เช้าวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ผมไปสังเกตการอบรมเชิงปฏิบัติการ “ภาษาแม่เป็นฐานในบริบทของทวิ-พหุภาษา” จัดโดยทีมของ มรภ. หมู่บ้านจอมบึง โดยวิทยากรจาก CCE สหราชอาณาจักร นำโดยคุณ Paul Collard โดยวันนี้เป็นวันที่ ๓ ของการอบรม ๔ วัน ให้แก่อาจารย์มหาวิทยาลัย และนักศึกษาครูรัก(ษ์)ถิ่นแกนนำ ที่ผมตีความว่า เป็นวิธีจัดการเรียนรู้เชิงรุก ที่เน้นพลังของภาษา และโฟกัสการเรียนรู้ภาษาอย่างมีความหมายลึกซึ้งและแม่นยำ ไปพร้อมๆ กัน
ผมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า วิธีจัดการเรียนภาษาไทยจากวรรณกรรมของสำนักโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา น่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ภาษา อย่างมีความหมายลึกซึ้งและแม่นยำ
ผมติดใจที่เป้าหมายหนึ่งที่วิทยากรระบุว่า เพื่อแยกแยะระหว่างภาษาเพื่อการสื่อสารประจำวัน กับการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้วิชาการ ที่ช่วยอธิบายความอึดอัดของผมมาตลอดชีวิต ว่าผู้คนทั่วไปพูดกันด้วยภาษาที่ขาดความแม่นยำชัดเจนและลึกซึ้ง
ตอนคุยกับคุณพอลในห้องอาหารเช้า ผมถามคุณพอลว่า ภาษาเชิงใช้อำนาจเหนือ ที่ครูใช้กับศิษย์ มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่ ทำให้ผมกลายเป็นวิทยากรเสริมในช่วงสายของการอบรม เพื่อเป็นการเตือนสติครูทั้งหลายว่า ต้องพยายามใช้การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์แนวระนาบ (ที่คุณพอลเรียกว่า language of equality) เพื่อสร้างบรรยากาศของ high functioning classroom
จะเห็นว่า ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสาร ที่นอกจากครูต้องช่วยให้นักเรียนได้ฝึกเพื่อเรียนรู้แล้ว ครูก็ต้องฝึกฝนตนเองเช่นเดียวกัน
ผมได้โอกาสเสนอ “ภาษาของความรัก” ที่จะช่วยจรรโลงใจและชีวิตเด็กยามที่มีความเครียด ที่ช่วยยืนยันตัวตนของเด็ก ให้รู้สึกมั่นใจในตนเอง ผมบอกคุณพอลว่า วัฒนธรรมไทยสมัยก่อนพ่อแม่ไม่พูดคำว่ารักหรือภูมิใจลูก แต่แสดงความรักด้วยการกระทำ และตอนเป็นเด็กอายุ ๕ - ๖ ขวบ ผมรับรู้ความรักของพ่อตอนที่พ่ออาบน้ำให้ สัมผัสและคำพูดของพ่อให้ความชุ่มชื่นแก่ชีวิตของผมในช่วงนั้นอย่างที่สุด
สภาพเช่นนี้ (การมีภาษาของความรัก อบอวลอยู่ในโรงเรียน) น่าจะมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กเป็นอย่างมาก น่าจะช่วยให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัยไม่เฉพาะด้านกายภาพ แต่ให้ความปลอดภัยด้านสังคมอารมณ์ ด้วย ความปลอดภัยด้านสังคมอารมณ์ (socio-emotional) นี้ น่าจะมีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคมอารมณ์ และพัฒนาการรอบด้าน (holistic) ของเด็ก
บางช่วงของการอบรม เป็นการฝึกวิธีการช่วยเหลือเด็กชาติพันธุ์ ที่ไม่พูดภาษาแม่ เสริมด้วยหลักการของ ห้องเรียนคุณภาพสูง (high-functioning classroom) ที่คุณพอลและทีมงานได้ไปศึกษาวิธีจัดการเรียนรู้พหุภาษา ในโรงเรียนที่มีเด็กชนเผ่าที่เชียงใหม่ ดำเนินการโดยมูลนิธิภาษาศาสตร์ประยุกต์ (Foundation for Applied Linguistics) จัดตั้งโดย ผศ. วรรณา เทียนมี ผู้ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ระดับรางวัลชมเชย (๑) ชมการบรรยายเป้าหมายทวิภาษาของท่านได้ที่ (๒)
ผมได้ร่วมชมวิดีทัศน์ของมูลนิธิภาษาศาสตร์ประยุกต์ อธิบายการสอนพหุภาษา คือภาษาแม่กับภาษาไทย ที่ช่วง ป. ๑ - ป. ๓ สอนแบบแซนวิช คือภาษาไทยสอดใส้อยู่ตรงกลาง ตอน ป. ๑ ใส้บางนิดเดียว และหนาขึ้นเรื่อยๆ ในชั้น ป. ๒ และ ป. ๓
การฝึกภาษาไทยก็เพื่อใช้เป็นภาษาวิชาการ ส่วนภาษาแม่ใช้เป็นนั่งร้านในช่วงเป็นเด็กเล็ก
ในช่วงชั้น ป. ๔ – ๖ การเรียนการสอนใช้ภาษาไทยทั้งหมด ภาษาแม่เอาไปเรียนในวิชาภาษาและวัฒนธรรม
ผมได้ไปเห็นการฝึกอบรมที่ใช้กุศโลบายสร้างกระบวนทัศน์ของผู้เข้ารับการอบรมว่า ต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก ผมจึงไปเห็นภาพวาด และโมเดลกระดาษที่เป็นแผนผังหมู่บ้าน ที่เป็นสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก ที่ทีมผู้เข้ารับการอบรมช่วยกันสร้างขึ้น และมีการนำมาใช้ร่วมกันคิดออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
ดูจากเอกสารระบุกิจกรรมและรายละเอียดในการอบรมปฏิบัติการสองวันแรกแล้ว ผมเห็นวิธีออกแบบกิจกรรมให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ฝึกทั้งการจัดกิจกรรมเพื่อเกิดการเรียนภาษา และกิจกรรมเพื่อเกิดการเรียนรู้พลังสูง
วิจารณ์ พานิช
๒๑ ก.พ. ๖๖
1 สภาพในห้องอบรม
2 ทีมผู้เข้ารับการอบรมใช้แผนผังห้องเรียนพลังสูงคุยกันเรื่องวิธีจัดกระบวนการเรียนรู้
ไม่มีความเห็น