GotoKnow

ทูตชาดก

พล.ต. มารวย ส่งทานินทร์
เขียนเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2025 04:44 น. ()
ว่าด้วย การบอกความทุกข์แก่ผู้ที่ควรบอก

ทูตชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๕. ทูตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๔๗๘)

ว่าด้วยบุคคลผู้เป็นทูต

             (พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า)

             [๕๔] ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้าส่งทูตไปหาท่าน ซึ่งกำลังเข้าฌานอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา พวกเขาถามแล้วท่านก็ไม่ตอบ ทุกข์ของท่านนั้นเป็นความลับหรือ

             (พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า)

             [๕๕] พระองค์ผู้ผดุงรัฐให้เจริญของชาวแคว้นกาสี ถ้าความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่พระองค์ พระองค์อย่าตรัสบอกความทุกข์นั้นแก่คนที่ช่วยปลดเปลื้องพระองค์ให้พ้นจากความทุกข์ไม่ได้

             [๕๖] ผู้ใดพึงช่วยปลดเปลื้องให้พ้นส่วนแห่งความทุกข์ ที่เกิดแล้วนั้นได้ แม้เสี้ยวหนึ่งโดยธรรม ผู้นั้นควรบอกให้ทราบโดยแท้

             [๕๗] ขอเดชะพระราชา เสียงเหล่าสุนัขจิ้งจอกเห่าหอนก็ดี เสียงเหล่านกร้องขันก็ดี รู้ได้ง่าย ส่วนถ้อยคำที่พวกมนุษย์เปล่งออกมา รู้ได้ยากกว่านั้น

             [๕๘] คนบางคนเบื้องต้นเป็นคนใจดี ย่อมนับถือกันว่า เป็นญาติ เป็นมิตร หรือเป็นเพื่อนอย่างนี้บ้าง ภายหลังกลายเป็นศัตรูไปก็มี

             [๕๙] คนใดถูกเขาถามถึงความทุกข์ของตนอยู่บ่อยๆ พึงบอกให้ทราบในเวลาอันไม่สมควร พวกศัตรูของคนนั้นย่อมพอใจ ส่วนคนที่หวังประโยชน์ต่อเขาย่อมเป็นทุกข์

             [๖๐] ส่วนนักปราชญ์รู้กาลอันสมควร ทราบความมีใจของพวกมีปัญญาเป็นอันเดียวกับตนแล้ว พึงบอกความทุกข์อันแรงกล้าแก่คนอื่นชนิดนั้น พึงเปล่งถ้อยคำอันอ่อนหวาน มีประโยชน์

             [๖๑] อนึ่ง ถ้านักปราชญ์พึงรู้ถึงทุกข์ที่ทนไม่ได้ของตนว่า โลกธรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ถึงความสุขเฉพาะเราเท่านั้นหามิได้ พึงเพ่งถึงสัจจะ หิริ และโอตตัปปะเท่านั้น อดกลั้นความทุกข์อันแรงกล้าเพียงผู้เดียว

             (พระโพธิสัตว์กราบทูลอีกว่า)

             [๖๒] ขอเดชะพระมหาราช ข้าพระองค์ต้องการทรัพย์เพื่อให้อาจารย์ จึงท่องเที่ยวไปขอยังแว่นแคว้น นิคม และราชธานีต่างๆ

             [๖๓] ขอเดชะพระมหาราช ผู้ทรงเป็นใหญ่แห่งหมู่ชน ข้าพระองค์ได้ขอกับพวกคหบดี ราชบุรุษ และพราหมณ์มหาศาล จึงได้ทองคำมา ๗ แท่ง ทองคำเหล่านั้นของข้าพระองค์สูญหายเสียแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงเศร้าโศกมาก

             [๖๔] ขอเดชะพระมหาราช คนเหล่านั้นข้าพระองค์คิดไตร่ตรองดู แล้วว่า ไม่สามารถจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงไม่บอกแก่เขาเหล่านั้น

             [๖๕] ขอเดชะพระมหาราช ส่วนพระองค์ข้าพระองค์คิดไตร่ตรองดูแล้วว่า สามารถจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ

             (พระศาสดาตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า)

             [๖๖] พระราชาผู้ผดุงรัฐให้เจริญของชาวแคว้นกาสี มีพระหฤทัยเลื่อมใสได้พระราชทานทองคำแท้ๆ แก่เขา ๑๔ แท่ง

ทูตชาดกที่ ๕ จบ

----------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

ทูตชาดก

ว่าด้วย การบอกความทุกข์แก่ผู้ที่ควรบอก

               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภการสรรเสริญปัญญาของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ภิกษุทั้งหลายสนทนากันถึงถ้อยคำปรารภพระคุณของพระศาสดาในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดูความเป็นผู้ฉลาดในอุบายของพระทศพลเถิด
               พระองค์แสดงนางอัปสรทั้งหลายแก่นันทกุลบุตรแล้วประทานพระอรหัต
               ทรงประทานผ้าเก่าแก่พระจุลปันถกะแล้วประทานพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
               ทรงประทานดอกปทุมแก่นายช่างทองแล้วประทานพระอรหัต
               พระองค์ทรงแนะสัตว์ทั้งหลายด้วยอุบายต่างๆ อย่างนี้.
               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ. เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว.
               ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้อย่างเดียวเท่านั้น ที่ตถาคตเป็นผู้ฉลาดในอุบาย โดยรู้อุบายว่า นี้เป็นดังนี้ แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็เป็นผู้ฉลาดในอุบายเหมือนกัน
               แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ชนบทไม่มีเงินใช้ เพราะพระเจ้าพรหมทัตทรงบีบบังคับชาวชนบท ขนเอาทรัพย์ไปหมด.
               ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ กาสิกคาม ครั้นเจริญวัยแล้ว ได้ไปเมืองตักกสิลา กล่าวกะอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าจักเที่ยวขอเขาโดยธรรมแล้ว จักนำเอาทรัพย์มาให้อาจารย์ภายหลัง แล้วเริ่มเรียนศิลปศาสตร์.
               ครั้นเรียนสำเร็จสอบไล่ได้แล้ว จึงบอกอาจารย์ว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ กระผมจักไปนำทรัพย์ค่าจ้างสอนมาให้ท่าน แล้วออกเที่ยวไปตามชนบท แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม ได้ทองคำเจ็ดลิ่ม จึงไปด้วยคิดว่าจักให้อาจารย์ ในระหว่างทางได้ลงสู่เรือเพื่อข้ามแม่น้ำคงคา เรือโคลงไปมาในแม่น้ำนั้น ทองคำของพระโพธิสัตว์ ก็ตกน้ำ.
               พระโพธิสัตว์คิดว่า เงินเป็นของหายาก เมื่อเราจะเที่ยวแสวงหาทรัพย์ค่าจ้างสอนตามชนบท ก็จักเนิ่นช้า อย่ากระนั้นเลย เราควรนั่งอดอาหาร อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคานี่แหละ พระราชาจักทรงทราบความที่ เรานั่งอยู่โดยลำดับ ก็จักส่งพวกอำมาตย์มา เราจักไม่พูดจากับพวกอำมาตย์เหล่านั้น.
               ลำดับนั้น พระราชาก็จักเสด็จมาเอง เราจักได้ทรัพย์ค่าจ้างสอนในสำนักของพระราชาด้วยอุบายนี้ คิดดังนี้แล้ว ห่มผ้าสาฎกเฉวียงบ่า เอายัญและสายสิญจน์วงไว้โดยรอบ นั่งอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ประดุจรูปปฏิมาทองคำบนพื้นทราย ซึ่งมีสีดังแผ่นเงิน ฉะนั้น.
               มหาชนเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอดอาหารอยู่ จึงถามว่า ท่านนั่งเพื่ออะไร. พระโพธิสัตว์มิได้กล่าวแก่ใครๆ
               วันรุ่งขึ้น ผู้ที่อยู่บ้านใกล้ประตูพระนครได้ฟังว่า พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ที่นั้น จึงพากันไปถาม. พระโพธิสัตว์ก็มิได้กล่าวแม้แก่ชนเหล่านั้น ชนเหล่านั้นเห็นความลำบากของพระโพธิสัตว์ ก็พากันคร่ำครวญหลีกไป.
               ในวันที่ ๓ ชาวพระนครพากันมา
               ในวันที่ ๔ อิสรชนพากันมาจากพระนคร
               ในวันที่ ๕ ราชบุรุษพากันมา
               ในวันที่ ๖ พระราชาทรงส่งพวกอำมาตย์มา พระโพธิสัตว์ก็มิได้กล่าวแม้แก่ชนเหล่านั้น.
               ในวันที่ ๗ พระราชาทรงกลัวภัย จึงเสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์
               เมื่อจะตรัสถาม จึงตรัสพระคาถาที่ ๑ ว่า
               ดูก่อนพราหมณ์ เราส่งทูตทั้งหลายมาเพื่อท่านผู้เพ่งอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำคงคา ทูตเหล่านั้นถามท่าน ท่านก็มิได้บอกให้แจ่มแจ้ง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ท่านนั้นเป็นความตายของท่านมิใช่หรือ?
               พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์จะบอกแก่ผู้ที่สามารถจะนำทุกข์ไปได้เท่านั้น ไม่บอกแก่ผู้อื่น แล้วกล่าวคาถา ๗ คาถาว่า
               ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงบำรุงรัฐกาสีให้เจริญ ถ้าความทุกข์เกิดขึ้นแก่พระองค์ ผู้ใดไม่พึงเปลื้องทุกข์จากพระองค์ได้ พระองค์อย่าได้ตรัสบอกความทุกข์นั้นแก่ผู้นั้น.
               ผู้ใดพึงเปลื้องทุกข์ของบุคคลผู้เกิดทุกข์ได้ส่วนเดียวโดยธรรม พึงบอกเล่าแก่ผู้นั้นได้โดยแท้
               ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ดี ของนกก็ดี รู้ได้ง่าย เสียงของมนุษย์รู้ได้ยากยิ่งกว่านั้น.
               อนึ่ง ผู้ใดเมื่อก่อนเป็นผู้ใจดี คนทั้งหลายนับถือว่าเป็นญาติ เป็นมิตรหรือเป็นสหาย ภายหลัง ผู้นั้นกลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์รู้ได้ยากอย่างนี้.
               ผู้ใดถูกถามเนืองๆ ถึงทุกข์ของตน ย่อมบอกในกาลไม่ควร ผู้นั้นย่อมมีแต่มิตรผู้แสวงหาประโยชน์ แต่ไม่ยินดีร่วมทุกข์ด้วย.
               บุคคลรู้กาลอันควรและรู้จักบัณฑิตผู้มีปัญญา มีใจร่วมกันแล้ว พึงบอกความทุกข์ทั้งหลายแก่บุคคลผู้เช่นนั้น นักปราชญ์พึงบอกความทุกข์ร้อนแก่บุคคลอื่น พึงเปล่งวาจาอ่อนหวาน มีประโยชน์.
               อนึ่ง ถ้าบุคคลอดกลั้นความทุกข์ของตนไม่ได้ ก็พึงรู้ว่า ประเพณีของโลกนี้ จะมีเพื่อถึงความสุขสำหรับเราผู้เดียวไม่ได้. นักปราชญ์ เมื่อเพ่งเล็งหิริและโอตัปปะ อันเป็นของจริง พึงอดกลั้นความทุกข์ร้อนไว้ผู้เดียวเท่านั้น.
               ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า ถ้าประเพณีของโลกนี้ จะมีเพื่อถึงความสุขสำหรับเราเท่านั้นไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าผู้จะพ้นไปจากโลกธรรมทั้ง ๘ ประการที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่มี. เมื่อเป็นเช่นนี้ นักปราชญ์ผู้ปรารถนาแต่ความสุข เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยหิริและโอตตัปปะ ไม่พึงทำกรรม ที่ชื่อว่า ยกทุกข์ให้แก่ผู้อื่น และเราก็มีหิริและโอตตัปปะ เพราะเหตุนั้น นักปราชญ์ เมื่อเพ่งหิริโอตตัปปะในตนซึ่งเป็นของมีจริง ไม่พึงบอกแก่บุคคลอื่น พึงนอนปรับทุกข์อยู่แต่ผู้เดียว.
               พระมหาสัตว์ ครั้นแสดงธรรมถวายพระราชาด้วยคาถา ๗ คาถาอย่างนี้แล้ว
               เมื่อจะแสดงความที่ตนแสวงหาทรัพย์เพื่ออาจารย์ ได้กล่าวคาถา ๔ คาถาว่า
               ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระองค์ต้องการจะหาทรัพย์ให้อาจารย์ จึงเที่ยวไปทั่วแว่นแคว้นนิคม และราชธานีทั้งหลาย.
               ขอกะคฤหบดี ราชบุรุษและพราหมณ์มหาศาล ได้ทองคำ ๗ ลิ่ม. ทองคำ ๗ ลิ่มของพระองค์นั้น หายเสียแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงเศร้าโศกมาก.
               ข้าแต่พระมหาราช บุรุษผู้เป็นทูตของพระองค์เหล่านั้น ข้าพระองค์คิดรู้ด้วยใจว่า ไม่สามารถจะปลดเปลื้องข้าพระองค์จากทุกข์ได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงไม่บอกแก่บุรุษเหล่านั้น.
               ข้าแต่พระมหาราช ส่วนพระองค์ ข้าพระองค์คิดรู้ด้วยใจว่า พระองค์สามารถจะปลดเปลื้องข้าพระองค์จากทุกข์ได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ.
               พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
               พระราชาผู้บำรุงรัฐกาสีใหญ่มีพระหฤทัยเลื่อมใส ได้พระราชทานทองคำ ๑๔ แท่งแก่พระโพธิสัตว์นั้น.
               พระมหาสัตว์ถวายโอวาทแก่พระราชาแล้ว ให้ทรัพย์แก่อาจารย์ บำเพ็ญกุศลมีทานเป็นต้น. แม้พระราชาก็ดำรงอยู่ในโอวาทของพระมหาสัตว์ ครองราชสมบัติโดยธรรมแล้ว ชนทั้งสองก็ไปตามยถากรรม.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตเป็นผู้ฉลาดในอุบาย แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็เป็นผู้ฉลาดในอุบายเหมือนกัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า
               พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์
               อาจารย์ได้มาเป็น พระสารีบุตร
               ส่วนมาณพ คือ เราตถาคต นั่นแล.

               จบอรรถกถาทูตชาดกที่ ๕               
               -----------------------------------------------------               

 

สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆ


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย