หน้าแรก
สมาชิก
นวลทิพย์
สมุด
กระบวนการเรียนรู้...
การเรียนรู้ของผู้...
นวลทิพย์
นวลทิพย์ ชูศรีโฉม
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
การเรียนรู้ของผู้พิการ (ตา)
น้องป่านจอมป่วน
น้องป่าน
กับการเรียนรู้
โดย
:
นวลทิพย์
ชูศรีโฉม
สถาบันเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.)
ระหว่างวันที่ ๗-๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๙
แผนงานเครือข่ายคนพิการ สถาบันศิรินธร ได้เชิญทีม สรส.
(ท่านอาจารย์ทรงพล เจตนาวณิชย์ ผู้อำนวยการ สรส. และผู้เขียน) เป็นทีมวิทยากร เพื่อทำกระบวนการ
“
การสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงโดยใช้การจัดการความรู้
”
ให้กับกลุ่มพิการทางตา (ตาบอด)
ซึ่งจัดที่เทศบาลอำเภอเมืองสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๔
(จัดทั้งหมด ๖ ครั้ง โดยทีมวิทยากรจาก สรส.)
แรกทีเดียวพอคิดถึงว่าจะต้องทำกระบวนการเรียนรู้ให้กับกลุ่มคนตาบอด
ท่านวิทยากรรู้สึกหนักใจพอสมควร หนักใจเรื่องวิธีการสื่อการ การใช้อุปกรณ์ประกอบกระบวนการ การใช้ภาษารวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆ
ได้พยาพยามคิดสรรหาวิธีการมากมาย แต่ที่ไหนได้
“
อาจารย์ครับ
…
ขอให้อาจารย์ทำกระบวนการหรือปฏิบัติต่อพวกผมเหมือนคนปกติได้ครับ
”
คนตาบอดท่านหนึ่งพูดขึ้นมาในเวทีคงเนื่องจากสัมผัสได้ว่าท่านวิทยากรพูดแบบเกร็ง ๆ ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ
“
อาจารย์ครับ กรุณาใช้คำว่า
“
ดูหนัง
”
แทนคำว่า
“
ฟังหนัง
”
ให้เหมือนคนปกติด้วยครับ
”
อ๋อ
!
นี่เอง
…
ที่เขาพูดว่า
“
ก่อนจะทำอะไรต้องรู้เขา รู้เราเสียก่อน
”
ไม่รู้จักเขาจริง จึงคิดไปเอง สรุปไปเองและหนักใจไปเอง
สาธุ
คนตาบอดส่วนใหญ่ผ่านมรสุมชีวิตมาอย่างยากลำบาก บางคนตาบอดตั้งแต่เกิด บางคนมาตาบอดตอนโตด้วยอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บ ต้องต่อสู้กับตัวเอง กับสังคม เมื่อผ่านจุดวิกฤติของชีวิตมาถึงจุดที่ตัวเองมีโอกาส จึงอยากแบ่งปันช่วยเหลือเพื่อนคนตาบอดที่ยังขาดโอกาส คนตาบอดรับฟังเคารพนับถือผู้อาวุโส มีความเป็นประชาธิปไตย เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน การพูดการสื่อสารคิดอย่างไรจะสื่อออกมาอย่างนั้น เป็นที่เข้าใจ ไม่ต้องประดิษฐ์คำให้สวยหรู
กระบวนการในเวทีครั้งนี้
เริ่มต้นด้วยการปูพื้นฐานเรื่อง
“
การฟัง
”
ซึ่งเป็นฐานการเรียนรู้ที่สำคัญ โดยให้เรียนรู้ผ่านกิจกรรม
“
จับคู่เล่าเรื่อง
”
จากนั้นให้ถอดบทเรียนจากกิจกรรม ตบท้ายด้วยท่านวิทยากรให้หลักการ
“
การฟังที่ดี ต้องฟังด้วยใจ ฟังด้วยสมาธิ ฟังแบบไม่ด่วนตัดสิน ไม่อคติ คนฟังกับคนเล่าต้องเอื้อกันเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน...
”
ท่านวิทยากรจะคอยตอกย้ำหลักการฟังโดยแทรกไปในกิจกรรมอื่นเป็นระยะๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเวทีตระหนักถึงความสำคัญของการฟัง (ว่ามันสำคัญมากน่ะ ขอให้ใช้หลักการฟังที่ดีอยู่ในทุกขณะจิต)
เอาล่ะค่ะ
!
พูดมาตั้งนาน ขออนุญาตแนะนำ
“
น้องป่าน
”
ให้ท่านรู้จักแล้ว
น้องป่านเธอเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมเวทีครั้งนี้ เป็นหญิงร่างใหญ่ วัยพอสมควร ตาบอดมาแต่ยังเด็ก เป็นคนค่อนข้างอารมณ์ดี ยิ้มแย้ม ช่างซัก ช่างถาม ช่างพูด ช่างคุย ช่าง...(มันเถอะ) อยากพูดอยากคุยเวลาไหนเธอก็ปฏิบัติการทันที เสียงดังฟังชัด เหมือนเด็กซน สมาธิสั้น ทำอะไรนาน ๆ เธอก็จะบ่นจะเบื่อ ท่านวิทยากรให้ทำกิจกรรมอะไร เธอต้อง โวย
!
ไว้ก่อน
“
โฮ้
!
...
”
(โวยคล้ายเด็กที่มีปัญหา...ไม่รู้ข้าขอโวยไว้ก่อน แต่ก็ทำตามที่บอก)
ความคิดเห็นจะไม่ค่อยเหมือนคนอื่น แถมมั่นใจในสิ่งที่พูดแบบสุด ๆ คิดแบบสุดขั้วสุดโต่ง เธอกล้าที่จะปะทะความคิดเห็นกับท่านวิทยากร
ท่านวิทยากรก็สามารถอธิบายให้เธอสยบได้ (บางครั้งเธอถาม แบบไม่ต้องการคำตอบ อยากถามไปอย่างนั้น เหมือนอยากเอาชนะ) แต่ไปๆ มา ๆ กลับกลายเป็นว่า คนอื่นในเวทีได้เรียนรู้จากการกล้าคิด กล้าถามของน้องป่านไปไม่น้อย เพราะเธอเหมือนเป็นตัวแทน เป็นสื่อแทนเพื่อน ๆ ทำให้เวทีมีสีสัน ลักษณะแบบน้องป่าน ท่านวิทยากรเรียกว่าเหมือน
“
ม้าพยศ
”
จะต้องมีคนปราบ ฟังสรรพคุณของเธอดังนี้แล้ว ได้โปรดห้อยแขวนไว้ก่อน อย่า...อย่าพึ่งด่วนสรุปหรือด่วนตัดสินว่าเธอเป็นคนแบบไหน
โปรดติดตามตอนต่อไป
“
ต้องจับเธอมาจัดระบบทางความคิด เธอมีศักยภาพ
”
เป็นคำพูดของท่านวิทยากรผู้มีสายตาอันแหลมคมมองเห็นศักยภาพในตัวของน้องป่าน
เช้าของการฝึกอบรมวันที่ ๒ ผู้เขียนได้ยินเสียงน้องป่านเจื้อยแจ้วแต่เช้า น้องป่านคุยกับท่านวิทยากร
“
อาจารย์ค่ะ ทำอย่างไรจึงจะมีความเชื่อมั่น ความมั่นใจในการพูดคะ
เพราะพูดออกไปโดยไม่มั่นใจ กลัวคนเขาจะหาว่าเราโง่
”
น้องป่านตั้งคำถามกับท่านวิทยากร (แบบตัวต่อตัว)
“
โถ...น้องป่านขา นี่ขนาดยังไม่มั่นใจน่ะ พระเจ้า...ยังเสียงขนาดนี้ ถ้าหากเธอมั่นใจเมื่อไหร่ละก็...
”
การที่เธอเป็นคนช่างถาม ทำให้ผู้เขียนตีความ (เอาเอง) ว่า เธอเป็นคนใฝ่รู้
เธอคงอยากจะมีคนรับฟังเฮอ ตอบคำถามเธอ คอยเป็นกระจกสะท้อนให้เธอ
“
เขาไม่ค่อยฟังหนูพูดกันเลยค่ะ
เขาเดินหนีกันหมด
”
เธอบ่นตัดพ้อกับท่านวิทยากรผู้เป็นนักฟังที่ดี
เลยทำให้เช้าวันนั้นท่านวิทยากรเปิดเวทีด้วยการชวนคุยเรื่อง
“
ความเชื่อมั่น ความมั่นใจ จะเกิดได้อย่างไร
”
ซะเลย ถือเป็นประเด็นการเรียนรู้ได้อีกประเด็นหนึ่งทีเยี่ยมยอดทีเดียว
“
อาจารย์ค่ะทำไมไม่ให้คนตาบอดเป็นคุณอำนวยหรือคุณบันทึกบ้างค่ะ ทำไม่ให้แต่คนตาดีทำ
”
น้าน ๆๆๆ น้องป่านอยากลอง
ช่างกล้าจริง แม่คุณเอ๋ย
เธออาจถามไปโดยไม่คิดอะไร แต่ผลที่ตามมาคือ ท่านวิทยากรจัดให้ตามที่น้องปานจำนรรค์จา
“
เอ้า
!
เอาสิลองดูมั๊ย
”
ท่านวิทยากรตอบกลับด้วยความจริงใจ มีคนอยากจะเรียนรู้ซึ่งท่านวิทยากรก็ชอบ ทำเอาน้องป่านตั้งตัวไม่ติด
“
จริง ๆ หรือค่ะอาจารย์...
.
ให้ลองทำจริงหรือค่ะ จะดีหรือคะ
”
น้องป่านพูดด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยมั่นใจในตำแหน่ง
“
คุณอำนวย
”
เท่าไหร่นัก แต่
!
เธอก็รับนะ ใครอย่ามาท้าเชียว ..ป่านไม่ยอม
เอ้า
!
อำนวย ก็อำนวยวะ
การทำหน้าที่เป็น
“
คุณอำนวย
”
ประจำกลุ่มย่อยของน้องป่าน เธอจะมีวิธีแปลกใหม่ตามแบบฉบับของเธอ
“
ขอให้ทุกคนในกลุ่มช่วยกันคุยนะ...
”
เธอบอกสมาชิกในกลุ่มเป็นเบื้องต้น เธอชวนคุยในกลุ่มสักพักเธอก็หมดคำถาม
“
เอ้า ๆ ช่วย ๆ กันถามหน่อย อย่านั่งเฉย ๆ
“
เธอพูดเสียงดังฟังชัด
เอาล่ะ
!
น้องป่าน ถึงน้องป่านจะหมดมุขในการชวนคุยแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่น้องป่านทำหน้าที่ในฐานะคุณอำนวยได้ดีที่สุดในโลกคือ
“
น้องป่านเป็นคนช่วยกระตุ้น (ด้วยเสียงอันทรงอานุภาพ) ให้สมาชิกในกลุ่มได้มีการพูดคุยกันได้เจ๋งที่สุดจ๊ะ
”
การทำกิจกรรมสะกัดความรู้ในกลุ่มย่อยผ่านไป ผ่านไปพร้อมกับสถานการณ์ที่น้องป่านเข้าไปอยู่ในวงการพูดคุยที่มีหลักการ มีกติกาคอยกำกับการพูดคุย เมื่อเสร็จจากกิจกรรมกลุ่มย่อย ท่านวิทยากรให้ทุกคนมารวมในวงใหญ่เพื่อถอดบทเรียนจากกิจกรรม ผู้เขียนสังเกตเห็นน้องป่านนั่งนิ่ง (เหมือนหมดฤทธิ์) เอ...เธอเหนื่อยจากการทำหน้าที่เป็นคุณอำนวยหรือว่าอย่างไร
สักพักน้องป่านพูด แต่พูดในสิ่งที่เป็นสาระมากขึ้น พูดด้วยระดับเสียงที่ฟังแล้วผิดปกติจากที่เธอเคยพูด อีกทั้งเธอยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิทยากรไปในตัว ใครพูดกันขณะที่ยังไม่ถึงเวลาพูด น้องป่านเธอจะคอยปรามเพื่อน ๆ
“
เฮ้ย
!
อย่าพึ่งพูด...ฟังก่อน
”
หากเพื่อนๆ ตอบคำถามไม่ตรงประเด็นกับที่ท่านวิทยากรถาม
เธอก็จะคอยย้ำประเด็นให้เพื่อนเข้าใจ
“
เฮ้ย
!
อาจารย์ถามความรู้สึก...ให้ตอบความรู้สึก
”
อะไรทำนองนี้
โอ...วิทยากรเบาแรงไปเยอะเลยมีผู้ช่วยแบบนี้
“
วันแรกที่มาเวทีนี้รู้สึกสับสน แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเวทีนี้ดี ทำให้ตัวเองมีความกล้าพูด (โถ...ที่ผ่านมายังไม่กล้าอีกเหรอ
–
เป็นเสียงแซวของเพื่อนบางคนในเวที) มีวิธีการพูดที่ดีขึ้น รู้จักยั้งคิด นิ่งและฟังมากขึ้น
เรียบเรียงคำพูดก่อนที่จะพูด รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ฟังที่ดีมากขึ้น
”
เป็นประโยคคำพูดของน้องป่านในการประเมินผลก่อนปิดเวทีวันที่ ๒
“
โอ...จอร์ช น้องป่าน เธอเปลี๊ยนไป
”
เท่านั้นยังไม่พอครับท่าน...หลังจากปิดเวทีแล้ว เธอยังขอพูดคุยกับท่านวิทยากรเป็นพิเศษ
“
อาจารย์ขา...หนูจะเรียนต่อ อาจารย์ว่าหนูจะเรียนสาขาอะไรดีค่ะ
อาจารย์ขา...หนูชอบเวทีแบบนี้ หนูอยากเป็นวิทยากรค่ะ...ขอเบอร์โทรศัพท์อาจารย์ด้วยค่ะ เพื่อหนูจะโทร.ไปปรึกษาอาจารย์
”
น้องป่านขา... เธอเป็นได้ทุกอย่างที่เธออยากเป็นจ๊ะ เพราะเธอมีต่อมของความใฝ่รู้อยู่ในตัว เพียบ
!
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“
อย่าด่วนตัดสินคนตามที่เราเห็นภายนอก คน ทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง
“
บางอย่างอาจไม่เป็นอย่างที่เห็น สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิด สิ่งที่คิดอาจจะยังไม่เห็น
”
ศักยภาพในตัวคนบางครั้งเหมือนต้องให้โอกาส รอเวลา รอคนมาช่วยดึง รอกัลยาณมิตรมาชี้ให้เห็นว่านี่แหละคือ
“
ศักยภาพของคุณ
”
และคุณควรจะใช้มันอย่างไรจึงจะเกิด
“
อานุภาพแห่งศักยภาพสูงสุด
”
... นี่
!
หากเรา ด่วนสรุปตัดสินน้องป่านตั้งแต่แรกว่าเธอเป็นคนพูดมาก น่ารำคาญ ไม่สนใจเธอ ไม่ให้โอกาสเธอ ไหนเลยวันนี้เราจะได้รู้ว่าเธอมีศักยภาพอย่างไร เธอใฝ่รู้อย่างไร และเธอรักดีอย่างไร
ไว้คงมีโอกาสเจอกับเธออีกนะน้องป่าน แล้วฉันจะคอยดูเธอ
.
J
เขียนใน
GotoKnow
โดย
นวลทิพย์
ใน
กระบวนการเรียนรู้สู่เป้าหมายชีวิต
คำสำคัญ (Tags):
#เก็บตก
#km
หมายเลขบันทึก: 72914
เขียนเมื่อ 16 มกราคม 2007 16:22 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:03 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
นวลทิพย์
สมุด
กระบวนการเรียนรู้...
การเรียนรู้ของผู้...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท