จูฬธัมมปาลชาดก


ว่าด้วย ความรักของแม่ที่มีต่อลูก

จูฬธัมมปาลชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๘. จูฬธัมมปาลชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๓๕๘)

ว่าด้วยจูฬธรรมปาลกุมาร

             (พระนางจันทาเทวีกราบทูลพระราชาว่า)

             [๔๔] หม่อมฉันเท่านั้นที่ตัดความเจริญ กระทำความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ฝ่าพระบาท ขอพระองค์โปรดทรงปล่อยธรรมปาลกุมาร และโปรดทรงตัดมือทั้ง ๒ ของหม่อมฉันเถิด

             [๔๕] หม่อมฉันเท่านั้นที่ตัดความเจริญ กระทำความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ฝ่าพระบาท ขอพระองค์โปรดทรงปล่อยธรรมปาลกุมาร และโปรดทรงตัดเท้าทั้ง ๒ ของหม่อมฉันเถิด

             [๔๖] หม่อมฉันเท่านั้นที่ตัดความเจริญ กระทำความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ฝ่าพระบาท ขอพระองค์โปรดทรงปล่อยธรรมปาลกุมาร และโปรดทรงตัดศีรษะของหม่อมฉันเถิด

             [๔๗] มิตรหรืออำมาตย์บางคนที่มีจิตใจงดงาม อ่อนโยนของพระราชาพระองค์นี้ คงไม่มีแน่ คนที่จะทูลทัดทานพระราชาว่า ขอพระองค์โปรดอย่าสำเร็จโทษพระราชบุตร ผู้ที่พระองค์ให้กำเนิด ก็ไม่มี

             [๔๘] พระญาติหรือพระสหายบางคนที่มีจิตใจงดงาม อ่อนโยนของพระราชาพระองค์นี้ คงไม่มีแน่ คนที่จะทูลทัดทานพระราชาว่า ขอพระองค์โปรดอย่าสำเร็จโทษ พระโอรสผู้ที่พระองค์ให้กำเนิด ก็ไม่มี

             [๔๙] พระพาหาทั้ง ๒ ที่ลูบไล้ด้วยจุรณแก่นจันทน์ ของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาทแห่งแผ่นดินมาขาดสิ้นไป ฝ่าพระบาท ลมปราณของหม่อมฉันก็จะดับสิ้นไป

จูฬธัมมปาลชาดกที่ ๘ จบ

---------------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

จุลลธรรมปาลชาดก

ว่าด้วย ความรักของแม่ที่มีต่อลูก

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภการพยายามของพระเทวทัต เพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ในชาดกอื่นๆ พระเทวทัตไม่ได้อาจเพื่อจะทำ แม้มาตรว่าความสะดุ้งแก่พระโพธิสัตว์. ส่วนในจุลลธรรมปาลชาดกนี้ พระเทวทัตให้ตัดมือเท้าและศีรษะและให้ทำกรรมกรณ์ชื่ออสิมาลกะ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์มีอายุ ๗ เดือน.

               ในทัททรชาดก พระเทวทัตหักคอให้ตายแล้วปิ้งเนื้อบนเตากิน.
               ในขันติวาทิชาดก ให้เอาแช่หวายสองเส้นเฆี่ยนพันครั้ง ให้ตัดมือเท้าหูและจมูก แล้วจับที่ชฎาดึงมาให้นอนหงาย กระทืบที่อกแล้วไป. พระโพธิสัตว์ถึงความสิ้นชีวิต ในวันนั้นเอง.
               ในจุลลนันทิยชาดกก็ดี ในมหากปิชาดกก็ดี ได้แต่ฆ่าให้ตายเท่านั้น.
               พระเทวทัตนี้พยายามปลงพระชนม์อยู่ตลอดกาลนานด้วยประการอย่างนี้ ในครั้งพุทธกาล ได้พยายามอยู่เหมือนกัน.
               อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตกระทำอุบายเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเท่านั้น พระเทวทัตคิดว่า จักปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงประกอบนายขมังธนู กลิ้งศิลาและให้ปล่อยช้างนาฬาคิรี.
               พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนาด้วยเรื่องอะไรในบัดนี้ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบว่า เรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน แต่ว่า ในบัดนี้ พระเทวทัตไม่อาจทำแม้สักว่าความสะดุ้งตกใจ ในกาลก่อน ในเวลาที่เราเป็นธรรมปาลกุมาร พระเทวทัตทำเราผู้เป็นบุตรของตนให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วให้ทำกรรมกรณ์ชื่อ อสิมาลกะ.
               ครั้นตรัสแล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ามหาปตาปะครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้ามหาปตาปราชนั้น พระญาติทั้งหลายขนานนามพระโพธิสัตว์นั้นว่า ธรรมปาละ. ในเวลาที่ธรรมปาลกุมารนั้นมีอายุได้ ๗ เดือน พระมารดาให้สรงสนานธรรมปาลกุมารนั่นนั้น โดยน้ำผสมด้วยของหอม แต่งพระองค์แล้วประทับนั่งให้เล่นอยู่. พระราชาเสด็จมายังสถานที่พระเทวีนั้นประทับอยู่. พระเทวีนั้นให้พระโอรสเล่นอยู่เป็นผู้ทรงเปี่ยมด้วยความสิเนหา แม้ได้เห็นพระราชาก็มิเสด็จลุกขึ้นรับ.
               พระราชานั้นทรงดำริว่า เดี๋ยวนี้ นางจันทานี้กระทำมานะถือตัวเพราะอาศัยบุตรก่อน ไม่สำคัญเราในเรื่องไรๆ ก็เมื่อบุตรเติบโตขึ้น นางจักไม่กระทำความสำคัญเราว่าเป็นมนุษย์ก็ได้ เราจักฆ่าเสียในบัดนี้แหละ. ท้าวเธอจึงเสด็จกลับไปประทับนั่งบนราชอาสน์ แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตมา โดยพระโองการว่า เพชฌฆาตจงมาโดยพิธีธรรมเนียมของตน. เพชฌฆาตนั้นจึงนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ทัดทรงดอกไม้แดง แบกขวาน ถือท่อนไม้สำหรับวางพาดมือและเท้า มีปุ่มเป็นที่รองรับมาถวายบังคมพระราชากราบทูลว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำอะไร ครั้นกราบทูลแล้ว ได้ยืนคอยรับพระบัญชาอยู่.
               พระราชารับสั่งว่า ท่านจงเข้าไปยังห้องอันมีสิริของพระเทวี แล้วนำธรรมปาลกุมารมา. ฝ่ายพระเทวีทรงทราบว่า พระราชาทรงกริ้วแล้วเสด็จกลับไป จึงให้พระโพธิสัตว์นอนแนบพระอุระ ประทับนั่งทรงพระกรรแสงอยู่. นายเพชฌฆาตมาถึงเอามือตบพระปฤษฎางค์พระเทวีนั้นแล้ว ชิงพระกุมารไปจากพระหัตถ์ พามายังสำนักของพระราชา แล้วกราบทูลว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำอะไร. พระราชารับสั่งว่า ท่านจงให้นำเอาแผ่นกระดานมาแล้วให้เรียบลงข้างหน้า แล้วให้กุมารนั้นนอนบนแผ่นกระดานนี้. นายเพชฌฆาตนั้นได้กระทำตามรับสั่งอย่างนั้น.
               พระนางจันทาเทวีทรงปริเทวนาการร่ำไรมาข้างหลังพระโอรสนั่นแล. เพชฌฆาตกราบทูลอีกว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำอะไร. พระราชารับสั่งว่า จงตัดมือทั้งสองของธรรมปาลกุมาร. พระนางจันทาเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชบุตรของหม่อมฉันเพิ่งมีอายุได้ ๗ เดือน ยังอ่อนอยู่ไม่รู้อะไร บุตรของหม่อมฉันนั้นไม่มีโทษผิด ก็โทษผิดแม้จะยิ่งใหญ่ก็ควรจะมีในหม่อมฉัน เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงรับสั่งให้ตัดมือทั้งสองของหม่อมฉันเถิด.
               เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
               หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรมปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดมือทั้งสองของหม่อมฉันเถิด.
               พระราชาทรงแลดูนายเพชฌฆาต นายเพชฌฆาตจึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะกระทำอย่างไร. พระราชาตรัสว่า ท่านอย่าชักช้า จงตัดมือทั้งสองเสีย. ขณะนั้น นายเพชฌฆาตถือขวานอันคมกล้าตัดมือทั้งสองของพระกุมารเหมือนตัดหน่อไม้อ่อนฉะนั้น.
               เมื่อนายเพชฌฆาตตัดมือทั้งสองอยู่ ธรรมปาลกุมารนั้นไม่ร้องไห้ ไม่ร่ำไร กระทำขันติและเมตตาให้เป็นปุเรจาริก อดกลั้นอยู่. ส่วนพระนางจันทาเทวีถือเอาปลายมือที่ขาดใส่ไว้ในพก มีโลหิตไหลอาบพระองค์ ทรงเที่ยวปริเทวนาการอยู่. นายเพชฌฆาตทูลถามอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะทำอะไร. พระราชาตรัสว่า จงตัดเท้าทั้งสองเสีย.
               พระนางจันทาเทวีได้สดับดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
               หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรมปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดเท้าของหม่อมฉันเถิด.
               ฝ่ายพระราชาทรงสั่งบังคับเพชฌฆาตอีก นายเพชฌฆาตนั้นได้ตัดเท้าทั้งสองขาด พระนางจันทาเทวีถือเอาปลายเท้าใส่ไว้ในพก มีโลหิตโซมกาย ทรงร่ำไห้กราบทูลว่า ข้าแต่พระเจ้ามหาปตาปะผู้เป็นพระสวามี ทารกชื่อว่ามีมือและเท้าอันพระองค์ให้ตัดแล้ว อันมารดาจำต้องเลี้ยงดูมิใช่หรือ หม่อมฉันจักรับจ้างเลี้ยงบุตรของหม่อมฉัน ขอพระองค์จงประทานบุตรนั่นแก่หม่อมฉันเถิด.
               นายเพชฌฆาตกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์กระทำตามพระราชอาชญาแล้ว กิจของข้าพระองค์เสร็จแล้วหรือ? พระราชาตรัสว่า ยังไม่เสร็จก่อน. นายเพชฌฆาตกราบทูลว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะทำอะไร. พระราชาตรัสว่า จงตัดศีรษะธรรมปาลกุมารนี้.
               ลำดับนั้น พระนางจันทาเทวีจึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
               หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรมปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดศีรษะของหม่อมฉันเถิด.
               ก็แหละครั้นตรัสแล้ว พระนางจึงน้อมศีรษะเข้าไป. เพชฌฆาตกราบทูลถามพระราชาอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะกระทำอะไร? พระราชาตรัสว่า จงตัดศีรษะของธรรมปาลกุมารนั้นเสีย. นายเพชฌฆาตนั้น ครั้นตัดศีรษะแล้ว จึงกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์กระทำตามพระราชอาชญาแล้วหรือ. พระราชาตรัสว่า ยังไม่ได้กระทำก่อน. นายเพชฌฆาตกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะกระทำอะไรอีก? พระราชาตรัสว่า ท่านจงเอาปลายดาบรับร่างธรรมปาลกุมารนั้น กระทำกรรมกรณ์ชื่อ อสิมาลกะ.
               นายเพชฌฆาตนั้นจึงโยนร่างของธรรมปาลกุมารนั้นขึ้นไปในอากาศ แล้วเอาปลายดาบรับร่างของธรรมปาลกุมารนั้น กระทำกรรมกรณ์ชื่อ อสิมาลกะ แล้วโปรยลงที่ท้องพระโรง.
               พระนางจันทาเทวีจึงใส่เนื้อของพระโพธิสัตว์ไว้ในพก ทรงร้องไห้คร่ำครวญ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
               ใครๆ ผู้เป็นมิตรและอำมาตย์ของพระราชานี้ ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่จะทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเลย ก็ไม่มี.
               ใครๆ ผู้เป็นมิตร และพระญาติของพระราชานี้ ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่จะทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเลย ก็ไม่มี.
               แขนของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาทแห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทร์แดงมาขาดไปเสีย ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิตของหม่อมฉันก็คงจะดับไป.
               ก็พระนางจันทาเทวี ครั้นกล่าวคาถา ๒ คาถานี้แล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
               พระพาหาทั้งสองของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาทแห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทร์แดง มาขาดไป ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิตของหม่อมฉันก็คงจะดับไป.
               เมื่อพระนางทรงร่ำไห้อยู่อย่างนั้น พระหทัยก็แตกไป เหมือนไม้ไผ่ถูกไฟไหม้อยู่อย่างนั้นฉะนั้น พระนางได้ถึงความสิ้นพระชนม์ลง ณ ที่นั้นเอง.
               ฝ่ายพระราชาก็ไม่อาจดำรงอยู่บนบัลลังก์ได้ จึงตกลงไปที่ท้องพระโรง พื้นที่อันเรียบสนิทแยกออกเป็นสองภาค. พระเจ้ามหาปตาปะนั้นพลัดตกจากพื้นเรียบแม้นั้นถึงพื้นดิน แต่นั้น แผ่นดินทึบหนาถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ไม่อาจรองรับโทษผิดของพระราชานั้นได้ จึงได้แยกให้ช่อง เปลวไฟตั้งขึ้นจากอเวจีมหานรก หอบเอาพระเจ้ามหาปตาปะไปโยนลงในอเวจีมหานรก ประดุจหุ้มด้วยผ้ากัมพลที่ตระกูลมอบให้ฉะนั้น.
               ส่วนพระนางจันทาเทวีและพระโพธิสัตว์ อำมาตย์ทั้งหลายได้ปลงพระศพให้แล้ว.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
               พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น พระเทวทัต
               พระนางจันทาเทวี ได้เป็น พระมหาปชาบดีโคตมี
               ส่วนธรรมปาลกุมารได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาจุลลธรรมปาลชาดกที่ ๘               
               -----------------------------------------------------          

 

คำสำคัญ (Tags): #ธรรมปาลกุมาร
หมายเลขบันทึก: 719567เขียนเมื่อ 1 ตุลาคม 2024 05:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 ตุลาคม 2024 05:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท