พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ตอนที่ ๗ ปุณณมันตานีปุตตเถราปทาน


ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมมาโดยย่อแล้วแสดงได้โดยพิสดาร เป็นผู้มีความรู้ในนัยแห่งพระอภิธรรม เป็นผู้ฉลาดในกถาวัตถุปกรณ์อย่างหมดจด ให้ปวงชนได้รู้แจ่มแจ้งแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ

พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก

ตอนที่ ๗ ปุณณมันตานีปุตตเถราปทาน

พลตรี มารวย ส่งทานินทร์

๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ 

๕. ปุณณมันตานีปุตตเถราปทาน

ประวัติในอดีตชาติของพระปุณณมันตานีบุตรเถระ

 

เกริ่นนำ

            ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมมาโดยย่อแล้วแสดงได้โดยพิสดาร แม้โดยย่อข้าพเจ้าก็แสดงได้ โดยพิสดารก็แสดงได้เหมือนกัน เป็นผู้มีความรู้ในนัยแห่งพระอภิธรรม เป็นผู้ฉลาดในกถาวัตถุปกรณ์อย่างหมดจด ให้ปวงชนได้รู้แจ่มแจ้งแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ

 

            (พระปุณณมันตานีบุตรเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)

            [๔๓๔] ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์ผู้คงแก่เรียน ทรงมนตร์ จบไตรเพท ห้อมล้อมด้วยศิษย์ทั้งหลายแล้ว ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้สูงสุดแห่งนรชน

            [๔๓๕] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ทรงเป็นมหามุนี ได้ประกาศกรรมของข้าพเจ้าโดยย่อ

            [๔๓๖] ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมนั้นแล้ว จึงถวายอภิวาทพระศาสดาประคองอัญชลี บ่ายหน้าหลีกไปทางทิศใต้

            [๔๓๗] ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมมาโดยย่อแล้วแสดงได้โดยพิสดาร ศิษย์ทุกคนต่างพอใจฟังข้าพเจ้ากล่าวอยู่ แล้วบรรเทาทิฏฐิของตน ต่างทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า

            [๔๓๘] แม้โดยย่อข้าพเจ้าก็แสดงได้ โดยพิสดารก็แสดงได้เหมือนกัน เป็นผู้มีความรู้ในนัยแห่งพระอภิธรรม เป็นผู้ฉลาดในกถาวัตถุปกรณ์อย่างหมดจด ให้ปวงชนได้รู้แจ่มแจ้งแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ

            [๔๓๙] ในกัปที่ ๕๐๐ นับจากภัทรกัปนี้ไป ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีชื่อเสียงถึง ๔ ชาติ สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงเป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔

            [๔๔๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้

            ได้ทราบว่า ท่านพระปุณณมันตานีบุตรเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้

ปุณณมันตานีปุตตเถราปทานที่ ๕ จบ

----------------------------------------------

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนี้นำมาจากบางส่วนของอรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ 

เถราปทาน ๑. พุทธวรรค

               พรรณนาปุณณมันตานีปุตตเถราปทาน               

 

               คำมีอาทิว่า อชฺฌายโก มนฺตธโร ดังนี้ เป็น อปทานของท่านพระปุณณมันตานีบุตรเถระ.
               แม้พระเถระนี้ก็ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทั้งหลาย ก่อสร้างบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่วิวัฏฏะคือพระนิพพานในภพนั้นๆ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในนครหังสวดี ก่อนหน้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เสด็จอุบัติขึ้น แล้วถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาขึ้นโดยลำดับ.
               ในกาลต่อมา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่เหล่าสัตว์ผู้ควรแก่การตรัสรู้ จึงไปยังพระวิหารพร้อมกับมหาชน โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง นั่งอยู่ท้ายบริษัทแล้วฟังธรรมอยู่ เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้เป็นธรรมกถึก จึงคิดว่า แม้เราก็ควรเป็นผู้เห็นปานนี้ในอนาคต.
               ในเวลาจบเทศนา เมื่อบริษัทลุกขึ้นแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลนิมนต์แล้วกระทำมหาสักการะ โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยการกระทำอันยิ่งนี้ ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาสมบัติอย่างอื่น ก็ภิกษุนั้น พระองค์ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งอันเลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้เป็นธรรมกถึก ในที่สุดของวันที่ ๗ ฉันใด แม้ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น พึงเป็นผู้เลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้เป็นธรรมกถึก ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลดังนี้ ได้ทำความปรารถนาแล้ว.
               พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคต ทรงเห็นว่าความปรารถนาของเขาจะสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล ในที่สุดแสนกัป พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม จักอุบัติขึ้น เธอบวชในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้านั้น จักเป็นผู้เลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระธรรมกถึก.
               เขากระทำกรรมอันงามตลอดชั่วอายุ จุติจากอัตภาพนั้น เก็บรวมบุญสมภารอยู่แสนกัป ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ได้บังเกิดเป็นหลานของ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในบ้านพราหมณ์ชื่อว่าโทณวัตถุ ไม่ไกลนครกบิลพัสดุ์. ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อเขาว่า ปุณณะ.
               นายปุณณะนั้น เมื่อพระศาสดาบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จเข้าไปอาศัยนครราชคฤห์ประทับอยู่โดยลำดับ จึงบวชในสำนักของพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้อุปสมบทแล้วประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียร ทำกิจแห่งบรรพชิตทั้งปวงให้ถึงที่สุดแล้ว มายังสำนักของพระศาสดากับพระเถระผู้เป็นลุง ด้วยหวังใจว่า จักไปเฝ้าพระศาสดา ล่าช้าอยู่ใกล้ๆ นครกบิลพัสดุ์ กระทำกรรมอยู่ในโยนิโสมนสิการไม่นานนัก ยังวิปัสสนาให้ขวนขวายแล้วได้บรรลุพระอรหัต.
               ก็พระปุณณเถระนั้นได้มีกุลบุตร ๕๐๐ คนบวชอยู่ในสำนัก. พระเถระกล่าวสอนกุลบุตรเหล่านั้นด้วย กถาวัตถุ ๑๐ ประการ. แม้กุลบุตรเหล่านั้นทั้งหมดก็กล่าวสอนด้วยกถาวัตถุ ๑๐ และตั้งอยู่ในโอวาทของพระปุณณเถระนั้นได้บรรลุพระอรหัต ครั้นรู้ว่ากิจแห่งบรรพชิตของตนถึงที่สุดแล้ว จึงเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกกระผมถึงที่สุดแห่งกิจบรรพชิตแล้ว และเป็นผู้มีปกติได้กถาวัตถุ ๑๐ บัดนี้เป็นสมัยเพื่อจะเข้าเฝ้าพระทศพลแห่งพวกกระผม.
               พระเถระได้ฟังคำของภิกษุเหล่านั้นแล้วจึงคิดว่า พระศาสดาย่อมทรงทราบว่า เราเป็นผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ เราเมื่อแสดงธรรมก็ไม่ทิ้งกถาวัตถุ ๑๐ นั้นแสดง ก็เมื่อเราไป ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดจักแวดล้อมเราไป เมื่อเป็นอย่างนั้น เราไม่ควรจะไปเฝ้าพระทศพลพร้อมกับคณะ ภิกษุเหล่านี้จงไปเฝ้าพระทศพลก่อน.
               ลำดับนั้น พระเถระจึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกเธอจงไปเฝ้าพระทศพลก่อน จงถวายบังคมพระบาทของพระตถาคต ตามคำของเรา, แม้เราก็จักไปตามทางที่พวกท่านไป.
               พระเถระแม้เหล่านั้นทั้งหมดอยู่ในรัฐอันเป็นชาติภูมิของพระทศพล ทั้งหมดเป็นพระขีณาสพ ทั้งหมดได้กถาวัตถุ ๑๐ ไม่ตัดทิ้งโอวาทของพระอุปัชฌาย์ ไหว้พระเถระแล้วเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ล่วงหนทางไปได้ ๖๐ โยชน์ แล้วไปยังพระเวฬุวันวิหาร ในเมืองราชคฤห์ ถวายบังคมพระบาทของพระทศพล แล้วนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง.
               ก็การปราศรัยกับอาคันตุกภิกษุทั้งหลายนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายทรงประพฤติสืบกันมา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงทำปฏิสันถารอันไพเราะกับภิกษุเหล่านั้น โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสบายดีหรือดังนี้ แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอมาจากไหน เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอีกว่า มาจากชาติภูมิ พระเจ้าข้า จึงตรัสถึงภิกษุผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ ว่า ภิกษุทั้งหลาย ใครหนออันเหล่าภิกษุเพื่อนพรหมจารีชาวชาติภูมิ ในแคว้นชาติภูมิยกย่องอย่างนี้ว่า เป็นผู้มักน้อยด้วยตนเอง และกล่าวถ้อยคำชักนำในความมักน้อยแก่ภิกษุทั้งหลาย.
               แม้ภิกษุเหล่านั้นก็กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านผู้มีอายุชื่อว่าปุณณะ บุตรของนางมันตานี พระเจ้าข้า.
               ท่านพระสารีบุตรได้ฟังถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้น ได้มีความประสงค์เพื่อจะได้เห็นพระเถระ.
               ลำดับนั้น พระศาสดาได้เสด็จจากเมืองราชคฤห์ไปยังเมืองสาวัตถี. แม้พระปุณณเถระก็ได้ฟังว่า พระทศพลเสด็จไปในเมืองสาวัตถีนั้น จึงไปด้วยหวังว่าจักเฝ้าพระศาสดา มาทันพระตถาคตในภายในพระคันธกุฎีนั่นเอง. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พระเถระ. พระเถระฟังธรรมแล้ว ถวายบังคมพระทศพล เพื่อต้องการจะหลีกเร้นจึงไปยังอันธวัน นั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง.
               ฝ่ายพระสารีบุตรเถระได้ทราบการมาของท่าน จึงตรวจดูหัวข้อธรรมแล้วไป กำหนดโอกาสแล้วเข้าไปหาพระเถระผู้นั่งอยู่ ณ โคนไม้นั้น ปราศรัยกับพระเถระแล้ว จึงถามลำดับแห่งวิสุทธินั้น.
               ฝ่ายพระเถระนั้นก็พยากรณ์ปัญหาที่ถามแล้วๆ แก่พระสารีบุตรเถระ ทำจิตให้ยินดียิ่งด้วย การเปรียบด้วยรถ ๗ ผลัด.
               พระเถระทั้งสองนั้นต่างอนุโมทนาสุภาษิตของกันและกัน.
               ครั้นในกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงตั้งพระเถระนั้นไว้ใน ตำแหน่งเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุณณะนี้เป็นเลิศแห่งภิกษุสาวกทั้งหลายของเราผู้เป็นพระธรรมกถึก.
               พระเถระนั้นระลึกถึงกรรมในก่อนของตน เมื่อจะประกาศอปทานแห่งความประพฤติในชาติก่อนด้วยความโสมนัส จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อชฺฌายโก ดังนี้.
                               จบพรรณนาปุณณมันตานีปุตตเถราปทาน               
                               ---------------------------------

หมายเลขบันทึก: 712766เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2023 12:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2023 12:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท