นไม้ มี อิ้ว หลา เครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปฝ้าย มาจัดวางไว้ด้านหน้าห้องประชุม ระหว่างที่เป็นช่วงเวลาส่วนตัวก่อนกินข้าวเย็นร่วมกัน
วันนี้ชาวยางคำจะจำลองประเพณีการลงข่วงเข็ญฝ้าย คร่าว ๆ จะเป็นวิถีชีวิตของคนในชนบทอีสาน ฝ่ายหญิงจะใช้เวลาว่างตอนกลางคืนเข็ญฝ้ายเป็นกลุ่ม ๆ จุดไฟขี้ใต้พอให้ได้มองเห็น ฝ่ายชายก็จะเดินมาเป็นกลุ่มเป่าแคน มาคุยสาว หยอกล้อกัน โต้ตอบผญากัน ระหว่างแสดง พ่อสถานจะเป็นคนบรรยายประกอบ
พวกเรามีการละเล่นแบบนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านก็พากันมาชมร่วมกับพวกเราด้วย
ในบรรยากาศสบาย ๆ หลังจากเรารายงานผลการไปเยี่ยมสวน ชมกัน ติกัน พอหอมปากหอมคอแล้วก็ได้เริ่มการแสดง
เราดับไฟฟ้าระหว่างแสดงเพราะจะมีการจุดเทียนแทนใต้ แสงแห่งธรรมชาติก็ปรากฏพอลางเลือน ทองออนจุดเทียนที่เตรียมไว้ แสงประกายวับแวมจากเทียนไข สายตาทุกคู่ ๆ ค่อย ๆ ปรับให้เข้ากับความมืดสลัว ก็พอมองเห็นภาพสาวน้อย สาวใหญ่ ใส่เสื้อผ้าย้อมครามแขนยาว นุ่งผ้าถุงมัดหมี่สีน้ำสีเงิน ดำ นั่งเข็ญฝ้ายบ้าง อิ้วฝ้ายบ้าง ดีดฝ้ายบ้าง หลายคนจากหลายบ้านเข้าไปร่วมอยู่กับคณะสาวเข็ญฝ้ายเหล่านี้.......ฝ่ายชายที่จะมาคุยสาวออกไปรวมตัวกันอยู่ไกลจากเวทีประชุมของเรา แล้วพากันแห่มาพร้อม เสียงพิณ เสียงแคน เสียงกลองเร้าใจ พร้อมขับลำภูไทเดินกันเข้ามาเป็นกลุ่มเพื่อที่จะมาคุยสาวเข็ญฝ้าย...ตอนที่ฝ่ายชายเดินมาถึง ก็จะลำจ่ายยผญาเกี้ยวสาว โดยมีพ่อบน พ่อชวน พ่อวิเชียร พ่อพนิจเป็นผู้นำ แล้วฝ่ายหญิงก็จะโต้ตอบ ซึ่งนำโดย แม่บับพา
ตั้งแต่ตอนที่เสียงดนตรีเริ่มขึ้นแล้ว ผู้คนทั้งหมดในที่ประชุมก็มีปฏิกิริยากันมาก มันชุลมูล ทั้งคนยืนดู ลุกขึ้น บ้างเข้าไปร่วมกับคณะดนตรี ผู้ที่นั่งดูบางคนก็โจนเข้าไปเพิ่มในกลุ่มเข็ญฝ้าย ฝ่ายดนตรีก็ขับลำโต้ตอบกันไปมาฟังไม่ได้ศัพท์เรารู้สึกได้ว่ามันมีชีวิตชีวาแบบที่ไม่ธรรมดา ต่างเป็นผู้แสดง และเป็นผู้ดูไปด้วย ดูเหมือนว่าทุกคนอยู่ในบรรยากาศแห่งความรื่นรมย์สุดขีด การกระทำที่ทำออกไปก็เป็นธรรมชาติที่สุด เหมือนไม่รู้สึกตัว ที่ไม่ได้มีการนัดหมาย ฝึกซ้อมใด ๆ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว .....
การแสดงน่าจะประมาณเกือบชั่วโมง จึงได้เปิดไฟอีกครั้งหนึ่ง บรรยากาศก็กลับสู่สภาพเดิม.....
สิ่งที่ดิฉันรู้สึกระหว่างการแสดงนั้นมันรุนแรงถึงขนาดว่า ในตอนนั้นดิฉันไม่ได้เห็นพวกเขาในฐานะบุคคล แต่กลายเป็น ลักษณะของกระแสบางอย่าง กระแสของชีวิตที่มีรากเหง้าของตนเอง มีแบบแผนบางอย่าง เป็นกระแสที่เคลื่อนอย่างเป็นพลวัตรอบศูนย์กลางแนบอยู่กับศูนย์กลาง คือสภาพธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ที่ดลบันดาลให้พวกเขาได้สืบเนื่อง สร้างสรรค์วิถีชีวิตแบบนี้ ในนั้นมันมีความเป็นตัวของตัวเอง มันร่วมอยู่ในวัฒนธรรมเดียวกัน ที่คนทุกคนต่อกันได้แนบสนิท ไม่มีความหมายของต่างหมู่บ้าน ต่างอำเภอ ต่างจังหวัด แต่ทั้งหมดคือชีวิตเดียวกันสืบเนื่อง สานต่อกันได้สนิทแนบ....ดิฉันได้สัมผัสกับพลังอันนั้น นี่ชาวบ้านไม่ได้กำลังทำการแสดงแล้ว แต่เขากำลังทำชีวิตให้เราดูเลย เขาไม่ได้สนใจด้วยว่าคุณจะดูหรือไม่ แต่พวกเขาอยู่ในนั้นแล้วทั้งหมดทุกคน ชีวิตที่เขาทำให้เห็นนั้นเป็นชีวิตที่เพียบพร้อมไปด้วยเอกลักษณ์ของตน วัฒนธรรมของตนเอง แม้ว่าชีวิตแบบนี้มันกำลังแผ่วโรยแรงไปทุกเมื่อเชื่อวัน แต่มันมีอยู่ มันยังอยู่ มันตกค้างอยู่ในส่วนหนึ่งของจิตสำนึกพวกเขา และเขาทำมันออกมาให้เห็นได้ เมื่อองค์ประกอบต่าง ๆ มันลงตัว ในขณะที่พวกเราหากเทียบกันเราก็จะอยู่วงนอกออกมา ไกลออกมาจากธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ มิน่าชีวิตของเราถึงได้เต็มไปด้วย ความแปลกแยก มีการสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาตลอดเวลาแทนที่จะไปแบบธรรมชาติ มีมารยาทมาก มีความอายแบบหลอก ๆ มาก แก้ปัญหาตลอดเวลาและการแก้ปัญหานั้นก็ได้สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก....แต่แล้วก็เอาตัวไม่รอด ไม่มีสังกัด และไร้ราก
(inside out)
ไม่มีความเห็น