เมื่อโลกเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ เรามักเคยได้ยินเสมอว่าความรู้คืออำนาจ (Knowledge is Power) หากพิจารณาตามตัวอักษร คำกล่าวนี้อาจจะเป็นจริงและทำให้หลายคนเริ่ม “สะสม” ความรู้เข้าตน จนกลายเป็นอาการ ‘หวงความรู้’ ด้วยความกลัวจะสูญเสียอำนาจ ผมมีความเห็นว่า บางทีคนในองค์กรไม่แบ่งปันความรู้ ไม่ใช่เพราะเกรงจะถูกลดบทบาทในองค์กร แต่ยังเกรงว่าความคิดและความรู้ดีๆที่อุตสาห์ศึกษาและสั่งสมซึ่งอาจเป็นผลงานเชิงนวัตกรรมจะถูกไปใช้ในทางที่ไม่พึงประสงค์เชนไปหาประโยชน์ส่วนตนมากกว่าเพื่อองค์กร
นอกจากนี้หลายคนยังเกรงว่าการสร้างระบบการแบ่งปันความรู้ต่างๆจะทำให้เพิ่มปริมาณงานและเสียเวลามากขึ้น สิ่งที่องค์กรผมนั้นเน้นนักเน้นหนา จึงเป็นการแบ่งปันความรู้บนพื้นฐานของความจริงที่ว่า เราจะยินดีให้ความรู้กับบุคคลรอบข้าง ต่อเมื่อเรามีความเชื่อมั่น (Trust) ในกลุ่มคนนั้นๆ และในขณะเดียวกัน สามารถคงความเป็นส่วนตัว (Privacy) ได้ด้วย คำว่า Trust และ Privacy จึงถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความร่วมมือในองค์กร มีการเรียนรู้จากผู้มีความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ(Tacit knowledge) ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ ( Best Practice) การเข้าถึงฐานคิด และแนวคิดเชิงนวัตกรรม การรักษาและการสืบทอดความทรงจำขององค์กร ( Organizational Memory) ทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดภาวะการเลิกจ้างงานหรือเกษียณ หรือด้วยเหตุจำเป็นอย่างไม่คาดฝัน
อย่างไรก็ดี การที่จะ “บังคับ” ให้คนมองว่าการนำความรู้ที่มีอยู่ในองค์กรมาเผยแพร่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่กระทำได้เต็มที่ เพราะพฤติกรรมมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีรูปแบบตายตัว จึงจะเน้นการอาศัยความยินยอมพร้อมใจ การกำหนดหัวข้อเรื่องที่มีความสนใจร่วมกันและที่เป็นประโยชน์ต่อความเจริญก้าวหน้าขององค์กรเป็นสำคัญ องค์กรผม......จึงได้มีเทคนิควิธี “ซึมซับ”ความรู้จากบุคลากรในองค์กรที่น่าสนใจที่เห็นชัด เช่น Role Model ที่มักนำมาทำกันในองค์กรผม
ไม่มีความเห็น