นี่อาจเป็นวิถีใหม่ของการรับประทานอาหาร (These might be new normal eating behaviours)


จริงๆ แล้วผมอ่านหนังสือ Never Be Sick Again ของ Raymond Francis มาหลายปีแล้ว และนำข้อแนะนำของเขามาปรับใช้ในชีวิตหลายอย่าง โดยเฉพาะสมมุติฐานของโรคที่ทำให้คนเจ็บป่วยแบบหลุดโลกของเขา คือ ‘คนเราเจ็บป่วยจากสิ่งเดียวคือ เชลล์ไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้ เนื่องจาก 2 สาเหตุ คือ เชลล์ไม่ได้ร้บสารอาหารที่จำเป็นในการทำหน้าที่ และได้รับสารพิษเกินกว่าที่เชลล์จะรับไหว’ 

ที่มาของบทเรียนนี้เกิดจากการที่เขาป่วยโดยหมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าคืออะไร และมีสาเหตุมาจากอะไร แต่มีอาการ ไม่มีเรี่ยวมีแรง และภูมิแพ้รุนแรง แต่ด้วยวิธีการวินิจฉัยและรักษาการเจ็บป่วยของแพทย์แผนปัจจุบันตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ‘เชื้อโรคทำให้คนป่วย และใช้ยาฆ่าเชื้อโรคแล้ว คนก็จะหายป่วย’ และเมื่อไม่พบว่าเขาได้รับเชื้ออะไร จึงไม่รู้จะรักษาอย่างไร จึงสรุปว่าน่าจะเป็นเพราะเขามีอายุมากขึ้น ก็สุขภาพเสื่อมตามวัย ส่วนโรคภูมิแพ้นั้นก็ทดสอบว่าเขาแพ้อะไร แต่ยิ่งทดสอบยิ่งแพ้มากขึ้น และอาการก็ทรุดหนักถึงขนาดต้องนอนติดเตรียง ไม่มีแรงแม้แต่จะยกหัวออกจากหมอน แต่แล้ววันหนึ่งน้องชายเขามาเยี่ยมและเอาหนังสือที่ชาวนาเขียนเกี่ยวกับการที่เขาดูแลตัวเองด้วยวิถีธรรมชาติและเขาก็รอดจนได้เขียนหนังสือเล่มนั้นเป็นวิทยาทาน 

Francis ก็เลยศึกษาและหาทางออกกับตัวเอง จนได้ข้อสรุปข้างต้นและหนังสือ Never Be Sick Again ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น 

ขอบอกเลยนะว่าหนังสือดังกล่าวเปลี่ยนชีวิตผมหลายเรื่อง และชีวิตผมก็ดีขึ้นมาตามลำดับ แต่มีเรื่องหนึ่งผมเก็บไว้นาน พอสมควร คือ Francis บอกว่าวิธีกินอาหารของคนเราในปัจจุบันผิด ส่วนวิธีที่ถูกคือ  ‘ เราไม่ควรกินแป้งกับเนื้อ เช่น กินข้าวกับปลา แต่ควรกินแป้งกับผัก หรือ เนื้อกับผัก สำหรับผลไม้นั้นแยกกินโดดๆ ได้ ถ้าจะกินหลายชนิด ควรกินชนิดที่เป็นกรด (เปรี้ยว) ก่อนรสทั่วไป และพวกแตงโม แตงหวานควรกินแต่พวกนั้นโดยเฉพาะ’

ข้อแนะนำข้ออื่นๆ พอรับได้ แต่ที่ ‘ไม่ควรกินแป้วกับเนื้อ’ นี่ไม่เข้าใจจริงๆ เพราะคนส่วนก็ทำแบบนี้ ยกเว้นคนที่ทานมังสวิรัติ และผมก็กินแป้งกับเนื้อนานาชนิตมากว่า 70 ปี จึงใช้เวลาศึกษาทำความเข้าใจ และทำเรื่องนี้มาจนกระทั่งเมื่อ สัปดาห์ก่อน ได้ข้อสรุปว่าน่าจะได้ลองดู เพราะศึกษาแล้วไม่เป็นภัยต่อตนเองแน่ 

ผลที่เกิดขึ้นกับผมในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานับว่าเป็นคุณมากกว่าเป็นโทษ ผมรู้สึกษาแข็งแรงขึ้น และเบาตัวมากขึ้น และคงไม่ได้จิตลำเอียงนะ แต่ก็คงยังไม่สรุป จะทำต่อให้ครบ 52 วันตามสูตรหมอโยะชิโนริ ต้นตำหรับยิ่งหิวยิ่งสุขภาพ ดีนะครับ 

วิธีการของผมก็ง่ายๆ ครับ คือ ก็ทานอาหารปกติที่แม่บ้านทำและทานด้วยกัน เพียงแต่ผมจะเลือกว่ามื้อไหนกินจะกินผักกับแป้ง มื้อไหนจะกินผักกับแป้ง ก็เท่านั้นเอง 

โอ้เกือบลืมบอกไปว่าตรรกะของ Francis ในเรื่องนี้ก็คือ อาหารที่เป็นเนื้อต้องใช้น้ำย่อยที่เป็นกรด ขณะที่อาหารที่เป็นแป้งนั้นต้องใช้น้ำย่อยที่เป็นด่าง ดังนั้นถ้าเรากินสองอย่างพร้อมกัน ร่างกายก็จะผลิตน้ำย่อยสองอย่างมาย่อยอาหารร่วมกัน แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเมื่อกรดกับด่างผสมกัน ก็จะเป็นกลาง หรือภาษาเคมีเรียกว่า ปริกิริยาการสะเทิน 

ครับเมื่อทราบเช่นนี้จะเอาอย่างไร ก็แล้วแต่ท่านนะครับ 

รักนะจุ๊บๆ 

สมาน อัศวภูมิ 

16 มกราคม 2567

หมายเลขบันทึก: 717058เขียนเมื่อ 16 มกราคม 2024 08:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มกราคม 2024 08:33 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

I have another ‘theory’ of food:
feed the ‘gut bacteria’ and they will keep ‘us’ right – for their own benefits.
I have no direct proof but an evolutionary support like ‘gut bacteria’ have been with living things for millions of years. They have been ‘trained’ to live ‘in’ (or ‘on’) body systems (as in ‘machine learning’ or AI systems) over and over and continuing to be trained ‘today’ after millions of years. They are trained to make food (that we and they really need – proteins, glucose, – molecules, ions,… – from meats, vegetables and etc) without concerns like tastes, textures or prices.

Maybe some one can come up with more rigorous proof ;-)

Dear sr, Gut bacteria might be another theory on how food is digested and be useful to our lives. There are three types of gut bacteria in our digesting system: the Good, the Bad, and the Neutral groups.. They help or violet digesting our food, depending who take our the whole process. The unbelievable happening is that the Neutral group are ready to take side with the battle won between the Good and the Bad. To help the Good to win, we have to eat food food, more vegetables than meats, and help the digesting process a quick one. |Slow digested meats are good sources for the Bad to over number of the Good, and the Neutral will join the Bad and that leads to more problems in the whole process. We can notice the problem easily from the bad smell of our chit. If every is alright, the smell is not so bad, or even no smell at all. So, this is while, after some years of searching after I read that piece of information: Do not eat meat (fishes, for example) with starch (rice or potato, for example) for meat is digested by acid while starch by alkaline and if the two combined, they become neutral. This decreases the digesting effectiveness. So, after learning more of information on the matter, I decided to experiment the concept by myself. It is now 12 days, while the whole experiment will be 52 days, however I have observed quite a few benefits. But I will report the result after I finish the experiment. At the same time I wrote this short blog to persuade anyone who would like to try, so that we shall have more information when my experiment is finished. And I believe that this model of eating is helpful for the Good gut bacteria. Thank you again for your insight observation.

Saman Asawapoom20/01/2024

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท